ตอนที่ 8 : ตอนที่ 8 เปิ่นหวางจะรับผิดชอบเอง
ตอนที่ 8
เปิ่นหวางจะรับผิดชอบเอง
ไป๋เฟิ่งที่เห็นบุรุษตรงหน้าอ้ำๆอึ้งๆก็ไม่ได้กล่าวอะไรเพียงแต่เตรียมหมุนตัวจะกลับไปขึ้นรอพี่ชายบนรถม้า
“ช้าก่อนขอรับคุณหนูเยี่ย”เอ้อหลางที่รีบลงมาจากชั้นบนของโรงเตี๊ยมรีบเอ่ยปากเมื่อเห็นคนที่กำลังจะก้าวขึ้นไปยังรถม้า เขาเคยพบเยี่ยไป๋เฟิ่งมาก่อนเมื่อตอนที่ฮ่องเต้จ้าวหมิงหลงและท่านแม่ทัพเสด็จไปพร้อมท่านรองแม่ทัพที่โรงเตี๊ยมตระกูลเยี่ย จึงทำให้ทราบว่าสตรีที่คลุมหน้าด้วยผ้าสีทึบครึ่งใบหน้านั้นคือใคร
“ท่านแม่ทัพใหญ่ให้ข้าน้อยมาเชิญคุณหนูขึ้นไปด้านบนขอรับ” ไป๋เฟิ่งมองคนมาใหม่อย่างมึนงง ท่านแม่ทัพ ชินอ๋องน่ะหรือ? เหตุใดจึงได้ส่งคนมาเชิญนางกันเล่าหรือคนที่พี่ใหญ่พูดคุยธุระจะเป็นท่านแม่ทัพกัน ไป๋เฟิ่งลอบคิดกับตนเอง
“หากคุณหนูเยี่ยไม่มั่นใจโปรดดูนี่ขอรับ”เอ้อหลางยื่นป้ายหยกประจำตัวของท่านแม่ทัพให้สตรีที่อยู่ตรงหน้าดูทันทีเมื่อเห็นนางเงียบไป
ไป๋เฟิ่งมองป้ายหยกชั้นดีสีนิลที่สลักคำว่า เฟยหลง เอาไว้ อันเป็นที่รู้กันว่าบุคคลที่สามารถห้อยป้ายหยกได้นั้นต้องเป็นเชื้อพระวงศ์เท่านั้น บุคคลทั่วไปตั้งแต่ขุนนางลงไปสามารถห้อยป้ายเงินหรือป้ายทองเท่านั้น ชนชั้นสามัญที่เป็นพ่อค้าไปจนถึงชาวบ้านธรรมดาไม่ได้รับอนุญาตให้ห้อยป้ายใดๆดังนั้นหยกชิ้นนี้ต้องเป็นของจริงอย่างแน่นอน
“ถ้าเช่นนั้นโปรดนำทาง”
“เชิญคุณหนูเยี่ย” เอ้อหลางรีบนำทางไป๋เฟิ่งขึ้นไปด้านบนทันที
“เรียนท่านแม่ทัพคุณหนูเยี่ยมาแล้วพะยะค่ะ” ไป๋เฟิ่งเดินขึ้นมาบนชั้นบนสุดของโรงเตี๊ยมแล้วก้าวเท้าเข้าไปในห้องเมื่อได้รับสัญญาณว่าให้เข้าไปด้านในได้ นางเดินเข้าไปในห้องตรงหน้ามีบุรุษสูงศักดิ์ที่นั่งอยู่ด้านซ้ายมือถัดไปเป็นพี่ชายนาง
“ถวายพระพรชินอ๋องเพคะ”นางย่อกายลงถวายความเคารพบุคคลผู้ซึ่งสูงศักดิ์กว่าทุกคนในห้องนี้
“ไม่ต้องมากพิธีเชิญนั่ง” น้ำเสียงราบเรียบพอๆกับใบหน้าเฉยชากล่าวกับไป๋เฟิ่ง
“ขอบพระทัยเพคะ” เมื่อนางมองหาที่นั่งเพื่อจะนั่งลงปรากฏว่าเก้าอี้ที่เหลืออยู่ดันอยู่ระหว่างจ้าวเฟยหลงกับพี่ชายนาง ซึ่งนางปรารถนาจะนั่งข้างๆพี่ชายนางที่ถัดออกไปหน่อย
“คุณหนูเยี่ยไม่สะดวกใจที่จะนั่งข้างข้าหรือ?” จ้าวเฟยหลงกล่าวกับไป๋เฟิ่งเมื่อเห็นนางมองเก้าอี้ที่อยู่ข้างเขาสลับกับมองไปยังที่ว่างข้างพี่ชายตนแต่ไม่มีเก้าอี้
“หามิได้เพคะเพียงแต่หม่อมฉันเป็นสตรีที่ยังมิออกเรือนหากนั่งใกล้บุรุษใครเห็นเข้าคงมิงาม”นางรีบตอบกลัวว่าบุรุษสูงศักดิ์จะเข้าใจผิดว่านางรังเกียจเขาได้
“ห้องนี้เป็นห้องส่วนตัวมีแค่คนของข้าคุณหนูเยี่ยโปรดวางใจ”
“เพคะ”นางเอ่ยตอบแล้วนั่งลงพร้อมวางห่อผ้าที่มีตำราลงบนตักก่อนจะโดนมองว่าเป็นคนเรื่องมากแต่ประโยคถัดมาจากบุรุษข้างกันทำให้นางที่พึ่งนั่งลงและคนที่ได้ยินถึงกับชะงัก
“หากมีผู้คนพบเห็นแล้วเกิดข่าวลือทำให้คุณหนูเยี่ยเสียหายเปิ่นหวางจะรับผิดชอบเจ้าเองดีหรือไม่?” จ้าวเฟยหลงยามเมื่อแทนตัวเองด้วยถ้อยคำที่ถือตัวนั้นย่อมหมายถึงเขาจริงจังในคำพูดนั้น
ไป๋เฟิ่งเงยหน้ามามองบุรุษสูงศักดิ์ที่กล่าวว่าจะรับผิดชอบตนอย่างง่ายดายราวกับจะซื้อปลาซักตัว ดวงตาหงส์กลมโตเบิกกว้างขึ้นอย่างตระหนกรีบกล่าวเพื่อที่จะปฏิเสธ
“มะ...หม่อมฉัน” นางคิดคำปฏิเสธใดๆไม่ออก หากจะปฏิเสธก็เท่ากับว่าแสดงตัวว่ารังเกียจอีกฝ่ายจนไม่อยากให้รับผิดชอบอาจเกิดความขุ่นข้องหมองใจแล้วส่งผลต่อพี่ชายนางที่เป็นรองแม่ทัพที่กำลังทำงานรับใช้เขาก็เป็นได้ แต่ถ้าตอบรับก็อาจจะทำให้อีกฝ่ายเข้าใจว่านางอยากจะให้เขารับผิดชอบนางเสียจนตัวสั่นตอบอย่างไรก็ไม่ดีทั้งนั้น
จ้าวเฟยหลงมองสตรีที่เขาสนใจตั้งแต่แรกออกอาการทางสีหน้าที่แม้ถูกปิดด้วยผ้าคลุมหน้าก็พอจะดูออกใบหน้าใต้้าคลุมคงกำลังทำหน้าราวกินยาขมที่จะกลืนก็กลืนมิได้จะคายอีกก็มิได้เช่นกัน คิ้วที่ขมวดนั่นแลดูน่าขันยิ่งนัก พบกันครั้งก่อนนางมีสีหน้าดูเหมือนง่วงงุน แต่ก็เฉลียวฉลาด เจ้าเล่ห์อยู่ไม่น้อย นางแลดูไม่เหมือนสตรีนางอื่นที่คอยส่งสายตาให้เขายามได้พบหน้าเพียงมองผ่านแล้วไม่ชายตาแลทั้งเขาและพี่ชายเขาที่เป็นถึงฮ่องเต้ หากประจบเอาใจเสียหน่อยหรือไม่ก็ทอดสะพานให้พี่ชายเขาสักนิดก็คงอาจถูกแต่งตั้งได้เป็นฮองเฮาไม่ยากนัก ทั้งชาติตระกูลที่สูงส่งและความงดงามที่แม้แต่เขาที่มิชมชอบหญิงใดได้ยลใบหน้านางก็ลมหายใจสะดุดขาดห้วงไปจังหวะหนึ่ง
ไป๋เทียนและองครักษ์เงาคนอื่นที่หลบซ่อนอยู่ในบริเวณนั้นถึงกับนิ่งงันกับอากัปกิริยาของผู้เป็นเจ้านายตนผู้ที่ผู้คนกล่าวว่าเขารังเกียจสตรี รวมถึงตัวไป๋เทียนที่ร่วมทัพสงครามกับจ้าวเฟยหลงถึงสี่ปีก็มิเคยเห็นท่านแม่ทัพใหญ่เอ่ยปากกับสตรีนางใดให้มากความมาก่อน แม้กระทั่งเมื่อยามมีสตรีมาให้ความรื่นเริงในค่ายชายแดน สตรีคณิกานางใดที่ไม่ว่าจะงดงามหรือใช้มารยาขนาดไหนท่านแม่ทัพก็หาได้สนใจไม่แล้วอาการราวกับว่าเกี้ยวน้องสาวเขานี่มันหมายความว่าอย่างไร?
จ้าวเฟยหลงปรายตามองไปยังห่อผ้าที่อยู่บนตักร่างบางด้วยสายตานิ่งลึกราวกับจะมองทะลุเข้าไปในห่อผ้านั้นเสียให้ได้ เหตุใดเขาจึงรู้สึกถึงพลังบางอย่างที่อยู่ในห่อผ้านั้นกัน
“เห็นว่าเจ้าจะไปซื้อตำราได้ตำราอะไรมาหรือ” ไป๋เทียนรีบบังอาจเปลี่ยนเรื่องทันที
“ตำราสมุนไพรทั่วไปเจ้าค่ะ”
“เจ้าศึกษาตำราสมุนไพรหรือ?”
“เจ้าค่ะ” ไป๋เฟิ่งเลือกที่จะโกหกออกไปเพราะว่าคงไม่ดีแน่หากใครรู้ แม้แต่นางก็ยังไม่รู้อันใดมากมายยังรู้สึกมึงงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่เหมือนกัน
ไม่นานนักอาหารหลากหลายอย่างหน้าตาน่าทานถูกลำเลียงนำมาขึ้นโต๊ะจนเต็ม ไป๋เฟิ่งมองอาหารน่าตาน่าทานด้วยสายตาระยิบระยับ ด้านจ้าวเฟยหลงที่แอบมองอยู่เมื่อเห็นไป๋เฟิ่งที่มองอาหารสายตาเต็มไปด้วยประกายก็พึงพอใจที่ทำให้สายตาที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองเมื่อครั้งก่อนกลายเป็นเช่นที่เห็น เขารู้สึกขบขันสตรีตรงหน้าไม่น้อยหวงขนมยิ่งกว่าแม่ไก่ฟักไข่เสียอีก
“หวังว่าอาหารของที่นี่จะรสชาติถูกปากคุณหนูเยี่ย”
“เพคะ”
ทั้งสามนั่งทานอาหารไม่นานระหว่างที่ทานอาหารกันก็มีเพียงจ้าวเฟยหลงกับไป๋เทียนที่พูดคุยกันเรื่องต่างๆ มีบ้างที่มีไป๋เฟิ่งในบทสนทนา
เขตชั้นในของป่าอู๋เฮย
“เมื่อไหร่จะครบเสียทีเหนื่อยจนจะตายแล้ว”
หญิงสาวนางหนึ่งกำลังตามเก็บสมุนไพรตามที่ท่านปู่ของตนสั่งตั้งแต่ปลายยามเหม่าจนบัดนี้ดวงตะวันจะตรงศีรษะของนางแล้ว นางก็ยังคงเก็บสมุนไพรยังไม่ครบ นางต้องโดนท่านปู่ของนางลงโทษแน่ๆ ตนและท่านปู่เข้ามายังป่าอู๋เฮยนี้ก็เพราะมาตามสมุนไพรที่เกิดได้เฉพาะที่นี่เท่านั้น ท่านปู่ของนางนั้นนับเป็นหมอยาที่เก่งกาจและเป็นที่ต้องการผู้หนึ่งแต่มิชอบยุ่งเกี่ยวกับใครนัก เหตุใดถึงรู้ว่าท่านปู่ของนางเก่งกาจน่ะหรือเพราะตั้งแต่เล็กจนโตนางติดตามท่านปู่ที่ถูกเชิญโดยผู้คนจากทุกสารทิศที่ป่วยจนคิดว่ามิอาจรักษาให้หายได้ให้ไปทำการรักษาและไม่มีซักรายที่จะไม่หาย ขนาดคนที่เกือบไปแดนปรโลกท่านปู่ของนางนั้นก็รักษาชีวิตเอาวได้
นางเดินหาสมุนไพรไปเรื่อยๆจนเหลืออีกเพียงสองชนิดสุดท้าย ตามที่ท่านปู่ของนางบอกสมุนไพรชนิดนี้มักเกิดในที่ที่มีแหล่งน้ำ เสียงน้ำจากแม่น้ำตรงหน้าเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าอาจจะได้เจอสมุนไพรชนิดที่ว่า นางจึงรีบเดินไปยังต้นเสียงที่ได้ยินเมื่อเดินออกจากเขตป่าชั้นในมาแล้วก็พบร่างของบุรุษผู้หนึ่งนอนไม่ได้สติเกยที่โขดหินริมแม่น้ำที่ติดกับผืนป่าใหญ่ของป่าอู๋เฮยทั่วร่างมีบาดแผลมากมาย นางตกใจแล้วรีบเดินไปที่โขดหินทันที
“เขายังไม่ตายแต่ถ้าปล่อยไว้อย่างนี้ก็ไม่แน่”อวี้หลานใช้มืออังบริเวณจมูกของอีกฝ่ายพบว่าอีกฝ่ายยังมีลมหายใจอยู่ จึงทำการลากร่างของบุรุษตรงหน้าไปยังใต้ต้นไม้แถวนั้นด้วยความทุลักทุเล
“ฮึบ! ตัวหนักจริงเชียว”
“เจ้าอยู่นี่นะเดี๋ยวข้าไปตามท่านปู่มารักษาแข็งใจไว้” อวี้หลานพูดกับร่างไร้สติตรงหน้าแล้วรีบกลับไปยังที่พักของตนและท่านปู่ที่อยู่ไกลนัก
ชายชราที่กำลังยืนตากสมุนไพรอยู่ชายกระท่อมกลางป่าอย่างใจเย็นไม่เร่งรีบตนเข้ามาอาศัยในป่าอู๋เฮยนี้เกือบเดือนมาตามหาสมุนไพรที่มันใกล้จะหมดในคลังยา เดิมทีไม่คิดว่าจะอยู่นานขนาดนี้หากแต่มีพยัคฆ์ทมิฬออกอาละวาดทำให้ออกจากป่านี้ไม่ได้ จึงได้แต่หาที่หลบพยัคฆ์ทมิฬจนกว่ามันจะสงบ
“ท่านปู่! ท่านปู่! ท่านปู่!”เสียงหลานสาวโหวกเหวกโวยวายพร้อมวิ่งตรงมาทางเขาอย่างรีบร้อน
“เอะอะอะไรกันอวี้หลานเสียงดังเช่นนี้มิกลัวสัตว์อสูรแถวนี้ได้ยินหรือ” ชายชราเอ่ยเตือนหลานสาวถึงแม้แถวนี้จะเป็นเขตที่ปลอดภัยจากสัตว์อสูร แต่หากส่งเสียงดังก็อาจทำให้อสูรที่มีประสาทสัมผัสหูที่ดีได้ยินก็เป็นได้
“มีคนบาดเจ็บเจ้าค่ะ มีคนบาดเจ็บ ท่านปู่ช่วยไปดูเขาที” อวี้หลานพูดพร้อมหอบฮึกฮัก
“คนบาดเจ็บหรือ?”
“เจ้าค่ะ บาดแผลเต็มตัวไปหมดเลยนอนไม่ได้สติที่ริมแม่น้ำด้านโน้น”
“เจ้ารีบไปเอาห่อผ้าด้านในแล้วรีบตามข้ามา” ชายชราบอกหลานสาวแล้วรีบใช้วิชาตัวเบาไปยังที่ที่หลานสาวพบคนบาดเจ็บ
“เจ้าค่ะ”
เมื่อมาถึงบริเวณดังกล่าวก็พบร่างของบุรุษผู้หนึ่งที่นอนน่นิ่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่คาดว่าหลานสาวของเขาคงนำร่างของบุรุษผู้นี้มาไว้ที่นี่ เกาจั้งจับชีพจรของบุรุษตรงหน้าดูพบว่าเพียงบาดเจ็บจากบาดแผลเท่านั้นมิได้ถูกพิษก็วางใจไปเปราะหนึ่ง ดวงตาฝ้าฟางพินิจดูใบหน้าของคนไม่ได้สติก็รู้สึกคุ้นเคยอยู่ไม่น้อยแต่นึกไม่ออกว่าเป็นใคร
“ท่านปู่เขาเป็นอย่างไรบ้าง”อวี้หลานที่มาถึงพร้อมห่อผ้าประจำตัวของผู้เป็นปู่เอ่ยถามถึงอาการของบุรุษที่ถูกนางช่วยเอาไว้
“เดี๋ยวค่อยถามเถิดรีบช่วยข้านำเขาไปยังกระท่อมเราก่อนที่แผลจะอักเสบไปมากกว่านี้” เกาจั้งนำยาออกมาจากห่อผ้าตนแล้วจับยัดใส่ปากแล้วกดจุดบังคับให้ร่างตรงหน้ากลืนยาบรรเทาอาการอักเสบของบาดแผล
“เจ้าค่ะท่านปู่” ทั้งสองจึงช่วยกันประคองบุรุษที่บาดเจ็บไปยังกระท่อมที่พักของตน
เก๋งรูปร่างงดงามซึ่งโอบล้อมไปด้วยดอกไม้นานาพรรณที่เจ้าของตำหนักชื่นชอบ อากาศยามบ่ายช่วงแรกเริ่มของฤดูตงเทียนดูจะให้ความรู้สึกเย็นซักหน่อยแต่ก็ไม่อาจทำให้เจ้าของตำหนักที่นั่งอยู่เก๋งกลางสวนสะท้านได้ มือเรียวบางยังคงลงน้ำหนักที่พิณอย่างต่อเนื่องเสียงพิณใสกังวานไปทั่วบริเวณตำหนัก
“พระสนมนางมาแล้วเพคะ”ร่างบางของเจ้าของตำหนักหยุดชะงักไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยตอบนางกำนัลที่เข้ามารายงาน
“ให้นางไปรอข้าในตำหนัก”
“เพคะ”
“หลิงหลิงเจ้าคิดว่าทำอย่างไรดอกเหมยกุ้ยในสวนถึงจะโดดเด่นที่สุด”
“ต้องกำจัดดอกไม้ชนิดอื่นๆออกให้หมดเหลือเพียงดอกเหมยกุ้ยเพคะ”ร่างบางที่ยังคงนั่งอยู่กลางเก๋งยิ้มออกมาทันทีเมื่อนางกำนัลคนสนิทตอบ
“นั่นสินะต้องกำจัดออก หลิงหลิงของข้าชาญฉลาดยิ่ง” นางกวาดสายตาไปทั่วสวนดอกไม้งดงามหลากหลายชนิดแต่มีต้นเหมยกุ้ยเพียงต้นเดียวที่อยู่ท่ามกลางดอกไม้ชนิดอื่นๆ
“ไปกันเถอะ”รางบางลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปในตำหนักตนเอง
“ถวายพระพรพระสนมเพคะ”คนที่มาเข้าเฝ้าตามคำสั่งรีบถวายความเคารพเมื่อเห็นเจ้าของตำหนักเดินเข้ามา
“อืม เป็นอย่างไรบ้าง”
“ฮูหยินรองทำตามที่พระสนมยื่นของเสนอให้เพคะ”
“อย่างนั้นหรือ”
“เพคะ”
“มีผู้ใดสงสัยเจ้าหรือไม่”
“ไม่มีเพคะ ฮูหยินรองบอกแก่คนอื่นๆว่าหม่อมฉันเป็นหลานสาวของบ่าวรับใช้เก่าที่ฮูหยินรองรับเข้ามาให้คอยรับใช้คุณหนูสาม”
“อืม เช่นนั้นก็ให้นางทำตามเดิมระวังอย่าให้ใครสงสัย หากเกิดความผิดพลาดให้เจ้ารีบถอนตัวออกจากที่นั้นเสีย”
“ฮูหยินรองกล่าวว่านางทำตามรับสั่งของพระสนมแล้วขอให้พระสนมทรงทำตามสัญญาด้วยหากทำงานนี้สำเร็จ”
“ฝากไปบอกนางว่าข้าจะทำตามสัญญาแน่นอน”
“เพคะ”
“ไม่มีอันใดแล้วเจ้ารีบกลับไปเสียเถอะ”
“หม่อมฉันทูลลาเพคะ”
“พระสนมจะทรงทำตามที่ทรงกล่าวไว้กับฮูหยินรองผู้นั้นหรือเพคะ”หลิงหลิงเอ่ยถามพระสนมของตนอย่างข้องใจหลังจากคนที่ถูกส่งไปทำหน้าที่ออกจากตำหนักไปแล้ว
“เจ้าคิดว่าข้าจะทำอย่างนั้นหรือ?”นางกล่าวพร้อมยิ้มเหยียด คิดจะใช้นางเป็นบันไดในการไต่เต้าให้บุตรสาวหรือ นางหาใช่คนโง่ไม่คำสัญญานั่นมันก็เป็นเพียงถ้อยคำหลอกล่อเท่านั้นฐานะต่ำต้อยเช่นนั้นหรือจะคาดหวังตำแหน่งเฟยอันสูงส่งช่างเพ้อฝันไม่เจียมตน
“ส่งคนไปจัดการที่ข้าสั่งรึยังหลิงหลิง”
“เรียบร้อยเพคะ”
“อีกไม่นานก็คงจะมีเพียงดอกเหมยกุ้ยในสวนแล้วล่ะ”มือเรียวบางเอื้อมไปหยิบดอกเหมยกุ้ยออกจากแจกันพลางลูบกลีบดอกอย่างทะนุถนอม
จวนเสนาบดี
ไป๋เฟิ่งที่หลังจากตื่นขึ้นมาก็นั่งคิดหาวิธีออกไปพบชายชราอี้มู่ซุนที่เก๋งข้างเรือนของนางจนหัวแทบแตกก็คิดไม่ออกว่าจะออกไปได้อย่างไร เรื่องนี้จะให้ใครรู้ตอนนี้มิได้ไม่เช่นนั้นอาจถูกห้ามโดยเฉพาะบิดาและพี่ชายนาง เรื่องนี้นางกำชับเสี่ยวจูว่ามิให้เอ่ยปากกับผู้ใด
“คุณหนูเจ้าคะ ฮูหยินเรียกให้ไปพบที่เรือนใหญ่เจ้าค่ะ” สาวใช้เรือนฮูหยินใหญ่เดินเข้ามาเอ่ยกับไป๋เฟิ่งที่นั่งอยู่ในเก๋งอย่างนอบน้อม บ่าวรับใช้ทุกคนในจวนถูกคัดเลือกมาเป็นอย่างดีโดยตรงจากอ้ายเหม่ยหลิน หลังจากถูกคัดเลือกแล้วทุกคนต้องผ่านการอบรมกิริยาขั้นต้นโดยอดีตนางกำนัลรับใช้อย่างแม่นมตู้คนสนิทของฮูหยิน
“ท่านแม่เรียกข้าหรือ?” มารดาคงเรียกนางไปคุยเรื่องงานเฉลิมฉลองของวันพรุ่งนี้กระมัง
“เจ้าค่ะ”
เรือนใหญ่
อ้ายเหม่ยหลินกำลังขนเครื่องประดับเก่าแก่ที่นางได้รับมาจากเสด็จแม่และเสด็จย่าของนางเมื่อครั้งนางยังเป็นองค์หญิง เครื่องประดับสองในห้าส่วนที่เป็นสินเดิมถูกขนมาตั้งเรียงรายเต็มห้องกว้าง ตั้งแต่แต่งเข้าเป็นฮูหยินของเยี่ยไป๋เจี้ยนก็ออกงานใหญ่ๆไม่บ่อยนัก มีเพียงงานเลี้ยงภายในวังและงานเลี้ยงตามเทียบเชิญของฮูหยินขุนนางที่สนิทสนมเท่านั้นจึงทำให้เครื่องประดับบางหีบไม่ได้เอาออกมาใช้งาน
“แม่นมตู้ท่านว่าเครื่องประดับชุดไหนเหมาะกับเฟิ่งเอ๋อร์” นางเอ่ยถามความคิดเห็นคนสนิทเมื่อตัดสินใจไม่ได้เสียที เครื่องประดับชุดไหนก็ดูจะเหมาะกับบุตรสาวนางไปเสียหมด
“แล้วคุณหนูใส่ชุดใดหรือเจ้าคะ”ตู้ชิงหลิวหรือแม่นมตู้ที่กำลังช่วยเจ้านายตนเลือกเครื่องประดับให้คุณหนูที่นางช่วยฮูหยินเลี้ยงมากับมือ
“ข้าว่าจะถามความเห็นเฟิ่งเอ๋อร์ให้นางเลือกด้วยตนเองคงจะดีกว่า”
“ถ้าเช่นนั้นฮูหยินรอให้คุณหนูเลือกชุดก่อนแล้วค่อยเลือกเครื่องประดับทีหลังดีหรือไม่เจ้าคะ?”
“ก็ดีเหมือนกัน” อ้ายเหม่ยหลินพยักหน้ามองเครื่องประดับมากมายที่หลายชิ้นที่นางก็ยังไม่เคยได้ใส่ บุตรสาวนางก็ไม่ค่อยชอบใส่เครื่องประดับซักเท่าใดนัก จะมีเพียงปิ่นที่ลวดลายเรียบง่ายชิ้นเดียวและกำไลหยกคู่งามที่นางให้เมื่อวันปักปิ่นเท่านั้นติดกาย
“ฮูหยินคุณหนูมาแล้วเจ้าค่ะ”
“รีบเชิญคุณหนูเข้ามา”
“คาราวะท่านแม่เจ้าค่ะ”ไป๋เฟิ่งเมื่อเข้ามาในห้องก็พบมารดาและแม่นมตู้กำลังเรียงเครื่องประดับมากมาย ความแวววาวของเครื่องประดับมากมายที่วางเรียงกันทำนางแสบตาจนต้องหรี่ตาลงเล็กน้อย
“เฟิ่งเอ๋อร์เจ้ามาแล้วก็ดีมาเลือกชุดและเครื่องประดับที่จะใส่ไปงานเลี้ยงวันพรุ่งนี้เสีย” อ้ายเหม่ยมองใบหน้าของบุตรสาวที่วันนี้มิได้คลุมหน้าอย่างที่เคย แต่ก่อนบุตรสาวนางมิได้สวมผ้าคลุมหน้ายามอยู่จวนแต่หลังจากมีเหตุการณ์ก่อนปักปิ่นที่บ่าวรับใช้ชายที่เข้ามาใหม่ถูกใช้ให้ไปกำจัดงูที่เข้ามายังบริเวณเรือนของบุตรสาวนางแล้วพบใบหน้าของไป๋เฟิ่งที่ยืนอยู่หน้าเรือนถึงกับตกตะลึงกับความงดงามจนไม่เป็นอันทำอะไร ทำให้ต้องได้ไล่ให้ไปทำอย่างอื่นแล้วให้บ่าวชายเก่าแก่คนอื่นมาทำหน้าที่แทน หลังจากนั้นก็มีข่าวเกี่ยวกับบุตรสาวนางมากขึ้นกว่าเดิม
“ข้าไม่ไปได้หรือไม่เจ้าคะ” นางมิอยากต้องไปปั่นหน้าเสแสร้งในงานที่มีแต่คนใส่หน้ากากหน้าเข้าหากันและชอบโอ้อวดตนเองเช่นนั้น อีกอย่างนางก็ไม่รู้จักใครเลย
“เจ้าจะทำอย่างนั้นได้เช่นไรราชโองการจากฝ่าบาททรงให้ครอบครัวของผู้ร่วมกองทัพทุกคนเข้าร่วมงานเจ้าจะขัดราชโองการหรือเฟิ่งเอ๋อร์”
“เปล่าเจ้าค่ะ”นางเอ่ยพร้อมถอนหายใจเล็กน้อยถึงอย่างไรก็ต้องไปสินะ แต่ก่อนจะไปกังวลเรื่องคนในงานควรกังวลกับการหาทางออกไปด้านนอกให้ได้ก่อน ไป๋เฟิ่งจมอยู่กับความคิดของตนเองจนไม่ได้ยินเสียงของมารดาถาม
“เฟิ่งเอ๋อร์เจ้าจะเลือกชุดใดที่จะใส่ไปงานเลี้ยง”
“ไป๋เฟิ่งแม่ถามได้ยินหรือไม่?”เสียงของมารดาทำให้ไป๋เฟิ่งหลุดจากความคิดของตนเอง
“ท่านแม่ว่าอย่างไรนะเจ้าคะ”
“แม่ถามว่าเจ้าว่าจะเลือกชุดใด” อ้ายเหม่ยหลินเหนื่อยใจกับบุตรสาวนางไม่น้อย นอกจากอ่านตำรา ฝึกวรยุทธ และทำอาหารแล้วแล้วบุตรสาวนางแทบจะไม่สนใจความงามเลยซักนิด
ไป๋เฟิ่งมองชุดที่มารดาเอามาให้เลือกชุดฝั่งขวามือนางเป็นชุดสีชมพูอ่อนสลับขาวที่เป็นผ้าสามชิ้น ตัวในสุดเป็นเกาะอกสีชมพูปักลายดอกเหมยด้วยดิ้นเงิน ตัวด้านนอกเป็นสีขาวครึ่งท่อนบนส่วนท่อนล่างเป็นสีชมพูอ่อนไปหาเข้มไล่จากบนลงล่าง ชายประโปรงปักลายดอกเหมยน้อยใหญ่ดูงดงาม ตามด้วยผ้าคลุมสีขาวผืนบางที่ปักลายดอกเหมยอีกเช่นกันด้วยดิ้นทอง
ชุดซ้ายมือเป็นชุดสีขาวที่ลวดลายปักด้วยดอกมู่ตานด้วยดิ้นสีแดงเข้มสลับตัดกับสีขาวของผ้า ตัวชุดเป็นผ้าคาดอกด้านนอกที่ปักดอกมู่ตานเล็กๆไว้ แขนเสื้อยาวปักด้วยลวดลายเถาวัลย์ดูเหมือนราวกับมีชีวิต ชายกระโปรงยาวปักลายนกกระเรียนตัวเล็กน่ารักที่กำลังโบยบินไว้รอบตัวชุดที่มีดิ้นทองปักอยู่
“ลูกเลือกตัวนี้เจ้าค่ะ”นางหยิบชุดสีขาวที่นางคิดว่าเหมาะกับนางให้มารดาดู
“ชุดนี้ไม่เรียบง่ายเกินไปเกินไปหรือ” อ้ายเหม่ยหลินพิจารณาชุดที่บุตรสาวเลือกแล้วเอ่ยขัดขึ้น ตัวนางนั้นอยากให้บุตรสาวใส่ชุดสีชมพูอ่อนลายดอกเหมยมากกว่า
“ข้าชอบชุดนี้เจ้าค่ะ”
“อย่างนั้นก็ตามใจเจ้าเถอะ”นางกล่าวตามใจบุตรสาวถึงชุดนี้จะดูเรียบง่ายไปบ้างแต่ก็ดูงดงามมีความหรูหราซ่อนด้วยการปักดิ้นทองตามชายขอบผ้าเหมาะสมกับบุตรสาวนางอยู่ไม่น้อยหากเลือกเครื่องประดับที่งดงามให้เข้ากับชุดนี้ก็คงโดดเด่นไม่เป็นรองผู้ใด งานใหญ่เช่นนี้นางคาดหวังเล็กๆว่าจะเป็นการเปิดตัวบุตรสาวที่นางภาคภูมิใจ
“มาเลือกเครื่องประดับต่อกันเถอะ”ไป๋เฟิ่งที่กำลังจะขอตัวกลับเรือนเมื่อเลือกชุดเสร็จแล้วก็อดถอนหายใจไม่ได้นางไม่ชอบซะจริง
เลือกเครื่องประดับกับมารดาจนได้อันที่มารดานางคิดว่าเหมาะสมกับชุดจึงได้ขอตัวมารดากลับเรือนพร้อมบอกมารดาว่าจะขอรับอาหารที่เรือนแทนห้องโถงพร้อมทุกคนซึ่งมารดานางก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร
ยามซวี (戌:xū)
ไป๋เฟิ่งที่กำลังเตรียมตัวแอบออกไปข้างนอกเดินลัดเลาะจากเรือนตนมาทางด้านหลังของจวนมาพร้อมกับเสี่ยวจูที่ตอนแรกคัดค้านกับการออกไปพบชายชราที่นัดกันไว้ในครั้งนี้อย่างหนักหน่วงแต่ก็ไม่สำเร็จเพราะไป๋เฟิ่งยื่นคำขาดว่าหากนางไม่ให้ไปนางก็จะออกไปคนเดียว เสี่ยวจูต้องจำใจตามใจนายตนเองอย่างขัดไม่ได้
“คุณหนูไม่มีคนเจ้าค่ะทางนี้”เสี่ยวจูที่เป็นต้นทางรีบบอกเมื่อไม่เห็นใครบริเวณนั้น ทางด้านไป๋เฟิ่งก็รีบเดินจนไปถึงประตูด้านหลังของจวน แต่ก่อนจะออกไปนางก็สัมผัสถึงตัวตนที่ปรากฏขึ้นรอบตัวคงจะเป็นเหล่าเงาที่ท่านพ่อส่งมาดูแลนาง
“พวกเจ้าออกมาเถิดเราต้องพูดคุยกัน” สิ้นเสียงเหล่าเงาทั้งสามคนก็ออกมาคุกเข่าต่อหน้าไปเฟิ่งทันที
“ข้าอยากขอร้องพวกเจ้าว่าอย่าพึ่งบอกท่านพ่อได้หรือไม่ พวกเจ้าสามารถตามข้าไปได้เพียงแต่ห้ามบอกท่านพ่อ”ไป๋เฟิ่งเลือกที่จะขอร้องต่อเหล่าเงาเป็นอันดับแรก
“คงไม่ได้ขอรับพวกข้าต้องรายงานทุกเรื่องแก่นายท่าน” จางฮั่นหัวหน้ากลุ่มเงาเอ่ยกับไป๋เฟิ่ง
“พวกเจ้าตามรับใช้ใครกันแน่ระหว่างข้ากับท่านพ่อ”ไป๋เฟิ่งเริ่มใช้สายตานิ่งเรียบมองไปยังเหล่าเงาตรงหน้า
“เอ่อ... ย่อมเป็นคุณหนูขอรับ”เหล่าเงารู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวคุณหนูของพวกตนเริ่มเปลี่ยนไปจากที่เคยสงบราบเรียบกลายเป็นกดดันขึ้นทั้งๆที่พวกเขาต่างวรยุทธสูงกว่าคนตรงหน้า
“ดี เช่นนั้นก็คงรู้ว่าต้องทำเช่นไรใช่หรือไม่?”
“ขอรับ”เหล่าเงารู้สึกโล่งขึ้นเมื่อบรรยากาศกลับมาเป็นเหมือนเดิม พวกเขาต่างหาคำอธิบายไม่ได้กับสิ่งที่เกิดว่าเหตุใดสตรีในห้องหอผู้หนึ่งที่มีวรยุทธต่ำกว่าพวกเขาถึงสามารถสัมผัสได้ถึงตัวตนและสร้างบรรยากาศกดดันได้ถึงขนาดนี้
“ไปกันเถอะเสี่ยวจู”นางหันไปเอ่ยกับสาวใช้นางที่ยืนฟังอยู่ใกล้ๆแล้วเดินนำออกไป ทางด้านเสี่ยวจูที่โดนบรรยากาศรอบตัวของคุณหนูนางกดดันก็รู้สึกหวั่นๆอยู่ไม่น้อย คุณหนูนางปกติบรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความสงบนิ่งดั่งสายลม ใจดี โอบอ้อมอารีต่อบ่าวไพร่ นางไม่นึกว่าคุณหนูของนางจะมีด้านน่าหวั่นเกรงแบบนี้
เรื่อยๆไปก่อนนะคะ จะรีบรีไรท์และแต่งให้อ่านภายในเร็วๆนี้
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

มีเมียเยอะก็ป่วยหัวเงี้ยพี่เต้