ตอนที่ 7 : ตอนที่ 7 ตำราเก่าแก่
ตอนที่ 7
ตำราเก่าแก่
ไป๋เฟิ่งที่ตื่นนอนก็ลุกขึ้นมาอาบน้ำจัดการตัวเองอย่างอารมณ์ดีวันนี้นางจะได้ออกไปนอกจวน เมื่อวานกว่าพี่ชายนางกลับจวนก็มืดค่ำจึงทำให้ไม่ได้ออกไปแต่นางก็หาได้แง่งอนไม่ เนื่องจากสีหน้าของท่านพ่อและพี่ชายนางดูไม่ค่อยดีนักบรรยากาศตึงเครียดแผ่ปกคลุมไปทั่ว
นางเดินออกจากเรือนพร้อมเสี่ยวจูมุ่งตรงไปหาพี่ชายที่จะพานางไป ระหว่างที่กำลังเดินไปไปหาพี่ชายนางสัมผัสได้ถึงเหล่าเงาที่เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมทำให้นางขมวดคิ้วไม่ชอบใจนัก ไป๋เฟิ่งเป็นคนที่มีประสาทรับสัมผัสเฉียบคมมาตั้งแต่เด็กเพียงมีคนเข้าใกล้รัศมีไม่เกินครึ่งลี้* แม้ว่าคนผู้นั้นจะวรยุทธสูงมากเพียงใดแต่ถ้าหากสัมผัสได้ถึงพลังปราณเพียงน้อยนิดนางก็สามารถรับรู้ได้จึงทำให้นางรู้สึกอึดอัดเวลาที่มีคนมากมายเช่นนี้คอยตามติด
“พี่ใหญ่ข้าพร้อมแล้วเจ้าค่ะ” ไป๋เฟิ่งเอ่ยเมื่อเห็นพี่ชายยืนรอที่หน้าหน้าประตูจวนที่ยังอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเอง
“คาราวะท่านรองแม่ทัพเจ้าค่ะ” เสี่ยวจูเอ่ยคาราวะคุณชายใหญ่ของจวน
ไป๋เทียนที่ยืนคิดเรื่องต่างๆอยู่ก็ชะงักเล็กน้อยก็หันมาตอบน้องสาวตนที่เดินมาพร้อมสาวใช้คนสนิท
“เมื่อเจ้าพร้อมแล้วก็ไปกันเถิดรีบไปรีบกลับ”
“เจ้าค่ะ” ทั้งคู่ขึ้นรถม้าของจวนไปยังตลาดระหว่างที่รถม้ากำลังเคลื่อนตัว ไป๋เฟิ่งลอบมองหน้าพี่ชายตนที่ดูเหมือนมีเรื่องให้ขบคิดตลอดเวลา
“พี่ใหญ่มีเรื่องไม่สบายใจอันใดหรือเจ้าคะ” ไป๋เฟิ่งเอ่ยถามพี่ชายตน
“เจ้ารู้หรือ” ไป๋เทียนมองน้องสาวเขาที่คงมองออกถึงความกังวลที่เขาเป็น
“เกี่ยวกับที่การที่เหล่าเงาเพิ่มขึ้นใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“เจ้ารับรู้ถึงการมีอยู่ของพวกเขาหรือ!!!”เขาถามด้วยความตกใจ เหล่าเงาที่ท่านพ่อส่งมาคุ้มครองท่านแม่กับเฟิ่งเอ๋อร์ถือว่าเป็นผู้มีวรยุทธไม่ต่ำกว่าขั้นหกวิชาพรางตัวล้วนยอดเยี่ยมเหมาะแก่การตามติดบุคคลหรือส่งไปสอดแนมศัตรูหากแต่น้องสาวเขากลับสัมผัสถึงการมีตัวตนของเหล่าเงาได้นับว่าเป็นเรื่องประหลาดไม่น้อยเขาคงต้องหาทางคุยกับท่านพ่อเรื่องนี้
“เจ้าค่ะข้าอึดอัดยิ่งนัก”การที่รับรู้ได้ว่ามีคนคอยจ้องมองนั้นไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีสักเท่าใด
“หากเจ้ารู้แล้วถ้าเช่นนั้นคงไม่อาจปิดปังเจ้าได้” เขาถอนหายใจแล้วเล่าเรื่องราวให้น้องสาวฟังทั้งหมดรวมถึงบางอย่างที่อาจจะเกิดเพื่อเป็นการช่วยกันระมัดระวังมากยิ่งขึ้น
ไป๋เฟิ่งที่นั่งฟังเรื่องราวทั้งหมดก็มึนงงเล็กน้อยเหตุใดเรื่องราวถึงได้วุ่นวายยิ่งนัก นางอยากอยู่อย่างสงบไม่ได้หรืใบหน้างามสีหน้าออกยุ่งเหยิงเช่นนี้นางต้องทนอึดอัดเพื่อความสบายใจของทุกคนไปสักพัก
ด้านไป๋เทียนที่เล่าเรื่องให้น้องสาวฟังก็รู้สึกดีขึ้นเพราะตนเองก็ไม่รู้ว่าจะปิดน้องไปได้แค่ไหนไป๋เฟิ่งถึงแม้จะดูเอื่อยเฉื่อยไปบ้างแต่นางเฉลียวฉลาดไม่แพ้ผู้ใด รถม้าของทั้งสองคนวิ่งผ่านยังตลาดที่มีผู้คนออกมาจับจ่ายซื้อของกันอย่างเนืองแน่น ไป๋เฟิ่งมองออกไปยังด้านนอกรถม้าเห็นของข้าวของมากมายท่าทีเฉยชาก็เปลี่ยนเป็นกระตือรือร้นขึ้น นานทีนางจะได้มีโอกาสออกมาก็ต้องกอบโกยแล้วยิ่งมีพี่ชายมาด้วยงานนี้ไม่ต้องเสียสักตำลึงเลยก็ว่าได้เหตุใดนางจะไม่ยินดีเล่า
“เจ้าจะแวะที่ใดก่อนหรือไม่เฟิ่งเอ๋อร์”
“ไม่เจ้าค่ะข้าจะไปร้านฟู้หยวนแล้วจะไปหาตำราใหม่ๆที่ร้านแถวนั้นซักหน่อย”นางเอ่ยถึงร้านขนมชื่อดังที่เมื่อครั้งก่อนอดได้ชิมเพราะมีคนชิงกินของนางไปก่อนเมื่อคิดถึงหน้าของคนที่ได้กินขนมของนางไปก็อดรู้สึกขัดเคืองในใจไม่ได้ถึงแม้ว่าจะไม่ใ่เรื่องใหญ่อันใดก็ตาม
“เป็นเช่นนั้นข้าจะไปทำธุระแถวนี้ซักหน่อยหากเจ้าซื้อของเสร็จแล้วมารอที่รถม้าที่หน้าโรงเตี๊ยมเผิงหยู”เยี่ยไป๋เทียนกล่าวกับน้องสาวเมื่อลงมาจากรถม้า
“เจ้าค่ะ”
“เสี่ยวจูดูแลนายเจ้าให้ดี”เยี่ยไป๋เทียนกำชับสาวใช้ตัวน้อยของน้องสาวก่อนจะเดินจากไปอย่างไม่ห่วงมากนักเพราะมีเหล่าเงาคอยคุ้มครองอยู่
เยี่ยไป๋เฟิ่งรอเสี่ยวจูไปซื้อขนมมาให้นางเช่นคราวก่อน ส่วนนางก็ไปรอที่ใต้ต้นไม้ต้นเดิมชาวบ้านที่มาผ่านไปมาแถวนั้นก็เหลือบมองสตรีที่ยืนพิงต้นไม้ดั่งเช่นคราวก่อนอย่างเคลิบเคลิ้มแต่ก็ไม่กล้ามีใครไปรบกวน เมื่อได้ขนมมาแล้วใบหน้านิ่งเฉยก็ขยับแย้มยิ้มใต้้าคลุมอย่างสุขใจ
นางและเสี่ยวจูเดินเรื่อยๆอย่างไม่รีบเร่งไปยังร้านขายตำราที่อยู่ไม่ไกลจากร้านขนมมาก ร้านตำราที่อยู่ละแวกนี้มีเพียงร้านสองร้านแต่ก็คงมีหนังสือที่นางต้องการบ้างล่ะนะเยี่ยไป๋เฟิ่งเดินมาเรื่อยๆก็เจอหน้าร้านขายตำราที่อยู่ตรงมุมถนน
“มีร้านตำราอยู่ตรงนี้ด้วยหรือ?” นางพึมพำกับตนเองเท่าที่นางทราบแถวนี้มีร้านขายตำราเพียงสองสามร้านเท่านั้น ร้านตรงหน้าเป็นร้านที่ดูเก่าซอมซ่อเล็กๆ มีชั้นวางหนังสืออยู่ไม่กี่แถวไม่พบคนในร้านแม้แต่คนเดียวนางกวาดสายตามองด้วยความแปลกใจ
“คุณหนูเจ้าคะร้านนี้ดูน่ากลัวยิ่งนักไปร้านอื่นเถิดเจ้าค่ะ” เสี่ยวจูบอกคุณหนูของตนพร้อมมองไปบริเวณรอบๆร้าน
“คุณหนูผู้นี้ต้องการตำราแบบใดหรือ?”เสียงเย็นเอ่ยขึ้นพร้อมกับเจ้าของเสียงที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบ
ทั้งไป๋เฟิ่งและเสี่ยวจูสะดุ้งเฮือก หันกลับมามองทางด้านหลังตนแล้วพบชายชราผู้หนึ่งที่มีใบหน้าราบเรียบ ท่าทางนิ่งสงบมองมายังไป๋เฟิ่ง นางรู้สึกขนลุกอย่างไม่รู้สาเหตุกับสายตาที่ชายชรามองมายังที่ตน อีกอย่างคือนางไม่สามารถสัมผัสได้ถึงการมีตัวตนของชายชราผู้นี้จนกระทั้งเขาปรากฏตัว
“ข้าเพียงเดินผ่านมาเจ้าค่ะไม่ทราบว่าตรงนี้มีร้านขายตำราอยู่”
“ร้านข้านั้นออกจะซอมซ่อไปบ้างจึงไม่ค่อยมีคนอยากเข้ามานักเหมือนร้านใหญ่ๆทั่วไป” ชายชราตอบอย่างสบายๆไม่มีท่าทีเดือดร้อนกับการที่ไม่มีคนเข้าร้าน
“แล้วท่านต้องการตำราแบบใดหรือร้านข้ามีตำราทุกแบบที่ท่านต้องการอย่างแน่นอน”ชายชรากล่าวอย่างโอ้อวด
“ทุกแบบหรือเจ้าคะ”
“แน่นอนขอเพียงเจ้าเอ่ยมา”
“ข้าต้องการตำราฝึกลมปราณเจ้าค่ะ”ทันทีที่ไป๋เฟิ่งเอ่ยขึ้นทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ นางคิดว่าชายชราคงไม่มีหนังสือเล่มที่กล่าวอย่างแน่นอนเพราะตำราฝึกลมปราณเป็นของหายากยิ่งมักมีเฉพาะที่ใช้สืบทอดต่อของตระกูลของผู้ฝึกยุทธซึ่งส่วนใหญ่เป็นความลับ หากจะมีหลุดมาขายก็คงราคาสูงมากบางทีถึงกับต้องเปิดประมูลกันเลยทีเดียวร้านเล็กๆแห่งนี้คงไม่มีมัน
“ย่อมมีตำราอย่างที่เจ้าต้องการ” ชายชราเผยรอยยิ้มออกมามองไปยังสตรีน้อยตรงหน้าที่นิ่งงันไปเมื่อเขากล่าวจบ จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในร้านครู่หนึ่งแล้วกลับมาพร้อมตำราที่สตรีน้อยต้องการ
“นี่คือตำราที่เจ้าต้องการ”
ไป๋เฟิ่งเหม่อลอยไปชั่วขณะพร้อมเอื้อมมือไปรับตำราที่อยู่ในมือชายชรามาถือไว้
“เจ้าสามารถเปิดดูได้หากไม่มั่นใจ”
นางมองหน้าชายชราที่ยังคงยิ้มเล็กน้อยก่อนจะก้มลงมองหนังสือที่มือของตน หนังสือที่มือตนนั้นเผยกลิ่นอายเก่าแก่ลึกลับออกมา เมื่อนางสัมผัสกับปกหนังสือนางรู้สึกเหมือนลมปราณของนางถูกดูดไปเล็กน้อยจู่ๆหนังสือตรงหน้าก็เปล่งแสงสว่างวูบหนึ่งก่อนแล้วเปิดออกเอง
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นตกอยู่ในสายตาของชายชราเขายิ้มกว้างทันทีเมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ เขาหาเจอแล้ว!! ถือว่าสวรรค์ยังไม่ทอดทิ้งให้ทุกสิ่งที่เขาสั่งสมมาสูญเปล่า!!
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ในที่สุดข้าก็มีศิษย์กับเขาเสียที”
“หมายความว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ?” ไป๋เฟิ่งที่มีสีหน้างุนงงถามชายชราหัวเราะมิหยุดจนเหมือนคนสติฟั่นเฟือนไปแล้ว
“เจ้ามีนามว่าอันใด” อี้มู่ซุนหยุดหัวเราะแล้วเอ่ยถามสตรีที่ดูผ่านคลุมหน้าแล้วน่าจะงดงามไม่น้อยอย่างกระตือรือร้น สีหน้าที่นิ่งอยู่เป็นนิจตั้งแต่แรกหายไปกลายเป็นสีหน้าที่ยิ้มแย้มแววตาระยิบระยับ
“ข้ามีนามว่าเยี่ยไป๋เฟิ่งเจ้าค่ะ” นางตอบในขณะที่ยังมึนงงกับเหตุการณ์ตรงหน้าจู่ๆชายชราที่เคยมีสายตาที่ชวนขนลุกกลับกลายเป็นแววตาวาววับอย่างคนที่เจอของถูกใจ
“ไป๋เฟิ่ง หงส์ขาวอย่างนั้นหรือเป็นชื่อที่ดี”
“ตำราเล่มนี้ข้ามอบให้เจ้า”
“ข้าคงมิอาจรับไว้ได้หรอกเจ้าค่ะตำราเล่มนี้คงมิเหมาะกับข้า” นางเป็นเพียงผู้มีวรยุทธขั้นสี่ดูจากตำราแล้วคงเป็นตำราสำหรับผู้มีวรยุทธขั้นสูงเป็นแน่ กลิ่นอายอันเก่าแก่รวมถึงพลังบางอย่างที่ตำราแผ่ออกมาคงมิใช่สามัญ หากนำไปฝึกพลังที่สถิตในตำราอาจสะท้อนกลับโจมตีผู้ฝึกก็เป็นได้ถึงนางจะอยากฝึกลมปราณให้วรยุทธก้าวหน้าแต่ก็ต้องประมาณตนในสิ่งที่ไม่ควรฝืน
“แม้ว่าตำราเป็นผู้เลือกเจ้าอย่างนั้นหรือ”
“ตำราเป็นผู้เลือกข้าหรือเจ้าคะ”
“ใช่ตำราเล่มนี้มันจะเป็นผู้เลือกผู้ฝึกฝนด้วยตนเอง” อี้มู่ซุนมองสตรีน้อยที่ตำราเป็นผู้เลือกด้วยความสนใจ ตำรานี้เคยถูกคนมาแย่งชิงมากมายนับไม่ถ้วนแต่ก็มิมีใครเคยได้ไป หากผู้อื่นได้ไปก็คงไม่สามารถทำอันใดได้อยู่ดีเพราะตำรามันจะดูดลมปราณของผู้ที่มันเลือกเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของตำรา ผู้ที่ถูกเลือกจะถูกสลักชื่อของผู้ครอบครองไว้มีเพียงผู้ที่เคยถูกตำราเลือกเท่านั้นถึงจะสามารถเปิดอ่านได้ อย่างเช่นตัวเขาที่ตำราเป็นผู้เลือกเมื่อครั้งหลายสิบปีก่อนในครั้งที่เขาเดินทางเข้าไปในป่าอันเฮยแหล่งรวบรวมของวิเศษและล้ำค่ามากมายสำหรับผู้ฝึกยุทธ
ตัวเขานั้นถือเป็นผู้อยู่บนจุดสูงสุดของผู้ฝึกยุทธหลังจากที่ฝึกวรยุทธจากตำราเสร็จก็ออกท่องเที่ยวไปทั่วยุทธภพจนโด่งดัง ก่อนที่ตำราจะแสดงเจตจำนงว่าพบเจอบุคคลที่สืบทอด เขาเดินทางมายังแคว้นจ้าวเนื่องจากพลังบางอย่างในตำราชักจูงมาเขาไปๆมาๆแคว้นจ้าวมาเกือบสิบปี จนเริ่มถอดใจค้นหาผู้สืบทอดแต่ไม่คิดไม่ฝันว่าสิ่งที่เขาเฝ้ารอมันจะเป็นจริงสักที
ไป๋เฟิ่งมองชายชราและตำราในมือตนสลับกัน ตำราเป็นผู้เลือกนางหรือ? นางเริ่มสังเกตการเปลี่ยนแปลงที่ไม่รู้ว่าเกิดตั้งแต่ตอนไหน ชื่อของนางถูกสลักไว้ที่มุมล่างสุดของตำราเล่มนี้ หากเป็นลิขิตสวรรค์ที่นางเลี่ยงไม่ได้นางก็คงต้องทำตามแม้ว่าใจนางมิได้ชอบความวุ่นวายแต่เมื่อ ณ ตอนนี้ชีวิตของครอบครัวนางแขวนอยู่บนเส้นด้ายนางย่อมต้องแข็งแกร่งเพื่อปกป้องครอบครัวของตน
ด้านไป๋เทียนที่กำลังจะตรงไปที่ร้านตีอาวุธเพื่อสั่งตีดาบเล่มใหม่เหตุจากดาบเล่มเก่าที่ใช้บิ่นจากการต่อสู้ในสงครามแต่ยังไม่ทันได้ไปถึงไหนก็มีคนมาขวางทางเสียก่อน
“ขออภัยท่านรองแม่ทัพขอรับ” เสียงบุรุษผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวที่ด้านหน้าของไป๋เทียน
“เอ้อหลางมีอันใดหรือ” ไป๋เทียนมองหน้าคนตรงหน้าที่เป็นองครักษ์คนสนิทของท่านแม่ทัพใหญ่ที่โผล่มาขวางเขาเอาไว้
“ท่านแม่ทัพเชิญท่านไปพบที่ชั้นบนของโรงเตี๊ยมเผิงหยูขอรับ” ท่านแม่ทัพเรียกพบหรือสงสัยมีเรื่องด่วนถึงขั้นส่งคนสนิทมาแบบนี้
“ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
จ้าวเฟยหลงที่นั่งทอดมองออกไปยังนอกหน้าต่างหลังจากที่ได้รับสารจากคนของเขาที่อยู่ในแคว้นอ้าย ข้อความที่ได้รับมีประโยชน์อยู่ไม่น้อยแถมจับกลุ่มนักฆ่าที่ถูกส่งไปสังหารอ้ายหยางหลงที่ป่าอู๋เฮยได้ที่เหลือคือการตามหาอ้ายหยางหลงเพียงอย่างเดียว ตราบใดที่ไม่พบศพคนย่อมถือว่ายังไม่ตาย
“ท่านรองแม่ทัพมาแล้วพะยะค่ะ”
“ให้เข้ามา”
“ถวายพระพรท่านแม่ทัพพะยะค่ะ”
“ลุกขึ้น”จ้าวเฟยหลงมองรองแม่ทัพของตนที่ถวายความเคารพตน
“ท่านแม่ทัพเรียกกระหม่อมมามีงานอันใดให้ทำหรือพะยะค่ะ”
“ข้าเพียงเห็นรถม้าจวนเจ้าแล้วพอดีกับได้ข่าวบางอย่างมาจากแคว้นอ้ายคิดว่าเจ้าควรรู้” และนึกอยากเจอใบหน้าของใครบางคน จ้าวเฟยหลงไม่ได้พูดประโยชน์สุดท้ายเพียงแต่ยื่นกระดาษแผ่นเล็กที่ได้รับมาให้อีกฝ่ายดู
ไป๋เทียนเมื่ออ่านสารจบก็อดถอนหายใจไม่ได้เป็นกลุ่มคนที่ท่านพ่อคาดไว้นอกจากคนกลุ่มนี้ก็ไม่น่าจะเป็นใครอื่นได้อีก
“คนของข้าเข้าไปถึงป่าอู๋เฮยแล้วอีกไม่นานคงได้ข่าวของอ้ายหยางหลง” ไป๋เทียนพยักหน้าให้กับท่านแม่ทัพเพื่อรับทราบ เขาหวังว่าจะพบรัชทายาทแคว้นอ้ายโดยเร็วก่อนที่ครอบครัวของเขาจะตกอยู่ในอันตรายไปมากกว่านี้
ร้านตำรา
“ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าก็ขอรับไว้เจ้าค่ะ” ไป๋เฟิ่งที่ฟังเรื่องตำราจากชายชราที่พึ่งเอ่ยแนะนำตัวว่าชื่อ ‘อี้มู่ซุน’ ซึ่งนางก็เหมือนเคยได้ยินชื่อนี้มานานแต่ก็นึกไม่ออกว่าได้ยินมาจากที่ใดซักแห่ง
“ดี ดี ดี วันรุ่งขึ้นเจ้ามาหาข้าที่นี่ยามซวี (戌:xū)” อี้มู่ซุนพยักหน้ารัวอย่างพอใจ
“เจ้าค่ะถ้าเช่นนั้นข้าขอตัวก่อน” เมื่อพูดคุยทำความเข้าใจกันเสร็จไป๋เฟิ่งเก็บตำราใส่ห่อผ้าแล้วก็ขอตัวออกจากร้านไปเมื่อคิดว่าผ่านเกือบครึ่งชั่วยามแล้ว ทันทีที่นางกับเสี่ยวจูที่ยังคงเงียบคงเพราะตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นเดินออกจากบริเวณร้านเหล่าเงาก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าทันที
“คุณหนูมิเป็นอันใดใช่ไหมขอรับ?!!!!!” หัวหน้ากลุ่มเงาเอ่ยเอ่ยถามอย่างร้อนรนเนื่องจากพวกเขาไม่สามารถฝ่าเข้าไปใกล้บริเวณร้านตำราได้ตั้งแต่นางเดินเข้าร้านไปเพราะมีพลังบางอย่างที่สกัดกั้นพวกเขาเอาไว้ทำให้พวกเขากระวนกระวายวิตกกังวลจนเกือบจะไปแจ้งท่านรองแม่ทัพแล้ว
“ข้ามิเป็นอันใดพวกเจ้าทำไมทำราวกับว่าข้าจะเป็นอันใดไปได้” ไป๋เฟิ่งถามอย่างงุนงงตัวนางไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่นางเดินเข้าไปในร้าน
“ขอรับ” พูดจบก็ใช้วิชาพลางตัวหายไปอย่างรวดเร็ว จนไป๋เฟิ่งที่มองอย่างงุนงงกลายเป็นตาวาวด้วยนางอยากฝึกให้หายตัวไปได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้บ้าง นางเดินกลับมารอพี่ชายที่รถม้าหน้าโรงเตี๊ยมเผิงหยูที่อยู่เยื้องร้านขนมที่นางพึ่งซื้อไปเมื่อครู่ยังไม่ทันจะขึ้นไปรอในรถม้าก็มีเสียงจากด้านหลังเรียกให้นางหันกลับไปมอง
“ช้าก่อนขอรับคุณหนู” เงาคนหนึ่งที่ได้รับหน้าที่มาเฝ้ารอเยี่ยไป๋เฟิ่งรีบเอ่ยเมื่อเห็นคนที่รอมาถึงหน้าโรงเตี๊ยม
“เรียกข้ามีอันใดหรือ?” ไป๋เฟิ่งมองคนตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจ
“ท่านรองแม่ทัพฝากมาเรียนคุณหนูว่าเชิญขึ้นไปรอด้านบนของโรงเตี๊ยมก่อนขอรับท่านรองแม่ทัพพูดคุยธุระสำคัญอยู่คงใช้เวลาสักพัก”
“พี่ใหญ่หรือ”
“ขอรับ”
“เจ้ามีสิ่งใดมายืนยันว่าพี่ใหญ่เรียกข้าขึ้นไปรอที่ด้านบน” นางกล่าวแล้วมองคนตรงหน้าด้วยสายตาราบเรียบหารู้ไม่ว่าคนที่ถูกจ้องมองด้วยสายตานั้นรู้สึกราวโดนอะไรบางอย่างกดดันจนแทบเหงื่อตก
“เออ.....” เงาที่ถูกให้เฝ้ารอเยี่ยไป๋เฟิ่งถึงกับตะกุกตะกักไม่รู้ว่าจะหาอะไรมายืนยันดีจึงได้ส่งสายตาให้เงาอีกคนที่อยู่ใกล้รีบไปรายงานท่านรองแม่ทัพ
“ขออภัยท่านแม่ทัพคนของท่านรองแม่ทัพมาขอพบรองแม่ทัพด่วนพะยะค่ะ” คนของจ้าวเฟยหลงแจ้งเมื่อมีคนมาขอเข้าพบด่วน
ไป๋เทียนที่กำลังพูดคุยอยู่กับท่านแม่ทัพหันไปมองยังคนที่รออยู่ด้านนอก
“ให้เข้ามา”
“ขออภัยที่ขัดจังหวะพะยะค่ะ” จ้าวเฟยหลงโบกมือให้คนของอีกฝ่ายว่าไม่เป็นไรที่เดินเข้ามาดูท่าทางรีบร้อนจริงๆ
“ท่านรองแม่ทัพขอรับ คุณหนูมิยอมขึ้นมาเพราะไม่มีหลักฐานยืนยันขอรับ” หลี่ถงเมื่อได้รับอนุญาตจากท่านแม่ทัพจึงตรงเข้ามากระซิบที่หูของนายตน
“นางว่าอย่างนั้นหรือ”
“มีอันใด”จ้าวเฟยหลงที่ได้ยินทั้งคู่กระซิบกระซาบกันเอ่ยถามเมื่อได้ยินว่ามีใครบางคนอยู่ด้านล่าง
“เออ...น้องสาวกระหม่อมมิยินยอมขึ้นมารอที่ด้านบนเนื่องจากคนที่ข้าฝากไปบอกนางไม่มีสิ่งใดยืนยันพะยะค่ะ” เขามีสีหน้าปั้นยากเมื่อกล่าวจบ
“เอ้อหลางลงไปเชิญคุณหนูเยี่ยขึ้นมาชั้นบนบอกว่าท่านแม่ทัพใหญ่จ้าวเฟยหลงเชิญขึ้นมาหากนางไม่เชื่อก็ให้ดูสิ่งนี้เสีย”จ้าวเฟยหลงเอ่ยพร้อมปลดป้ายหยกประจำตัวที่ข้างเอวให้กับองครักษ์คนสนิทอย่างไม่สนใจสีหน้าที่กำลังตกตะลึงกับคำสั่งที่ได้รับ
“พะ พะ พะยะค่ะ” เอ้อหลางรับหยกประจำตัวจ้าวเฟยหลงมาด้วยมือที่สั่นเทาพร้อมรีบลงไปด้านล่างท่านที
“จะไม่เป็นการรบกวนพระองค์หรือพะยะค่ะ” ไป๋เทียนที่พึ่งหาเสียงตัวเองเจอหลังจากตกตะลึงไปพร้อมๆกับเอ้อหลางองครักษ์คนสนิทของท่านแม่ทัพกล่าวถามจ้าวเฟยหลง
“ไม่เป็นไร เจ้ากับข้าก็คุยเรื่องสำคัญหมดแล้ว”
“ขอบพระทัยพะยะค่ะ” ไป๋เทียนรับคำอย่างมึนงง ท่านแม่ทัพมิใช่คนจะเอ่ยอะไรให้มากความ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เอาใจช่วยน้าา
สู้ไปจร้า
สนุกดีค่ะ รอตอนต่อไปค่ะ
เพิ่งเจอเข้ามาอ่านแล้วสนุกยิ้มตามเลย