คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ...
แสงแดดยามเช้าสาดส่องลอดผ่านบานใหญ่ เข้ามากระทบร่างอันสูงโปร่งของบุรุษซึ่งนั่งเกากีต้าร์อยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวโปรด โดยมีร่างเล็กของเด็กสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ ซึ่งกำลังหลับตาพริ้ม นอนฟังเสียงกีต้าร์จากผู้เป็นพ่อที่ยังคงบรรเลงต่อไปเป็นจังหวะช้าๆ สบายๆ
เสียงกีต้าร์หยุดลง...พร้อมกับการสะดุ้งตื่นจากภวังค์ของเด็กสาว
“ไม่นอนต่ะล่ะ จุน”คนเป็นพ่อถามพลางลูบหัวคนเป็นลูกอย่างรักใคร่
“คุณพ่อเล่นเพลงต่อไปสิคะ”เสียงใสๆของเด็กสาววัยเจ็ดขวบเอ่ยขึ้นในขณะที่ยังเคลิบเคลิ้มในเสียงดนตรีที่ผู้เป็นพ่อบรรเลงออกมาด้วยหัวใจ ไม่นึกสงสัยเลยว่าเพราะอะไรมันจึงได้ฟังดูหวานฉ่ำเช่นนั้น
“เสียงกีต้าร์ถูกบรรเลงขึ้นมาอีก เด็กสาวหลับตาลงอีกครั้งแล้วตั้งใจฟัง เสียงดนตรีจากกีต้าร์ตัวนั้นอย่างเพลิดเพลินแล้วคำถามไร้เดียงสาสมวัยก็ผุดขึ้นมาในใจ
“พ่อคะ ทำไมพ่อถึงเล่นดนตรีคะ”หนูน้อยถามเสียงใส ผู้เป็นพ่อยิ้มแล้วตอบไปว่า
“เพราะดนตรีเป็นสิ่งที่งดงามไงล่ะจ๊ะ”เด็กน้อยเอียงคอทำตาใส ก่อนจะทำสีหน้าครุ่นคิด
“แล้วทำไมพ่อถึงชอบดนตรีละคะ”เด็กสาวถามต่อ
“เพราะดนตรีเป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับพ่อไงละจ๊ะ”ผู้เป็นพ่อตอบพลางเอามือลูบหัวลูกสาวอย่างเอ็นดู ก่อนจะถามลองเชิงกลับไป “แล้วลูกชอบดนตรีของพ่อไหม”
“ชอบสิๆ แล้วเมื่อไหร่หนูจะได้มีดนตรีของหนูละคะ”เด็กน้อยถามกลับ
“จุนก็มีดนตรี ดนตรีของหนูอยู่ในนี้”คนเป็นพ่อเอ่ยพลางวางมือลงบนอกของลูกสาว “ดนตรีเป็นของทุกคนนั่นแหละ และมันจะยิ่งมีค่าเมื่อคนที่รักมันรู้จักคุณค่าของมัน”เด็กสาวมองหน้าผู้เป็นพ่อด้วยแววราไร้เดียงสา และแล้วคำถามใหม่ก็ผุดขึ้นมาอีกในใจ
“แล้ว... พ่อคะ ทำไมพ่อถึงรักดนตรีคะ”
“เพราะดนตรี เป็นสิ่งบันดาลความสุขให้แก่ผู้คนไงละจ๊ะ”เด็กสาวยิ้มกว้างอย่างพอใจในคำตอบ แล้วมองหน้าพ่อของต้นด้วยสีหนีที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
คิโตมิยะ จุน ค่อยๆก้มลงหนุนหัวตัวเองลงบนตักของผู้เป็นพ่อ ก่อนจะค่อยๆปรือนัยน์ตาลงแล้วนอนฟังเสียงเพลงที่บรรเลงไปอย่างสบายๆจนหลับไปในที่สุด...
3ปีต่อมา...
วันเวลาผันเปลี่ยน ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปด้วย...
คิโตมิยะ จุน นั่งเฝ้ามองพ่อของเธอในชุดของนักธุรกิจที่หิ้วกระเป๋าคอมพิวเตอร์ไปไหนมาไหนตลอดเวลา ทำให้เธอหวนคิดไปถึงกีต้าร์ตัวเดิมที่บัดนี้กลายเป็นเหมือนเศษไม้ที่เจ้าของเก่าไม่เคยหันมาแลมอง เสียงกีตาร์ยังก้องกังวานอยู่ในส่วนลึกของความทรงจำทุกครั้งที่เธอนึกย้อนไปถึงวันเวลาแห่งความสุข...ที่เคยได้นอนฟังเสียงกีต้าร์ของพ่ออยู่เป็นประจำ
“จุน วันนี้อ่านหนังสือหรือยัง”พ่อถามเธอ
“อ่านแล้วค่ะ”จุนตอบกลับไปอย่างขอไปที ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา ราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน
“สอบเก็บคะแนนคณิตศาสตร์เมื่ออาทิตย์ก่อน ได้คะแนนเท่าไหร่”พ่อถามขึ้นมาอีก โดยไม่แม้แต่จะหันมามองหน้าเธอ
“ยี่สิบคะแนนเต็มค่ะ หนูขึ้นไปเล่นกีต้าร์บนห้องได้ไหมคะ”จุนตอบแล้วรีบถามกลับทันที แต่คำตอบที่ได้กลับมานั้น กลับทำให้สีหน้าของเธอที่ดูไม่ค่อยร่าเริงอยู่แล้ว ดูเศร้าและหม่นหมองลงยิ่งกว่าเก่า
“ยังไม่ได้ คิดอยู่แต่ว่าจะเล่นกีต้าร์ เรียนให้มันดีๆ แล้วไปทำงานอย่างพ่อยังให้เงินมากกว่าเล่นกีต้าร์ตัวนั้นตั้งมาก แล้วถ้าสอบปลายภาคคราวนี้แกคว้าอันดับหนึ่งมาไม่ได้ อย่าหวังว่าจะได้เห็นกีต้าร์งี่เง่าตัวนั้นอีก พ่อจะเอามันไปโยนทิ้งให้มันพ้นหูพ้นตาแก จะได้มีสมาธิเรียนมากกว่าตอนนี้”บทสนทนาที่เริ่มต้นกันดีๆ บัดนี้กลับกลายเป็นตะคอก
คิโตมิยะ ทาคุยะ พ่อของเธอ ซึ่งในสมัยก่อนเคยเป็นอดีตนักดนตรีที่มีชื่อเสียง บัดนนี้เขากลายมาเป็นนักธุรกิจหน้าเงิน ที่ทำทุกอย่างเพื่อเงิน เขาเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไหร่เธอไม่รู้ แต่ที่รู้มีอยู่อย่างเดียวคือ พ่อของเธอ กู่ไม่กลับอีกแล้ว...
...พ่อไม่ใช่พ่อคนเดิมอีกแล้ว เขาไม่ใช่ผู้ใหญ่ใจดีที่รักดนตรีอีก จะไม่กอดและลูบหัวเธออีกแล้ว ไม่แม้แต่จะเล่นดนตรีให้เธอฟัง หรือคอยปลอบใจเธอเวลาเศร้า เขาหมกมุ่นอยู่กับไอ้แผ่นเหล็กสีเหลี่ยมหนาๆนั่นตลอดทั้งวัน และไม่มีทางที่เขาจะกลับมาเป็นพ่อคนเดิมของเธอได้อีก
ทั้งๆที่วันนี้เป็นวันเกิดครบรอบสิบขวบของเธอ ทั้งๆ ที่เธอทุมเทกับการเรียนตามที่พ่อสั่งทุกอย่าง แต่แล้วทำไม...
“พ่อคะ คือ...”เสียงพูดของเด็กสาว ถูกปล่อยออกมายังไม่พ้นลำคอก็ถูกขัดด้วยคำพูดของอีกฝ่ายเสียแล้ว
“จุน ฉันกำลังทำงานอยู่ แกไปจะไปไหนก็ไป”พ่อเอ่ยตัดบทแล้วก้มหน้าก้มตาก้มตาทำงานต่อ โดยไม่สนใจเธอเลยสักนิด เพียงเท่านั้น... เธอก็วิ่งหนีขึ้นไปบนห้อง โดยไม่พูดอะไรอีก...
5ปีต่อมา
เสียงกีต้าร์โฟล็กถูกดีดเป็นเสียงเย็นๆหวานๆ พร้อมๆกับเสียงใสๆของเด็กสาวคนดีด ดังคู่กันไปเป็นทำนองเศร้า เข้ากับบรรยากาศตอนกลางคืนตอนนี้ยิ่งนัก เธอหลับตาพริ้มแล้วขับขานบทเพลงอันแสนไพเราะ ไปพร้อมๆกับกีต้าร์คู่ใจของเธอ ที่มักจะไปกับเธอทุกที่
เสียงเพลงค่อยๆช้าลงและจบลงในที่สุด เธอค่อยๆลืมตาขึ้นช้า เป็นจังหวะเดียวกับที่เหล่าผู้คนซึ่งมานั่งฟังเธอร้องเพลง ปรบมือให้ป็นสัญญาณบอกถึงความพออกพอใจ
ถึงแม้จะมีเพียงไม่ถึงสิบคน ที่มานั่งฟังเธอ แต่เธอก็มีความสุขที่ได้สร้างความสุขให้กับคนอื่นด้วยเสียงเพลงและเสียงดนตรีของเธอ
“หนูชื่ออะไรเนี่ย เป็นคนแถวไหนเหรอ”เสียงของคุณป้าหนึ่งในผู้ฟังเอ่ยถาม
“คิโตมิยะ จุน ค่ะ บ้านหนูอยู่สุดมุมถนนโน่นเอง”เธอตอบพลางชิ้นิ้วไปที่บ้านของเธอซึ่งอยู่สุดมุมหัวถนนใกล้ๆกับมุมตึกที่เธอมานั่งร้องเพลงวันนี้
“อ๋อ ลูกสาวทาคุยะซังละสิ มิน่าล่ะ เล่นกีต้าร์เก่งเชียว”คุณป้าเอ่ยชม เธอยิ้มรับก่อนจะใช้นิ้วเกากีต้าร์เป็นเสียงหวานๆอย่างเพลิดเพลิน “อื้ม จะว่าไป เดี๋ยวนี้ฉันไม่ค่อยได้เห็นแกเลย แกเป็นอะไรรึเปล่าจ๊ะ”
คำถามที่เล่นเอาสีหน้าที่เคยยิ้มแย้มของเด็กสาว หม่นหมองลงถนัด จุนถอนหายใจออกมาน้อยๆ ก่อนฝืนยิ้ม แล้วเงยหน้าขึ้นมาตอบ
“ช่วงนีคุณพ่องานยุ่งค่ะ”เธอตอบไปสั้นๆ
“อ๋อเหรอจ๊ะ เอ้อ! แล้วนี่มาทุกวันหรือเปล่าจ๊ะ วันหลังป้าจะได้มาฟังอีก”
“เปล่าค่ะ เปล่า วันนี้เป็นวันเกิดครบสิบห้าของหนู หนูก็เลยแค่ออกมาร้องเพลงเล่นๆเท่านั้นเอง” เธออธิบายพลางยิ้มหวาน
“นี่ขนาดร้องเล่นๆ นะเนี่ย เสียงเพราะเชียว โตขึ้นต้องได้เป็นนักร้องแน่ๆเลย”ป้าเอ่ยชม เธอได้แต่ยิ้มรับคำชมนั้นอย่างฝืนๆ เพราะรู้อยู่แก่ใจดีว่าเธอไม่มีทางได้เดินในเส้นทางสายนั้น พ่อไม่มีทางอนุญาตให้เธอเป็นนักดนตรี ถึงแม้ว่าเธอจะรักมันแค่ไหนก็ตาม
“อุ้ย! ตายแล้ว เลยมื้อดึกมาแล้วนี่นา ออกมาซื้อของเดี่ยวเดียว เคลิ้มจนยาวเลย งั้นป้าขอตัวก่อนนะ อ้อ แฮปปี้เบิร์ดเดย์นะจ๊ะ คิโตมิยะจัง”คุณป้าเอ่ยก่อนจะก้มลงหอบถุงกับข้าวขึ้นมาไว้ในมือ
“เรียกจุนก็ได้ค่ะ”เธอว่า
“อื้ม! จ๊ะ แล้วนี่จุนจังยังไม่กลับบ้านเหรอจ๊ะ ดึกแล้วนะอันตรายออก”
นั่นเป็นประโยคที่ทำให้เธอนึกขึ้นได้
จุนยกแขนซ้ายของตัวเองขึ้นมาเพื่อดูนาฬิกา ก่อนที่หัวใจจะแทบหล่นลงไปอยู่ที่พื้น มันเกือบๆจะมุดลงไปในพื้นซีเมนเลยด้วยซ้ำ เมื่อมองเห็นเข็มนาฬิกาบนหน้าปัดนาฬิกาข้อมือของตน
“เฮ้ย!”จุนแทบจะเอามือขึ้นมาตะครุบปากของตัวเองไม่ทัน เมื่อรู้ว่าตอนนี้เกือบเที่ยงคืนแล้ว!
“เป็นอะไรจ๊ะ”ป้าถามพลางเลิกคิ้วขึ้น ในขณะที่เธอบรรจงยัดกีต้าร์ใส่กระเป๋าอย่างรีบร้อน
“เออ... ขอโทษนะคะ แต่หนูต้องไปแล้ว เอาไว้วันหลังหนูจะหาเวลามาอีกนะคะ”จุนพูดในขณะที่ยันตัวเองให้ลุกขึ้นยืน เธอสะพายกีต้าร์ขึ้นบนหลังด้วยท่าทางเร่งรีบ แล้วออกตัววิ่งจากไปด้วยความเยี่ยงเสือชีต้าร์ ทิ้งให้คุณ
...เป็นเด็กดีเหมือนกันแฮะ ลูกสาวบ้านคิโตมิยะ...
แอ๊ดดด
เสียงประตูถูกเปิดออกช้าๆ และแผ่วเบาที่สุด ราวกับกลัวว่าใครบางคนจะออกมาได้ยินเข้า จุนแทรกตัวเองเข้ามาในบ้านแล้วปิดประตูอย่างเบามือ ก่อนจะรวบรวมความกล้า กึ่งเดินกึ่งย่องปทับันได เพื่อขึ้นไปบนห้องอย่างเงียบเชียบ
...โอเค อีกนิดเดียว บันไดอยู่โน่นแล้ว จุน ที่แกต้องทำก็คือ เดินไปหามันแล้วตะกายขึ้นไปอย่างเงียบที่สุด ไม่ใพ่อรู้ แค่นั้น... ภารกิจแกก็จบ เอาน่า อย่าปอดนักเลย ตอนนี้พ่ออาจกำลังหลับอยู่บนโต๊ะทำงานก็ได้ กล้าไว้สิ!...
จุนพยายามปลอบใจตัวเอง แล้วหายใจเข้าไปลึกๆ ก่อนจะค่อยๆเอาหน้าโผล่ไปสอดส่องสายตามองเข้าไปในห้องนั่งเล่น
...ไม่อยู่? แต่คอดเปิดทิ้งไว้เนี่ยนะ แปลกจัง แต่ช่างหันเหอะ ไม่เห็นเราก็นับว่าบุญมากๆแล้ว เคจุน แกยังต้องกลัวอะไรอีก ก่อนไปแกทำแบบฝึกหัดทุกเล่นที่พ่อสั่งหมดแล้ว ถ้าขึ้นไปถึงห้องได้ ทุกอย่างก็จบ...
คิดในใจอย่างกล้าๆกลัวๆ แล้วก็ตัดสินใจค่อยๆย่องไปที่บันไดโดยไม่ลืที่จะหันมามองข้างหลังเพื่อระวังตัว แต่การที่เธอมัวแต่ระวังขางหลังนั้น มันทำให้เธอลืมระวังข้างหน้า! และแล้ว... เมื่อเท้าเหยียบถึงบันใดขั้นแรกเธอก็ชนเข้ากับอะไรบางอย่างที่อยู่ตรงนั้นมาก่อนแล้ว
ผลัก
เธอหันควับมามองอย่างตกใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นช้าๆ เพื่อมองว่าเธอชนเข้ากับอะไร และเมื่อตาของเธอ สบเข้ากับนัยนตาตาเย็นชาดูเกรี้ยวกราดของอีกฝ่าย ก็เรียกให้ความตกใจของเธอพุ่งสูงขึ้นจากทีแรกอีกเป็นทวีคูณ
จุนผละตัวเองให้ถอยออกมาอย่างอัตโนมัตราวกับเป็นสัญชาตญาณ เธอเอาหลังพิงกับผนังบ้านซึ่งอยู่ตรงหน้าบันไดแล้วมองร่างตรงหน้าที่กำลังเดินเข้ามาหาเธอพร้อมกับสายตาที่ดูเหี้ยมโหดอย่างที่เธอไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน
“แกไปไหนมา”น้ำเสียงแผ่วเบาแฝงความอาฆาตขอพง่อที่ดังออกมาทำให้หัวใจของเธอเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ ตอนนี้เธอคิดอะไรม่ออกอีกแล้ว รู้แต่ว่าเธอจะให้ผู้ชายตรงหนาเดินเข้ามาใกล้เธอไปมากกว่านี้ไม่ได้
จุนตัดสินใจค่อยๆ ขยับตัวไปข้างๆ แล้วออกตัววิ่งไปที่ประตู แต่เพียงร่างบางวิ่งตัดออกไปยังไม่พ้นบันได ก็ถูกมือใหญ่ของคนข้างหลัง คว้าเข้าที่คอเสื้อแล้วกระชากกับมาที่เก่าอย่างง่ายดาย
“แกออกไปไหนมา!!”พ่อตะคอกเสียงดัง
“หนูออกไปเล่นดนตรีที่มุกตึกข้างหน้าโน่นเอง ทำไมต้องโกรธด้วย วันนี้ก็วันเสาร์แท้ๆ อีกอย่างหนูก็ปิดเทอมแล้ว”เธอตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ทั้งๆ ที่ยังกล้าๆ กลัวๆ
“แล้วแกขอนุญาตใคร”น้ำเสียงแม้จะแผ่วเบา แต่นัยน์ตาคู่นั้นกับฉายรอยเหี้ยมเหมือนเพชรฆาตที่ทำท่าจำกินเธอได้ตลอดเวลา
“ที่พูดนี่จะให้หนูขอพ่อหรือไง? ถ้าหนูมาขอพ่อ พ่อจะให้หนูไปรึไงล่ะ”เด็กสาวเถียงกลับ
“นี่แกกล้าเถียงพ่อเหรอ? แกเถียงพ่อใช่ไหม!!”พ่อตวาดใส่เธอเสียงดัง ถ้าทำเพียงเท่านั้นก็อาจจะแค่ปกติของเธอที่โดนเป็นประจำ แต่คราวนี้มือใหญ่ถูกตวัดเข้ามาที่ใบหน้าของเธออย่างแรง เล่นเอาเด็กสาวหน้าหันไปตามแรงของฝ่ามือนั้นจนสุดคอ
จุนค่อยๆยกมือขึ้นมาลูบคลำที่แก้มอย่างเบาๆ ไม่ใช่เพราะเจ็บ แต่เพราะไม่อยากจะเชื่อ ...พ่อตบหน้าเธอ ตบหน้าเธอในวันเกิดของเธอ...
เพียงแค่คิดก็รู้สึกเหมือนมีก้อนบางอย่างเลื่อนขึ้นมาจุกอยู่ที่คอ เธอค่อยๆหันกลับมาหาพ่อพร้อมกับรอบเลือดและรอยฟกช้ำที่มุมปาก
“ฉันเตือนแกแล้วเรื่องดนตรี มันมีอะไรดีนักหนา เสียงดังน่ารำคาณ”พ่อตะคอก
“แต่หนูก็ออกไปเล่นไกลๆไม่ให้รบกวนพ่อเวลาทำงาน”เธอรีบย้อน
“แต่ฉันสั่งห้ามแกแล้วเรื่องนี้!”พ่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูน่ากลัว ไม่เหมือนน้ำเสียงที่คนปกติใช้พูดกับคนในครอบครัว
“แต่วันนี้วันเกิดหนูนะพ่อ!”เธอเถียงกับไป แต่ไม่ทันไร...
เผี๊ยะ!!!
ฝ่ามือข้างเดิมถูกฟาดมาที่หน้าเธออีกครั้ง ตามมาด้วยแรงกระชากที่คอเสื้อ จนเด็กสาวถึงกับไถลไปตามแรงนั้นโดนไม่อาจขัดขืนได้
ร่างบางถูกกระชากและผลักลงบนพื้นอย่างไม่ใยดี คนตัวใหญ่เดินมากระชากกระเป๋ากีต้าร์บนหลังของเธอ แต่คนตัวเล็กก็ไม่ยอมให้ทำง่ายๆ เธอเอาใช้แขนบางๆ คู่นั้นกอดมันเอาไว้อย่างเหนียวแน่น
“พ่อ! พ่อจะทำอะไร อย่านะพ่อ!”เธอตะโกนเสียงดัง พลางพยายามดึงกระเป๋ากีต้าร์กลับมา แต่แรงของอีกฝ่ายนั้นมีมากกว่า “พ่อ! อย่า! นั่นกีต้าร์หนู เอาคืนมานะ”เสียงตะโกนเริ่มจะเปลี่ยนเป็นเสียงกรีดร้อง เมื่อพ่อของเธอได้กีต้าร์ตัวนั้นของเธอไป
“ปัญหามันอยู่ที่ไอ้เศษไม้นี่ใช่ไหม”พ่อเอ่ยพลางค่อยรูดซิบกระเป๋ากีต้าร์ออก และหยิบสิ่งที่อยู่ข้างในจออกมา
“ไม่!!! พ่อจะทำอะไร อย่ายุ่งกับมันนะ!!”จุนร้องเสียงดัง พลางลุกขึ้นแล้วกระโจนเข้าไปเพื่อแย่งกีต้าร์ของเธอคืนมา แต่เพียงแค่เธอคว้าแขนของพ่อได้ พ่อก็สะลัดเธอจนล้มลงไปอีกครั้ง หัวของเธอกระแทกเข้ากับมุมผนังจนเลือดใหลซิบๆ
เด็กสาวทรุดลงนั่งกับพื้น มือกุมที่ศรีษะของตัวเองอย่างเจ็บปวด แต่นัยน์ตาคู่สวยก็ไม่ได้ละไปจากกีต้าร์ของตัวเองที่อยู่ในมือของคนที่จะชำแหละมันได้ทุกเมื่อ
“ถ้ามีไอ้เศษไม้นี่แล้วปัญหามันมากนักละก็...”พ่อโยนกระเป๋ากีต้าทิ้งไปข้างกลัง ก่อนจะใช้สองมือของตัวเองชูกีต้าร์ขึ้นเหนือหัว
จุนพยายามรวบรวมแรงทั้งหมดที่มีลุกขึ้นยืน
“ไม่!!!!”เธอร้องลั่น แต่เสียงห้ามของเธอไม่ได้ช่วยอะไรได้เลยสักนิด โดยเฉพาะเมื่อกีต้าร์ถูกทุ่มลงไปบนพื้นอย่างแรง คอของมันหักออกเป็นสองท่อน พร้อมๆกับที่สายของมันขาดออกและขดเป็นเกลียว นัยน์ตาของเด็กสาวเบิกกว้าง หยาดน้ำตาใสใหลลงอาบแก้มผสมกับของเหลวสีแดงข้นที่ใหลจากหน้าผากซ้ายและหยดลงบนพื้น
พ่อเอาเท้าเขี่ยเศษกีต้าร์ที่ถูกทำให้หักเป็นชิ้นๆ มากองอยู่ที่หน้าเธอ
“เก็บกวาดซะด้วย ฉันจะทำงาน”พ่อเอ่ยพลางแสยะยิ้มน่ารังเกียจมาที่เธอ มันยิ่งทำให้ความโกรธที่พุ่งพล่านมากกว่าเก่า มือสองข้างของเด็กสาวเอื้อมไปหยิบเศษกีต้าร์ขึ้นมาแล้วกำมันเอาไว้แน่น
...โหดร้าย...โหดร้ายมาก เกลียด...เกลียดผู้ชายคนนี้ที่สุด!...
เข็มนาฬิกาที่บอกเวลาตีสอง เวลาที่หลายคนควรจะหลับใหลอย่างสุขสบาย แต่ก็ยังมืห้องๆหนึ่งที่ถูกเปิดไฟเอาไว้สว่างโล่ พร้อมกับเจ้าของห้องที่ยังอยู่ในสภาพที่เลือดใหลมีแผลใหญ่อยู่ที่หน้าผากซ้าย พร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาเหมือนกับก่อนหน้านี้
คิโตมิยะ จุน เดินไปหยิบกระเป๋าสะพายข้างใบสีดำของเธอเหวี่ยงขึ้นไปบนเตียง ก่อนจะเหยียบขึ้นไปบนเก้าอี้ตัวหนึ่งในห้องเพื่อหยิบกล่องใบขนาดเท่าฝ่ามือที่ถูกซ่อนเอาไว้ในตู้อย่างมิดชิด
เธอค่อยๆลงมาจากเก้าอี้ก่อนจะเก้าเท้าไปที่เตียงแล้วบรรจงเปิดกล่องนั้นออก แม้มันจะเป็นแค่กล่องสี่เหลี่ยมที่ดูไม่ใหญ่มาก แต่ภายในกลับบรรจุเงินเยนที่ถูกอัดและยัดเข้าไปจนแน่นไปหมด เงินที่ได้จากการเก็บออมมาตลอดสิบห้าปีของเธอ รวมกับเงินบางส่วนที่ได้จากการเล่นดนตรีตามข้างทางของเธอ ทำให้มันมากพอที่จะทำให้คนสามารถอยู่โดยไม่ต้องทำอะไรได้อย่างน้อยๆ สามเดือนเหนาะๆ
จุนค่อยๆหยิบเงินเหล่านั้น ทั้งแบงค์ทั้งเหรียญยัดใส่เข้าไปในกระเป๋าตังสีดำลายกีต้าร์ของเธอแล้วเอามันใส่เข้าไปในกระเป๋าสะพายข้างจากนั้นก็เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าและหยิบเสื้อผ้าออกมาชุดสองชุดแล้วยัดมันใส่เข้าไปในกระเป๋าสะพายข้างใบเดิม
เธอไม่รู้ว่าสิ่งที่เธอคิดนั้นถูกหรือเปล่า เธอไม่รู้ว่าเธอไปแล้วเธอจะไปอยู่ที่ไหน ไม่รู้กระทั่งว่าถ้าไปที่นี่แล้ว ที่ๆเธอจะไปนั้นมันจะดีกว่าที่เป็นอยู่นี่หรือเปล่า รู้แต่เพียงว่า ถ้าเธอไป...เธอกับพ่อก็จะไม่ต้องทะเลาะกันรุนแรงอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้อีก
เธอเดินไปหยิบกระดาษใบเล็กๆ ที่เธอมักใช้เขียนบันทึกเรื่องดีๆ ในหนึ่งวันของเธอแปะไว้ที่หน้ากระจก มานั่งเขียนบางอย่างลงไป
หนูขอโทษค่ะพ่อ แต่เส้นด้ายบนเท้าของพ่อกับหนู มันเป็นเส้นด้ายคนละเส้นกัน...
ขอความที่ฟังดูไม่ค่อยเหมือนจดหมายลาสักเท่าไหร่นัก ถูกเขียนลงบนกระดาษใบนั้น
เมื่อเก็บของและจัดการกับทุกอย่างเรียบร้อย ร่างของ คิโตมิยะ จุน ก็เดินออกไปจากห้องนั้น พร้อมกับกระเป๋าสะพายข้างของเธอที่ไม่ได้ใส่อะไรมากไปกว่า เงินจำนวนหนึ่งกับเสื้อผ้าบางส่วน และสิ่งๆหนึ่ง ที่เธอถึงกับต้องไล่หามันตั้งแต่ตีสองยันตีสามก็คือ รูปถ่ายใบหนึ่ง... ที่ไม่มีใครรู้ว่ามันคือรูปอะไร ขจะมีก็แต่คนๆหนึ่งที่เคยเห็นมัน หากแต่ เขาได้ลืมมันไปแล้ว...
จุนค่อยๆ พาร่างของตัวเองเดินลงมาจากบันไดอย่างเชื่องช้า แล้วมองเข้าไปในห้องนั่งเล่นที่ถูกเปิดประตูทิ้งเอาไว้ เผยให้เห็นร่างของผู้เป็นพ่อที่นั่งหลับฟุบอยู่หน้าคอมเหมือนทุกวัน
เธอเดินเข้าไปในห้องนั้นอย่างช้าๆ และเบาที่สุด ก่อนจะค่อยๆ เดินไปหยิบผ้าห่มสีขาวมาคลุมร่างหน้าคอมนั้น แล้วก้มลงกอดร่างนั้นเบาๆ
“หนูรู้ค่ะ ว่าที่พ่อตั้งใจทำงาน ส่วนหนึ่งก็เพื่อหนู”เธอกระซิบเบาๆที่ข้างหูของคนที่บัดนี้หลับสนิท “ถึงเวลาแล้วที่พ่อจะทำทุกอย่างเพื่อตัวเอง”คนตรงหน้าไม่ได้ยินสิ่งที่เธอพูดเลยแม้แต่น้อย แต่เธอก็ไม่ได้หวังอะไรมาก เธอก้มลงหอมแก้มคนตรงหน้าเบาๆหนึ่งครั้ง และวางกระดาษใบเล็กๆ ไว้ตรงหน้าของเขา จากนั้นก็เดินจากไปจากห้องนั้น โดยไม่พูดอะไรอีก
แอ๊ดดด...
ประตูถูกเปิดออก พร้อมๆกับที่ร่างของเด็กสาวที่เดินออกมาจากบ้านในเวลาย่ำรุ่ง ดวงอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นขึ้นมาบนฟ้า ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างตรงนั้นดูมืดไปหมด
จุนหันกลับไปมองสถานที่ที่เธอเคยใช้ชีวิตทั้งชีวิตอยู่กับมัน แล้วยิ้มอย่างเศร้าๆ
...นอกจากพ่อแล้ว ฉันคงจะอักตัญญูกับแกด้วยสินะ ขอโทษด้วยนะ ฝากขอโทษพ่อด้วยล่ะ...
จุนล้วมมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง แล้วหยิบมือถือของเธอขึ้นมา แล้วถ่ายรูปบ้านของเธอ ก่อนจะเดินจากไป โดยไม่หันกลับมามองข้างหลัง...และไม่มีวันที่จะหันกลับมาอีกแล้ว...
ความคิดเห็น