ตอนที่ 9 : ตอนที่ 9 อาจารย์
ตอนที่ 9
อาจารย์
ไป๋เฟิ่งที่พูดคุยกับเหล่าเงาจบก็เดินออกมาด้านนอกแล้วมุ่งตรงไปยังร้านขายตำราของอี้มู่ซุนทันทีเมื่อเสียเวลามามากแล้ว ชายชรานัดนางยามซวี (戌:xū) นี่ก็เกือบจะเลยเวลาแล้วด้วย ถนนเส้นหลักยังคงมีผู้คนที่ออกมาข้างนอกอยู่บ้างทำให้การลักลอบออกมาเป็นไปได้ด้วยดี ร่างบางและสาวใช้คนสนิทเร่งฝีเท้าหายเข้าไปในกลุ่มคนที่เดินผ่านไปมาจนมาถึงร้านที่นัดหมาย
“ข้ากำลังนึกว่าเจ้าจะหาทางออกมาจากจวนเสนาบดีไม่ได้เสียอีก” อี้มู่ซุนที่นั่งหันหลังอยู่ท่ามกลางความมืดมีเพียงไฟจากตะเกียงอันเดียวให้ความสว่างเอ่ยขึ้นเมื่อร่างบางเดินเข้ามาบริเวณหน้าร้าน
“ขออภัยที่ทำให้ผู้อาวุโสรอนานเจ้าค่ะ” ไป๋เฟิ่งที่ย่อกายขออภัยชายชราตรงหน้าสะดุดไปเล็กน้อยกับคำพูดของผู้อาวุโสกว่า มิคาดว่าชายชราจะรู้ถึงเบื้องหลังของนางรวดเร็วขนาดนี้ ตระกูลเยี่ยมิได้มีแค่ครอบครัวนางเพียงครอบครัวเดียวยังมีครอบครัวของท่านลุงและท่านอาของนางที่ทำกิจการต่างๆด้วย
“มิได้รอนานนักหรอกข้ารู้อย่างไรเจ้าก็มา” อี้มู่ซุนกล่าวอย่างไม่ถือโทษอะไร
“พวกคนที่ติดตามเจ้ามาด้านนอกนั่นใช่คนของเจ้าใช่หรือไม่?”
“ใช่เจ้าค่ะ เป็นคนที่ทางบ้านข้าส่งมาคุ้มครองตอนนี้มีเรื่องราวมากมายทำให้ไม่ปลอดภัยนัก” ไป๋เฟิ่งกล่าวออกไปกลางๆไม่บอกรายละเอียดอะไรมาก แล้วหันไปกระซิบเสี่ยวจูให้ออกไปรอด้านนอก
“ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะได้ปล่อยพวกเขาไป”ว่าแล้วชายชราก็สะบัดมือออกไปหนึ่งที เหล่าเงาที่โดนพลังมหาศาลกว่ากดดันจนไม่สามารถขยับไปไหนได้ตั้งแต่คุณหนูเข้าไปในร้านคลายความกดดันลง
‘พวกเจ้าจงรอนางอย่างสงบเถิดนางเป็นศิษย์ของข้า’ เสียงปรานอันเข้มข้นลอยเข้ามากระทบหูพวกเขาทุกคนจนทำให้พวกเขาถึงกับเข่าอ่อนเลยทีเดียว แค่เสียงปรานก็ทำให้พวกเขาเข่าอ่อนได้คนผู้นี้มิใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา!!! เช่นเดียวกับคนอีกกลุ่มที่ติดตามไป๋เฟิ่งมาอย่างเงียบๆที่ก็โดนพลังปราณและแรงกดดัน
“เอาล่ะมาเริ่มกันเถอะข้ารู้ว่าเจ้ามีเวลาไม่มาก” ชายชราหันมาให้ความสนใจกับคนตรงหน้าต่อ
“เจ้าค่ะ”
“แต่ก่อนจะเริ่มเจ้าจงกราบข้าเป็นอาจารย์เสีย”
“ข้าเยี่ยไป๋เฟิ่งคาราวะท่านอาจารย์เจ้าค่ะ” ไป๋เฟิ่งเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็คุกเข่าให้ชายชราตรงหน้าทันที
“นับตั้งแต่นี้ต่อไปเจ้าคือศิษย์หนึ่งเดียวของข้าอี้มู่ซุนผู้นี้”
“เจ้าค่ะท่านอาจารย์”
“หากมีผู้ใดคิดรังแกเจ้าจงเอ่ยปากบอกคนผู้นั้นเสียว่าเจ้าเป็นศิษย์ของข้า ข้ารับรองว่าจะไม่มีใครหน้าไหนที่จะกล้ารังแกเจ้าแน่นอน”
“ผู้คนเกรงกลัวท่านมากเลยหรือเจ้าคะ?” คำถามพาซื่อของไป๋เฟิ่งทำอี้มู่ซุนที่อารมณ์ดีสะดุดกลางอากาศ
“เพ้ย!!! เจ้ามิรู้หรือว่าอาจารย์ของเจ้ามีชื่อเสียงและเก่งกาจมากเพียงใด” อี้มู่ซุนหยุดชะงักเพราะคำถามจากศิษย์เพียงหนึ่งเดียวหมาดๆของตนดวงตาฝ้าฟางถลึงตามองไป๋เฟิ่งที่ถามราวกับเด็กมิรู้ความ
“ศิษย์ไม่ทราบเจ้าค่ะขออาจารย์ให้อภัยกับความโง่เขลาของศิษย์ด้วย หากอาจารย์พอจะเมตตาบอกศิษย์ให้รับรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของอาจารย์บ้างได้หรือไม่เจ้าคะ”
“หึ!! ได้ข้าจะบอกถึงความยิ่งใหญ่ของข้าผู้เป็นอาจารย์ของเจ้าให้ฟัง” เขามองศิษย์ของเขาด้วยสายตาเอ็นดูปนหมั่นไส้กับความฉลาดในการเจรจาของนาง
จากนั้นอี้มู่ซุนก็ได้เล่าเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับยุทธภพให้นางฟัง ตั้งแต่ที่เขาเริ่มออกเดินทางไปที่ป่าอันเฮยเพื่อตามหาของวิเศษอย่างหนึ่งแล้วได้พบกับตำราวิเศษที่สามารถฝึกวรยุทธได้ถึงขั้นสูงสุด หลังจากที่เขาฝึกจากตำราสำเร็จแล้วจึงได้เดินทางไปทั่วยุทธภพแล้วร่วมงานประลองชิงความเป็นที่หนึ่งเพื่อให้ได้ตำแหน่งจ้าวยุทธพ จนในที่สุดอี้มู่ซุนก็ได้ตำแหน่งมาอย่างง่ายดายเนื่องจากเป็นผู้มีวรยุทธขั้นสูงสุดแต่เก็บงำวรยุทธไว้จนถึงรอบตัดสินกับชายชาวยุทธผู้หนึ่งที่มีวรยุทธขั้นเจ็ด เขาจึงแสดงความสามารถที่แท้จริงออกมาให้ผู้คนได้ประจักษ์จนเป็นที่กล่าวขานไปทั่วทุกแคว้นหลังจากได้ตำแหน่งจ้าวยุทธภพแล้วเขาก็ออกเดินทางทันที
มีคนมากมายตามหาตัวเขาเพราะอยากฝากตัวเป็นศิษย์ตั้งแต่ผู้ฝึกวรยุทธทั่วไปรวมไปจนถึงฮ่องเต้ของแต่ละแคว้นที่ส่งจดหมายเชิญอยากให้สั่งสอนโอรสธิดาตน แต่เขาก็ปฏิเสธด้วยให้เหตุผลที่ว่าเขาจะเลือกศิษย์ด้วยตัวเอง มีครั้งหนึ่งฮ่องเต้องค์ก่อนของแคว้นหลางคิดที่จะบีบบังคับตนให้โดยการจับกุมครอบครัวตนเป็นเครื่องต่อรองทำให้อี้มู่ซุนโกรธจนทำลายวังหลวงและสังหารคนที่กักขังทรมานครอบครัวเขาทุกคน แล้วยังเตือนไปยังทุกคนที่คิดจะบังคับเขาให้รับบุตรธิดาตนเองให้เป็นศิษย์ว่าอย่าได้คิดบังอาจมาบังคับเขาโดยเด็ดขาดจากนั้นมาก็ไม่มีใครคิดฝากตัวเป็นศิษย์เขาอีกเลย
เขานั้นรับรู้ตั้งแต่แรกถึงพลังลมปราณที่แปลกแตกต่างจากบุคคลอื่นทำให้การฝึกช้ากว่าบุคคลธรรมดาหลายเท่าและไป๋เฟิ่งคือบุคคลที่มีพลังลมปราณที่คล้ายคลึงกันแต่ชายชรามีความรู้สึกว่าจะพิเศษกว่าอยู่นิดหน่อย
“เอาล่ะนอกเรื่องมามากแล้วมาเริ่มกันเถอะ” อี้มู่ซุนเอ่ยหลังจากที่เล่าเรื่องราวต่างๆให้ลูกศิษย์ฟัง
“เจ้าค่ะ” ไป๋เฟิ่งขานรับอาจารย์ที่นางพึ่งรู้ว่าเขายิ่งใหญ่ถึงขนาดนี้ ฮ่องเต้แต่ละแคว้นยังต้องออกมาต้อนรับเขาหากเขาไปเยือน อย่างน้อยหากเกิดเหตุอันใดร้ายแรงขึ้นนางก็ยังมีเขาคอยหนุนหลังอยู่ อาจารย์นี่แหละคือไพ่ตายในมือนาง!
“ธาตุหลักของเจ้าเป็นธาตุอะไร” เมื่อยามที่วรยุทธถึงขั้นสี่จะปรากฏธาตุหลักขึ้น แต่ละคนก็จะมีธาตุประจำตัวแตกต่างกันไป ซึ่งธาตุทั้งหมดมีห้าอย่าง ดิน น้ำ ลม ไฟ และอย่างสุดท้ายที่มีน้อยมากคือธาตุมืด และธาตุพิเศษอีกสองอย่างคือธาตุน้ำแข็งและธาตุสายฟ้าอย่างเช่นที่ชินอ๋องของแคว้นจ้าวถือครองอยู่หนึ่งธาตุ ส่วนคนที่มีธาตุมืดจะสามารถใช้ควบคู่กันได้ทุกธาตุถือว่าพิเศษเหนือทุกคนเลยทีเดียว หากให้คนสองคนต่อสู้กันขั้นวรยุทธเท่ากันคนหนึ่งมีธาตุหลักเป็นธาตุลมแต่อีกคนมีธาตุมืดผู้ที่ถือครองธาตุมืดย่อมได้เปรียบกว่าหลายขุมนัก
“ศิษย์ไม่ทราบเจ้าค่ะตั้งแต่ฝึกวรยุทธถึงขั้นสี่ศิษย์ไม่ปรากฏธาตุหลักใดๆเลย”นางเองก็ค่อนข้างจะกังวลกับเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน นางนั้นไม่สามารถสร้างพลังปราณจากธาตุใดๆได้เลย ทำให้นางไม่สามารถฝึกต่อไปได้โดยปกติหากคนที่ปรากฏธาตุหลักแล้วก็จะฝึกฝนธาตุนั้นๆให้แข็งแกร่งขึ้นเพื่อเลื่อนระดับวรยุทธในขั้นถัดไป
“ไม่ปรากฏธาตุหลักหรือเป็นไปได้อย่างไรกัน” ชายชราขมวดคิ้วอย่างสงสัย
“ข้าขอตรวจดูเส้นพลังปราณของเจ้าหน่อยยื่นมือเจ้ามา” อี้มู่ซุนส่งพลังของตนเข้าไปยังร่างกายลูกศิษย์ตนเพื่อตรวจสอบ ไป๋เฟิ่งรับรู้ได้ถึงพลังสายหนึ่งที่พุ่งเข้ามาในร่างกายนางด้วยขั้นวรยุทธและพลังปราณที่สูงกว่าทำให้นางรู้สึกเจ็บปวด บนหน้าผากมนปรากฏเหงื่อผุดขึ้นมาบ้างประปราย
“แปลก” เขาเอ่ยขึ้นมาหลังจากถอนพลังตนออกเส้นพลังปราณของนังหนูนี่ประหลาดมากนักคล้ายจะมีแต่พอตรวจดูกลับไม่พบธาตุใดๆเลยแม้แต่น้อย ในตำราที่เขาเคยอ่านมานับร้อยนับพันเล่มก็มิได้บอกถึงเรื่องนี้ ถึงเขาจะรู้สึกว่าพลังปราณของนางนั้นพิเศษกว่าตนแต่ก็ไม่ทราบว่าพิเศษอย่างไร
“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
“เส้นพลังปราณของเจ้าแปลกมากทีเดียว” คงมีเพียงลูกแก้วตรวจพลังปราณเท่านั้นกระมังถึงจะสามารถบอกถึงธาตุหลักของนางได้
“แล้วศิษย์จะมีธาตุหลักหรือไม่เจ้าคะ” นางถามอย่างกังวลหากไม่สามารถมีธาตุหลักได้ก็ไร้ความหมาย
“ย่อมมีแต่คงต้องใช้วิธีพิเศษหน่อย”
“ทำอย่างไรเจ้าคะ?”
“เจ้าต้องตามข้าไปที่สำนักเพ่ยฉี” ไป๋เฟิ่งได้ฟังแล้วนึกถึงสำนักที่อาจารย์ของนางกล่าว 'สำนักเพ่ยฉี' สำนักผู้ฝึกยุทธอันโด่งดังนั้นน่ะหรือ สำนักเพ่ยฉีเป็นที่ที่มีผู้คนปรารถนาที่จะเข้าไปร่ำเรียนฝึกวรยุทธมากมาย แต่การเข้าไปนั้นไม่ง่ายดายนักการที่จะเข้าไปร่ำเรียนได้จะต้องผ่านการทดสอบของท่านเจ้าสำนัก มีคนมากมายที่ส่งบุตรชายและบุตรสาวไปทดสอบเพื่อหวังว่าจะได้เข้าไปยังที่นั่นเพราะหากเข้าไปได้ก็จะทำชื่อเสียงให้แก่วงศ์ตระกูลและเป็นที่ยอมรับของบุคคลหลายๆกลุ่ม
“เรื่องการฝึกของเจ้าคงต้องเอาไว้ก่อน”
“เจ้าค่ะ” ไป๋เฟิ่งขานรับอย่างว่าง่ายเรื่องสำคัญคือธาตุหลักของนาง
“แล้วเราจะเข้าไปที่นั่นอย่างไรหรือเจ้าคะ”
“เรื่องการเข้าไปที่สำนักเพ่ยฉีเจ้าไม่ต้องเป็นกังวลไปข้าพอจะสนิทสนมกับเจ้าสำนักอยู่ไม่น้อย"
“เจ้าค่ะ”
“วันนี้เจ้าก็กลับไปก่อนก็แล้วกัน ส่วนเรื่องการไปสำนักเพ่ยฉีข้าจะส่งคนไปแจ้งเจ้าภายหลัง”
“ถ้าเช่นนั้นศิษย์ขอตัวก่อนนะเจ้าคะ” ไป๋เฟิ่งค้อมกายบอกลาชายชราและเดินออกมาจากร้านที่มีเสี่ยวจูรออยู่
“ไปกันเถิดเสี่ยวจู”
“เจ้าค่ะคุณหนู”
ไป๋เฟิ่งและสาวใช้คนสนิทรีบเดินกลับไปยังจวนตนด้วยเส้นทางเดิม ผู้คนที่เคยมากมายเมื่อยามมาบัดนี้เหลือเพียงผู้คนบางตาเท่านั้น เดินมาเรื่อยๆนางมีความรู้สึกว่ามีคนสะกดรอยตามนางละเสี่ยวจูมาซักพัก นางจึงบอกเสี่ยวจูให้เร่งฝีเท้ามากขึ้นแต่ก็มีบางอย่างพุ่งมาขวางตรงหน้าอย่างรวดเร็ว
“แม่นางดึกดื่นปานนี้จะไปไหนหรือ? ให้พี่ชายผู้นี้ไปส่งหรือไม่” บุรุษร่างกายใหญ่โตพร้อมพรรคพวกอีกสองคนที่เข้ามาขวางทางเอ่ยด้วยสีหน้ากะลิ้มกะเหลี่ยใส่เยี่ยไป๋เฟิ่งและสาวใช้
“คงมิรบกวน”นางพูดพลางเอี้ยวตัวเพื่อที่จะหลบแล้วเดินผ่านไป แต่ยังมิได้ทันก้าวพ้นตัวทั้งสามคนหนึ่งในนั้นก็ดึงแขนไป๋เฟิ่งเอาไว้
“ให้พี่ชายไปส่งดีกว่านะ”ชายตรงหน้ายิ้มแสยะมองไปทั่วร่างของไป๋เฟิ่งอย่างหยาบโลน
“ปล่อยข้า!!”นางซัดพลังปราณใส่คนที่บังอาจจับแขนนางอย่างแรงจนมันล้มลงไป
“โอ้ยย!! นางมีวรยุทธหรือพวกเจ้าจับนางเอาไว้!!” ชายที่ล้มลงไปตะโกนอย่างโกรธแค้นพร้อมออกคำสั่งกับพรรคพวกที่เหลือ ด้านไป๋เฟิ่งที่ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจเนื่องจากมีกลุ่มเงาคอยให้ความคุ้มครองอยู่ ถึงนางจะมีวรยุทธขั้นสี่แต่นางก็ไม่มีธาตุหลักที่จะใช้ต่อกรกับบุรุษที่มีรูปร่างใหญ่โตถึงสามคนได้เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่กลุ่มเงาจัดการแต่ก็แล้วกัน
ฟึบ!! เฟี้ยวว!!! ตุบ!! ตุบ!! ตุบ!!
ยังไม่ทันที่เหล่าเงาจะออกมาจัดการก็มีคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาจัดการทั้งสามคนเสียก่อน เมื่อจัดการเสร็จคนผู้นั้นก็หันมาโค้งตัวให้นางเล็กน้อย นางคล้ายว่าจะเคยพบคนผู้นี้เมื่อวานมิใช่หรือ? แล้วในขณะที่นางกำลังคิดอยู่นั้นก็มีเสียงเอ่ยขึ้นมาจากทางด้านหลังของนาง
“ไม่คาดคิดว่าดึกดื่นป่านนี้คุณหนูเยี่ยจะออกมาข้างนอกยามค่ำคืน”ไป๋เฟิ่งหันไปเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นหู
“ถวายพระพรชินอ๋องเพคะ” ไป๋เฟิ่งถวายความเคารพแก่ผู้ที่มาใหม่เหตุใดนางถึงบังเอิญเจอเขาบ่อยนักนะ
“อย่าได้มากพิธี”
“ขอบพระทัยที่ทรงช่วยหม่อมฉันไว้เพคะ”ถึงหม่อมฉันจะช่วยตัวเองได้ก็เถอะนางกล่าวต่อในใจ
“คุณหนูเยี่ยออกมาทำอันใดยามค่ำคืนหรือ?” จ้าวเฟยหลงที่ออกมาหาข่าวความเคลื่อนไหวของแคว้นต่างๆสังเกตเห็นนางตั้งแต่เดินปะปนกับผู้คนเมื่อสองชั่วยามก่อน และส่งคนติดตามนางไปแต่ไม่คาดว่าคิดเหล่าคนที่เขาส่งไปจะกลับมารายงานเขาว่าไม่สามารถเข้าไปใกล้ร้านนั้นได้ นับว่าน่าสนใจอยู่ไม่น้อย
“หม่อมฉันรู้สึกอยากกินเซาปิ่งร้อนๆเพคะ”ไป๋เฟิ่งตอบด้วยสีหน้านิ่งๆผู้คนที่ได้ยินถึงกับชะงัก ออกมาซื้อเซาปิ่งยามนี้หรือผู้ใดได้ฟังก็คงทราบว่ามันออกจะดูไม่น่าเชื่อแม้แต่น้อย
“อย่างนั้นหรือ”จ้าวเฟยหลงยกยิ้มในใจทั้งทีใบหน้าเรียบเฉยนางช่างหลบหลีกเก่งนัก จิ้กจอกน้อยหน้ามึนผู้นี้ช่างทำให้เขารู้สึกสนุกกับการเย้าแหย่จนน่าแปลกใจ
“ถ้าเช่นนั้นได้เซาปิ่งหรือไม่เล่า”
“ช่างเสียดายยิ่งนักเพคะ หม่อมฉันออกมาเสียดึกดื่นทำให้ไม่มีร้านใดขายแล้ว” ไป๋เฟิ่งยังคงแต่งเรื่องต่อไปแบบหน้าตาย ถึงเขาจะรู้ว่านางมิได้ออกมาซื้อเซาปิ่งอย่างที่ว่าแต่หากนางไม่ยอมรับเสียอย่างเขาก็คงมิอาจทำอันใดไปมากกว่าซักถาม
“ช่างน่าเสียดาย”เจ้าเฟยหลงหลุดยิ้มมุมอย่างช่วยมิได้กับการตอบแบบหน้ามึนของนาง
“เพคะ” ไป๋เฟิ่งที่เห็นคนตรงหน้าหลุดยิ้มก็อดเม้มปากอย่างขัดใจมิได้ เหตุใดนางจึงชอบประสบพบเจอกับท่านแม่ทัพที่พ่วงตำแห่งชินอ๋องเช่นนี้อยู่เรื่อยและอีกอย่างมิใช่ว่าพระองค์เย็นชายิ้มยากมิใช่หรือ?
“คุณหนูเยี่ยจะกลับจวนเลยหรือไม่”
“คงจะเป็นเช่นนั้นเพคะ”
“ถ้าเช่นนั้นเดี๋ยวข้าจะแวะไปส่งคุณหนูเยี่ยเองแล้วกัน”
“คงมิรบกวนชินอ๋องเพคะ”
“หาได้รบกวนอันใด ข้าเองก็จะกลับจวนแล้วเช่นกันอีกอย่างหากรองแม่ทัพทราบว่าคุณหนูเยี่ยออกมาข้างนอกยามค่ำคืนแล้วได้รับอันตรายคงจะเป็นห่วงไม่น้อยข้าที่เข้ามาพบคงมิอาจนิ่งดูดายได้”
เขากล้าเอาพี่ชายนางมาขู่!
“ถ้าเช่นนั้นก็คงต้องรบกวนชินอ๋องด้วยเพคะ” ด้วยความหงุดหงิดนางจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงประชดประชันไม่น้อยจนลืมคิดว่าอีกฝ่ายเป็นใครที่นางไม่อาจกล่าววาจาเช่นนั้นด้วยได้
“เชิญคุณหนูเยี่ย”
หนึ่งร่างสูงใหญ่หนึ่งร่างบางเดินทอดน่องตามกันไป สาเหตุที่ได้เดินนั้นก็คือจ้าวเฟยหลงมิชอบนั่งรถม้าเนื่องจากคิดว่ามันเชื่องช้าไม่ทันใจซักเท่าใด เวลาเสด็จไปไหนมาไหนมักจะไปตัวเปล่าไม่ก็ขี่ม้าซะส่วนใหญ่ ด้วยวรยุทธอันล้ำเลิศด้วยวิชาตัวเบาทำให้การเดินทางนั้นสะดวกรวดเร็วกว่ารถม้าหลายเท่า
เหล่าองครักษ์เงาต่างแตกตื่นกับท่าทีของนายตนแต่พยายามจะเก็บอาการไม่ให้ท่านแม่ทัพรู้ ไม่เช่นนั้นพวกตนคงต้องถูกลงโทษโทษฐานที่บังอาจมองเจ้านายด้วยสายตาแบบนั้นก็เป็นได้
“ขอบพระทัยชินอ๋องที่มาส่งเพคะหม่อมฉันทูลลา” นางเอ่ยขอบคุณเมื่อมาถึงหน้าจวนแล้วรีบกลับเข้าจวนไปโดยไม่หันมามองผู้ที่มาส่งที่กำลังมีสีหน้าเรียบเฉยแต่แววตารื่นรมแบบที่ไม่ค่อยจะมีให้เห็นบ่อยนัก ขณะที่เดินมาส่งนางมิกล่าวอะไรกับเขาแม้เพียงครึ่งคำหากเป็นสตรีอื่นคงทอดสะพานให้เขามิรู้กี่รอบแล้วต่างจากนางที่เดินห่างเขาราวกับเขาเป็นโจรอันธพาลก็ไม่ปาน
ต่อไปจะพยายามรีไรท์ลงให้ได้อย่างต่ำวันละ 3 ตอนนะคะ จะได้เริ่มเขียนตอนใหม่เร็วๆ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เต๋อเฟยนี่คู่ฝ่าบาทมั้ยหนอ