ตอนที่ 5 : ตอนที่ 5 ยาพิษ
ตอนที่ 5
ยาพิษ
ณ ห้องทรงพระอักษร วังหลวง
“เผ่าเลอมั่วมีท่าทีอย่างไร” จ้าวหมิงหลงถามทันทีเมื่อผู้ที่พระองค์เรียกตัวมาเข้าเฝ้าครบทุกคน
“เลอมั่วกู่ผู้นำของเผ่าเลอมั่วยอมเป็นเมืองหน้าด่านของเราพะยะค่ะอีกสองเดือนจะนำเครื่องบรรณาการละสารสัญญามาถวาย” จ้าวเฟยหลงเอ่ยอย่างเป็นทางการเมื่อถวายรายงานร่วมกับแม่ทัพประจำแต่ละทิศซึ่งได้แก่ หลี่เว่ยฉางแม่ทัพประจำทิศอุดร ตงชิงหลางแม่ทัพประจำทิศทักษิณ อู๋ป๋าไห่แม่ทัพประจำทิศบูรพาและไป๋จิ่งหลิวแม่ทัพประจำทิศประจิมซึ่งเป็นเมืองที่ติดชายแดน
“ทางแคว้นหลางปกติดีพะยะค่ะ”แม่ทัพประจำทิศอุดรหลี่เว่ยฉางกล่าว
“ส่วนทางแคว้นอ้ายก็มีการแลกเปลี่ยนสินค้าบางส่วนที่ทางเราและทางแคว้นอ้ายต้องการพะยะค่ะ”แม่ทัพประจำทิศทักษิณ ตงชิงหลางเอ่ยรายงาน
“แคว้นเย่วส่งสารมาถวายแก่ฝ่าบาทพะยะค่ะ” อู่ป๋าไห่แม่ทัพประจำทิศบูรพายื่นสารที่ทางแคว้นเย่วส่งมายังเมืองกู่ฮั่นที่เขาประจำอยู่
จ้าวหมิงหลงหยิบสารขึ้นมาอ่านพออ่านจบก็สีหน้าเปลี่ยนไปชั่วครู่แล้วเก็บสารนั้นไว้
“ฝ่าบาทนางกำนัลจากตำหนักหม่าเต๋อเฟยขอเข้าเฝ้าพะยะค่ะ”เสียงขันทีซ่งหน้าห้องเอ่ยขึ้น
“มีอันใดไม่ทราบหรือว่าข้าหารือราชการอยู่”จ้าวหมิงหลงเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนัก
“แจ้งว่าเป็นเรื่องด่วน”
“พวกท่านกลับไปเขียนรายงานรายละเอียดทั้งหมดมาให้ข้า” จ้าวหมิงหลงเอ่ยให้ทั้งหมดกลับไปก่อนเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรแล้ว
“ทูลลาพะยะค่ะ” ทั้งหมดกล่าวทูลลาแล้วออกจากห้องไป
“เข้ามา”
“ถวายพระพรเพคะฝ่าบาท” นางกำนัลรีบเข้ามาถวายความเคารพ
“มีเรื่องด่วนอะไร”
“เต๋อเฟยทรงเป็นลมหมดสติเพคะ” นางกำนัลรีบกล่าวอย่างรวดเร็ว
“เป็นลมหมดสติแล้วทำไมไม่ตามหมอหลวงเหตุใดจึงมาแจ้งข้า? ” จ้าวหมิหลงกล่าวด้วยความสงสัย ถึงแม้จะเป็นสนมคนโปรดแต่เรื่องเล็กน้อยถึงเพียงนี้จะต้องมาแจ้งพระองค์เชียวหรือ? อีกอย่างนายของคนที่มาแจ้งไม่น่าจะเป็นผู้สั่งให้คนของตนมาถ้าไม่ใช่เรื่องอะไรร้ายแรงจริงๆ พระองค์ค่อนข้างรู้จักสนมของตนเองดีทีเดียว
“หมอหลวงทั้งหมดอยู่ที่ตำหนักเฉินกุ้ยเฟยเพคะ” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงอดกลั้น เหนียงเหนี่ยงของนางเป็นลมหมดสติทันทีที่เกิดเรื่องตนก็ให้คนรีบไปแจ้งเรื่องที่สำนักหมอหลวงกลับได้รับคำตอบมาว่าหมอหลวงทั้งหมดได้รับคำสั่งให้ไปตรวจอาการของเฉินกุ้ยเฟย หากไม่ใช่การกลั่นแกล้งแล้วจะเป็นอะไรได้
“ทั้งหมดเลยหรือ?”
“เพคะ”
“เอาเถอะเดี๋ยวข้าจัดการเองเจ้ากลับไปรอที่ตำหนักเถอะ” จ้าวหมิงหลงถอนหายใจบรรดาสนมของพระองค์วันๆสร้างแต่เรื่องให้ปวดหัวเรียกร้องความสนใจอยากให้พระองค์โปรดปราน
“ขันทีซ่งไปบอกหมอหลวงจูว่าข้าให้ไปตรวจอาการที่ตำหนักเต๋อเฟย”
“พะยะค่ะฝ่าบาท / ขอพระทัยเพคะฝ่าบาท”ขันทีซ่งและนางกำนัลที่มาแจ้งเรื่องรับคำสั่งและออกไปทันที
บริเวณตำหนักใหญ่ที่มีบรรดาดอกไม้สีสวยงดงามมากมาย ที่ผู้เป็นใหญ่ของคนทั้งแคว้นสั่งปลูกตามคำร้องขอของเจ้าของตำหนัก ตัวตำหนักทำด้วยไม้ซ่งชู่*ไม้มงคลที่สามารถใช้สร้างที่พำนักอาศัยของเชื้อพระวงศ์เท่านั้นรอบๆทั้งในและนอกตำหนักประดับประดาด้วยสิ่งของล้ำค่ามากมาย
เจ้าของตำหนักนั่งจิบชาอย่างไม่ทุกข์ร้อน บรรดาหมอหลวงที่ถูกเรียกมายืนมองหน้ากันไปมาอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรหากแต่ก็ไม่สามารถทักท้วงอันใดได้ได้แต่ทำตามรับสั่ง
“ฝ่าบาทเสด็จจจจ”เสียงขันทีหน้าตำหนักดังขึ้น
ทั้งหมดจึงลุกขึ้นแล้วหลีกเมื่อจ้าวหมิงหลงฮ่องเต้เข้ามาร่างระหงเจ้าของตำหนักลุกขึ้นมารับเสด็จของบุรุษที่ได้ชื่อว่าเป็นสวามีนางและสตรีทั้งวังหลัง
“ถวายพระพรเพคะ ฝ่าบาท เสด็จมาถึงที่นี่มีอะไรให้เฉินเซีย*รับใช้หรือเพคะ” เฉินซิ่วอิงหรือเฉินกุ้ยเฟยเอ่ยมองอีกฝ่ายที่เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มที่บรรจงปั้นแต่งเพื่อบุรุษผู้เป็นที่รักอย่างตั้งใจ
“มิมีอันใดข้าเพียงได้ยินข่าวว่าสนมรักเรียกหมอหลวงมาตำหนักมากมายกลัวว่าสนมรักจะป่วยไข้จึงได้มาเยี่ยมเยียน” จ้าวหมิงหลงกล่าวพลางมองกุ้ยเฟยของพระองค์ ใบหน้าได้รูปงดงาม ขาวนวลเนียน คิ้วโก่ง ดวงตากลมโตแฝงไปด้วยความเย่อยิ่งของอัครเทวีผู้สูงศักดิ์ตามตำแหน่งกุ้ยเฟย ริมฝีปากบางได้รูปยามแย้มยิ้มเล็กน้อยกลับดูเย้ายวน รูปร่างอรชรอ้อนแอ้นตามแบบฉบับคุณหนูในห้องหอทั่วไป
“ขอบพระทัยที่ทรงห่วงใยหม่อมฉันเพคะเพียงป่วยเล็กน้อยมิเป็นอันใดมาก” เฉินซิ่วอิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
“มิเป็นอันใดมาก็ดีแล้วหากสนมรักป่วยไข้ก็เรียกหาหมอหลวงมาตรวจเพียงคนสองคนก็พอให้ที่เหลือทำหน้าที่อื่นไปเถิด จะได้ไม่มาเกะกะที่ตำหนักสนมรักให้รำคาญเสียเปล่าๆ”
“เพคะ” เฉินซิวอิ่งกำชายกระโปรงแน่น ทำไมนางจะไม่ทราบความนัยที่ฝ่าบาททรงกล่าวกับนางคำพูดอาจเหมือนใส่ใจเป็นห่วงนางนักหนาแต่แท้จริงแล้วกลับกล่าวว่านางกะเกณฑ์เอาหมอหลวงมามากมายโดยใช่เหตุ ต้องมีคนนำเรื่องที่นางเรียกหมอหลวงทั้งหมดมาตำหนักขัดขวางไม่ให้มีหมอจากสำนักหมอหลวงไปตรวจหม่าเย่วอิงไปฟ้องฝ่าบาทแน่ นางทราบข่าวมาว่าพระองค์ทรงหารือราชการกับแม่ทัพทั้งหลายจึงฉวยโอกาสหาทางกลั่นแกล้งหม่าเย่วอิงที่เป็นลมที่หน้าตำหนักตัวเอง
“หากมิมีอันใดแล้วข้าขอตัวไปตรวจฎีกาก่อนยังมีอีกมากมายนัก ขอสนมรักรักษาตัวด้วย” จ้าวหมิงหลงเมื่อกล่าวจบก็หันหน้าเตรียมตัวไปเสด็จออกจากตำหนักไป
“ช้าก่อนเพคะฝ่าบาท”
“มีอันใดหรือสนมรัก”จ้าวหมิงหลงหันหน้ากลับมามองอีกฝ่ายที่เรียกรั้งพระองค์ไว้
“หม่อมฉันได้ยินข่าวว่าหม่าเต๋อเฟยทรงเป็นลมหมดสติอย่างไรเสียหม่อมฉันจะให้คนเร่งนำยาชั้นดีส่งไปให้ที่ตำหนักเต๋อเฟยดีหรือไม่เพคะ”เฉินซิ่วอิงเอ่ยเพื่อให้ฝ่าบาททรงเห็นว่านางมีจิตใจเอื้อเฟื้อโอบอ้อมอารีต่อบรรดาสนมต่างๆ
“มิเป็นไรข้าได้ส่งหมอหลวงจูไปแล้วหากมิมีอะไรแล้วข้าขอตัว”ว่าแล้วจ้าวหมิงหลงก็เสด็จออกจากตำหนักทันที
“เฉินเซียน้อมส่งเสด็จ” เฉินซิ่งอิงกัดฟันเหมือนโดนตบหน้ารอบที่สอง ถึงกับส่งหมอหลวงประจำพระองค์ไปเชียวหรือ ร่างบางกำชายกระโปรงแน่นจนมือบางเกร็งไปหมด พ้นขบวนเสด็จไปนางก็กรีดร้องอย่างเจ็บใจ
“ทำไม!! ทำไมต้องคอยปกป้องนังเย่วอิงตลอดทำไมไม่เป็นข้า!!ทั้งๆที่ข้ามาก่อนนางด้วยซ้ำ!!” นางกรีดร้องรำพึงรำพันกับตัวเอง ตัวนางที่รักเขาปักใจตั้งแต่ยังเยาว์วัยฐานะหรือชาติตระกูลต่างเหมาะสม บิดาของนางก็เป็นถึงราชครูจนกระทั้งนางได้หมั้นหมายกับเขาในวัยสิบหนาวตามความเห็นของผู้ใหญ่แต่นางก็หาได้เสียใจไม่เพราะนางรักเขา รักเขาเพียงคนเดียวมาตลอด ถึงแม้เขาจะแต่งนางเข้าเป็นเพียงเหลียงตี้พร้อมกับสตรีอีกคน จนเขาขึ้นครองราชย์ตัวนางก็หวังว่าจะได้นั่งบัลลังก์หงส์เคียงข้างเป็นมารดาของแผ่นดินคู่กับเขาหากแต่สวรรค์ก็เล่นตลกเขาแต่งตั้งนางเป็นเพียงกุ้ยเฟยเว้นว่างตำแหน่งฮองเฮามาเนิ่นนานจนถึงปัจจุบัน
ไป๋เทียนที่ออกจากวังมาแล้วก็มุ่งตรงไปที่จวนของท่านแม่ทัพพร้อมพระองค์เขายังต้องเขียนรายงานที่ต้องถวายให้แก่ฮ่องเต้ช่วยท่านแม่ทัพอีกจึงไม่สามารถกลับไปยังจวนในตอนนี้ได้ทั้งที่ใจอยากกลับไปหาครอบครัวแต่ถึงอย่างไรหน้าที่ก็ต้องมาก่อน
เขาและท่านแม่ทัพขี่ม้ามาถึงหน้าจวนอ๋องป้ายที่เขียนด้วยลายพระหัตถ์ของจ้าวหมิงหลงฮ่องเต้ที่พระราชทานให้แก่เจ้าของจวนเด่นเป็นสง่าที่หน้าประตูทางเข้า ที่หน้าจวนมีบรรดาบ่าวรับใช้ของจวนที่มารอต้อนรับโดยมีพ่อบ้านหย่งและแม่นมหลิวที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดด้วยสีหน้ายินดี ทั้งสองคนเป็นคนอยู่รับใช้ชินอ๋องมาตั้งแต่ที่จางกุ้ยเฟยยังมีชีวิตอยู่ในวังจนกระทั่งจางกุ้ยเฟยสิ้นพระชนม์จึงได้ขอพระราชทานอนุญาตฮ่องเต้จ้าวหมิงหลงตามติดมารับใช้ชินอ๋องเมื่อพระองค์ออกมาใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกวัง แล้วหลังจากนั้นไม่ถึงปีชินอ๋องของพวกเขาก็ออกจากจวนไปอยู่กับท่านตาที่เป็นแม่ทัพใหญ่ที่ชายแดนนานปีถึงได้มีโอกาสพบชินอ๋องเมื่อทรงเสด็จกลับมาเมืองหลวงตามรับสั่งของหวงไท่โฮ่ว
“ถวายบังคมพะยะค่ะ / เพคะท่านอ๋อง” ทุกคนกล่าวเมื่อเขาและท่านแม่ทัพลงมาจากหลังม้า
“พ่อบ้านหย่ง แม่นมหลิวพวกท่านสบายดีใช่ไหม” จ้าวเฟยหลงเอ่ยถามทั้งสองที่อยู่รับใช้เขามานานตั้งแต่อยู่ในวังด้วยความห่วงใยด้วยน้ำเสียงอ่อนลง
“สบายดีพะยะค่ะขอพระองค์อย่าทรงกังวล”
“นี่เยี่ยไป๋เทียนรองแม่ทัพข้าจากนี้ไปคงคุ้นเคยกัน” จ้าวเฟยหลงกล่าวแนะนำรองแม่ทัพของพระองค์ให้รู้จัก
“ข้าเยี่ยไป๋เทียนขอรับ พ่อบ้านหย่งแม่นมหลิว” ไป๋เทียนกล่าวแนะนำตัวกับบุคคลทั้งสองที่เห็นว่ามีความสำคัญต่อท่านแม่ทัพ
“มิได้ขอรับท่านรองแม่ทัพ ท่านเป็นถึงรองแม่ทัพอย่าคาราวะบ่าวเลย” พ่อบ้านหย่งเอ่ยขึ้นอย่างตกใจไป๋เทียนยิ้มแล้วไม่ได้กล่าวอะไรอีก
“ข้าและรองแม่ทัพจะทำงานที่ห้องหนังสือยังเหมือนเดิมใช่หรือไม่”จ้าวเฟยหลงเอ่ยถามอดีตขันทีของมารดาตนเองที่ผันตัวมาเป็นพ่อบ้านให้แก่จวนอ๋องของเขา
“ข้าน้อยให้บ่าวรับใช้ทำความสะอาดสม่ำเสมอพะยะค่ะท่านอ๋องสามารถใช้ได้ทุกห้องได้ทันที”
“ดี”
“ถ้าอย่างงั้นเดี๋ยวหม่อมฉันจะเตรียมของว่างและชาไปให้นะเพคะ” แม่นมหลิวกล่าวขึ้น
“ขอบคุณแม่นมหลิวมาก” จ้าวเฟยหลงยิ้มบางๆให้แม่นมหลิวที่คอยเลี้ยงดูเขามาตลอดเล็กน้อยทำให้บรรดาสาวใช้ที่มีบุญได้เห็นรอยยิ้มของชินอ๋องถึงกับเหม่อลอยราววิญญาณหลุดออกจากร่าง
“มิได้เพคะหม่อมฉันเพียงทำตามหน้าที่”
จ้าวหมิงหลงที่เสด็จกลับมาจากตำหนักของเฉินกุ้ยเฟยก็ทรงตรงไปที่ห้องอักษรเพื่ออ่านฎีกาต่อ เขานั่งอ่านฎีกาไปเรื่อยๆจนขันทีนำป้ายสนมมาให้เลือกเช่นเคย
“ฝ่าบาทถึงเวลาพลิกป้ายชื่อแล้วพะยะค่ะ” ขันทีที่ทำหน้าที่นำถาดป้ายชื่อบรรดาสนมน้อยใหญ่ยกถาดป้ายเข้ามาที่โต๊ะทรงงาน สนมในรัชสมัยเขามีไม่มากหากเทียบกับสมัยอื่นๆแต่ตำแหน่งสำคัญมีครบทุกตำแหน่งตามกฎของวังหลัง เขามองที่ถาดมองหารายชื่อหม่าเต๋อเฟยแล้วหยิบให้ขันทีที่ทำหน้าที่ทันทีพอดีกับที่หมอหลวงจูมาขอเข้าเฝ้า
“ฝ่าบาทหมอหลวงจูขอเข้าเฝ้าพะยะค่ะ” เสียงขันทีซ่งเอ่ยขึ้นที่หน้าห้อง
“ให้เข้ามา”
“กระหม่อมจูหยางสือถวายบังคมฝ่าบาท”
“หม่าเต๋อเฟยอาการเป็นอย่างไรบ้าง”
“เป็นลมหมดสติเพราะร่างกายอ่อนล้าพะยะค่ะ”
“อืม แล้วมีอะไรอีก” จ้าวหมิงหลงเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าหมอหลวงคนสนิททำสีหน้าเหมือนคล้ายจะมีเรื่องทูลแต่ไม่กล้า
“เหตุที่ร่างกายอ่อนล้าเนื่องจากมีพิษปนอยู่ในร่างกายพะยะค่ะ” จูหยางสือตอบอย่างหวั่นเกรงเนื่องจากผู้ถูกพิษเป็นถึงสนมขั้นเฟย แสดงว่ามีการหละหลวมในการป้องกัน
“ถูกวางยาพิษหรือ?” จ้าวหมิงหลงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เริ่มขุ่นมัวนิดๆ
“พะยะค่ะแต่เป็นยาพิษชนิดอ่อนๆไม่ร้ายแรงหากแต่ร่างกายถ้าได้รับอย่างต่อเนื่องจะค่อยๆสะสมจนถึงแก่ชีวิตได้พะยะค่ะ”
“นานเท่าใดแล้ว”
“น่าจะประมาณสามเดือนได้พะยะค่ะ”
“ข้าคงละเลยวังหลังมากไปกระมังถึงมีการกล้าวางยากันเกิดขึ้นขนาดนี้”
จูหยางสือได้แต่นิ่งเงียบเกรงกลัวอารมณ์ของฮ่องเต้
“เอาเถอะข้าจะจัดการเอง เจ้ากลับไปได้แล้วห้ามแพร่งพรายเรื่องนี้โดยเด็ดขาด” จ้าวหมิงหลงบอกก่อนที่จะหยิบราชโองการการจัดงานเฉลิมฉลองในอีกสามวันข้างหน้าออกมาแล้วเรียกขันทีซ่งเข้ามาในห้อง
“นำไปมอบให้เจ้ากรมพิธีการให้เตรียมงานแล้วป่าวประกาศให้รับรู้ทั่วกันพรุ่งนี้ตอนประชุมที่ท้องพระโรง”
“รับด้วยเกล้าพะยะค่ะ/กระหม่อมทูลลาพะยะค่ะ” ทั้งสองกล่าวแล้วเร่งออกไปดำเนินการตามรับสั่ง
“ฉิวฟงอยู่หรือไม่”
“อยู่พะยะค่ะ ฝ่าบาท” องครักษ์เงาโผล่ออกมาจากหลังฉาก
“ไปสืบเรื่องนี้ให้ข้าที”
“รับด้วยเกล้าพะยะค่ะ”
ตำหนักหลังขนาดพอดีไม่เล็กหรือไม่ใหญ่จนเกินไป รอบๆบริเวณตำหนักปลูกต้นไม้เล็กและดอกไม้ที่ส่งกลิ่นหอมสดชื่น ทำให้บรรยากาศทั่วทั้งตำหนักดูมีชีวิตชีวายิ่ง ตัวตำหนักมีนางกำนัลและทหารองครักษ์รักษาความปลอดภัยยืนอยู่กระจัดกระจายทั่วไปด้านข้างตำหนักมีเก๋งกลางสวนดอกไม้ที่มีสตรีนางหนึ่งกำลังนั่งจัดดอกไม้ใส่แจกันอย่างประณีตใบหน้างดงามยิ้มแย้มขณะทำสิ่งที่ชื่นชอบ ข้างๆกันมีนางกำนันกำลังทำสีหน้ากังวล
“พระสนมทรงเสด็จกลับเข้าไปในตำหนักก่อนเถิดเพคะข้างนอกอากาศร้อนนัก” เสียงนางกำนัลนามถิงถิงกล่าวขอร้องให้พระสนมตนกลับตำหนัก เมื่อครู่ก็ทรงเป็นลมไปครั้งหนึ่งตอนที่ออกมาเก็บดอกไม้หน้าตำหนักพอท่านหมอหลวงจูมาตรวจเสร็จก็ทรงลุกมาจัดดอกไม้ต่อ
“ข้ามิเป็นอันใดมาหรอกพวกเจ้าก็อย่าตื่นตระหนกนักเลย” หม่าเย่วอิงจัดดอกไม้เสร็จแล้วหันมาตอบนางกำนัลตัวเอง วันนี้อากาศร้อนอบอ้าวเกินไปหน่อยจึงทำให้นางหน้ามืดหมดสติที่กลางสวน
“ขออภัยพระสนมพะยะค่ะ” เสียงขันทีซ่งดังขึ้นจากทางเข้าเก๋ง
“มีอะไรหรือซ่งกงกง”หม่าเย่วอิงหันหน้าไปมองยังขันทีซ่งที่เข้ามา
“ค่ำคืนนี้ฝ่าบาทเลือกพลิกป้ายที่ตำหนักของเต๋อเฟยขอพระสนมทรงเตรียมตัวต้อนรับเสด็จด้วยพะย่ะค่ะ” ขันทีกล่าวอย่างนอบน้อมกับหม่าเต๋อเฟยเพราะอีกฝ่ายถือเป็นสนมคนโปรดของฝ่าบาท
“ขอบคุณซ่งกงกงมากที่เป็นธุระ ถิงถิงมอบสินน้ำใจให้ซ่งกงกงด้วย”
“ขอบพระทัยพระสนมกระหม่อมทูลลา”
“พระสนมรีบกลับเข้าไปเตรียมตัวเถิดเพคะ ก็ยามเซิน (申:shēn) แล้วเดี๋ยวจะไม่ทันฝ่าบาทเสด็จมานะเพคะ” ถิงถิงนางกำนัลรับใช้คนสนิทเอ่ย
“พวกเจ้าจะรีบไปไยฝ่าบาททรงไม่ชอบอะไรที่ยุ่งยาก เตรียมของว่างที่ทรงชอบและน้ำชาให้พร้อมก็พอ อ้อเตรียมพิณให้ข้าด้วยเผื่อฝ่าบาทอยากฟังข้าบรรเลงเพลง”
“โถ่ พระสนมเพคะจะไม่รีบไปสรงน้ำเปลี่ยนฉลองพระองค์หน่อยหรือเพคะฝ่าบาทจะได้พอพระทัย” ถิงถิงเอ่ยอย่างเหนื่อยใจ พระสนมของนางไม่ค่อยจะเอาใจฝ่าบาทเท่าพระสนมคนอื่นๆ
“ไม่หรอกจะรีบอะไรกัน จัดการซักชั่วยามก็เพียงพอแล้ว” หม่าเย่วอิงกล่าวแล้วก็ทำการตัดแต่งดอกไม้บนแจกันต่อ ตัวนางนั้นนับตั้งแต่ถูกแต่งตั้งเข้ามาฝ่ายในเป็นสนมขั้นเฟยก็ไม่เคยได้ถวายตัว หากฝ่าบาทพลิกป้ายชื่อนางค่ำคืนนั้นก็เพียงอยู่เป็นเพื่อนพูดคุยและทานของว่างจิบชาด้วยกันพอพ้นวันใหม่ก็เสด็จกลับเป็นอย่างนี้เรื่อยมา ป้ายชื่อนางถูกพลิกบ่อยที่สุดนัยว่าเจ็ดวันต้องมีชื่อนางสามวันทำให้ถูกกล่าวว่าเป็นคนโปรดและถูกกลั่นแกล้งบ่อยครั้ง
เมื่อจัดแจกันเสร็จนางก็เดินกลับเข้าตำหนักจัดการชำระล้างร่างกายเตรียมตัวรับเสด็จ
ยามซวี (戌:xū)
“ฝ่าบาทเสด็จจจจจ”เสียงขันทีซ่งที่นำขบวนเสด็จดังขึ้นที่หน้าตำหนักทำให้นางต้องลุกขึ้นออกไปต้อนรับเสด็จ
“ถวายพระพรเพคะฝ่าบาท” หม่าเย่วอิงย่อตัวถวายความเคารพ
“ลุกขึ้นเถิด ขออภัยที่มาช้าฎีกามากมายนักช่วงนี้”
“มิเป็นไรเพคะงานย่อมสำคัญกว่า”
จ้าวหมิงหลงมองสตรีที่ตั้งแต่ถูกแต่งตั้งเข้ามาในฝ่ายในที่มีอุปนิสัยคงเส้นคงวา ไม่ฝักใฝในอำนาจอยู่อย่างสงบเสงี่ยม ใบหน้านวลผ่องได้รูป ตากลมโต จมูกโด่งรับกับริมฝีปากบาง รูปร่างเพรียวบาง ถือว่าเป็นสาวงามไม่ได้ด้อยกว่าสนมขั้นเฟยคนไหน แต่ให้ความรู้สึกผ่อนคลายเวลาอยู่ด้วยไม่ต้องมาคอยเสแสร้งเอาอกเอาใจทำให้เขาชอบมาพูดคุยหรือปรึกษาเรื่องต่างๆด้วย หม่าเย่วอิงถือเป็นสนมคนเดียวที่ไม่ได้ถวายตัวเนื่องด้วยพระองค์มิคิดจะหักหาญใจอีกฝ่ายที่เอ่ยปากกับตนในคืนเข้าหอว่ายังไม่พร้อมนับตั้งแต่นั้นมาพระองค์จึงวางตัวคล้ายสหายที่อยู่ร่วมเสียมากกว่าจนหลายปีผ่านไปที่ได้เรียนรู้นิสัยซึ่งกันและกันก็ยิ่งรู้สึกชอบกล้าพูดได้เต็มปากว่าทรงโปรดสนมผู้นี้มากที่สุด
ทั้งสองเดินมานั่งพูดคุยกันที่โต๊ะที่ตั้งอยู่กลางห้องก่อนที่หม่าเย่วอิงจะรินชาที่ทางจวนส่งเข้ามาให้เมื่อสามเดือนก่อนเห็นว่าเป็นชาขึ้นชื่อของโรงเตี๊ยมตระกูลเยี่ย
“หืม ชานี้มันชาโม่ลี่”จ้าวหมิงหลงเอ่ยขึ้นเมื่อได้กลิ่นชาที่ถูกรินโดยคนตรงหน้า
“พระองค์ทราบหรือเพคะ? ทางจวนส่งมาให้หม่อมฉันเห็นว่าเป็นชาดียิ่ง”
“ส่งมาจากนอกวัง? นานเท่าใดแล้ว” จ้าวหมิงหลงถามเมื่อนึกถึงเรื่องการวางยาพิษ
“สามเดือนก่อนเพคะ”
“สามเดือนก่อนหรือ” จ้าวหมิงหลงครุ่นคิด
“ทรงมีอะไรหรือเพคะฝ่าบาท” หม่าเย่วอิงเอ่ยถามเมื่อเห็นพระพักตร์ของจ้าวหมิงหลงแปลกไป
“ป่าวหรอกชานี้รสชาติดียิ่ง” จ้าวหมิงหลงบอกปัดพร้อมยกชาขึ้นจิบ
“จริงเพคะหม่อมฉันดื่มทุกวันเลยทีเดียว”
“ทุกวันหรือ?”
“เพคะ”
“หากเจ้าไม่ว่าอะไร ข้าขอซักนิดได้หรือไม่จะได้มีไว้ยามอ่านฎีกาดึกดื่นคงสดชื่นไม่น้อย” จ้าวหมิงหลงคิดว่าในชาโม่ลี่ที่ถูกส่งเข้ามาอาจมียาพิษปะปนอยู่
“เพคะหม่อมฉันจะให้นางกำนัลนำไปถวายให้”
“ขอบใจเจ้ามากข้าไม่ได้ฟังเจ้าบรรเลงพิณมานานแค่ไหนแล้วนะ” จ้าวหมิงหลงเบี่ยงประเด็นไปเรื่องใหม่
“ฝ่าบาททรงต้องการให้หม่อมฉันบรรเลงพิณถวายหรือไม่เพคะ”
“คงไม่รบกวนเจ้าพึ่งหายป่วยวันหน้ายังมีข้าไม่รีบร้อน”
“เพคะ”
ทั้งสองใช้เวลาไปกับการพูดคุยถามไถ่เรื่องราวต่างๆของอีกฝ่ายเป็นเวลานานจนล่วงเลยมาเป็นเวลาค่อนคืน ฝ่ายจ้าวหมิงหลงจึงได้ขอตัวกลับไปยังตำหนักตน
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

2,568 ความคิดเห็น
-
#2134 0849397389 (จากตอนที่ 5)วันที่ 26 เมษายน 2563 / 20:22เหมือนรอบก่อนอ่านเค้าจะมีใจไห้กัน เเต่จริงๆเเล้วก็ยังมีฮ่องเฮาเพิ่มมาอีกยุดี#2,1340
-
#13 CHERRINE.NY (จากตอนที่ 5)วันที่ 20 พฤษภาคม 2562 / 14:59มาอัพต่อเร็วๆนะคะ#130