ตอนที่ 34 : ตอนที่ 33 เริ่มหมากตัวแรก 100%
ตอนที่ 33
เริ่มหมากตัวแรก
เมื่ออู๋ซูเซียนอาการดีขึ้นทั้งคู่ก็เดินทางกันต่อใช้วิชาตัวเบาไม่นานก็เห็นประตูเข้าสำนักที่มีอาจารย์ทั้งสองยืนคอยท่าอยู่ ทางด้านผู้อาวุโสทั้งสองที่รับรู้ผ่านกระจกอาคมถึงการมาก็ไม่ได้มีท่าทีอะไรมากมายเพียงแค่รับการคาราวะแล้วเอ่ยกับทั้งคู่
“พวกเจ้าเป็นกลุ่มแรกที่มาถึง ทำได้ดีมาก” เฟินต๋าเฉิงเอ่ยชมมองไปยังทั้งสองแต่สายตากดจ้องอยู่ที่ศิษย์ที่สวมผ้าคลุมหน้านานเป็นพิเศษ ตอนแรกพวกตนคิดว่าในการฝึกครั้งนี้เหล่าลูกศิษย์น่าจะใช้เวลาสักครึ่งชั่วยามเป็นอย่างน้อยในการออกจากอาคมตามสถิติที่เป็นมาแต่ละรุ่นไม่ได้คาดคิดว่าจะมีผู้ที่ทำลายความคาดการณ์ของตนไปเสียยับเยินแบบนี้
“เจ้าค่ะ/เจ้าค่ะ”
“ไม่นึกว่าศิษย์ที่ฝึกวรยุทธจะมีความสามารถในการใช้อาคม” หลวนซือเค่อเปรยถามคล้ายไม่จริงจัง แต่คนที่ฟังก็รู้ว่าผู้อาวุโสตรงหน้าหมายถึงใคร หางตาของอู๋ซูเซียนมองไปยังสหายของตนที่นิ่งงันไปเมื่อเจอคำถามแต่สุดท้ายก็ตอบออกไป
“เพียงได้รับความเมตตาจากผู้อาวุโสท่านหนึ่งสั่งสอนมาเล็กน้อยเท่านั้นเจ้าค่ะ” เยี่ยไป๋เฟิ่งตอบอย่างถ่อมตัวใบหน้านิ่งสนิทแต่ในใจกลับว้าวุ่นไปหมดเมื่อคิดได้ว่าผู้อาวุโสทั้งสองอาจจะล่วงรู้ความลับเรื่องพลังปราณของตนเอง
ลำบากเข้าแล้ว
หลวนซือเค่อที่ได้ยินร่างแน่งน้อยเอ่ยถึงผู้สั่งสอนวิชาให้ก็จ้องมองศิษย์ตรงหน้าตนเองด้วยสายตานิ่งลึกชั่วครู่สายตาก็เปลี่ยนไปเหมือนไม่มีอะไรก่อนจะเอ่ยขึ้น “นับว่าเจ้ามีวาสนายิ่งที่ได้รับการสั่งสอนจากผู้มีฝีมือ” สตรีน้อยนางนี้มีอาจารย์แล้วเป็นแน่แต่เหตุใดถึงต้องมาเรียนที่นี่ เรื่องนี้เห็นทีต้องยังคงต้องหาคำตอบกันต่อไป
ร่างบางนิ่งเงียบไม่ได้เอ่ยตอบเพียงแค่โคลงศีรษะน้อมรับคำจากชายชราเพียงแค่นั้น จากนั้นก็เป็นเฟินต๋าเฉิงที่บอกให้พวกนางไปนั่งพักแถวนั้นเพื่อคอยคนที่เหลือและในครึ่งชั่วยามต่อมาก็มีกลุ่มศิษย์คนอื่นเริ่มทยอยมาถึง
“ไม่คิดว่าทางคุณหนูเยี่ยกับคุณหนูอู๋จะมาถึงเป็นกลุ่มแรก” องค์ชายรองแห่งแคว้นเย่เอ่ยเมื่อเดินเข้ามาใกล้ที่ที่เยี่ยไป๋เฟิ่งและอู๋ซูเซียนนั่งพักอยู่
“โชคดีที่เส้นทางที่พวกเรามานั้นราบรื่นไม่มีปัญหาอะไร” อู๋ซูเซียนตอบโดยที่ไม่ได้พูดความจริงออกไป นางที่เห็นการต่อสู้และการใช้พลังของเยี่ยไป๋เฟิ่งไหนจะอาการวิตกกังวลยามเมื่อถูกอาจารย์ทั้งสองที่คล้ายว่าจะจับจ้องสงสัยอะไรในตัวสหายของตนจึงคิดว่าไป๋เฟิ่งคงมีอะไรบางอย่างที่ปิดบังไม่อยากให้ผู้ใดรู้
“พวกเจ้าช่างโชคดีอะไรเยี่ยงนี้ ดูสภาพพวกข้าสิ” หลางชิงฝูบอกแล้วก้มมองสภาพตัวเองที่มีผ้าพันแผลที่ไหล่ขวาและหันไปพยักพเยิดใส่คนอื่นๆที่มาถึงก่อนเวลาที่ท่านอาจารย์เฟินกำหนด จากสภาพแต่ละคนคงโดนมาไม่น้อยเช่นเดียวกับกลุ่มตนบางคนก็มากกกว่าจนถึงขั้นได้หามไปส่งที่เรือนรักษาในสำนักอย่างเร่งด่วน การที่สตรีทั้งสองบอกว่าไม่เจออะไรมันดูไม่น่าเชื่อถือเท่าไหร่นัก
“พวกท่านเจออะไรกันมาหรือ” ไป๋เฟิ่งเอ่ยถามด้วยความอยากรู้
“พวกข้าเจออสูรวานรน่ะสิเล่นเอาเกือบไม่รอด หากไม่ได้หลี่เหวินจัดการกับมันพวกข้าคงบาดเจ็บหนักมากกว่านี้” องค์ชายเจ้าสำราญเอ่ยยกความดีความชอบให้คนข้างๆตน เป็นความจริงที่เย่วหลี่เหวินเป็นคนจัดการกับเจ้าสัตว์อสูรนั่น ส่วนคนที่เหลือก็เป็นภาระทั้งนั้น นึกแล้วก็ปรายหางตาไปยังภาระที่ว่า
ไม่นึกเลยว่าอาจารย์เฟินจะพวกตนต่อสู้กับสัตว์อสูรตัวเป็นๆ แม้ว่าจะเป็นระดับปลายแถวเท่านั้นก็ตามแต่มันก็ไม่ได้ง่ายเลย
“แต่มันก็เพราะเจ้าเป็นคนทำให้มันบาดเจ็บหนักมิใช่หรือข้าถึงมีโอกาสจัดการมันลงได้” เย่วหลี่เหวินไม่ยอมรับความชอบแต่เพียงผู้เดียว
ไป๋เฟิ่งและอู๋ซูเซียนมองคนทั้งสองที่ไม่ยอมกันอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรแต่แล้วเสียงของใครบางคนก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
“เสด็จพี่” ผู้เรียกขานคือองค์หญิงเย่วหลี่เซียนนั้นเอง สภาพของนางนั้นนับว่ายังดีกว่าใครหลายคนหากแต่รอบชายอาภรณ์เนื้อดีก็มีรอยขาดไม่น้อย
“ว่าอย่างไรหรือน้องพี่”
“ท่านอาจารย์หลวนเรียกพบเสด็จพี่เพคะ” เย่วหลี่เซียนปรายตามองสตรีที่ตนไม่ชอบหน้าเพียงครู่เดียวแล้วหันไปพูดคุยกับเสด็จพี่ของตน
“งั้นหรือเช่นนั้นก็ไปกันเถิด คุณหนูอู๋ คุณเยี่ย ข้าคงต้องขอตัวก่อน” เย่วหลี่เหวินพูดกับผู้เป็นน้องแล้วหันหน้าไปบอกลาสตรีทั้งสอง หันไปพยักหน้ากับสหายตนแล้วเดินออกจากวงสนทนาไปพร้อมกับร่างอรชรของเย่วหลี่เซียน
“นี่นางเป็นอันใดมากหรือไม่ เหตุใดจึงชอบมองไป๋เฟิ่งเช่นนี้นัก” บุตรสาวแม่ทัพแห่งแคว้นจ้าวเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงไม่ชอบใจทันทีหลังจากที่คู่เดินออกไปไกลแล้ว เหตุใดองค์หญิงแคว้นเย่วถึงไม่ชอบพวกนางนักหนาก็ไม่รู้ พวกนางรึก็ไม่เคยไปทำอันใดให้ สหายนางรึก็นิ่งเฉยไม่เคยจะตอบโต้อันใดยามถูกว่ากระทบกระทั่งต่างๆ เป็นนางเสียอีกที่เป็นฝ่ายเดือดร้อนแทน
“หึๆ สตรีทุกนางล้วนอยากให้ตนเองเป็นหนึ่ง ไม่แปลกใจหากองค์หญิงหลี่เซียนจะไม่ชอบคุณหนูไป๋” บุรุษที่ยังอยู่กล่าว เย่วหลี่เซียนนั้นถือว่าเป็นสตรีที่โดดเด่นที่สุดไม่ว่าจะเป็น รูปโฉม ฐานะ ความสามารถนางจึงเป็นที่สนใจของผู้คนโดยเฉพาะบุรุษ จนกระทั่งสตรีตรงหน้าตนปรากฏตัวขึ้นในสำนักความสนใจส่วนหนึ่งจึงไปตกที่ร่างบางแทนเป็นสาเหตุที่ทำให้ถูกไม่พอใจ
สำหรับตนนั้นต้องยอมรับว่าสตรีตรงหน้าน่าสนใจจริงๆนั่นแหละ น่าสนใจทั้งรูปโฉมและความสามารถที่มีที่ยังไม่เปิดเผยออกมา
*******
“หากมีเรื่องอะไรให้ไปแจ้งข้าที่ห้องหนังสือ” ไป๋เฟิ่งบอกแก่บ่าวรับใช้หญิงเมื่ออีกฝ่ายเข้ามาเก็บสำรับหลังจากที่ตนเองทานเสร็จ
“เจ้าค่ะ”
ร่างบางลุกขึ้นแล้วตรงไปยังห้องหนังสือที่อยู่ด้านปีกซ้ายของตัวเรือนแล้วเริ่มอ่านตำราที่ค้างไว้ต่อ รอบๆตัวมีเศษกระดาษที่เต็มไปด้วยร่องรอยของการขีดเขียนมากมาย
ผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วยามภายในห้องเงียบสงัดที่มีแต่เสียงกระดาษพลิกไปมาและเสียงตวัดปลายพู่กันก็มีเสียงเปิดประตูเข้ามา ไป๋เฟิ่งชะงักมือครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยกับผู้มาใหม่ที่นางนั้นจับสัมผัสถึงการไม่ได้
“กลับมาแล้วหรือเจ้าคะ” คนผู้นั้นคืออาจารย์ของนางนั่นเอง
“อืม นี่เจ้ากำลังทำอะไรอยู่หรือนังหนู” อี้มู่ซุนกวาดสายตาไปยังที่ที่ลูกศิษย์ของตนนั่งอยู่ที่โดยรอบมีแต่ตำราและกระดาษที่ขีดเขียนเต็มไปหมด ดวงตาสีซีดจางแต่ยังคงมองเห็นได้ชัดเพ่งมองที่กระดาษเหล่านั้นด้วยความสนใจ
“ศิษย์ลองคิดสูตรโอสถดูเล่นๆเจ้าค่ะ” ไป๋เฟิ่งบอกแก่ผู้เป็นอาจารย์ หลังจากที่ตนเองทำการหลอมโอสถได้และศึกษาเกี่ยวกับสมุนไพรและได้รู้จักสมุนไพรหลากหลายขึ้นพบว่ามีสมุนไพรหลายชนิดที่สามารถใช้ทดแทนกันได้ นางจึงจดสูตรโอสถต่างๆที่ทำการลองหลอมหลายต่อหลายครั้งจนสามารถได้สัดส่วนสมุนไพรที่สามารถหลอมจนเป็นโอสถเม็ดได้
“!!?”
“ท่านอาจารย์ช่วยตรวจสอบโอสถที่ศิษย์ลองฝึกหลอมดูได้หรือไม่เจ้าคะ” ไป๋เฟิ่งที่ไม่ได้สังเกตสีหน้าผู้เป็นอาจารย์รีบหยิบขวดกระเบื้องหลายขวดที่ใส่โอสถที่หลอมไว้ขึ้นมาวางให้ชายชราตรวจสอบด้วยความกระตือรือร้น ตนเคยให้โอสถแก่อู๋ซูเซียนและมันก็เห็นผลเมื่อสหายคนสนิทกินเข้าไปจึงมั่นใจไม่น้อยว่าโอสถที่ตนหลอมนั้นใช้งานได้ แต่ก็ยังต้องการการยืนยันจากผู้รู้ให้ชัดแจ้ง
อี้มู่ซุนมองขวดที่ตั้งเรียงรายตรงหน้าด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อ เพียงไม่กี่เดือนที่ตนไม่อยู่สตรีตรงหน้านี้ถึงกับสร้างความตกใจอันน่าทึ่งให้กับตน ผู้เป็นอาจารย์เก็บสายตาที่แสดงออกถึงอาการตกใจเอื้อมไปหยิบขวดกระเบื้องขวดหนึ่งขึ้น เปิดฝาออกแล้วเทสิ่งที่อยู่ด้านในออกมาพิจารณาตามคำขอของลูกศิษย์
พอดูเม็ดโอสถที่นอนแน่นิ่งอยู่บนฝ่ามือก็ต้องตาเบิกกว้างแล้วเอ่ยถามศิษย์ตนทันที “โอสถนี่เจ้าหลอมเองงั้นหรือ!!”
“ใช่เจ้าค่ะ เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?”
อี้มู่ซุนไม่ตอบหากแต่วางขวดที่ถือลงแล้วรีบหยิบขวดกระเบื้องอื่นๆมาดูจนครบ โอสถระดับกลางทั้งหมด!!! ชายชราเกิดอาการหน้ามืดชั่วขณะอยากจะหายาหอมสักตลับมาดมเรียกสติ ผู้ใดก็ได้ช่วยบอกตนที่ว่านี่คือเรื่องจริง!! ตนไม่รู้จะกล่าวเช่นไรออกไปแล้วในตอนนี้
“ท่านอาจารย์เป็นอันใดหรือเจ้าคะ?” ไป๋เฟิ่งมองอาการหน้าซีดของผู้อาวุโสตรงหน้าอย่างเป็นห่วง
“ไม่เป็นอันใด” ชายชราสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆดึงสติกลับมาพิจารณาเม็ดกลมๆที่อยู่บนฝ่ามืออีกรอบ สิ่งที่เห็นก็ยังเป็นเช่นเดิมเป็นโอสถระดับกลางจริงๆ ในใจนึกอีกครั้งว่าไม่รู้ว่าจะกล่าวกับสตรีตรงหน้าอย่างไรดี ไม่มีผู้ชี้นำอาศัยเพียงการอ่านตำราด้วยตนเองยังสามารถถึงเพียงนี้ หากในขณะที่นางทำการหลอมโอสถโดยที่มีตนเป็นผู้อยู่ชี้นำเล่า ผลออกมาจะไม่เป็นโอสถระดับสูงเลยเชียวหรือ? แค่คิดประสาทสัมผัสชายชราก็ขนลุกซู่
“เจ้าจงบอกมาให้หมดในตอนที่ข้าไม่อยู่เจ้าทำสิ่งใดบ้าง!!” เสียงแหบเอ่ยสั่งอย่างจริงจัง จากนั้นร่างบางของศิษย์น้อยตรงหน้าก็เล่าทุกสิ่งอย่างให้ฟังตามที่ตนสั่ง
สีหน้าของชายชราสลับซีดสลับตกตะลึงในขณะที่ฟังผู้เป็นศิษย์เล่าสิ่งที่ตนได้กระทำในช่วงที่ตนเองไม่อยู่ นอกจากจะศึกษาตำราสมุนไพรการหลอมโอสถแล้ว สตรีตรงหน้ายังสามารถศึกษาและใช้อาคมได้ ไม่เพียงเท่านั้นการควบคุมพลังปราณรวมไปถึงการใช้งานพลังปราณประสานธาตุทั้งห้ายังก้าวหน้าขึ้นด้วย! สวรรค์นี่มันปีศาจชัดๆ เขาเก็บตัวอะไรมาเป็นศิษย์กันเนี่ย!!
ยามสายของวันหนึ่ง บนห้องชั้นสองของโรงเตี๊ยมไกลออกไปจากเขตเมืองหลวงดูกลางเก่ากลางใหม่ที่ไม่ได้เป็นที่นิยมของผู้คนมากนักแต่กระนั้นวันนี้กลับดูเหมือนจะได้ตอบรับนายท่านที่ดูมีฐานะผู้หนึ่ง เสี่ยวเอ้อชายรูปร่างผอมแห้งแต่คล่องแคล่วว่องไวรู้มารยาทคนหนึ่งถูกกำชับให้รับรองคนทั้งคู่ห้ามขาดตกบกพร่อง
“นายท่านชาที่สั่งมาแล้วขอรับ” หนึ่งในผู้คุ้มกันที่อยู่หน้าห้องเป็นผู้นำกาน้ำชาที่สั่งเข้ามาให้โดยที่ไม่ให้เสี่ยวเอ้อของทางโรงเตี๊ยมเข้ามาในห้อง
ภายในห้องมีบุรุษต่างวัยคู่หนึ่งกำลังนั่งสนทนากันอยู่
“ท่านคิดว่าจะสามารถครอบครองมันได้จริงหรือ” บุรุษที่แต่งกายด้วยชุดสีขาวเรียบง่ายคล้ายพวกบัณฑิตแต่เนื้ออาภรณ์ที่สวมใส่กลับเป็นผ้าเนื้อดีที่มีแต่เหล่าชนชั้นสูงนิยมใส่กันเอ่ยถามอีกคนที่นั่งรวมโต๊ะกันเพื่อถามความมั่นใจ
“แน่นอน” คนถูกถามเอ่ยอย่างมั่นใจ
“ไม่ทราบว่าด้วยวิธีใด?”
“เรื่องนั้นหาเรื่องของเจ้า ชาวยุทธภพเช่นข้ามีหนทางในการจัดการอยู่แล้ว ทำในส่วนของตนให้สำเร็จเถิด” คนที่กล่าวอ้างว่าเป็นชาวยุทธมองบุรุษที่ถามอย่างไม่ไว้วางใจเท่าใดถึงแม้ว่าจะมีสายเลือดของตนเองก็ตาม
“ข้าเพียงอยากได้ความมั่นใจเท่านั้น” คนที่รู้ว่าถูกคนตรงหน้าไม่ไว้วางใจเอ่ยอย่างไม่เดือดร้อนกับคำกล่าวนั้น
“หากข้าได้ครอบครองมันไม่เพียงแค่แคว้นจ้าว ไม่ว่าจะแคว้นใดหรือทั่วทั้งยุทธภพก็ย่อมต้องตกอยู่ในกำมือข้า” บุรุษชาวยุทธเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่มีความมั่นใจและกระหายที่จะครอบครองสิ่งที่ตนกล่าวมา
“ท่านกับข้าตกลงกันแล้ว”
“แน่นอน เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามที่ต้องการเจ้าจะได้ครอบครองแคว้นต่างๆตามที่ปรารถนาส่วนข้าย่อมเป็นฝ่ายครองยุทธภพไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน”
“แล้วเสี้ยนหนามอย่างชินอ๋องเล่า?” จ้าวเฟยหลงบุรุษผู้เป็นดั่งเกราะกำแพงของแคว้นจ้าวที่มีวรยุทธสูงส่งยากที่จะต่อกรแม้ว่าจะเป็นคนที่มีวรยุทธอย่างผู้อาวุโสของสกุลตนตรงหน้าก็ตาม
“เหอะ! หากได้ ‘สิ่งนั้น’ มา ตัวตนอย่างชินอ๋องผู้นั้นจะนับเป็นอะไรได้” พลังของมนุษย์หรือจะสู้กับสิ่งนั้นได้
“ท่านจะลงมือเมื่อไร”
“หลังจากสิ้นฤดูเหมันต์”
“เวลานั้นกองกำลังของข้าก็คงจะพร้อมแล้วเช่นกัน”
“เมื่อถึงเวลาข้าจะส่งคนมาแจ้งแก่เจ้า” เมื่อพูดคุยธุระเสร็จสิ้นชายผู้เป็นชาวยุทธก็ขอตัวออกไปเหลือเพียงบุรุษชุดขาวแต่เพียงผู้เดียว ก่อนหนึ่งในผู้คุ้มกันที่อยู่หน้าห้องจะเข้ามาเพื่อแจ้งข่าว
“นายท่าน”
“อืม” ผู้ที่ถูกเรียกว่านายท่านเอ่ยเพียงหนึ่งคำ แต่เพียงแค่นั้นคนเป็นบ่าวก็รีบเอ่ยรายงานทันที
“ทางจวนสกุลซูส่งคนมาแจ้งว่าต้องการพบนายท่านขอรับ”
“ส่งคนไปแจ้งว่าข้านัดพบวันรุ่งขึ้นยามเว่ย*ที่หุบเขา” ทางสกุลซูคงนำของมาให้เช่นเคย
“ขอรับ”
“ทางด้านวังหลวงเป็นอย่างไร มีคนสงสัยอันใดหรือไม่?” มือหนายกถ้วยชาที่มีไอร้อนลอยขึ้นมาก่อนจะจิบช้าๆอย่างไม่เร่งรีบ
“เรียบร้อยดีขอรับ ทางตำหนักส่งคนมาแจ้งข่าวว่าฝ่าบาททรงไม่ได้สนใจความเป็นไปในวังหลังเท่าไหร่ช่วงนี้ทรงโปรดปรานหม่าซูเฟยจึงแทบไม่ได้เสด็จตำหนักใด”
“เช่นนั้นก็ดี อีกสามวันส่งข่าวให้ทางนั้นลงมือได้ กำชับให้เก็บกวาดอย่าให้สาวมาถึงตัวเรา” ดวงตาหรี่ลงอย่างเจ้าเล่ห์ในหัวคิดถึงหมากต่างๆที่วางไว้และตอนนี้ได้เวลาเริ่มหมากตัวแรกแล้ว หวังว่าบุตรสาวตนจะไม่ทำงานพลาดในส่วนของตนเอง
*ยามเว่ย (未:wèi) คือ 13.00 - 14.59 น
ขอบคุณทุกๆกำลังใจที่รี้ดเดอร์มีให้นักเขียนตัวเล็กๆคนนี้
ขอโทษที่อัพที่เหลือช้านะคะ ไรท์เฟลตัวเองนิดหน่อยกับพยายามแก้วิจัยอยู่ค่ะ ขอโทษอีกครั้งที่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเอ่ยเอาไว้ต้องเลื่อนอย่างไม่มีกำหนด หากมีเวลามาตรวจทานเนื้อหาจะทยอยลงให้อ่านนะคะ ขอบคุณทุกคนที่ยังรออ่าน
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

รออ่านตอนต่อไปอยู่คร้าาา
ขอบคุณค่ะ ...สู้ๆค่ะไรท์
สู้ๆนะค่ะไรท์