ตอนที่ 3 : ตอนที่ 3 สหายของบุตรชาย
ตอนที่ 3
สหายของบุตรชาย
เยี่ยไป๋เทียนเห็นท่านแม่ทัพมองฮ่องเต้อย่างคาดโทษบรรยากาศรอบตัวเริ่มคุกรุ่นในขณะที่ทางฝ่ายฮ่องเต้ทรงยิ้มแย้มไม่ทุกข์ร้อนต่ออารมณ์ผู้เป็นพระอนุชาแม้แต่น้อยจึงรีบกล่าวทูลเชิญทั้ง สองพระองค์เสด็จไปที่อื่นโดยเร็ว
“เอ่อ….ทูลเชิญฝ่าบาทและท่านแม่ทัพไปหาที่ส่วนตัวพูดคุยกันก่อนเถิดพะยะค่ะ ทรงอยู่ตรงนี้นานเกรงว่าจะไม่ดีนัก”
“พูดธรรมดาเถิดท่านรองแม่ทัพตอนนี้เราอยู่ข้างนอก”
“เอ่อ ขอรับ เชิญๆ โรงเตี๊ยมของข้าอยู่ไม่ไกลจากนี่เท่าใดนัก” ไป๋เทียนรีบสั่งคนของตนไปแจ้งที่โรงเตี๊ยมจากนั้นจึงนำทางไปอย่างรวดเร็ว
โรงเตี๊ยมตระกูลเยี่ย
“ได้ข่าวมาจากชาวบ้านที่ไปรอชมขบวนที่อยู่รั้งท้ายบอกว่าทหารกระจายตัวแยกย้ายกันกลับบ้านเรือนแล้วขอรับเห็นว่าเป็นคำสั่งของกองทัพ” ผู้ติดตามที่ออกไปหาข่าวจากด้านล่างเอ่ยแก่นายหญิงตนเอง
“อ้าวอย่างนั้นหรือ” นางเอ่ยพร้อมกับคิดในใจว่านางคงยังไม่ได้เจอบุตรชายในตอนนี้ คงต้องรอบุตรชายที่เป็นรองแม่ทัพเข้าเฝ้าถวายรายงานการชนะศึกสงครามพร้อมชินอ๋องซะก่อน นางคิดว่าสมควรกลับไปรอที่จวนจะดีกว่าแต่ยังไม่ทันที่จะหันไปบอกบุตรสาวที่ยังคงตั้งหน้าตั้งตากินขนมอยู่ว่าให้กลับจวน เสียงหลงจู้ดันดังขึ้นเสียงก่อน
“ฮูหยิน ท่านรองแม่ทัพส่งคนมาแจ้งว่าจะมาที่โรงเตี๊ยมพร้อมกับนายท่านอีกสองคนและสั่งว่าให้เตรียมห้องส่วนตัวไว้ขอรับ” หลงจู้รีบขึ้นมาทันทีหลังจากผู้มาส่งข่าวบอกอย่างเร่งด่วนเมื่อครู่
“ว่าอย่างไรนะ! ไม่ได้การละ เฟิ๋งเอ๋อร์หยุดกินขนมก่อนเจ้าลงไปกำชับพ่อครัวของโรงเตี๊ยมทีว่าให้เร่งทำอาหารอย่างดีสามสี่อย่างขึ้นมาที” นางหันไปสั่งบุตรสาว พร้อมสั่งรายการอาหารเตรียมต้อนรับบุตรชายอย่างตื่นเต้นโดยลืมไปว่าสั่งหลงจู้ก็ได้ไม่จำเป็นต้องให้บุตรสาวไปเอง ก่อนจะเอ่ยสั่งงานต่อ "เจ้าจงไปเตรียมห้องตามที่รองแม่ทัพสั่ง จัดเตรียมให้พร้อมอย่าให้มีอันใดผิดพลาด" บุตรชายนางไปอยู่ชายแดนหลายปีไม่รู้ว่าได้กินอาหารดีๆหรือไม่ ถึงบุตรชายจะคอยส่งจดหมายมาบอกว่าสบายดีก็เถอะแต่คนเป็นมารดาก็อดห่วงไม่ได้ ท่ามกลางศึกสงครามจะหาความสบายได้อย่างไร "ขอรับฮูหยิน ข้าน้อยจะจัดการทุกอย่างไม่ให้มีอันใดผิดพลาด"
"เฟิ่งเอ๋อร์เจ้าไม่ต้องลงไปแล้วอยู่รอพี่เจ้าตรงนี้กับแม่เถิด" อ้ายเหม่ยหลินที่พึ่งนึกขึ้นได้กล่าวกับบุตรสาว "ท่านแม่เจ้าคะ ขออยากเป็นผู้ชงชาให้พี่ไป๋เทียนเจ้าค่ะ" ไป๋เฟิ่งเอ่ยบอกความต้องการของตนเองให้มารดาทราบ พี่ชายนางมักกล่าวเสมอว่าชื่นชอบชาที่นางชงที่สุดตนจึงอยากทำสิ่งเล็กๆน้อยๆนี้เพื่อต้อนรับการกลับมาของเขา "อืม ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจเจ้า" "ข้าน้อยจะให้คนเตรียมชาให้ขอรับ" หลงจู้รีบเอ่ยอย่างรู้หน้าที่ "ดี ไปจัดการเถิด" อ้ายเหม่ยหลินเอ่ยกับเถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมแล้วหันมายักหน้าให้บุตรสาวนาง ก่อนทั้งบุตรสาวและคนดูแลโรงเตี๊ยมจะเดินลงไปด้านหลังพร้อมกัน คราแรกนางคิดจะห้ามบุตรสาวว่าเรื่องเช่นนั้นปล่อยให้บ่าวไพร่ทำไปเถิดแต่เพราะเห็นสายตาของไป๋เฟิ่งจึงได้แต่ปล่อยให้ทำตามใจ ที่ด้านล่างแขกที่มาทานอาหารแทบจะกลับไปกันหมดแล้วเนื่องจากส่วนใหญ่มารอชมขบวนกองทัพของชินอ๋อง มีบางส่วนที่มาดื่มชาโดยเฉพาะเพราะโรงเตี๊ยมของตระกูลเยี่ยช่วงนี้ขึ้นชื่อเรื่องน้ำชายิ่งนัก บุรุษทั้งสามคนเดินเข้ามาในโรงเตี๊ยมหลังจากที่แวะเปลี่ยนชุดเป็นชุดธรรมดา หลงจู้เมื่อเห็นว่าเป็นใครก็รีบมาต้อนรับทันที
“คาราวะรองท่านแม่ทัพ และคุณชายทั้งสองขอรับ" หลงจู้ไม่ทราบว่าคุณชายอีกสองท่านนั้นเป็นใครคิดว่าเป็นเพียงสหายคุณชายใหญ่เอ่ยทักทายตามปกติ
“เชิญพะยะค่ะ กระหม่อมได้ส่งคนมาแจ้งไว้แล้ว” ไป๋เทียนทูลเบาๆเพื่อไม่ให้แขกที่อยู่ชั้นล่างโรงเตี๊ยมแตกตื่น ตัวเขาคงต้องขึ้นไปยังห้องที่จัดเตรียมไว้สำหรับทั้งสองพระองค์ก่อนแล้วจึงค่อยขอพระราชทานอนุญาตไปพบมารดาและน้องสาว
“ไม่ต้องเตรียมอะไรมากมายเจ้าก็อยู่ด้วยกันกับข้าและเฟยหลงนี่แหละ” จ้าวหมิงหลงเอ่ย
"เอ่อ...คือว่ามารดาและน้องสาวกระหม่อมอยู่ที่นี่ กระหม่อมต้องขอพระราชทานอนุญาตไปพบมารดาและน้องสาวพะย่ะค่ะ”
“หืม มารดาและน้องสาวเจ้าอยู่ที่นี่หรือรองแม่ทัพ”
“พะยะค่ะฝ่าบาท”
“ดี ถ้าอย่างนั้นนำทาง”
“เอ่อ.... พะยะค่ะ” เยี่ยไป๋เทียนจนหนทางในเมื่อจ้าวเหนือหัวตรัสอย่างไรก็คงได้แต่ต้องทำตามจึงได้เชื้อเชิญให้จ้าวหมิงหลงเดินขึ้นไปชั้นบน เมื่อพ้นหลังบุรุษทั้งสามหลงจู้ที่อยู่ใกล้ได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่เกือบหยุดหายใจเมื่อทราบว่าบุรุษที่มากับท่านรองแม่ทัพนั้นเป็นใคร ตั้งสติได้จึงรีบไปควบคุมคนทางโรงครัวให้ทำอาหารให้ดีที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดใดๆ
“ท่านแม่ข้ากลับมาแล้วขอรับ” ไป๋เทียนเอ่ยทักมารดาก่อนที่จะเดินเข้าไปหา
“เทียนเอ๋อร์เจ้ามาแล้วเป็นอย่างไรบ้าง”อ้ายเหม่ยหลินรีบเข้ามาคว้าแขนบุตรชายพลางมองทั่วตัวเพื่อสำรวจว่าบุตรชายบุบสลายตรงไหนหรือไม่ จนไม่ได้สนใจบุคคลอีกสองคนที่เหลือที่ยืนมองมารดากับบุตรชายสนทนากัน
“ข้าไม่เป็นอันใดขอรับ”
“เชิญคุณชายทั้งสอง” อ้ายเหม่ยหลินพึ่งจะมองเห็นบุคคลที่มากับบุตรชายจึงเชิญมานั่งที่โต๊ะด้วยกันโดยยังไม่ได้สำรวจอะไรมากมาย
“ท่านแม่นี่ คะ…” ไป๋เทียนที่กำลังจะบอกมารดาว่าทั้งสองคนคือใครก่อนที่จะทำการมิควรต่อทั้งสองพระองค์ไปกว่านี้แต่ถูกทั้งสองพระองค์ส่งสายตาห้ามปรามมาว่าไม่ให้เอ่ยอะไร
อ้ายเหม่ยหลินที่สนใจแต่บุตรชายจึงไม่ได้ให้ความสนใจสำรวจพินิจใบหน้าของทั้งสองจึงยังไม่ทราบว่าผู้ที่มากับบุตรชายตนนั้นเป็นใคร
เมื่อทั้งหมดมานั่งที่โต๊ะโดยไป๋เทียนได้ให้ฮ่องเต้ละชินอ๋องทรงประทับลงบนเก้าอี้ก่อนแล้วจึงนั่งลงตาม จ้าวหมิงหลงจึงเริ่มต้นบทสนทนาอย่างรวดเร็วเมื่อไม่มีใครคิดจะเอ่ยอันใด
“ฮูหยินของท่านเสนาบดีเยี่ยงดงามสมกับคำร่ำลือ” จ้าวหมิงหลงชวนพูดคุยต่างจากจ้าวเฟยหลงที่นั่งนิ่ง
“คุณชายท่านนี้กล่าวชมเกินไปแล้วข้าเป็นเพียงสตรีที่แต่งงานมีบุตรถึงสองคนคงไม่อาจงามราวสตรีแรกรุ่น” อ้ายเหม่ยหลินตอบพร้อมยิ้มเล็กน้อยแต่ไม่ยอมต่อบทสนาอันใด
“แล้วเฟิ่งเอ๋อร์ล่ะขอรับท่านแม่”ไป๋เทียนยอมเสียมารยาทเอ่ยถามหาน้องสาวเมื่อบรรยากาศกลับมาเงียบอีกครั้ง
“เฟิ่งเอ๋อร์ลงไปด้านล่าง นางไปเตรียมชาให้เจ้า ”
“ไม่เห็นต้องลำบากเลยขอรับ” แม้ปากจะบอกอย่างนั้นแต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มเมื่อได้ยินว่าน้องสาวทำสิ่งใดให้
จ้าวหมิงหลงนั่งฟังบทสนทนาของมารดาและบุตรอย่างไม่ใส่ใจนัก พระองค์ไม่ได้กล่าวอะไรอีกคาดว่าเยี่ยฮูหยินอาจจะคาดเดาได้ว่าทั้งสองคนไม่ใช่สหายของบุตรชายตน จึงระแวดระวังสงวนท่าทีแต่ก็วางตัวได้อย่างดีเยี่ยมสมเป็นอดีตองค์หญิงถึงจะแสดงออกว่าถ่อมตัวแต่ก็มีความถือตัวอยู่ไม่น้อย จึงหันมาสนทนากับน้องชายตน
“เจ้ามองอะไรหรือ”
จ้าวเฟยหลงที่ตั้งแต่นั่งลงก็จ้องมองบนโต๊ะ จ้าวหมิงหลงกวาดสายตาไปมองจึงรู้ว่าน้องชายตนมองขนมที่วางอยู่บนโต๊ะ ขนมเฉียวกั่ว (巧果) * มิแปลกหากจ้าวเฟยหลงจะมองมันเพราะเป็นขนมที่จางกุ้ยเฟยเสด็จแม่ของเฟยหลงทรงชื่นชอบ
ทางด้านจ้าวเฟยหลงนั่งมาได้ซักพักก็ไม่ได้เอ่ยอะไรซึ่งเป็นปกติของพระองค์ จ้าวเฟยหลงได้กลิ่นขนมเฉียวกั่วตั้งแต่เดินเข้ามาในห้อง จึงกวาดสายตามองหาจนพบขนมนี้บนโต๊ะพึงให้รำลึกถึงมารดาพระองค์ที่โปรดปรานขนมชนิดนี้ถึงขนาดในเจ็ดวันต้องมีขนมชนิดนี้ในอาหารที่จะเสวยหนึ่งวัน
หากเสด็จพ่อไม่ทรงห้ามปรามเสด็จแม่ก็คงจะเสวยทุกวัน เมื่อนึกถึงเรื่องราวของมารดาจ้าวเฟยหลงจึงมีสีหน้าที่ดีขึ้นมาเล็กน้อยหากแต่อยู่ในสายตาของคนทุกคน ทั้งสามคนพลางคิดคล้ายๆกันว่าบุรุษที่เคร่งขรึมมีบรรยากาศรอบตัวดีขึ้น
อ้ายเหม่ยหลินเห็นเช่นนั้นเลยคิดว่าจ้าวเฟยหลงคงหิวจึงได้หันไปบอกบ่าวรับใช้ให้เอาขนมที่เก็บไว้ส่วนหนึ่งไปใส่จานมาให้ทานเล่นก่อนที่อาหารจะมา
“เชิญทานขนมรองท้องกันก่อนเถิดเป็นขนมจากร้านชื่อดังของเมืองหลวง”
“คงเป็นเฟิ่งเอ๋อร์ที่ซื้อมาใช่ไหมขอรับท่านแม่” เยี่ยไป๋เทียนกล่าวพร้อมรอยยิ้มเมื่อคิดว่าน้องสาวเขาคงไม่อ้วนเป็นแม่หมูไปก่อนกระมังชื่นชอบแต่ขนมหวานเช่นนี้
“ใช่แล้วเจ้ากลับมาแล้วก็ตักเตือนนางบ้างเถอะเทียนเอ๋อร์” อ้ายเหม่นหลินเอ่ยอย่างเหนื่อยใจ
จ้าวหมิงหลงได้ยินเรื่องบุตรสาวตระกูลเยี่ยก็เกิดความสนใจเนื่องจากพระองค์ก็ไม่เคยพบเจอมาก่อน ได้ยินแต่ข่าวที่เล่าลือกันทั่วเมืองหลวงว่ารูปโฉมงดงามเป็นหนึ่ง ทรงเคยหยอกเย้าเยี่ยไป๋เจี้ยนเรื่องบุตรสาวอยู่บ้างว่าทรงขอมาเป็นฮองเฮาได้หรือไม่ แต่ก็ถูกท่านเสนาบดีบอกปัดไปเสียทุกครั้งกล่าวว่าบุตรสาวเขาไม่คู่ควร
จ้าวเฟยหลงตกอยู่ในห้วงความคิดตนเอง บุตรสาวของเสนาบดีเยี่ยอย่างงั้นหรือคงเป็นคนเดียวกันกับที่พระองค์พบเมื่อก่อนหน้านี้กระมัง สตรีที่ทำให้พระองค์มองจนลับสายตาเพราะมีดวงตาหงส์เป็นประกายเจิดจ้าคล้ายกับมารดาของเขานัก พระองค์หยิบขนมขึ้นมาชิมเล็กน้อยรสหวานของขนมทำให้พระองค์อารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย
“ท่านแม่อย่าห้ามนางนักเลยขอรับนางมิค่อยได้ออกไปที่ใดนัก”ไป๋เทียนกล่าว
ไป๋เฟิ่งที่กลับขึ้นมาด้านบนเดินเข้ามาก็พบท่านแม่ของนางและบุรุษอีกสามคนที่นั่งอยู่กับมารดาของนาง นางมองไปยังทั้งสามคนด้วยท่าทีสำรวจ
บุรุษทั้งสามล้วนรูปงามไม่แพ้กัน คนหนึ่งใบหน้างดงามราวอิสตรีริมฝีปากยิ้มแย้มรูปร่างสูงโปร่งเหมือนคุณชายเจ้าสำราญแต่มีบรรยากาศบางอย่างที่สูงส่งกว่าคนทั่วไป อีกคนรูปร่างสูงใหญ่กำยำใบหน้าคมเข้มผสมกับความงามได้อย่างลงตัวเหมือนกับสวรรค์บรรจงสร้างแต่ติดตรงที่มีดวงตาที่ดุดันที่พอนางสบตาแล้วเกิดอาการลมหายใจสะดุดไปชั่วขณะ ส่วนคนสุดท้ายคือพี่ชายของนางเอง
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

อร้ายยยยยย อยากอ่านต่อๆๆ ไรท์ขา มาลงอีกตอนเถอะค่ะ ได้โปรดด!!!
รอตอนต่อไปนะค่ะ
นางเอกมึนมาก