ตอนที่ 31 : ตอนที่ 31 ตำราสมุนไพร
ตอนที่ 31
ตำราสมุนไพร
วันนี้ไป๋เฟิ่งตื่นมาตามเวลาปกติแม้ว่าจะไม่ได้มีกิจกรรมใดๆเนื่องจากท่านอาจารย์ประกาศให้ทุกคนพัก ทุกคนในที่นี้หมายถึงคนที่ฝึกวรยุทธ ส่วนกลุ่มอื่นๆก็มีเรียนตามปกติ เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้วนางจึงกลับเข้าห้องเพื่ออ่านตำราที่อาจารย์ตนทิ้งเอาไว้ให้ต่อ สายตากวาดมองกองตำราที่มีหลายสิบเล่มวางซ้อนทับกัน คิดวิเคราะห์ครู่หนึ่งก่อนจะหยิบตำราสมุนไพรและตำราการปรุงโอสถมาอ่าน หลังจากที่นางได้อ่านตำราที่ตนเองเป็นเจ้าของเมื่อคืนจึงมีความคิดว่านอกจากวรยุทธที่นางสามารถศึกษาจากตำรานั่นได้ทันที เรื่องอื่นๆควรจะศึกษาไปทีละเรื่องโดยเริ่มจากขั้นพื้นฐานเสียก่อนจึงจะสามารถฝึกฝนเคล็ดลับขั้นสูงจากตำรานั่นได้ เพราะนางยังไม่มีพื้นฐานของเรื่องอื่นเลยแม้แต่น้อยนอกจากเพียงแค่ได้อ่านมาแค่นั้น
ว่าด้วยเรื่องตำราสมุนไพรตัวนางเองก็พอที่จะได้ศึกษามาบ้างส่วนมากจะเป็นตำราจากห้องหนังสือของท่านพ่อที่รวมหนังสือหลากหลายชนิดเอาไว้ด้วยกันพลอยทำให้นางได้รู้สิ่งต่างๆมากขึ้นนอกจากมารยาท ธรรมเนียมสตรี และศาสตร์ทั้งสี่
สมุนไพรนั้นแบ่งออกเป็นสี่ระดับ ได้แก่สมุนไพรชั้นต้น ชั้นกลาง ชั้นสูง และสมุนไพรวิเศษที่หายาก ผู้ปรุงโอสถก็แบ่งออกเป็นสามระดับ คือ หนึ่งผู้ปรุงโอสถชั้นต้นโดยคนส่วนมากก็อยู่ในขั้นนี้คนกลุ่มนี้สามารถปรุงโอสถรักษาอาการเจ็บไข้ได้ป่วยของโรคทั่วไปที่ไม่ซับซ้อนได้ สองคือผู้ปรุงโอสถชั้นกลางคนที่อยู่ในขั้นนี้จะเป็นผู้ที่อยู่กับสำนักหมอหลวงที่เป็นผู้รักษาหรือตามโรงหมอที่เปิดรับรักษาคนไข้ตามเมืองใหญ่ๆ สามคือผู้ปรุงโอสถระดับสูงที่ถือว่ามีน้อยมากโดยส่วนมากในหนึ่งแคว้นจะมีไม่เกินสิบคน เหตุเนื่องจากการเลื่อนขั้นของผู้ปรุงโอสถยากพอๆกับการเลื่อนขั้นของผู้ฝึกวรยุทธ
นิ้วเรียวทั้งห้าค่อยๆจับหน้ากระดาษพลิกอ่านไปเรื่อยๆ ตำราที่อ่านบรรยายถึงชื่อ ชนิด ลักษณะ และสรรพคุณของสมุนไพรแต่ละชนิดไว้อย่างชัดเจน ในตำรามีสมุนไพรแปลกใหม่หลายชนิดที่ไป๋เฟิ่งไม่เคยได้รู้จักมาก่อนจึงทำนางรู้สึกกระตือรือร้นที่จะอ่านมากยิ่งขึ้น
ร่างบางใช้เวลาจมจ่อมไปกับหนังสือในมือประมาณเกือบครึ่งค่อนวันจึงได้ปิดหนังสือลงเมื่ออ่านมันจบพอดีกับที่เสียงของสาวใช้ร้องบอกจากด้านนอก
“คุณหนู มีคนมาขอพบเจ้าค่ะ”
“ใครหรือ?” ไป๋เฟิ่งขมวดคิ้ว ใครกัน? หากเป็นสหายตนไม่น่าจะขอพบเนื่องจากเคยมาที่นี่สองสามครั้งและคุ้นเคยกับคนรับใช้ที่นี่พอสมควรแค่ให้บ่าวรับใช้มาเรียนนางก็พอแล้ว
“ผู้ที่มากล่าวว่าเป็นคนของชินอ๋องแคว้นจ้าวเจ้าค่ะ”
ทันทีที่ได้ยินก็เข้าใจจึงได้เอ่ยบอกสาวใช้
“ให้รอข้าซักครู่”
“เจ้าค่ะ”
ไป๋เฟิ่งตรวจสอบความเรียบร้อยของตนก่อนจะออกมาพบคนที่สาวใช้บอกว่ารออยู่ด้านหน้าทางเข้าเรือน
เมื่อมาถึงบริเวณด้านหน้าจึงเห็นบุรุษใส่ชุดสีดำสนิทตลอดทั้งตัวที่นางสังเกตเห็นว่ามีผ้าคาดที่เป็นลวดลายหัวพยัคฆ์อยู่บนศีรษะ ทันทีที่เห็นนางบุรุษตรงหน้าก็โค้งกายเคารพนาง
“ท่านอ๋องมีรับสั่งให้ข้าน้อยนำมาส่งให้ท่านขอรับ” ชายผู้นั้นเอ่ยก่อนจะยื่นห่อผ้าที่อยู่ในมือให้นาง
“ขอบใจเจ้ามาก เจ้ารอข้าซักครู่ได้หรือไม่” ไป๋เฟิ่งยื่นมือไปรับห่อผ้ามาถือไว้พร้อมเอ่ยถาม
“ได้ขอรับ”
เมื่อชายผู้นั้นตอบไป๋เฟิ่งจึงเดินกลับเข้าไปในเรือน ร่างบางแกะห่อผ้าเพื่อดูสิ่งที่อยู่ด้านในภายในเป็นกล่องไม้ที่ลวดลายดูคุ้นตาคล้ายเหมือนคราวก่อน บนกล่องไม้มีจดหมายสีขาวนวลหนึ่งฉบับวางอยู่ นางหยิบขึ้นมาแล้วเปิดอ่าน
‘ หวังว่าเจ้าจะชอบ ’
จ้าวเฟยหลง
จดหมายสั้นๆที่ถูกเขียนด้วยลายมือเส้นหมึกคมสวยงามมั่นคงหนักแน่นบ่งบอกตัวตนของเจ้าของ ทั้งที่เป็นจดหมายที่มีเพียงข้อความทื่อๆตรงตัว ไม่ได้มีอะไรมากมายแต่ทำให้นางรู้สึกว่าระยะห่างของตนและอีกคนลดลงอีกส่วน ต่างจากตอนแรกที่ค่อนข้างจะมีช่องว่าง มือบางพับจดหมายแล้วเก็บใส่กล่องอย่างดีแล้วหันมาเปิดกล่องไม้ออกจึงพบว่าเป็นขนมที่ไม่อาจหาทานได้ตามทั่วไปหลากหลายชนิดเต็มกล่องทำให้คนที่ชื่นชอบของหวานเป็นนิจระบายยิ้มออกมาพร้อมนึกถึงคนที่ให้คนส่งมาให้ ไม่นึกว่าคนที่ดูดุดันน่ากลัวอย่างชินอ๋องจะเป็นคนที่มีน้ำพระทัยกว้างถึงเพียงนี้
ไป๋เฟิ่งที่นึกได้ว่าตนจะเขียนจดหมายขอบคุณชินอ๋องจ้าวเฟยหลงรีบหยิบกระดาษและพู่กันขึ้นมาเขียน ใช้เวลาไม่นานก็เสร็จแล้วจึงได้ให้สาวใช้นำไปมอบให้กับคนของอีกฝ่ายหลังจากนั้นจึงได้กลับมาอ่านตำราการปรุงโอสถต่อ
หลังจากผ่านไปหนึ่งวันอย่างเรียบง่ายด้วยการอ่านตำราทั้งวันของไป๋เฟิ่ง เมื่อจัดการธุระต่างๆเสร็จ เข้ายามซวี (戌:xū)ที่บรรยากาศปราศจากเสียงรบกวนหรืออาจเพราะบริเวณนี้แยกตัวจากเขตสำนักจึงทำให้ยามค่ำคืนเงียบสงบกว่าที่ไหนๆในสำนักแห่งนี้
ไป๋เฟิ่งที่อ่านทำความเข้าใจในตำราทั้งสองของวันนี้เสร็จจึงคิดที่จะลองปรุงโอสถดู แต่จะทำอย่างไรล่ะ? ในเมื่อตนไม่ได้เลือกการเป็นผู้ปรุงโอสถควบคู่กับการฝึกวรยุทธตั้งแต่แรก แถมคนที่จะเข้าไปยังห้องที่มีเตาหลอมสำหรับปรุงโอสถได้ก็มีเพียงเหล่าศิษย์ที่เรียนกับอาจารย์ที่สอนเท่านั้น จะรอปรึกษาท่านอาจารย์ก็ไม่รู้ว่าอาจารย์ตนจะกลับมาเมื่อไหร่ เอาเถอะแล้วค่อยคิดหาทางตนว่าตอนนี้ควรไปทำการดูดซับพลังปราณมากักเก็บไว้ให้เต็มสิบส่วนดังเดิมและฝึกกระบวนท่าจากตำราของตนดีกว่าไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้ท่านอาจารย์จะให้ทำอะไรอีก คิดได้ดังนั้นร่างบางจึงเดินออกไปด้านนอกเรือนที่ติดกับลำธารที่เดิมและเริ่มการฝึกของตนเงียบๆเพียงคนเดียว
วันรุ่งขึ้น
“พี่ไป๋เฟิ่งวันนี้พวกเราไปทานอาหารที่เรือนท่านได้หรือไม่เจ้าคะ?” น้องเล็กของกลุ่มอย่างลั่วหยางลู่เอ่ยขึ้นกับพี่สาวที่ดูพูดน้อยที่สุดในบรรดาพี่ๆทั้งสามคนแต่ทว่าไม่ได้เย็นชาหรือเย่อหยิ่งอย่างที่ผู้คนชอบนินทากัน นางเอ่ยถามเพราะชอบได้ยินพี่ซูเซียนที่เคยได้ไปเยือนพูดให้ฟังว่าอาหารที่เรือนพักของท่านพี่ไป๋เฟิ่งนั้นดีกว่าที่ห้องอาหารกลางเสียอีกนางจึงคิดว่าจะมีโอกาสได้ไปทานบ้างหรือไม่
“นั่นสิไป๋เฟิ่ง เรือนพักของเจ้านอกจากจะไม่วุ่นวายแล้วยังอาหารอร่อยอีกด้วย เจ้าเอ่ยได้ดีมากลู่ลู่” อู๋ซูเซียนลงความเห็นอีกคนและเอ่ยชมลั่วหยางลู่ที่คิดตรงกับนาง
“พวกเจ้าอย่าได้เอาแต่ใจนัก ไป๋เฟิ่งหากเจ้าไม่สะดวกเราไปทานที่ห้องอาหารกลางกันก็ได้นะ” ในขณะที่อู๋ซูเซียนเอ่ยสนับสนุนลั่วอย่างลู่ แต่เสวี่ยเผยซินที่เป็นพี่ใหญ่เอ่ยปรามทั้งสองคนแล้วหันไปกล่าวกับเจ้าของสถานที่อย่างเกรงใจเพราะเข้าใจว่าที่นั่นไม่ใช่ว่าจะไปก็ไปได้ในเมื่อเจ้าของสถานที่ที่แท้จริงคือใครทุกคนก็พอจะทราบดี ตนและลั่วหยางลู่ยังไม่เคยได้ไปที่นั่นสักครั้ง ปกติพวกตนเวลาเรียนไม่ตรงกันการทานอาหารร่วมกันจึงแทบนับครั้งได้จึงมีเพียงอู๋ซูเซียนเท่านั้นที่ได้ไปเยือน
“ไม่เป็นไรทานที่เรือนข้าก็ได้ งั้นไปกันเถิดจะได้รีบไปบอกคนครัวให้เร่งเตรียมอาหาร” ไป๋เฟิ่งกล่าวอย่างไม่ได้ลำบากใจอะไร เรือนหลังนั้นท่านอาารย์และท่านเจ้าสำนักสามได้เอ่ยปากเอาไว้แล้วว่าจะทำสิ่งใดก็ได้
วันนี้พวกตนนัดรวมกลุ่มกันหลังยามฝึกที่มีเวลาว่างตรงกันพอดีนั่นก็คือยามบ่าย แต่ตอนนี้พึ่งถึงเวลาเที่ยงจึงทำให้ถกเถียงกันว่าจะไปทานมื้อกลางวันที่ไหนดีเพราะเป็นวันที่ทุกคนเลิกเรียนพร้อมกันทุกกลุ่มจึงทำให้ห้องอาหารกลางของสำนักแน่นขนัดไปด้วยผู้คน
ทั้งหมดเดินอีกเกือบครึ่งก้านธูปก็มาถึงที่เรือนพักของไป๋เฟิ่ง ทุกคนเข้ามาในเรือนตามการนำของไป๋เฟิ่งและนั่งรอเมื่อผู้ที่อยู่เรือนนี้เดินไปบอกสาวใช้ให้บอกคนครัวเตรียมอาหารสำหรับพวกตนสี่คนแล้วกลับเข้ามานั่งรวมกันทีหลัง
“รอสักครู่ ทานของว่างกันก่อนข้าบอกให้คนครัวทำอาหารแล้วคงใช้เวลาไม่นาน” ไป๋เฟิ่งเอ่ยบอกแขกที่ได้มาทานอาหารที่เรือนตน พร้อมหันไปพยักหน้าให้สาวใช้ที่ตามมายกจานของว่างนำมาวางให้ทุกคนทานรองท้อง
“หืม นี่มันขนมที่หาทานได้เฉพาะในวังนี่” อู๋ซูเซียนที่ได้ยินว่ามีของว่างกวาดสายตาไปทั่วจานแล้วอุทานขึ้นมาด้วยความสนใจ ก่อนจะหันหน้าไปมองสหายตนอย่างมีคำถาม
“ไป๋เฟิ่งเจ้าได้มันมาอย่างไร” ตนเข้าวังออกบ่อยขนมพวกนี้นางเคยได้กินตอนเข้าเฝ้าท่านป้าของนางหรืออู๋หวงไท่โฮ่ว
ผ่านไปนานนับหลายนาทีที่นางส่งสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามให้อีกคนแต่ก็ไม่ได้คำตอบอะไรหลุดจากสหายคนงามของนางแม้แต่น้อย นางคร้านที่จะรอฟังคำตอบจึงได้แต่หยิบขนมขึ้นมากินและเลิกคิดที่จะถามไป๋เฟิ่ง
ทางด้านเสวี่ยเผยซินและลั่วหยางลู่ที่ได้ยินว่าเป็นขนมที่หาทานได้เฉพาะในวัง ก็เข้าใจทันทีว่าวังที่ว่าก็คงเป็นวังหลวงของทางแคว้นจ้าวจึงได้นั่งนิ่งไม่กล้าที่จะหยิบขนมขึ้นมา
“ทานเถอะไม่เป็นอันใด” ไป๋เฟิ่งเห็นอาการทั้งคู่จึงได้เอ่ยปากบอก ตนลืมคิดไปเสียว่าอู๋ซูเซียนอาจจะจำได้ว่าขนมนี้มีที่มาจากที่ใด ช่างเถอะมันไม่มีอันใดเสียหน่อย(?)
รอไม่นานอาหารทั้งหมดก็ถูกนำมาวางทุกคนจึงได้หยุดคุยกันเพื่อที่จะทานอาหาร
มือขาวเรียวเอื้อมมือขึ้นมาปลดผ้าคลุมหน้าลงแล้วเริ่มลงมือรับประทานอาหารเงียบๆไม่ได้สนใจอันใด พอเงยหน้าขึ้นมาก็พบกับดวงตาอีกสองคู่ที่กำลังมองหน้านาง นางไม่สามารถเอ่ยถามได้เนื่องจากอาหารอยู่ในปากจึงได้แต่ส่งสายตาถามแทน
คิก คิก เสียงอู๋ซูเซียนหัวเราะคิกคักกับปฏิกิริยาของสตรีอีกสองคน เห็นไหมล่ะ นางเคยบอกแล้วไม่ว่าบุรุษหรือสตรีก็ต้องตกตะลึงในความงามอันร้ายกาจของสหายนาง หากสหายนางถอดผ้าคลุมล่ะก็บรรดาบุรุษในสำนักคงตามเกี้ยวเอาอกเอาใจไป๋เฟิ่งแทนองค์หญิงหลี่เซียนอะไรนั่น เฮอะ! สหายนางงดงามกว่าเป็นไหนๆ
ทั้งสองที่ได้ยินเสียงหัวเราะของอู๋ซูเซียนจึงได้หลุดอาการคล้ายถูกมนต์สะกดจากอะไรบางอย่างแล้วก้มหน้าก้มตาทานอาหารเงียบๆต่อไป
“นี่ๆข้าทราบมาว่าห่างจากสำนักไม่ไกลมากมีเมืองเล็กๆที่ช่วงนี้งานเทศกาลประจำปีด้วยล่ะ บ่ายพวกเราว่างไปเที่ยวกันที่เมืองนั่นดีหรือไม่?” เป็นอู๋ซูเซียนที่เอ่ยขึ้นเมื่อทุกคนเปลี่ยนที่นั่งจากห้องรับประทานอาหารมาเป็นสวนด้านข้างตัวเรือนที่อากาศกำลังดี
“เอ๊ะ ใช่แล้ว ไม่ไกลจากนี่มีเมืองชื่อว่า ตงเป่ย อยู่จริงๆเจ้าค่ะ ” ลู่หยางลั่วที่ได้ยินเอ่ยขึ้นบ้าง
“เจ้าเป็นคนแคว้นเย่วนี่นาที่นั่นเป็นอย่างไรบ้าง”
“ข้าเองก็ไม่ทราบเจ้าค่ะไม่เคยไปเหมือนกัน” ลั่วหยางลู่ยิ้มแห้ง ถึงตนจะเป็นลูกสาวของคหบดีใหญ่ที่บิดามักจะพาไปท่องเที่ยวตามเมืองหรือต่างแคว้นมานักต่อนักแต่เมืองเล็กอย่างตงเป่ยที่อยู่แคว้นตนนั้นไม่เคยได้ไปเยือนจริงๆถึงแม้ว่าบิดาจะมีกิจการอยู่ที่นั่นก็ตามที
“นี่ๆ ตกลงว่าอย่างไร ไปกันหรือไม่?” เมื่อไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมอู๋ซูเซียนก็เบนเข็มมาถามสตรีอีกสองคนที่ไม่พูดจาอันใดตั้งแต่เริ่มเรื่องมา
“ทางสำนักจะไม่ว่าหรือ” ไป๋เฟิ่งเอ่ยถาม
“ไม่หรอก ตามความจริงศิษย์ทุกคนสามารถออกไปไหนมาไหนได้แต่ต้องแจ้งอาจารย์ผู้คุมกฎอย่างอาจารย์อวิ๋นและกลับเข้าสำนักไม่เกินยามซวี(戌:xū)เท่านั้นเอง” เสวี่ยเผยซินตอบพลางมองใบหน้างามที่ปราศจากผ้าคลุม ตนพอจะเข้าใจว่าทำไมเยี่ยไป๋เฟิ่งจึงต้องคลุมใบหน้าเอาไว้เพราะรูปลักษณ์เช่นนี้หากเอ่ยว่างามล่มแคว้นก็มิผิดนัก สตรีที่ไม่ชอบความยุ่งยากเช่นนี้คงไม่อยากหาเรื่องลำบากมาใส่ตัว
“อืม ถ้าเช่นนั้นไปก็ได้”
“ดีๆ งั้นไปแจ้งอาจารย์อวิ๋นกันเถิดจะได้รีบไปกันจะได้อยู่เที่ยวนานๆ”
เมื่อตกลงกันได้ไป๋เฟิ่งจึงขอตัวเข้าไปเปลี่ยนชุดและเตรียมตัวที่จะออกไปพร้อมกับทุกคนเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา
หลังจากที่ไปแจ้งอาจารย์อวิ๋นเสร็จเรียบร้อยแล้วพวกตนจึงพบว่าศิษย์ในสำนักหลายๆกลุ่มก็พากันไปเที่ยวที่งานเทศกาลที่เมืองตงเป่ยเช่นเดียวกับพวกตน
ใช้เวลาราวครึ่งชั่วยามพวกนางก็พากันมาถึงประตูทางเข้าเมืองที่มีผู้คนมากมาย โชคดีที่สอบถามคนในสำนักถึงเส้นทางที่มายังเมืองนี้ทำให้พวกตนไม่ต้องเสียเวลามากนัก
“ถึงจะเป็นเมืองเล็กๆแต่ดูท่าจะเป็นเมืองที่ครึกครื้นไม่น้อย” เสวี่ยเผยซินเอ่ย
“เราเข้าไปกันเถอะ” ไป๋เฟิ่งเอ่ยบอกทุกคนจึงได้พากันเดินเข้าไปในเมือง
เมื่อเข้ามาถึงก็พบกับบรรดาร้านค้ามากมายที่ออกมาตั้งแผงขายของเต็มสองข้างทางเดิน ผู้คนมากมายเดินสวนกัน เสียงพูดคุย เสียงหัวเราะเต็มไปทั่วท้องถนนบรรยากาศอบอวลไปด้วยความสนุกสนาน มีการแสดงกายกรรม หรือละครงิ้วเล็กๆให้คนได้เข้าไปดู ร้านขายเสื้อผ้าอาภรณ์เครื่องประดับก็มีไม่น้อย ถึงจะเป็นเมืองเล็กๆแต่ความอุดมสมบูรณ์ก็ไม่แพ้เมืองใหญ่อื่นๆเลย
“ไปกันเถอะลู่ลู่พี่สาวคนนี้จะพาเจ้าเที่ยวเอง!” อู๋ซูเซียนเอ่ยอาสาอย่างแข็งขันกับน้องเล็กของกลุ่ม
“เจ้าค่ะ!”
เสวี่ยเผยซินและเยี่ยไป๋เฟิ่งมองสตรีสองนางที่ตื่นเต้นราวกับเป็นเด็กลากกันเข้าเที่ยวแวะดูร้านนั้นร้านนี้ไม่หยุด พวกตนสองคนจึงได้แต่คอยดูไม่ให้ทั้งสองไปชนคนอื่นๆที่มองมาอย่างสนใจ ไม่นานก็มาถึงร้านเครื่องประดับร้านหนึ่งอู๋ซูเซียนจึงได้หันกลับมาเรียกพวกตนสองคน แต่ไป๋เฟิ่งตอบปฏิเสธว่าจะยืนรอด้านหน้าร้านในขณะที่เสวี่ยเผยซินถูกมือเล็กของลั่วหยางลู่ดึงเข้าไปในร้านเป็นที่เรียบร้อย
“ท่านป้าข้าขอถามบางอย่างได้หรือไม่” ไป๋เฟิ่งเอ่ยถามคนที่ขายของอยู่แถวนั้น
“คุณหนูท่านนี้อยากถามอะไรหรือ” หญิงชาวบ้านมองสตรีนางหนึ่งที่ดูโดดเด่นตั้งแต่ย่างก้าวเข้ามาในเมืองถึงแม้ว่าจะมีสตรีอีกสามคนที่หน้าตางดงามน่ารักก็ตามแต่สตรีผู้นี้คือคนที่ทุกคนต่างมองอย่างไม่อาจละสายตาได้แม้ว่าจะสวมผ้าคลุมหน้าอยู่ก็ตาม
“ที่นี่มีร้านขายบรรดาสมุนไพรอยู่บ้างไหม?”
“มีสิมี อยู่ไม่ไกลแค่สุดมุมถนนเส้นนี้เอง ว่าแต่พวกท่านมาจากที่ใดหรือดูเหมือนว่าจะไม่ใช่คนแถวนี้”
“พวกข้ามาจากสำนักเพ่ยฉีที่อยู่ไม่ไกลนี่เจ้าค่ะ”
“อ้อ พวกท่านคือศิษย์จากทางสำนักนี่เอง บรรดาข้าวของเครื่องใช้ต่างๆไม่ว่าจะเป็นอาหาร เสื้อผ้าอาภรณ์หรือสมุนไพรต่างๆคนจากทางสำนักก็มาซื้อมาหาที่นี่ทั้งนั้นแหละ” แม่ค้าขายของบอก ถึงว่าวันนี้ดูเหมือนจะมีบรรดาคนหนุ่มสาวแปลกหน้าที่ดูท่าทางเป็นชาวยุทธมางานเทศกาลของเมืองมากกว่าปกติ
ไป๋เฟิ่งพยักหน้าแล้วกล่าวขอบคุณจากนั้นก็เดินเข้าไปบอกเสวี่ยเผยซินเอาไว้จะได้ไม่วุ่นวายตามหา
ร่างบางทอดเดินไปตามเส้นทางที่แม่ค้าบอกไว้ท่ามกลางสายตาของผู้คนที่เดินไปมาที่หลีกทางให้ ไม่นานก็ถึงสุดมุมถนน ปรากฏร้านที่ไม่เล็กไม่ใหญ่มากมีคนเดินเข้าออกไปมาคงเป็นร้านที่มีลูกค้าไม่น้อย ไป๋เฟิ่งเดินเข้าไปด้านในร้านเมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดแล้ว เมื่อก้าวเข้าไปในร้านก็มีคนออกมาต้อนรับด้วยท่าทีสุภาพ
“คุณหนูท่านนี้ต้องการสิ่งใดขอรับ”
“ข้าต้องการสมุนไพรชั้นต้นตามนี้” ไป๋เฟิ่งเอ่ยความต้องการพร้อมยื่นกระดาษรายชื่อสมุนไพรทั้งหมดที่นางต้องการให้ทันที
“เชิญท่านรอด้านนี้ทางเราขอจัดการของที่ต้องการสักครู่” คนที่ออกมาต้อนรับเอ่ยเชิญไป๋เฟิ่งให้เข้าไปรอที่ฝั่งด้านขวาของร้านแล้วเดินหายไปจัดการรายการสมุนไพรที่นางต้องการอย่างรวดเร็ว
ระหว่างรอไป๋เฟิ่งก็สำรวจร้านฆ่าเวลา ตัวร้านแบ่งเป็นสองฝั่ง ส่วนแรกก็คือด้านที่นางกำลังยืนอยู่ นางกวาดสายตาดูรายชื่อสมุนไพรที่มีขายในร้าน สายตาไป๋เฟิ่งไล่อ่านชื่อสมุนไพรไปเรื่อยๆจนไปสะดุดกับสมุนไพรชนิดหนึ่ง
แม้แต่สมุนไพรระดับสูงก็มีขายรึเนี่ยดูท่าร้านแห่งนี้คงมิใช่ร้านธรรมดาทั่วไป
สำรวจร้านได้ไม่นานหางตาพลันเห็นร่างของคนของร้านคนก่อนหน้าเดินกลับมาหานางพร้อมกับชายอีกคนด้วยท่าทีรีบร้อน
“คุณหนูท่านนี้คือคนที่ต้องการสมุนไพรชั้นต้นตามนี้ใช่หรือไม่ขอรับ” ชายคนที่มากับคนที่เป็นผู้ต้อนรับไป๋เฟิ่งเอ่ยถาม
“ใช่ ท่านคือ?”
“ขออภัย ข้าคือหลงจู้ของร้านนี้ขอรับ”
“ท่านหลงจู้มีอันใดกับรายการสมุนไพรที่ข้าต้องการหรือ” ไป๋เฟิ่งขมวดคิ้ว หรือสมุนไพรที่นางต้องการนั้นไม่มีหลงจู้ของร้านจึงได้เดินมาหานางเช่นนี้
“มิมีขอรับ เพียงแต่ช่วงนี้ทางร้านเราอยู่ในช่วงพิเศษพอดี สมุนไพรที่คุณหนูต้องการอยู่ในส่วนที่ทางร้านเราลดราคา นอกจากสมุนไพรชั้นต้นตามรายการนี้ท่านสามารถเลือกซื้ออย่างอื่นในร้านได้ทางเราจะคิดราคาพิเศษขอรับ” หลงจู้อธิบายด้วยรอยยิ้ม
ไป๋เฟิ่งที่ได้ฟังรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ก็ดีถือเสียว่าได้ประหยัดเงินไป
“ถ้านั้นข้าต้องการบางอย่างเพิ่มเติม”
เมื่อเสร็จธุระร่างบางก็เดินออกจากร้านแล้วย้อนกลับเส้นทางเดิมเพื่อกลับไปหาสหายอีกสามคนของตน
“ไป๋เฟิ่งเจ้าไปที่ใดมาข้ากำลังว่าจะชวนทุกคนไปหาเจ้าพอดีแต่เผยซินดันห้ามไว้” อู๋ซูเซียนเอ่ยถามเมื่อนางเดินมาถึง
“ข้าเพียงเดินดูอะไรไปเรื่อยน่ะ”
“ถ้าเช่นนั้นเราไปกันเถิดพวกเรายังเดินดูไม่ทั่วเลย” ว่าแล้วทั้งหมดก็เดินเที่ยวดูนั่นนี่ไปเรื่อยๆ โดยได้ขนมติดไม้ติดมือกันมาบ้าง
แต่เดินต่อไม่นานก็พบกับคนคุ้นเคยนั่นก็คือเย่วหลี่เหวินและหลางชิงฝู
“อ้าวพวกเจ้าก็มาหรือ ไม่เห็นบอกกันเลยนะเผยซินรู้เช่นนี้มาพร้อมพวกเจ้าก็ดีหรอก” หลางชิงฝูเอ่ยเย้าไม่จริงจังกับคนของตน ก่อนจะยิ้มให้สตรีอีกสามคนเป็นการทักทายเช่นเดี๋ยวกันกับเย่วหลี่เหวิน
“ขออภัยเพคะ หม่อมฉันไม่คิดว่าองค์ชายจะมาที่นี่ด้วย” เสวี่ยเผยซินย่อกายขออภัยนายตน
หลางชิงฝูโบกไม้โบกมือว่าไม่เป็นไร
เยี่ยไป๋เฟิ่ง อู๋ซูเซียน ลั่วหยางลู่ที่ถูกทักทายโค้งศีรษะให้บุรุษสูงศักดิ์ทั้งสองกลับคืน
“ไหนๆก็พบกันแล้ว พวกเราเดินเที่ยวด้วยกันดีหรือไม่?” หลางชิงฝูเสนอ
เสวี่ยเผยซินมองบรรดาสหายให้ตัดสินใจเยี่ยไป๋เฟิ่งและลั่วหยางลู่พยักหน้า ส่วนอู๋ซูเซียนมีสีหน้าไม่ค่อยจะเต็มใจเท่าไหร่แต่ก็จำยอม ทั้งหมดเดินไปตามเส้นทางเรื่อยๆท่ามกลางสายตาของคนทั้งเมือง แน่ละแต่ละคนรูปลักษณ์ธรรมดาที่ไหนกัน
“คุณหนูเยี่ยสนใจสิ่งใดเป็นพิเศษหรือไม่” เสียงขององค์ชายแห่งแคว้นเย่วเอ่ยถามเมื่อได้โอกาสได้เดินใกล้กันกับสตรีที่ตนแอบสนใจ
“ไม่มีเพคะ” ไป๋เฟิ่งตอบด้วยเสียงราบเรียบแต่กระนั้นคนฟังก็ไม่ได้ขุ่นเคืองอันใด ชวนพูดคุยซักถามต่อ
เย่วหลี่เหวินรู้สึกสนใจสตรีตรงหน้าตั้งแต่ยามแรกที่ได้พบ ครั้งแรกที่ได้เจอไม่ใช่ที่ห้องเรียนที่นางไปปรากฏตัวแต่เป็นที่ลำธารด้านท้ายเรือนของเจ้าสำนักสาม ยามนั้นตนได้ติดตามท่านอาจารย์ไปตรวจสอบเขตอาคมที่ถูกทำลาย ตนถูกร่างบางที่สวมผ้าคลุมหน้าเอาไว้เผยให้เห็นเพียงหน้าผากมน คิ้วโก่ง และดวงตาหงส์คู่งามสะกดสายตาเอาไว้ชั่วขณะ ตอนแรกก็นึกสงสัยว่านางเป็นใครจนกระทั้งพบที่ห้องเรียนตามคำแนะนำของอาจารย์เฟินว่านางคือคนที่จะมาเรียนร่วมกับพวกตนทุกคน และได้มารู้จากหลางชิงฝูว่านางคือโฉมสะคราญแห่งแคว้นจ้าวที่ผู้คนเล่าลือกัน
เย่วหลี่เหวินชวนสตรีที่ตนสนใจพูดคุยด้วยอีกหลายประโยคจึงทราบว่าสตรีตรงหน้ามีหลายอย่างน่าสนใจนอกจากใบหน้าใต้ผ้าคลุมที่ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้เห็นหรือไม่ ยิ่งทำให้พึงพอใจมากยิ่งขึ้น เดินกันไปมาทุกคนที่เดินจนทั่วงานตกลงกันว่ากลับสำนักกัน จึงได้หยุดการสนทนานั่นลงแล้วพากันกลับ
วังพยัคฆ์คราม
“ท่านอ๋องมีจดหมายจากสำนักเพ่ยฉีพะย่ะค่ะ”
“นำเข้ามา” เสียงทุ้มไม่บ่งบอกอารมณ์เอ่ย
มือหนารับจดหมายจากพ่อบ้านหย่งมาเปิดอ่านเมื่อสายตาคมกวาดมองไปตามตัวอักษรที่ถูกเขียนส่งมาถึงตน ใบหน้าที่เย็นชาก็เผยสีหน้าที่อ่อนลงนิดๆ ก่อนจะได้ยินคำรายงานต่อ
“เมื่อบ่ายของวันนี้คุณหนูเยี่ยไปเที่ยวงานที่เมืองตงเป่ยและได้เข้าไปที่ร้านของเราที่นั่นพะยะค่ะ”
“นางต้องการสิ่งใด” จ้าวเฟยหลงขมวดคิ้วไม่คาดว่านางจะไปที่นั่น
“สมุนไพรชั้นต้นหลายอย่างและเตาหลอมโอสถพะยะค่ะ”
“อืม”
“บอกคนของเราหากนางต้องการสิ่งใดให้จัดการให้เสีย” นางคงคิดจะหลอมโอสถ เอาเถิดหากนางต้องการทำสิ่งใดเขาจะเป็นผู้คอยสนับสนุนเองถึงแม้ว่านางจะมีท่านจ้าวยุทธภพอยู่แล้วก็ตาม แต่ว่าช่วงนี้คนของตนรายงานว่าทางสำนักและท่านจ้าวยุทธภพเตรียมรับมือกับทางสมาคมหลอมโลหิตอยู่ คงได้ปะทะกันไม่ช้าไม่เร็วนี้ หวังเพียงว่าจิ้งจอกของเขาจะปลอดภัย คิดถึงเรื่องได้คงต้องกำชับคนของตนเอาไว้
“หากมีเรื่องเกิดขึ้นทางสำนักให้คนเร่งมาแจ้งมาโดยเร็ว” จ้าวเฟยหลงสั่งเสียงเข้ม ลางสังหรว่าจะมีเรื่องเกิดขึ้นเร็วๆนี้
“พะยะค่ะ”
ตอนนี้เป็นตอนล่าสุดที่ลงเอาไว้ตั้วแต่คราวที่แล้ว จากนี้จะเป็าตอนใหม่แล้วนะคะ ที่ลงช้าไม่ใช่อะไรติดวิจัยแล้วก็พยายามเขียนตอนใหม่ไว้เยอะๆจ้า
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ตัวจบที่แท้ทรู.. ส่วนน้องเฟิ่งเราจะคอยดูแลเองน้าา อิอิ
ขอบคุณค่ะไรท์สนุกมากๆจนวางไม่ลง อิอิ รออ่านตอนต่อไปอยู่ค่ะ
สู้ๆค่ะไรท์ ดูแบตัวเองด้วย
ขอบคุณค่ะ สนุกมากกก รออออออค่า
ขอบคุณค่ะ
สู้ๆนะคะไรท์
ขอบคุณค่า
ขอบคุนค่ะ รอๆๆไรม์อัพตอนต่อไปคร่า
ขอบคุณที่ลงไห้อ่านคร้า
ค้างมากเลย