ตอนที่ 33 : ตอนที่ 32 ผู้ใช้ธาตุมืด 100%
ตอนที่ 32
ผู้ใช้ธาตุมืด
**อ่านก่อนนะคะ ไรท์ขอเปลี่ยนแปลงเนื้อหาของครึ่งแรกนิดๆเกี่ยวกับเพื่อนๆของนางเอก มีแค่ซูเซียนเท่านั้นที่เรียนร่วมกันกับไป๋เฟิ่ง ไม่มีเสวี่ยเยซินกับลั่วหยางลู่นะคะ ไรท์เบลอไปหน่อย y-y
คนจากทางร้านนำของที่สั่งทั้งหมดมาส่งในวันต่อมาไป๋เฟิ่งนางจึงได้ให้บ่าวรับใช้ในเรือนไปรับที่หน้าประตูสำนักเพราะสถานที่ที่นางอยู่ไม่ควรให้คนนอกเข้ามาป้วนเปี้ยนนัก
“วางไว้ตรงนี้แหละเดี๋ยวที่เหลือข้าจัดการเอง” ไป๋เฟิ่งบอกกับบ่าวที่ยกของเข้ามายังกกลางเรือน
บ่าวที่ทำหน้าที่เสร็จก็เดินจากไปให้ผู้เป็นนายอยู่คนเดียวตามลำพัง ไป๋เฟิ่งนึกชอบบ่าวไพร่ในเรือนนี้คือรู้ความไม่วุ่นวายรู้จักสงบปากสงบคำและคอยแจ้งในเรื่องต่างๆที่นางควรทราบของสำนักเพ่ยฉี
นางแกะห่อสมุนไพรและเตาหลอมออกดูทันทีเมื่อตรวจสอบดูของทั้งหมดเสร็จสิ้นก็พึงพอใจกับของที่ทางร้านนำมาส่งนับว่าร้านนี้จัดการได้ดีไม่น้อย หากไม่มีอะไรติดขัดนางคิดว่านางจะฝึกหลอมในคืนนี้
เวลาผ่านไปจวบจนพลบค่ำเมื่อทำธุระต่างๆเสร็จสิ้นนางจึงได้เดินไปยังห้องที่นางจะใช้สำหรับฝึกหลอมโอสถ หันไปบอกแก่บ่าวรับใช้ให้ไปพักผ่อนไม่ต้องอยู่รอแล้วก็เข้าห้องทำการปิดประตูให้เรียบร้อย ไป๋เฟิ่งนึกทบทวนวิธีการที่อ่านมาแล้วเริ่มทำปรุงโอสถตามขั้นตอนไปทีละขั้น
นางทำการใส่สมุนไพรลงในเตาหลอมที่เดือดทีละอย่างตามลำดับเมื่อใส่จนครบแล้วก็ใช้พลังปราณควบคุมไฟให้เป็นไปตามที่ตำราบอก หลังจากที่ทุกอย่างได้ที่ก็ถึงขั้นตอนสำคัญคือการกลั่นโอสถในเตาหลอมใช้พลังปราณกลั่นอัดแน่นให้เป็นเม็ด
ในการปรุงโอสถนั้นโอสถที่ถูกหลอมเป็นเม็ดจะให้ผลได้ดีกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับโอสถที่เป็นน้ำทำให้ผู้ฝึกปรุงโอสถที่ต้องการก้าวหน้าจำเป็นจะต้องกลั่นโอสถให้เป็นเม็ดให้จงได้
ร่างบางตั้งสมาธิแล้วยืนมือไปที่หน้าเตาหลอมแล้วค่อยๆถ่ายพลังปราณของตนไปที่โอสถทำการควบคุมของเหลวที่อยู่ตรงหน้าแล้วค่อยๆบีบอัดกลั่นออกมาเป็นเม็ดด้วยสมาธิทั้งหมดที่มีอย่างเชื่องช้า ดวงตาหงส์มองการเปลี่ยนแปลงตรงหน้าด้วยสีหน้าที่มีความยินดี
ฟุบ!!!! ฟู่!!!!
ผ่านไปเกือบครึ่งเค่อการหลอมก็ได้เสร็จสิ้นลง ไป๋เฟิ่งหอบหายใจนิดหน่อยเมื่อใช้พลังปราณไปจำนวนไม่น้อย กรอบหน้าเรียวมีเหงื่อผุดขึ้นมาเป็นเม็ดๆ นางใช้หลังมือซับเหงื่อแล้วชะโงกหน้าไปดูที่เตาหลอมก็ปรากฏเม็ดโอสถสีดำสนิทอยู่เจ็ดแปดเม็ดดวงตาหงส์มองการเปลี่ยนแปลงตรงหน้าด้วยสีหน้าที่มีความยินดีเล็กน้อย นางจึงรีบหยิบขึ้นมาพิจารณาแต่ดูไปก็เท่านั้นในเมื่อนางไม่อาจทราบได้ว่าโอสถที่นางพึ่งหลอมครั้งแรกนั้นเป็นเช่นไร คงต้องให้ท่านอาจารย์เป็นผู้ตรวจสอบ คิดได้อย่างนั้นนางจึงถอนหายใจแล้วจัดการเก็บโอสถลงในกล่องแล้วเดินออกจากห้องหลอมไปพักผ่อนยังห้องตนเองเพราะรู้สึกว่าพลังงานในร่างกายถูกสูบออกไปมาก
วันรุ่งขึ้นปลายยามอู่ (午:wǔ)
เหล่าศิษย์ร่วมชั้นปีทุกคนมารวมกันที่ลานฝึกที่เดิมเป็นปกติดั่งเช่นในทุกๆวัน จำนวนศิษย์ที่มีลดลงจากเดิมเนื่องจากที่ท่านอาจารย์ได้ให้ไปฝึกเพิ่มเติมเมื่อคราวที่ทดสอบกับหุ่นเชิด เหล่าคนที่ไม่มีความก้าวหน้าต่างทนความอับอายไม่ไหวก็ทยอยเก็บของกลับบ้านเดิมกันเป็นจำนวนไม่น้อย
ซึ่งทางสำนักก็ไม่มีผู้ใดทัดทานเพราะพวกเขาต่างไม่ต้องการคนที่มีพรสวรรค์แต่ไม่มีความอดทนในการฝึก หากคิดว่ามีพรสวรรค์แล้วจะสามารถก้าวหน้าทางด้านวรยุทธได้ง่ายๆล่ะก็จงฝันเอาเถิดหนทางไม่ได้ปูด้วยผ้าแพรหนาหนุ่มให้เหยียบย่ำผ่านอย่างง่ายดายกลับกันมันเต็มไปด้วยหนามแหลมคมที่ต้องฝ่าฟันกันทั้งนั้น
“นี่ๆเจ้าได้ยินหรือไม่องค์หญิงเย่วหลี่เซียนสามารถเลื่อนขั้นได้แล้ว” ชายหนุ่มคนหนึ่งที่เป็นเพียงลูกขุนนางเล็กๆจากแคว้นอ้ายเอ่ยขึ้นในขณะที่กำลังรอ
“ผ่านไปเพียงไม่กี่เดือนนางถึงกลับเลื่อนขั้นได้แล้วหรือ นางน่าอิจฉาเกินไปแล้ว” คนอื่นที่ได้ยินต่างพูดด้วยความอิจฉา
“นางช่างงดงาม สูงศักดิ์และเก่งกาจยิ่งนัก”ชายหนุ่มอีกคนเอ่ยจบอีกหลายคนต่างพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เหล่าชายหนุ่มผู้ฝึกตนต่างเอ่ยถึงและพูดชมองค์หญิงของแคว้นเย่วไปอีกหลายประโยคตามๆกัน
ต่างจากฝั่งของกลุ่มไป๋เฟิ่งที่ยืนอยู่ไม่ไกลกันนักที่เมื่ออู๋ซูเซียนได้ยินถึงกับต้องเบะปากอย่างเสียกิริยาคุณหนูในห้องหอและเอ่ยขึ้นอย่างไม่เห็นด้วยนัก
“เหอะ ที่นางเลื่อนขั้นวรยุทธได้รวดเร็วเพราะมีอาจารย์ตนเองหนุนหลังไม่ใช่หรือ?”
“แต่อย่างไรที่นางสามารถเลื่อนขั้นได้โดยใช้เวลาเพียงเท่านี้นับว่านางเก่งกาจกว่าพวกเราจริงๆ แถมนางยังเป็นศิษย์พิเศษทางด้านผู้ปรุงโอสถของท่านอาจารย์อวิ๋นการที่นางรุดหน้าได้เร็วขนาดนี้ก็มิแปลกอันใดหรอก” ไป๋เฟิ่งอธิบายตามความเป็นจริงให้สหายตนเองได้ฟัง
“หึ่ยย” อู๋ซูเซียนฮึดฮัดอย่างขัดใจแต่ก็รู้ว่าเรื่องนี้เป็นวาสนาของผู้อื่น ตนไม่ควรไปริษยาสำหรับตนมันไม่ใช่ความริษยาเพียงแค่รู้สึกว่ามันช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย แต่โลกนี้มันมีอะไรยุติธรรมบ้างเล่า
ผ่านไม่นานเฟินต๋าเฉิงก็เดินมาพร้อมกับชายชราเครายาวที่ท่าทางยังคงแข็งแรงผู้หนึ่ง เมื่อทั้งสองมาถึง ชายชราผู้นั้นก็ได้ทำการกวาดสายตาไปรอบๆเพื่อดูเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ของปีนี้อย่างพิจารณาจนกระทั่งนัยน์ตาสีดำอ่อนฝ้าฟางนั้นหยุดลงที่เยี่ยไป๋เฟิ่งพร้อมเกิดอาการขมวดคิ้วขึ้นมาก่อนจะละสายไปด้วยท่าทีไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ซึ่งคนที่ถูกสำรวจอย่างไป๋เฟิ่งเองก็รับรู้ถึงสายตาอันที่มองสำรวจตนเอง แต่ก็ไม่แสดงท่าทีอันใดตามที่ท่านอาจารย์ของนางได้บอกไว้
‘ไม่ว่าผู้ใดจะมองเจ้าด้วยสายตาแบบไหน จงทำเป็นนิ่งเฉยเสีย’
“นี่คือท่านผู้อาวุโสหลวนที่จะมาร่วมฝึกพวกเจ้าในวันนี้”
“ศิษย์คารวะท่านผู้อาวุโส” ทุกคนต่างประสานโค้งเคารพคนที่เฟินต๋าเฉิงแนะนำ
“วันนี้ข้าจะทดสอบพวกเจ้าอีกครั้ง” เมื่อเฟินต๋าเฉิงกล่าวจบแต่ละคนคนต่างมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะพยายามเก็บสีหน้า อาการเหล่านั้นต่างตกอยู่ในสายตาของผู้เป็นอาจารย์แต่เฟินต๋าเฉิงก็ยังคงกล่าวต่อไป
“พวกเจ้าทุกคนก็คงจะทราบว่าสำนักเพ่ยฉีตั้งอยู่บนภูเขาสูงใจกลางเกาะแห่งนี้ ดังนั้นการทดสอบวันนี้ไม่ได้มีอะไรมากมาย ข้าเพียงจะนำพวกเจ้าไปที่ด้านหน้าทางเข้าแล้วให้พวกเจ้าทุกคนกลับมายังที่นี่ในเวลาไม่เกินต้นยามโหย่ว มีใครข้องใจอันใดหรือไม่?”
“ท่านอาจารย์ศิษย์มีข้อสงสัย” ศิษย์ชายคนหนึ่งเอ่ยถามเมื่อผู้เป็นอาจารย์เอ่ยจบ
“ว่ามา”
“แค่เดินทางมาให้ถึงที่นี่ให้ทันต้นยามโหย่วเพียงเท่านี้หรือ?”
“ใช่เพียงเท่านี้” เฟินต๋าเฉิงยิ้มพราย
“หากพวกเจ้ามิมีอะไรสงสัยแล้วก็ไปกันเถิด ท่านหลวนข้าขอรบกวนด้วย” ประโยคแรกเอ่ยกับเหล่าศิษย์ก่อนจะหันไปด้านข้างเพื่อฝากความช่วยเหลือ
“ไม่มีปัญหา” ชายชราพูดจบก็วาดมือไปยังกลุ่มศิษย์ใหม่สองสามทีแล้วสะบัดข้อมือหนึ่งครั้ง กลุ่มคนที่เคยยืนอยู่ด้านหน้าพวกตนก็หายวับไป
ด้านเหล่าศิษย์ที่จู่ๆก็พากันปรากฏตัวที่ด้านหน้าทางเข้าสำนักต่างพากันตกใจทำอันใดไม่ถูกเพราะทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ยังไม่ทันได้ร้องถามความอันใดเสียงผู้เป็นอาจารย์ก็ดังขึ้นโดยไร้การปรากฏกาย
“ไม่ต้องตกใจท่านผู้อาวุโสหลวนเพียงใช้อาคมเคลื่อนย้ายพาพวกเจ้ามาที่นี่ เอาล่ะเริ่มการฝึกได้ อ้อ พวกเจ้าทุกคนจงจำไว้ทุกย่างก้าวล้วนสำคัญ จะย่างก้าวไปที่ใดจงตั้งสติให้ดี ข้าจะรอที่ประตูหน้าสำนักขอให้พวกเจ้าโชคดี” น้ำเสียงของเฟินต๋าเฉิงเต็มไปด้วยความรื่นเริงกล่าวเพียงเท่านั้นแล้วก็หายไปทิ้งให้เหล่าศิษย์ขมวดคิ้วคิดนึกตรองความหมายที่ผู้เป็นอาจารย์ทิ้งท้ายเอาไว้
“เจ้าว่าสิ่งที่อาจารย์เฟินพูดมีความหมายอันใดหรือไม่?” ชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้นท่ามกลางเหล่าศิษย์ด้วยกันเอง
“ข้าว่าพวกเราต้องระวัง คงมีอะไรระหว่างทางเป็นแน่” ชายอีกคนพูดในสิ่งที่ตนคิดวิเคราะห์ออกมาให้คนอื่นๆได้ฟัง ซึ่งหลายๆคนก็พยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นหลายคนต่างตกลงกันว่าจะไปกันเป็นกลุ่ม แต่ก็มีอีกหลายคนที่ไปกันเองไม่ช้าคนทั้งหมดก็เริ่มทยอยออกตัวเริ่มพุ่งตัวเข้าไปยังป่าด้านในเพื่อที่จะรีบให้ถึงสำนักโดยเร็ว
“พวกเราก็ไปกันเถอะ” อู๋ซูเซียนบอกกับสหายตนแล้วก็ใช้วิชาตัวเบาเริ่มแตะเท้าพุ่งเข้าสู่ด้านใน
ไป๋เฟิ่งเองตามหลังรั้งท้าย หลังจากที่ถูกอาคมพามายังหน้าทางเข้าสำนัก ไป๋เฟิ่งก็รู้สึกว่าตนเองจะต้องเรียนรู้สิ่งนี้เพิ่มขึ้นเพื่อเอาไว้ใช้ประโยชน์ในภายหลังให้จงได้
ในขณะที่แต่ละคนต่างใช้วิชาตัวเบากระโดดเคลื่อนไหวไปตามกิ่งไม้ต่างๆ ปลายเท้าของใครคนหนึ่งก็ได้แตะเข้ากับอะไรบางอย่างที่ถูกวาดวางไว้บนกิ่งไม้กิ่งนั้นซึ่งไม่มีใครได้ทันรู้ตัว
50%
“นี่เราก็เดินทางกันมาสักพักหนึ่งแล้วเหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าไม่ได้เข้าใกล้เขตสำนักเลยสักนิดเดียว” อู๋ซูเซียนเอ่ยขึ้นในขณะที่กำลังนั่งพักอยู่บนกิ่งไม้ของต้นไม้ต้นหนึ่งพร้อมๆกับอีกคน ในความเป็นจริงการเดินทางจากทางเข้าถึงเขตสำนักใช้เวลาเพียงสองเค่อเท่านั้น นี่พวกตนใช้วิชาตัวเบาเหาะเหินมาหนึ่งเค่อแล้วก็ยังรู้สึกว่าไม่ได้ใกล้เขตสำนักแม้แต่นิดเดียว
เมื่อได้ยินเช่นนั้นไป๋เฟิ่งก็เงียบนิ่งใช้ความคิด คราที่ได้ยินว่าอาจารย์เฟินจะทดสอบพวกตนอีกครั้งก็รู้สึกเกร็งอยู่บ้าง ในหัวคิดไปมากมายว่าการทดสอบจะเป็นเช่นไรแต่แล้วความคิดต่างๆก็ต้องหยุดชะงักเมื่อได้รับรู้ว่าท่านอาจารย์แค่ให้พวกตนหาทางกลับเข้าไปที่สำนักเพียงแค่นั้น
แต่มันจะง่ายดายเพียงนั้นเชียวหรือ? ฟังจากน้ำเสียงที่ดูรื่นเริงนั่นก็ไม่น่าจะใช่
“เหมือนข้าจะได้ยินเสียงน้ำ น่าจะเป็นลำธารที่มาจากบนเขา”
“ข้ากำลังกระหายน้ำพอดี ถ้าเช่นนั้นข้าจะอาสาไปตักน้ำเอง” อู๋ซูเซียนพูดกับตัวเองเสร็จสรรพก็กระโดดลงจากต้นไม้ที่นั่งแล้วเดินไปใกล้กอไผ่ที่อยู่ไม่ไกลก่อนจะใช้พลังปราณของตนตัดลำไม้ไผ่ตัดแต่งให้เป็นกระบอกใส่น้ำ
“ข้าจะไปกับเจ้าด้วย” ไป๋เฟิ่งที่ไม่ไว้ใจในความปลอดภัยเอ่ยบอกไม่ปล่อยให้อีกคนไปเพียงลัง อู๋ซูเซียนพยักหน้าแล้วค่อยเดินไปตามทิศทางที่มีเสียงน้ำ ทั้งสองเดินทอดน่องไปเรื่อยๆต่างมองซ้ายขวาอย่างระมัดระวัง
“เจ้าว่ามันจะมีอะไรหรือไม่ไป๋เฟิ่ง”
ไป๋เฟิ่งส่ายหน้าพลางทำสีหน้าว่าไม่ทราบก่อนจะเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างที่โคนต้นไม้
“เจ้าดูอะไรอยู่น่ะ? เห็ดปู๋เย่ มันเป็นเห็ดพิษเจ้าอย่าได้เข้าใกล้เชียวสัมผัสเพียงนิดเดียวก็ต้องพิษของมันแล้ว ไปกันเถิด” อู๋ซูเซียนดึงแขนสหายให้เดินต่อ ทั้งสองเดินไปอีกไม่กี่สิบก้าวดวงตาหงส์ก็ไปปะทะเข้ากับสิ่งเดิมอีกครั้ง ไป๋เฟิ่งหยุดเดินแล้วขมวดคิ้วหันไปมองรอบๆตัว
พวกนางเดินมาที่จุดเดิมอีกครั้ง
“ซูเซียนหยุดก่อน” เสียงหวานเอ่ยเรียกสหายที่เดินนำตัวเองไปหลายก้าวให้หยุดเดิน
“มีอะไรหรือ” อู๋ซูเซียนเดินถือกระบอกไม้ไผ่ที่จะนำไปใส่น้ำเดินกลับมายังจุดที่สหายตนเองยืนนิ่งอยู่ดวงตามองไปยังจุดที่ปลายนิ้วเรียวสวยของเยี่ยไป๋เฟิ่งชี้แล้วก็ต้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ “นี่มัน!?” เหตุใดพวกนางถึงได้วนกลับมาที่เดิม!!
“พวกเราตกอยู่ในอาคม!” ทันทีที่ไป๋เฟิ่งเอ่ยจบภาพรอบตัวก็เหมือนจะบิดเบี้ยวขึ้นกลายสภาพเป็นสถานที่อื่นที่ใกล้เคียงกับที่เดิมแล้วในวินาทีนั้นก็มีอะไรบางอย่างพุ่งเข้ามาหาทั้งสองคน
สวบ!!!!!!
กรี้ดดดดดดดดดดดดดดดดด เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจดังขึ้นลั่นไปทั่วบริเวณเมื่อมีหนึ่งในสองคนถูกสิ่งที่พุ่งเข้ามาจับยึดเอาไว้จนขยับไม่ได้
“นี่มันตัวอะไรกันเนี่ย!” อู๋ซูเซียนร้องออกมาอย่างตื่นตระหนกเพราะถูกเส้นเขียวๆที่ขยับได้รัดตัวเอาไว้
ไป๋เฟิ่งที่ไหวตัวทันกระโดดถอยห่างออกมามองไปยังสิ่งมีชีวิตประหลาดตรงหน้าที่ขยับเส้นเขียวๆหลายเส้นไปมาอย่างใช้ความคิดถึงได้รู้ว่าเจ้าตัวประหลาดตรงหน้าคือสิ่งใดก่อนจะเอ่ย “มันคือสัตว์อสูร”
“สัตว์อสูร!” อู๋ซูเซียนนร้องออกมาด้วยความตกใจมากกว่าเดิม
ไป๋เฟิ่งพยักหน้าแล้วอธิบายต่อ “อสูรเถาวัลย์พิษ เป็นสัตว์อสูรระดับต่ำแต่แม้ว่ามันจะเป็นเพียงอสูรระดับต่ำแต่มีพิษร้ายแรงไม่น้อย รอบๆเส้นเถาวัลย์ของมันเต็มไปด้วยพิษ มันจะคอยจู่โจมเหยื่อแล้วใช้เส้นเถาวัลย์รัดเหยื่อและปล่อยพิษใส่จนกระทั่งเหยื่อตาย”
!!!!!
อู๋ซูเซียนที่ได้ยินหน้าซีดเผือด ตนไม่เคยต่อสู้กับสัตว์อสูร อย่าว่าแต่สู้เลยพบเจอยังยากเสียยิ่งกว่ายากอย่างมากก็รู้เพียงจากตำราเท่านั้น แล้วสัตว์อสูรตรงหน้าก็ไม่เคยพบเห็นผ่านตำราที่อ่านมา
โอ๊ยยยยยย!!! ในขณะที่ไป๋เฟิ่งพูดจบไม่ทันไรอู๋ซูเซียนที่โดนเจ้าสัตว์อสูรเถาวัลย์รัดก็ร้องออกมา เมื่อมองจึงพบว่าเจ้าสัตว์อสูรตนนั้นกำลังเริ่มปล่อยพิษสีดำใส่ตัวหญิงสาวที่กำลังมีสีหน้าที่แสดงออกถึงความเจ็บปวดจนน้ำตาไหล
พรึ่บ
ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว
ไป๋เฟิ่งเรียกพลังปราณที่สร้างขึ้นจากธาตุน้ำแล้วจู่โจมใส่เจ้าอสูรเถาวัลย์พิษอย่างรวดเร็วแต่ก็ยังไม่เร็วเท่าเส้นเถาวัลย์ที่เปรียบเสมือนแขนของมันที่ยืดออกมาแล้วพุ่งใส่ไป๋เฟิ่ง ร่างบางกระโดดหลบการโจมตีของมันร่นถอยออกมาตั้งหลักแต่ก็ถูกมันไล่จู่โจมไม่หยุดหย่อน
แบบนี้ไม่ดีแน่ ต้องหาทางเข้าใกล้ตัวมันให้ได้ มันอย่างนั้นก็จัดการมันไม่ได้ นางรู้วิธีการจัดการ แต่จะจัดการมันอย่างไรไม่ให้อู๋ซูเซียนเห็น?
ไป๋เฟิ่งพยายามคิดวิธีมากมายในขณะที่หลบการโจมตีของสัตว์อสูรไปด้วย ร่างบางขบคิดด้วยความเครียดกับความลับของตนที่ถูกย้ำให้ห้ามเปิดเผยจากคำสั่งของผู้เป็นอาจารย์
โอ๊ยยยยยยยยยยยย เสียงร้องของอู๋ซูเซียนที่ดังขึ้นอย่างเจ็บปวดมากกว่าเดิมทำให้ร่างบางหยุดความคิดต่างๆแล้วลงมือช่วยสหายทันทีโดยหมดความลังเล
ร่างบางกระโดดขึ้นไปหลบบนต้นไม้สูงใช้เวลาทำการบางอย่างไม่ถึงสามอึดใจก็กระโดดพุ่งเข้าใส่แล้วซัดพลังปราณในมือมาใส่เจ้าอสูรเถาวัลย์พิษซึ่งมันก็ตวัดเส้นเถาวัลย์ใส่คนที่โจมตีมันทันที่ ร่างบางจึงได้ใช้พลังส่วนหนึ่งตัดเส้นเถาวัลย์ยาวๆที่เป็นเหมือนแขนของมันให้ขาดสะบั้นลง ร่างของมันกลังจะทำการงอกขึ้นมาใหม่แต่จู่ๆมันก็หยุดชะงักนิ่งค้างในชั่วพริบตาแล้วเกิดไฟลุกไหม้ท่วมตัว เสียงหวีดร้องแปลกหูดังออกมาจากเจ้าสัตว์อสูรก่อนจะเงียบหายไปใช้เวลาไม่กี่วิมันก็เหลือเพียงแต่ซาก แล้วสภาพแวดล้อมที่ทั้งคู่ตกอยู่ในอาคมก็กลับมาเป็นเช่น เดิมเหตุการณ์จึงกลับมาสู่ความสงบอีกครั้ง
“เจ้าถูกพิษของมันมากหรือไม่?” เสียงหวานของไป๋เฟิ่งเอ่ยถามสหายที่ตนเองดึงออกมาจากการกักขังของสัตว์อสูรในเสี้ยววิก่อนจะใช้ไฟเพื่อจัดการมัน
ไป๋เฟิ่งมองอู๋ซูเซียนที่ส่ายหน้าแต่สีหน้าซีดเซียวก็พอจะทำให้รู้ว่าเจ็บปวดเพราะถูกพิษไม่น้อยจึงได้ล้วงถุงใบเล็กออกมาจากใต้แขนเสื้อเปิดปากถุงแล้วหยิบขวดหยกเทโอสถออกมาหนึ่งเม็ดยื่นแล้วให้สหายตน
“ทานโอสถระงับก่อนเถิด มันช่วยเจ้าได้” อู๋ซูเซียนมองเม็ดโอสถสีดำสนิทด้วยสายตาพินิจก่อนจะหยิบมันใส่ปากกลืนลงไปหันหน้าเหลียวกลับไปมองซากสัตว์อสูรที่กลายเป็นเถ้าด้วยฝีมือเยี่ยไป๋เฟิ่ง แล้วย้ายสายตามามองสตรีตรงหน้าตนเองด้วยความพิศวง ก่อนคนที่ถูกมองจะเฉไฉพูดขึ้นเพื่อตัดบทกับตน
“เราพักกันอีกนิดรอเจ้าหายดีแล้วค่อยเดินทางต่อ”
“อืม” อู๋ซูเซียนรับคำแล้วใช้เวลาฟื้นฟูพักร่างกาย เก็บความสงสัยทั้งหมดกลับเข้าในใจไม่คิดจะถามอันใดถึงแม้ว่าตนเองจะทันเห็นการกระทำต่างๆของสตรีตรงหน้าก็ตาม
ต่างจากอีกฝากหนึ่งที่ได้เหตุการณ์ทั้งหมดผ่านกระจกอาคม
อาคมแยกร่าง!!! ผู้เป็นอาจารย์ตาเบิกกว้างอย่างตกใจ พวกตนนั้นลอบดูทั้งสองตั้งแต่ที่เขตอาคมเริ่มทำงานจนมาถึงฉากการต่อสู้ระหว่างเด็กสาวกับสัตว์อสูรระดับต่ำตัวนั้น ในจังหวะที่ร่างบางกระโดดขึ้นไปที่ต้นไม้แล้วพุ่งลงมาปะทะใส่กับอสูรเถาวัลย์พิษตนเองก็คาดการณ์ว่าอย่างไรก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับมันอย่างแน่นอนแต่ไม่คิดว่าหลังจากที่เด็กสาวที่สวมผ้าคลุมหน้าปล่อยพลังตัดเส้นเถาวัลย์ที่ยืดหดได้พลันก็มีเงาจากด้านหลังพุ่งประชิดร่างสัตว์อสูรแล้วปล่อยลูกไฟเผาร่างสัตว์อสูรจนเหลือแต่เศษเถ้า เมื่อลงมือจัดการเสร็จเงาสีดำนั่นก็กลับเข้าสู่ร่างที่แท้จริงซึ่งนั่นก็คือเด็กสาวที่คลุมใบหน้าผู้นั้น!!
นี่มันน่าตกใจเกินไปแล้ว!
“นี่เจ้าสอนการใช้อาคมให้แก่เหล่าศิษย์ฝึกวรยุทธด้วยหรือ!?” หลวนซือเค่อถามคนที่เป็นอาจารย์สอนวรยุทธประจำสำนักด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม นี่มันเป็นการหยามหน้าตนที่เป็นอาจารย์สอนอาคมประจำสำนักชัดๆ
“หาไม่ท่านอาวุโสหลวน ตัวข้าไม่เคยสอนการใช้อาคมให้แก่เหล่าศิษย์ที่ฝึกวรยุทธแม้แต่น้อย” เฟินต๋าเฉิงรีบบอกแก่ชายชราเพื่อป้องกันการเข้าใจผิด การสอนศาสตร์แต่ละแขนงในสำนักแบ่งอย่างชัดเจน ตัวเขาถึงแม้จะเป็นผู้มีวิชาอาคมผู้หนึ่งแต่ก็สอนเพียงวรยุทธเท่านั้น การสอนศาสตร์อาคมนั้นในสำนักคือชายชราตรงหน้าต่างหาก
“นางเป็นใครกัน” หลวนซือเค่อถามออกมาอย่างประหลาดใจและใคร่รู้เกี่ยวกับเด็กสาวที่มีสามารถถึงกับใช้อาคมขั้นกลางได้ ตนจำเหล่าศิษย์ในความดูแลตนได้และตนมั่นใจว่าไม่มีเด็กสาวผู้นี้เรียนศาสตร์การใช้อาคมในปีนี้กับตนอย่างแน่นอน ในกลุ่มผู้ฝึกวรยุทธผู้ที่เรียนการใช้อาคมกับตนมีเพียงองค์ชายจากแคว้นเย่วเท่านั้น
“ข้าเองทราบเพียงว่านางเป็นบุตรีของเสนาบดีที่ปรึกษาประจำพระองค์ของแคว้นจ้าวที่ท่านเจ้าสำนักสามเป็นผู้ฝากฝังให้ข้ารับนางมาร่วมฝึกกับศิษย์ในปีนี้ ท่านสังเกตเห็นที่ตัวนางใช่หรือไม่?” เฟินต๋าเฉิงอธิบายแล้วถามชายชราตรงหน้า
หลวนซือเค่อชะงักไปชั่วครู่แล้วพยักให้กับคนถาม “แต่เหมือนว่านางจะไม่ทราบว่าตนเองถูกลงอาคมไว้ที่ตัว” ชายชราบอกลางลูบเคราสีขาวหงอกของตัวเองไปมา หวนนึกถึงภาพที่สายตาตนเองไปปะทะเข้ากับร่างเด็กสาวที่มีอาคมอำพลางไว้ที่ตัวทำให้ตนประเมินระดับพลังปราณของนางไม่ได้ เฟินต๋าเฉิงเองก็คงเช่นกัน
“อาจเป็นเจ้าสำนักสาม” เฟินเต๋าเฉิงเดา
“ไม่ใช่” หลวนซือเค่อบอก พลังอาคมของจ้าสำนักสามไม่ได้ทรงพลังขนาดนี้ เจ้าของอาคมนี้พลังแข็งแกร่งกว่าเจ้าสำนักสามมากกว่านักและแน่นอนว่าแข็งแกร่งกว่าตนด้วยเช่นกัน
“อีกอย่างข้าเคยเห็นนางใช้พลังปราณในการต่อสู้กับหุ่นเชิด”
“สู้กับหุ่นเชิด? นี่ปีนี้เจ้าฝึกศิษย์ใหม่หนักถึงเพียงนี้เชียวหรือ แล้วมีปัญหาอันใด?” คิ้วขาวโพลนเลิกขึ้นข้างหนึ่งถามด้วยความสนใจ หุ่นเชิดไม่ใช่สิ่งที่ใครจะสร้างได้โดยง่ายเพราะฉะนั้นจึงเอาไว้ใช้งานที่เป็นประโยชน์ในทางจำเป็นเสียมากกว่าที่จะเอามาฝึกศิษย์รุ่นเยาว์ ตนเองที่เชี่ยวชาญทางด้านอาคมก็ยังไม่อาจสร้างได้นับว่าเป็นสิ่งที่รู้สึกอิจฉาในความสามารถของเฟินต๋าเฉิงไม่น้อย
“เมื่อครู่ท่านทันเห็นพลังปราณที่นางใช้หรือไม่” เฟินต๋าเฉิงบอกด้วยเสียงนิ่งลึก ส่วนหลวนซือเค่อที่ลองนึกดีๆกลับเบิกตากว้างขึ้นมาเป็นรอบที่สอง
คราแรกพลังปราณที่นางใช้เป็นธาตุน้ำ แต่หากตอนจัดการกับอสูรเถาวัลย์พิษนั้นเป็นธาตุไฟ!!
“ตอนที่นางสู้กับหุ่นเชิด ครั้งสุดท้ายที่นางจัดการกับหุ่นเชิดของข้านางใช้พลังปราณสีดำขนาดเพียงเท่าผลอิงเถาทำลายอาคมที่ข้าวางไว้ในหุ่นเชิดเกือบทั้งหมด ท่านทราบใช่หรือไม่ว่าผู้ที่ใช้พลังปราณสีดำนั้นเป็นอย่างไร?” หลังจากเหตุการณ์วันนั้นเฟินต๋าเฉิงเองก็ได้ไปที่หอตำราของสำนักค้นหาตำราที่เกี่ยวข้องกับเรื่องพลังธาตุทั้งหมด
ชายชราที่คิดตามคำพูดของบุรุษวัยกลางคนตรงหน้าเมื่อคิดวิเคราะห์เรื่องราวทั้งหมดได้ก็ตาเบิกกกว้างมากกว้างเดิมก่อนจะเอ่ยเสียงสั่นอย่างไม่มั่นใจนัก “หนะ..นี่! นี่คงไม่ใช่ว่านาง!” เสียงของหลวนซือเค่อขาดหายไป
เฟินต๋าเฉิงเห็นอาการชายชราตรงหน้าก็พยักหน้าก่อนจะเอ่ยยืนยันความคิดของชายชรา
“ใช่ นางคือผู้ใช้ธาตุมืด”
Talk
ตอนนี้ไรท์ก็ยังคงแต่งยังไม่จบนะคะ ยังวุ่นวายกับงานตัวเองอยู่ แต่จะพยายามหาเวลาว่างมาลงให้อ่านกันน้าาา รออีกนิด คิดว่าไม่เกินกลางเดือนหน้าคงจัดการทุกอย่างจบรวมถึงเรื่องอีบุ๊คด้วย ใครสายอีบุ๊ครอเลยนะคะ อ้อ ตอนพิเศษจะมีแค่ในอีบุ๊คเท่านั้นน้าาาา ไรท์จะแต่งเพิ่มเป็น 5 ตอนนะคะจากตอนแรกว่าจะมีแค่ 3 มันดูน้อยไป ส่วนราคาก็คงไม่แพงมากนักต้องดูจำนวนหน้ากับองค์ประกอบหลายอย่างอีกทีค่ะ
ไว้เจอกันตอนหน้าจ้า จะพยายามหาเวลามานะคะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เรื่องเรียนสำคัญกว่า แต่ไรท์มาต่อเร็วๆนร้าา สนุกมากเลยจ้า
มาต่อไวๆ นะค่ะ..สนุกมาก
รออีบุ๊คของไรท์เลยจร้าาาาพร้อมเปร์มากสู้ๆค่ะไรท์🥰
รอลุ้น...เจอตัวอะไรหนอ
รอนางเอกเราโชว์พาวค่ะ
รอลุ้นจ๊า....มาลงไวไวจ๊า
ขืนเปิดหนุ่มๆ มาเป็นพรวนแน่ๆ
รอต่อนะค่ะ
ป.ล.ท่านอ๋องค่าตัวแพงจัด