ตอนที่ 28 : ตอนที่ 28 ปรับความเข้าใจ
ตอนที่ 28
ปรับความเข้าใจ
วันเวลาผ่านไปสองเดือนวันที่จะจัดงานพิธีบวงสรวงเทพก็ใกล้เข้ามามากขึ้นทุกที บรรดาคนจากกรมพิธีการต่างเร่งรีบตระเตรียมงานขะมักเขม้นไม่ให้มีสิ่งใดบกพร่อง กระดาษรายการสิ่งของที่ต้องใช้ในพิธียาวเหยียดเนื่องจากเป็นพิธีที่สำคัญมากอย่างหนึ่งของชาวแคว้นจ้าว พิธีนี้จัดขึ้นเพื่อบวงสรวงขอบคุณองค์เทียนจวิ้น*และเทพมังกรที่เชื่อว่าปกปักษ์รักษาแคว้นจ้าว ว่ากันว่าเมื่อครั้งปฐมราชวงศ์อย่างจ้าวเจี้ยนหลงฮ่องเต้ทรงรวบรวมแผ่นดินเป็นปึกแผ่นและสถาปนาตั้งขึ้นเป็นแคว้นจ้าวองค์เทียนจวิ้นได้ทรงเสด็จลงมาพบจ้าวเจี้ยนหลงฮ่องเต้แล้วได้มอบเทพมังกรให้เป็นเทพปกปักษ์คุ้มครองประจำแคว้นนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทำให้ทุกรัชสมัยจะต้องจัดพิธีนี้เป็นประจำทุกปีมาช้านาน
ร่างสูงโปร่งของบุรุษที่เป็นผู้ครองแผ่นดินยังคงนั่งบนโต๊ะทรงงานดั่งเช่นทุกวัน แม้ว่าศึกสงครามจะจบลงไปก็มิใช่ว่าทุกอย่างจะสบาย กลับกันจ้าวหมิงหลงยังคงต้องรับฎีกาปัญหาต่างๆจากขุนนางแทบทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาของชาวเมือง ปัญหาเรื่องการซ่อมแซมพื้นที่แถบชายแดนที่ได้รับความเสียหายจากภัยสงครามและปัญหาอื่นๆอีกยิบย่อย
“ฝ่าบาทท่านเสนาบดีกรมพิธีการขอเข้าเฝ้าพะยะค่ะ”ขันทีซ่งรายงานนายเหนือหัวเมื่อมีคนมาขอเข้าเฝ้า
“ให้เข้ามา”
“ถวายบังคมพะยะค่ะฝ่าบาท” เสนาบดีกรมพิธีการหม่าซูเหวินคุกเข่าถวายความเคารพ
“ลุกขึ้น”
“ขอบพระทัย”
“ท่านมีเรื่องอันใดหรือ” จ้าวหมิงหลงละสายตาจากฎีกาในมือขึ้นมามองผู้มาใหม่
“กระหม่อมนำกำหนดการพิธีบวงสรวงเทพมาถวายให้ฝ่าบาททอดพระเนตรพะยะค่ะ”
“อืม” จ้าวหมิงหลงรับกำหนดการมาดูคร่าวๆเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีจึงส่งคืนคนที่รับผิดชอบเรื่องงานนี้
“ทำตามที่ท่านเห็นสมควรเถิดหากมีเรื่องติดขัดอันใดให้คนมาแจ้งขันทีซ่ง”
“พะยะค่ะหมดเรื่องแล้วกระหม่อมขอทูลลา”
“เดี๋ยวก่อนท่านเจ้ากรม”จ้าวหมิงหลงเอ่ยเรียกคนที่กำลังจะเดินออกจากห้องทรงงานไป
“พะยะค่ะ”
“ช่วงนี้ท่านได้ติดต่อกับเต๋อเฟยหรือไม่”
“กระหม่อมยุ่งเรื่องงานพิธีช่วงนี้จึงไม่ได้ติดต่อกันพะยะค่ะ” หม่าซูเหวินที่โดนเรียกเอ่ยตอบไปตามตรง บุตรสาวตนที่ถึงแม้ว่าจะเป็นถึงเต๋อเฟยแต่ก็ยังคงติดต่อกับทางครอบครัวสม่ำเสมอแต่ก็รักษาระยะห่างไม่ให้มีผู้ใดคิดครหา จ้าวหมิงหลงฮ่องเต้ทรงไม่ชอบให้คนในครอบครัวกับฝ่ายในติดต่อกันบ่อยๆเพราะเนื่องจากเกรงว่าเหล่าคนในครอบครัวนั้นจะคิดฉกฉวยแสวงหาผลประโยชน์จากวังหลังของพระองค์ เรื่องนี้ใช่ว่าจะไม่เคยมีให้เห็นในหลายยุคหลายสมัยดังนั้นจึงออกกฎห้ามมิให้ครอบครัวของคนฝ่ายในเข้าเฝ้าโดยที่ไม่ได้รับคำอนุญาตจากจ้าวหมิงหลงหรืออู๋หวงไท่โฮ่ว ยกเว้นในกรณีที่ฮองเฮาหรือสนมชายาตั้งครรภ์หรือเจ็บป่วยจะสามารถเข้าเยี่ยมได้
“ไหนๆท่านก็เข้าวังมาแล้วก็ไปเยี่ยมนางหน่อยเถิดข้าอนุญาต” จ้าวหมิงหลงเอ่ย
“ขอบพระทัยพะยะค่ะฝ่าบาท” หม่าซูเหวินเอ่ยด้วยปกติหากแต่ก็มีความกังวลในใจอยู่ว่าบุตรสาวตนทำอันใดไม่ดีหรือไม่ ดูสีหน้าของฝ่าบาทยามเอ่ยถึงบุตรสาวตนถึงได้ดูไม่ค่อยจะดีนัก
“อืม”
“ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมทูลลาพะยะค่ะ”
หลังจากที่เจ้าเสนาบดีกรมพิธีการออกไป จ้าวหมิงหลงก็ถอนหายใจยาวๆเฮือกหนึ่งพลางนึกถึงใบหน้าของสตรีที่หลบเลี่ยงพระองค์มาตลอดสองเดือน ตนเองก็อยากจะเข้าไปถามไถ่ให้รู้เรื่องถึงสาเหตุของเรื่องนี้หากแต่ภาระหน้าที่มากมายฉุดรั้งไว้กับที่จนไม่มีเวลาไปไหนและไม่ได้เสด็จวังหลังมาหลายเดือน ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีเรื่องกังวลใจอันใดหรือไม่ หากมีคนในครอบครัวพูดคุยด้วยอาจช่วยให้นางสบายใจขึ้นก็ได้จึงได้เอ่ยปากให้ท่านเจ้ากรมพิธีการผู้เป็นบิดาอนุญาตให้ไปพบ ในใจฮ่องเต้หนุ่มสับสนระคนตระหนักเมื่อผ่านช่วงแรกของการหลบหน้าว่าตนเองคิดอย่างไรกับผู้ที่เคยคิดว่าเป็นเพียงสหายคู่คิด อาการร้อนรนเมื่อยามใบหน้างามเศร้าหมองยามเมื่อบังเอิญเจอกันที่ตำหนักพระมารดาตนจนเกือบจะไม่เป็นทำอันใดเริ่มเกิดขึ้นมาเรื่อยๆจนตกตะกอนความคิดความรู้สึกเหล่านั้นได้ว่าตนนั้นคิดอย่างไรกับอีกฝ่าย หากสะสางเรื่องงานเสร็จเมื่อใดพระองค์คงต้องหาทางพูดคุยกับอีกคนให้ได้
ตำหนักเต๋อเฟย
ร่างบอบบางของเจ้าของตำหนักนั่งประทับอยู่ที่ศาลาเก๋งในสวนข้างๆตำหนัก กลิ่นหอมของดอกไม้และอากาศที่เย็นสบายไม่ได้ทำให้หม่าเย่วอิงสดชื่นแม้แต่น้อย มือเรียวที่จับฝีเข็มปักฉลองพระองค์ของจ้าวหมิงหลงปักๆหยุดๆด้วยความเหม่อลอยจนเข็มแหลมคมทิ่มตำมืองามเป็นพักๆเพราะเจ้าของมือไม่มีสมาธิ
“ทูลพระสนมทรงหยุดก่อนดีหรือไม่เพคะ” ถิงถิงเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวจึงเอ่ยเตือนด้วยความเป็นห่วง
“อืม ดีเหมือนกัน” ร่างบางที่ได้สติกลับมาจากห้วงภวังค์ของตนเอ่ยตอบนางกำนัลคนสนิท
“พระสนมท่านเสนาบดีกรมพิธีการขอเข้าเฝ้าพะยะค่ะ” ขันทีน้อยรีบเดินเข้ามาใกล้เก๋งเพื่อบอกข่าวถึงผู้ที่มาเยือน
“ท่านพ่อมาหรือรีบเชิญเข้ามาเร็ว” หม่าเย่วอิงยิ้มออกมาได้ในรอบสองเดือนเมื่อทราบว่าบิดามา
“พะยะค่ะ”
“ถวายพระพรพระสนม” เมื่อเข้ามายังบริเวณเก๋งหลังงามหม่าซูเหวินก็ถวายความเคารพตามธรรมเนียม แม้ว่าสตรีที่อยู่ตรงหน้าคือบุตรสาวตนหากแต่ตอนนี้นางดำรงตำแหน่งพระสนมของจักรพรรดิผู้ครองแคว้นเขาย่อมต้องให้ความเคารพตามยศศักดิ์ตำแหน่งเพื่อไม่ให้มีคำครหา
“ท่านพ่อ” หม่าเย่วอิงรีบปราดเข้ามาประคองบิดาที่โค้งคำนับตนอย่างรวดเร็วก่อนที่จะขยับตัวออกห่างเล็กน้อยแล้วรีบเชื้อเชิญให้บิดานั่งลง
“เหตุใดท่านถึงมาหาลูกได้หรือ”
“กระหม่อมนำกำหนดพิธีการงานบวงสรวงเทพมาถวายฝ่าบาทพะยะค่ะพระองค์ทรงอนุญาตให้กระหม่อมมาเข้าเฝ้าพระสนม”
“อย่างงั้นหรือ” ใบหน้างามที่ยิ้มแย้มเมื่อครู่คลายลงเมื่อได้ยินชื่ออีกคน
หม่าซูเหวินที่เห็นดังนั้นจึงคิดว่าสิ่งที่คิดอาจเป็นจริงบุตรสาวตนและฝ่าบาทคงมีเรื่องบางอย่างที่ผิดปกติ แต่เดิมยามเมื่ออู๋หวงไท่โฮ่วทรงจัดงานเลี้ยงดูตัวบุตรสาวขุนนางเพื่อหาคนมานั่งตำแหน่งเฟยในฝ่ายใน ตนก็คิดว่าบุตรสาวตนคงไม่ได้รับเลือกในยามนั้นตนเองเป็นเพียงรองเจ้ากรมพิธีการไม่ได้อำนาจมากพอที่จะคานอำนาจกับฝ่ายอื่น ปรารถนาที่จะให้บุตรสาวใช้ชีวิตมีความสุขกับคนที่ตนเลือกเท่านั้นไม่คาดว่าตำแหน่งเต๋อเฟยจะหล่นใส่ศีรษะ เมื่อไม่อาจปฏิเสธได้จึงได้แต่ยอมให้บุตรสาวแต่งเข้าวังหลัง ครั้งฝ่ายบุตรสาวเป็นผู้ส่งจดหมายถึงตนเป็นครั้งแรกเรื่องการใช้ชีวิตในวังหลวงว่าเป็นไปด้วยความราบรื่นตนเองก็โล่งใจเพียงหวังแค่ว่าฝ่าบาทจะเมตตานางสักเล็กน้อยไม่หมางเมินนางนักก็พอ จนกระทั่งไม่นานต่อมาก็มีข่าวว่าบุตรสาวตนเป็นที่โปรดปราณไม่น้อยอีกทั้งตนเองก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเสนาบดีกรมพิธีการแทนคนเก่าที่ปลดเกษียณออกไป จากนั้นจนถึงปัจจุบันตนก็รับรู้ว่าฝ่าบาททรงเมตตาบุตรสาวตนประมาณหนึ่ง
“พระสนมมีเรื่องกังวลใจอันใดหรือไม่พะยะค่ะ”
“ไม่มีอันใดหรอกท่านพ่ออย่าได้กังวลไปเลยข้าสบายดี”
“ท่านแม่สบายดีหรือไม่เจ้าคะ” หม่าเย่วอิงยิ้มให้ผู้เป็นบิดาก่อนจะเปลี่ยนประเด็นเรื่องพูดคุย
“ฮูหยินสบายดีพะยะค่ะเพียงแต่เอ่ยถึงพระสนมด้วยความคิดถึงเล็กน้อย” หม่าซูเหวินเมื่อเห็นว่าบุตรสาวตนลำบากใจจึงเลือกที่จะไม่เอ่ยดีกว่าหากเป็นเรื่องหนักหนาจริงๆนางคงเอ่ยออกมาเอง
“ทำให้ท่านแม่เป็นห่วงแล้ว ช่วงนี้ข้าเร่งช่วยหวงไท่โฮ่วตัดเย็บฉลองพระองค์ให้ฝ่าบาทให้เสร็จทันงานพิธีที่จะถึงนี้เจ้าค่ะ ไว้ข้าจะติดต่อกลับไป”
“ขอพระสนมอย่าได้ทรงโหมพระองค์มากเกินไปควรพักผ่อนบ้าง” หม่าซูเหวินเอ่ยด้วยวามห่วงใย ถึงแม้ว่าบุตรสาวตนจะไม่ได้ซูบผอมลงแต่หากนัยน์ตากลับไม่สดใสดั่งกาลก่อน
“ขอบคุณท่านพ่อที่เป็นห่วง”
ทั้งสองพูดคุยสารทุกข์สุขดิบกันต่ออีกเกือบชั่วยามก่อนที่ท่านเจ้ากรมพิธีการจะเป็นฝ่ายทูลลากลับไป
จวนเสนาบดีรมพิธีการ
“ท่านพี่กลับมาแล้วหรือเจ้าคะกลับมาเหนื่อยๆรับชาก่อนเจ้าค่ะ” หานหนิงอันหรือหม่าฮูหยินของจวนรีบให้บ่าวยกป้านชามาต้อนรับสามีที่พึ่งกลับมาจากวังหลวง
“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะงานราบรื่นหรือเปล่า”
“ราบรื่นดีไม่มีปัญหาอะไร” มือหนาที่หลังมือเริ่มขึ้นจุดสีน้ำตาลเป็นหย่อมๆซึ่งเกิดจากการโดนแดดผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายสิบปีรับถ้อยชาจากผู้เป็นภรรยาขึ้นมาจิบบรรเทาอากาศหนาวเย็น
“วันนี้ข้าไปเข้าเฝ้าเต๋อเฟยมา”
“เต๋อเฟยทรงเป็นอย่างไรบ้างสบายดีหรือไม่ เจ็บป่วยตรงใดหรือไม่เจ้าคะ” หานหนิงอันที่ได้ยินว่าสามีได้พบผู้เป็นบุตรสาวจึงรีบถามมากมายด้วยความเป็นห่วง
“ทรงสบายดี ช่วงนี้ที่ไม่ได้ติดต่อมาเพราะทรงช่วยหวงไท่โฮ่วปักฉลองพระองค์ชุดใหม่ให้ฝ่าบาท”หม่าซูเหวินอธิบายให้ภรรยาฟัง
“ข้าได้ยินเช่นนี้ก็เบาใจ ครั้งก่อนได้ยินว่าทรงเป็นลมหมดสติที่หน้าตำหนักทำข้าร้อนใจไม่น้อย”
“ท่านพี่ มีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะเหตุใดสีหน้าดูไม่ดีเลย” หานหนิงอันมองสีหน้าสามีที่ดูไม่ค่อยดีเมื่อเอ่ยถึงบุตรสาว
“ไม่มีอันใดมากข้าเพียงรู้สึกว่าเต๋อเฟยดูมีเรื่องกังวลในใจหากแต่ไม่พูดออกมาฝ่าบาทเองก็ดูเหมือนมีเรื่องคิดไม่ตกเช่นกันข้าไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกันหรือไม่”
พอได้ยินเช่นนั้นหานหนิงอันก็นิ่งเงียบทันที ที่ผ่านมาเท่าที่ได้รับข่าวทางจดหมายและได้มีโอกาสได้เข้าพบบุตรสาวที่วังหลวงก็ดูเหมือนว่าฝ่าบาทจะทรงโปรดปราณและเมตตาไม่น้อยจึงทำให้นางค่อนข้างเบาใจว่าชีวิตในวังหลวงของบุตรสาวมีบารมีจากโอรสสวรรค์คุ้มครองจากการที่ได้ชื่อว่าเป็นคนโปรดอยู่ แต่พอได้ยินเช่นนี้ก็อดห่วงไม่ได้
เรือนฮูหยินรอง
“เจ้าได้ยินเช่นนั้นจริงหรือ?”
“จริงเจ้าค่ะฮูหยินรอง”
“ท่านแม่หากเป็นเช่นนั้นจริงก็เป็นเรื่องน่ายินดี นังเย่วอิงอาจทำอะไรให้ฝ่าบาทไม่พอพระทัยก็เป็นได้ที่นี้ล่ะมันก็จะถูกเฉดหัวออกจากการเป็นคนโปรดข้าก็จะมีโอกาสอีกครั้ง” หม่าฟางหรูเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่สะใจเมื่อได้ยินบ่าวมารายงานพวกนางสองแม่ลูก
จูซือซือยิ้มให้กับบุตรสาว แล้วไล่บ่าวรับใช้ที่มารายงานออกไปก่อนจะหันมาหาบุตรสาวอีกครั้ง
“ท่านแม่ ท่านต้องช่วยข้านะเจ้าคะงานพิธีบวงสรวงเทพครั้งนี้จะต้องได้เข้าร่วมข้าต้องการให้ฝ่าบาททอดพระเนตรเห็นข้า” หลังจากที่ครั้งก่อนนางถูกหักหน้าจากเฉินซิ่วอิงทำให้นางคับแค้นใจเป็นอย่างมาก
“ได้สิลูกแม่จะไปคุยกับท่านพ่อให้”
“ข้ารักท่านแม่ที่สุดเลยเจ้าค่ะ” หม่าฟางหรูโผเข้ากอดมารดาพร้อมวาดฝันในหัวถึงสิ่งที่ตนปรารถนา
ห้องทรงพระอักษร
แม้จะล่วงเลยยามตะวันลับฟ้ามาหลายชั่วยามแต่ร่างของผู้ครองแคว้นยังคงนั่งทำงานจนขันทีประจำกายเอ่ยเตือนหลายครั้ง
“ฝ่าบาทจะยามห้าย (亥:hài)แล้วทรงหยุดทรงงานก่อนเถิดพะยะค่ะ” ขันทีซ่งเอ่ยเตือนนายตนเป็นรอบที่สามของวัน พลางมองนายเหนือหัวที่ทรงทำงานหนักติดต่อกันนานเป็นเดือน วังหลังก็ไม่เสด็จไปอ้างว่างานยุ่งทั้งที่งานทั้งหลายก็ทรงจัดการไปเกือบจะหมด
กึก
หัตถ์หนาหยุดชะงักเมื่อคนสนิทตนเอ่ยทัก
“จะยามห้ายแล้วหรือนี่”
“พะยะค่ะ”
“เอาเถอะ” ร่างสูงบิดกายคลายความเมื่อยล้าจากการนั่งนานๆแล้วลุกขึ้นจากโต๊ะทรงงานแล้วกลับตำหนักตน
หลังจากอาบน้ำชำระร่างกายเสร็จจ้าวหมิงหลงก็ไม่รู้จะทำอะไรจึงได้มาเดินทอดน่องชมจันทร์ด้านนอกตำหนักโดยมีขันทีซ่งตามห่างๆด้วยรู้พระประสงค์ว่าฝ่าบาททรงอยากอยู่พระองค์เดียว
ฟึ่บ
“ถวายบังคมฝ่าบาท” ร่างเงาขององครักษ์ประจำกายโผล่มาจากความมืดเข้ามาคุกเข่าถวายความเคารพนายตน
“ว่าอย่างไรฉิวฟง”
“เรื่องที่ฝ่าบาทให้กระหม่อมไปสืบได้ความแล้วพะยะค่ะ”
“เหตุใดจึงช้านัก”
“เรื่องนี้เกี่ยวพันคนในวังพะยะค่ะ”
“อย่างไร?”
“คนทางจวนเต๋อเฟยส่งชามาก็จริงหากแต่ผู้ที่ส่งเข้ามาคือฮูหยินรองของท่านเสนาบดีกรมพิธีการไม่ใช่หม่าฮูหยินมารดาของพระสนมพะยะค่ะ”
“แล้วเกี่ยวกับคนในวังอย่างไร” จ้าวหมิงหลงขมวดคิ้วไม่เข้าใจ
“กระหม่อมไปสืบหาคนที่ไปซื้อชาที่โรงเตี๊ยมตระกูลเยี่ยพบว่าเป็นบ่าวจากจวนเสนาบดีกรมพิธีการจริง กระหม่อมจึงตามไปที่จวนเพื่อตัวบุคคลหากแต่บ่าวรับใช้ของฮูหยินรองที่กระหม่อมตามไปดูที่จวนมีคนหนึ่งที่กระหม่อมเคยเจอว่าเป็นนางกำนัลในตำหนักฝ่ายในและเมื่อนำภาพเหมือนไปให้หลงจู้ที่โรงเตี๊ยมดูพบว่าเป็นคนเดียวกันที่ไปซื้อชาพะยะค่ะ
“เป็นนางกำนัลฝ่ายในหรือ”
“พะยะค่ะ”
“นางกำนัลนางนั้นตอนที่อยู่วังเป็นคนของตำหนักใด”
“คนของตำหนักเฉินกุ้ยเฟยพะยะค่ะ” มือหนาขององครักษ์นามฉิวฟงยื่นกระดาษที่มีรูปวาดเหมือนของคนที่ตนกล่าวถึงให้จ้าวหมิงหลงทอดพระเนตร
เป็นนางกำนัลที่พระองค์เคยพบที่ตำหนักกุ้ยเฟยจริงๆ จ้าวหมิงหลงครุ่นคิดเรื่องนี้เป็นฝีมือของเฉินซิ่วอิงหรือ
“เจ้าสืบแน่ชัดแล้วใช่หรือไม่”
“พะยะค่ะ”
“อืม สืบหาหลักฐานเพิ่มเติมมาให้ข้า” จ้าวหมิงหลงบอกเสียงเข้ม ฝ่ายฉิวฟงก็คิดว่าผู้ที่ลอบลงมือวางยาพิษสนมคนโปรดคงไม่รอดถึงแม้จะเป็นกุ้ยเฟยก็ตาม
“พะยะค่ะ”
“ขันทีซ่ง” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกขันทีประจำกายเมื่อองครักษ์คนสนิทกลับไปแล้ว
“พะยะค่ะ” ฝ่าบาท
“เตรียมตัวข้าจะไปตำหนักกุ้ยเฟย”
ตำหนักกุ้ยเฟย
“ฝ่าบาทเสด็จจจจจจจ”
การมาของจ้าวหมิงหลงโดยมิได้ส่งคนมาแจ้งทำให้นางกำนัลขันทีของตำหนักรีบถวายการต้อนรับอย่างฉุกละหุก ตาคมของพญามังกรมองกวาดไปทั่วตำหนักและมองบรรดานางกำนัลและขันทีที่ยืนอยู่ เมื่อได้คำตอบที่ตนคิดก็ก้าวเดินเข้าไปด้านในตำหนักอย่างไม่รีรอ
“ถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ” ร่างบางของเจ้าของตำหนักก้าวออกจากที่นอนรีบลุกขึ้นมาต้อนรับโอรสสวรรค์อย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินเสียงประกาศการเสด็จหน้าตำหนัก เสียงหวานเอ่ยถวายพระพรอย่างยินดี
“ลุกขึ้นเถิด”
“ขอบพระทัยเพคะ หม่อมฉันไม่ทราบว่าฝ่าบาทจะเสด็จมาจึงไม่ได้เตรียมตัวต้อนรับ โปรดประทานอภัย” เฉินกุ้ยเฟยดีใจมากที่อีกฝ่ายมาหาถึงแม้จะไม่ได้บอกกล่าวก็ตาม นับตั้งแต่สองเดือนก่อนที่ทรงประกาศไม่เสด็จวังหลังเนื่องจากติดพันราชกิจ ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่เป็นการเสด็จฝ่ายในแถมยังเสด็จมาหานางจะไม่ให้นางดีใจได้อย่างไร
“ไม่เป็นไรข้าเองที่มาหาสนมรักโดยไม่บอกกล่าว” จ้าวหมิงหลงมองคนที่ไม่ได้เตรียมตัวต้อนรับเสด็จหากแต่ยามจะเข้านอนก็ยังคงแต่งกายให้ดูสวยงามอยู่เสมอ นางก็ยังคงเป็นเช่นนี้เสมอมา
“มิได้เพคะ เพียงแค่ฝ่าบาทเสด็จมาหาหม่อมฉันก็ดีใจมากแล้ว” ร่างบางยิ้มกว้างเสียจนใบหน้างามดูสดใส ต่างจากยามโมโหร้าย นางกำนัลคนสนิทที่เห็นพระสนมตนยิ้มได้อย่างเป็นตนเองก็อดดีใจกับการมาของฝ่าบาทครั้งนี้ไม่ได้
ทั้งสองเดินมาที่โต๊ะกลมที่ตั้งอยู่กลางห้อง เฉินซิ่วอิงก็ส่งสายตาให้นางกำนัลให้ไปจัดการบางอย่างในจังหวะที่จ้าวหมิงหลงมองไปรอบๆห้องพอดี เมื่อนางกำนัลนำป้านชาวางไว้ก็ออกไปด้านนอกเพื่อให้เจ้านายทั้งสองได้อยู่ตามลำพังอย่างรู้งาน
“หม่อมฉันมิคิดเลยว่าจะเสด็จมาหา คิดว่าจะเสด็จไปหา นะ... เต๋อเฟยซะอีก” ดวงตากลมโตที่ดูเฉี่ยวหลุบลงมองมือตนเมื่อพูดถึงคนที่เป็นคนโปรดของอีกฝ่ายแล้วถูกดวงตาคมของโอรสสวรรค์กวาดมองมา
“ไม่ได้มาพบเจ้านานแล้ว เลยอยากมาหาบ้าง” เมื่อได้ยินดังนั้นใบหน้างามจึงเงยหน้าขึ้นมาสบตาบุรุษที่เป็นสวามีอีกครั้ง ดวงตามีประกายความสะใจชั่วครู่ก็จะหายไปอย่างรวดเร็วแต่จ้าวหมิงหลงก็มองเห็นทัน นางจึงหันมาเอาใจจ้าวหมิงหลงด้วยการพูดคุยเรื่องอื่นและรินชาให้
“ช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง” จ้าวหมิงหลงเป็นฝ่ายเริ่มชวนคุย
“สบายดีเพคะ เพียงแต่เหล่าสนมระดับล่างชอบก่อเรื่องไม่น้อยจนหม่อมฉันต้องได้ลงไปจัดการ”
“เรื่องจัดการฝ่ายในให้หวงไท่โฮ่วเป็นผู้จัดการเถิดเจ้ามิต้องไปยุ่งเกี่ยว” จ้าวหมิงหลงเอ่ยเสียงนุ่มทว่ามีนัยยะ
“เพคะ หม่อมฉันทราบแล้ว” เฉินซิ่วอิงทำหน้าไม่ถูกไปชั่วครู่เมื่อโดนฝ่าบาทตำหนิแม้จะไม่ใช่การตำหนิตรงๆก็ตามว่าอำนาจฝ่ายในอยู่ที่หวงไท่โฮ่วมิใช่นาง มือบางที่วางบนตักกำแน่นอย่างแค้นใจแต่ใบหน้างามยังคงยิ้มแย้มรินชาในกาให้อีกฝ่าย
มือหนายกจอกชาขึ้นมาดื่มลงคอไปท่ามกลางสายตาของเฉินกุ้ยเฟยที่มีสีหน้าพอใจที่เห็นอย่างนั้น
นั่งพูดคุยได้ประมาณหนึ่งเค่อจ้าวหมิงหลงก็รู้สึกว่าร่างกายตนเองแปลกไป ผิวกายเริ่มร้อนผ่าววูบวาบไปทั้งตัว พยายามทำตัวปกติแต่เม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นตามขมับกับหน้าผากเริ่มปรากฏให้เห็น
“ฝ่าบาทเป็นอันใดหรือไม่เพคะ” เฉินซิ่วอิงที่สังเกตเห็นอาการนั้นจึงได้เอ่ยถาม
“ไม่เป็นอันใด” จ้าวหมิงหลงกัดฟันพูดอีกทั้งพยามระงับอาการของตน
“ฝ่าบาทอาจทรงเหนื่อยจากการทรงงานหนักคืนนี้ให้หม่อมฉันปรนนิบัติดีไหมเพคะ”
เสียงหวานที่สตรีร่างบางเอ่ยมาคล้ายดูยั่วยวนเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวและเมื่อประกอบกับอาการที่เกิดขึ้นจ้าวหมิงหลงก็เข้าใจได้ว่าตนเองติดกับสตรีตรงหน้านี้เข้าแล้ว
“ฝ่าบาท” เสียงหวานพร้อมร่างบางขยับเข้ามาใกล้ ลำแขนเรียวบางเข้ามากอดเกี่ยวร่างหนาที่สั่นเทิ้มไปทั้งตัวริมฝีปากบางยิ้มอย่างพอใจเมื่อมือหนาของจ้าวหมิงหลงเริ่มลูบไล้ไปทั่วร่างเพรียวบาง
ร่างอรชรลุกขึ้นมาประคองร่างสูงของโอรสสวรรค์หมายจะไปที่เตียงนอนตน ยังไม่ทันที่จะได้ประคองไปถึงไหยก็ถูกมือหนากระชากตัวเข้าไปก่อน
“อุ้ย ฝ่าบาทอย่าทรงใจร้อนสิเพคะ คิก” เสียงหวานร้องขึ้นอย่างตกใจหากในน้ำเสียงมีแต่ความสุข หวังไป๋เยี่ยนตั้งครรภ์แล้วอย่างไร นางก็มีสิทธิ์เหมือนกัน ยาปลุกกำหนัดนี้ดีนักไม่เสียทีที่ให้คนไปหามาไว้เนื่องจากได้ยินมาว่าออกฤทธิ์เร็วและรุนแรงไม่มีใครต้านทานได้แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ
มือร้อนลากไปทั่วร่างเพรียวใบหน้างามดุจหยกซุกไซ้ซอกคอขาว จ้าวหมิงหลงรู้ตนเองกำลังทำอะไรหากแต่สติที่ควบคุมร่างกายเริ่มขาดหายไปแทนที่ด้วยสัญชาตญาณดิบที่ถูกบางอย่างกระตุ้นจนขาดการยับยั้งการกระทำนี้ อาภรณ์บนร่างสูงเริ่มหลุดลุ่ยเนื่องจากมือบางที่เริ่มปลดมันออก จ้าวหมิงที่สติใกล้จะหายไปอย่างสมบูรณ์ชะงักไปเมื่อภาพใบหน้าของสตรีผู้ที่ทำให้พระองค์กระวนกระวายและคะนึงหาในสองเดือนที่ผ่านมาลอยเข้ามาในห้วงสติที่ใกล้ขาดสะบั้นลง
“ฝ่าบาท?” เฉินซิ่วอิงที่กำลังหลับตาเสพสมความสุขที่กำลังจะเกิดขึ้นลืมตาขึ้นมามองใบหน้าของจ้าวหมิงหลงที่อยุดการกระทำพลางเรียกอีกฝ่ายด้วยความไม่เข้าใจ
พรึบ
ฝ่าบาท!!”
มือหนาผลักร่างบางที่กำลังมึนงงให้ออกห่างแล้วพยายามทรงตัวควบคุมสติแล้วรีบเดินออกไปจากตัวตำหนักด้านในโดยไม่ฟังเสียงเรียกของอีกฝ่าย
เมื่อเดินเซออกมาดวงตาคมที่แดงก่ำก็กวาดตามองไปรอบๆตัวตำหนักที่มีขันทีซ่งที่ตามพระองค์มาเพียงคนเดียวและมีนางกำนัลที่พระองค์เห็นว่าเป็นผู้ยกป้านชามาให้กับนางกำนัลน้อยอีกสองคนยืนคอยอยู่ด้านนอกเท่านั้นเมื่อทั้งสองได้สบตากับผู้เป็นใหญ่ก็รีบหลบสายตาเนื่องด้วยพวกตนมีความผิดติดตัว หากแต่จ้าวหมิงหลงมิสนใจหันไปเอ่ยกับคนสนิททันที
“กลับตำหนัก” เสียงทุ้มกัดฟันพูดพยายามข่มกลั้นอารมณ์เดินนำขันทีซ่งไปล่วงหน้า
ตำหนักเต๋อเฟย
“พระสนมฝ่าบาทเสด็จมาเพคะ!” นางกำนัลหน้าตำหนักรีบเข้ามารายงานหม่าเย่วอิงที่กำลังจะเตรียมตัวเข้านอนด้วยท่าทีตื่นตระหนกกับการมาของฮ่องเต้
“ทูลพระองค์ว่าข้ากำลังจะเข้านอนไม่สะดวกต้อนรับ ขอทรงกับตำหนักไปเถิด”
ปัง
“พระสนมช่วยฝ่าบาทด้วยพะยะค่ะ” เสียงขันทีซ่งที่เอ่ยอย่างร้อนลนไม่แพ้นางกำนัลที่เข้ามารายงานก่อนหน้าพร้อมประคองร่างสูงโปร่งของนายตนถือวิสาสะเปิดประตูเข้ามายังภายในตำหนัก
“ซ่งกงกงฝ่าบาทเป็นอันใด” หม่าเย่วอิงเห็นร่างสูงที่เสื้อผ้าไม่เรียบร้อยเท่าที่ควร ดวงตาแดงก่ำและผิวตัวนอกร่มผ้าแดงระรื่ออย่างผิดปกติก็ลืมสิ่งที่เคยคิดผลักไสอีกคนไปหมดสิ้นผลุดลุกจากเตียงแล้วรีบจะช่วยซ่งกงกงประคองอีกคนมานั่งบนเตียง ทันทีที่มือบางสัมผัสกับร่างที่ร้อนลุ่มก็ถูกอีกฝ่ายรวบเข้ามากอดใบหน้าคมซุกซบกับไหล่บางจนเจ้าของร่างสะดุ้ง
“ฝ่าบาท ทรงเป็นอันใดเพคะ” หม่าเย่วอิงถามคนตรงหน้าที่ดูเหมือนมีอาการผิดปกติไม่พูดจาเอาแต่ซบพระพักตร์คมลากไล้ไปมาแถวซอกคอกจนนางขนลุกไปหมดมือร้อนกอดเกี่ยวเอวบางไว้หากแต่ไม่ได้แตะต้องร่างบางไปมากกว่านั้น
ภาพดังกล่าวทำให้ที่เกิดขึ้นทำให้ขันทีซ่งและนางกำนัลที่อยู่ในห้องก้มหน้าลงอย่างรู้ว่าไม่สมควรที่จะมอง
“พวกเจ้าออกไปก่อน”นางรีบไล่นางกำนัลออกไปหมดเว้นแต่เพียงซ่งกงกงที่ต้องสอบถาม
“ซ่งกงกงเกิดอันใดขึ้นเหตุใดฝ่าบาทเป็นเช่นนี้”
“ก่อนหน้านี้ฝ่าบาททรงเสด็จไปที่ตำหนักเฉินกุ้ยเฟยพะยะค่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้นหม่าเย่วอิงจึงพอจะเดาได้จากอาการที่เห็นว่าจ้าวหมิงหลงเป็นอะไร
“ซ่งกงกงสั่งให้คนเตรียมน้ำเย็นและให้คนไปหายาถอนฤทธิ์ยาปลุกกำหนัดมาให้โดยเร็ว”
“พะยะค่ะ” ซ่งกงกงรับคำสั่งและเดินออกไปด้านนอก
ก่อนจะออกไปขันทีซ่งชำเลืองมองนายตนอีกครั้งอย่างให้กำลังใจ ขอให้ราบรื่นนะพะยะค่ะฝ่าบาท
เมื่อไม่มีผู้ใดในห้องแล้วทั่วทั้งห้องจึงเงียบกริบมีเพียงเสียงลมหายใจของสองคน
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท ไหวหรือไม่เพคะปล่อยหม่อมฉันก่อน” หม่าเย่วอิงที่พยายามผลักอีกฝ่ายออกเบาๆเพื่อจะได้ประคองพาไปนั่งที่เตียงนอนดีๆ ในใจเริ่มเอะใจว่าเหตุใดคนถูกยาปลุกกำหนัดถึงได้นิ่งขนาดนี้มีเพียงลมหายใจที่แรงกว่าปกติเท่านั้น
“ไม่ปล่อยขืนปล่อยเจ้าก็หลบหน้าข้าอีกน่ะสิ” เสียงทุ้มที่ยังคงมีความแหบพร่านิดๆเอ่ยตอบ แต่เท่านั่นก็ทำให้ร่างบางรู้ว่าตนเองถูกหลอกเสียแล้ว มือหนาค่อยๆคลายแรงรัดเอวบางแล้วเป็นฝ่ายผละออกเองแต่ก็ยังคงกอดเอวบางไว้หลวมๆยังไม่ปล่อย
“นี่พระองค์หลอกหม่อมฉันหรือเพคะ?” น้ำเสียงหวานมีความขุ่นเคือง คิ้วเรียวขมวดเป็นปมจนนิ้วหนาต้องเอื้อมมือมาคลึงให้คลายออกจากกัน
“ข้าเปล่าหลอกเจ้าข้าไปตำหนักกุ้ยเฟยมาแล้วโดนยาปลุกกำหนัดจริงๆ” จ้าวหมิงหลงแก้ตัว
หลังจากที่เขาเดินลิ่วนำขันทีซ่งออกจากตำหนักเฉินซิ่วอิง พอพ้นจากตัวตำหนักก็เรียกฉิวฟงออกมาเพื่อให้นำยาถอนฤทธิ์ยาปลุกกำหนัดให้ตน ด้วยสรรพคุณชั้นเลิศของยาที่ฉิวฟงมีทำให้อาการที่มีเริ่มหายไปบ้างแต่ยังไม่หมดไปซะทีเดียวแต่ก็ทำให้มีสติกลับมาเกือบเต็มร้อย แต่จู่ๆตนก็คิดแผนการนี้ขึ้นมาได้จึงเปลี่ยนเส้นทางจากกับตำหนักตนเป็นที่นี่แทนโดยได้รับความร่วมมือจากขันทีซ่งให้เป็นผู้ร่วมแผนการด้วย พอมาถึงตำหนักอาการก็เกือบหายไปหมดเหลือแต่เพียงลมหายใจที่ยังไม่คงที่และเนื้อตัวที่ยังคงแดงอยู่
“แต่ฝ่าบาทก็หลอกหม่อมฉันอยู่ดี” หม่าเย่วอิงยังยืนยันข้อหาที่อีกฝ่ายกระทำ
“หากไม่ทำเช่นนี้เจ้าจะยอมคุยกับข้าหรือ?” จ้าวหมิงหลงเอ่ยแล้วมองไปยังดวงตาของคนในอ้อมกอด
หม่าเย่วอิงที่โดนถามพร้อมถูกจ้องมองด้วยดวงตาคมที่ดูจริงจังก็เป็นฝ่ายหลบตาไปก่อนอย่างยอมแพ้อย่างคนที่ไม่มีอะไรจะโต้แย้ง
“เรามาคุยกันหน่อยดีหรือไม่?”
“ก็ได้เพคะ แต่ต้องปล่อยหม่อมฉันก่อน” หม่าเย่วอิงที่ไม่คุ้นชินกับท่าทีที่จ้าวหมิงหลงมีให้เอ่ยขึ้น ไม่ใช่ว่าไม่เคยถูกอีกฝ่ายโอบกอดแต่มันรู้สึกว่าเป็นความรู้สึกที่มากกว่าที่เคยเป็นมา
เมื่อได้ยินเช่นนั้นจ้าวหมิงหลงจึงคลายอ้อมกอดออกแล้วดึงมือบางให้มานั่งที่ข้างเตียงซึ่งอีกคนก็ไม่ได้เกี่ยงงอนยอมตามมาแต่โดยดี ผ่านไปครู่หนึ่งทั้งสองก็ยังคงเงียบอยู่คนหนึ่งได้แต่จ้องมองไม่ละสายตาไปไหนต่างจากอีกคนที่ก้มหน้างุดมองลงไปที่ตัก
“เย่วอิงเหตุใดจึงหลบหน้าข้าหรือ ข้าทำอันใดให้เจ้าไม่พอใจหรือไม่?”
“เย่วอิง”
“อิงเอ๋อร์ เงยหน้ามองข้าหน่อยเถิด” จ้าวหมิงหลงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเว้าวอนอย่างไม่เคยทำกับใครมาก่อน
ทางหม่าเย่วอิงที่ไม่รู้จะเอ่ยอันใดได้แต่เงียบ แต่แล้วต้องใจสั่นกับคำเรียกขานที่อีกฝ่ายไม่เคยเรียกตนเช่นนี้ เสียงที่ดูเว้าวอนทำให้ใบหน้างามยอมเงยหน้าขึ้นมามองพระพักตร์งามของบุรุษผู้ครองแคว้น
“ว่าอย่างไรข้าทำอันใดให้เจ้าไม่พอใจหรือ?”
“เปล่าเพคะ ฝ่าบาทไม่ได้ทรงทำอันใดเลย” เสียงหวานเอ่ยตอบพร้อมมองหน้าบุรุษที่ทำให้ตนสับสนในใจจนถึงตอนนี้ก็ยังสับสนอยู่ จะให้บอกไปได้อย่างไรว่านางรู้สึกวูบโหวงในอกตั้งแต่ที่เห็นอีกคนหยอกเย้าและดูสนิทสนมเป็นอย่างมากกับสตรีงดงามราวจิ้งจอกเมื่อครั้งงานเลี้ยงฉลองคราวก่อน ทั้งๆที่ตนคิดว่าตนเป็นคนที่รู้เรื่องราวต่างๆของอีกฝ่ายดีกว่าผู้ใดเพราะอีกฝ่ายมักจะมาพูดคุยด้วยเสมอแต่ไม่นึกว่าจู่ๆอีกคนจะมีคนที่ดูเหมือนว่าจะสนิทสนมมากกว่านาง และรู้ว่าตนเองไม่มีสิทธิไปคิดว่าอีกฝ่ายจะบอกแก่ตนทุกเรื่อง ไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้คือสิ่งใด เมื่อจัดความรู้สึกนี้ไม่ได้จึงได้หลบหน้าอีกคนเรื่อยมา
“มะ..หม่อมฉันเพียง” นางเริ่มพูดติดขัดไม่รู้จะกล่าวเช่นไร หากกล่าวไปตนและอีกคนจะเป็นเหมือนเดิมหรือไม่
“ใจเย็นๆ ค่อยๆพูด ข้าจะรับฟังเจ้าทุกอย่าง” จ้าวหมิงหลงปลอบประโลมลูบมือบางที่ตนยังคงเกาะกุมอยู่ให้ใจเย็นๆค่อยๆพูดออกมาจะได้เข้าใจกัน
“หม่อมฉันเพียงสับสน”
“สับสน?”
หม่าเย่วอิงพยักหน้า
“สับสนเรื่องใด”
“เรื่องฝ่าบาท”
“เรื่องข้า?”
หม่าเย่วอิงพยักหน้าอีกครั้ง
“เพคะ”
“หม่อมฉันไม่เข้าใจตนเองนึกแล้วก็ละอายใจยิ่งนักหม่อมฉันไม่รู้ว่าควรจัดการความรู้สึกนี้อย่างไร หม่อมฉันรู้ว่ามันไม่ควรที่จะคิดเช่นนั้น” ยิ่งเอ่ยออกมาดวงตากลมก็ยิ่งฉายถึงความสับสน
“เจ้าคิดอะไรอย่างไรบอกข้าได้หรือไม่” จ้าวหมิงหลงอยากจะรู้ความคิดของร่างบางว่าคิดเช่นไรมีเรื่องของตนอยู่ในความคิดบ้างหรือไม่
“มะ..หม่อมฉันรู้สึกแปลกๆยามที่เห็นพระองค์สนิทสนมกับผู้อื่นที่ไม่ใช่หม่อมฉัน มันเจ็บแปลบที่อก ระ..รู้สึกหวงแหนพระองค์ ต..แต่หม่อมฉันรู้ว่ามันไม่ควรที่หวงแหนพระองค์ไม่ให้สนิทสนมกับใคร แต่มันก็อดรู้สึกไม่ได้” หม่าเย่วอิงพรั่งพรูความรู้สึกที่ติดในใจตลอดสองเดือนที่ผ่านมาเสียหมดเปลือก และยิ่งรู้สึกอายยิ่งนักเมื่อจ้าวหมิงหลงเอาแต่เงียบไม่พูดจา
หมับ
ร่างบางสะดุ้งตกใจกับการที่โดนรวบไปกอด มือหนาลูบศีรษะนางเบาๆพร้อมเอ่ยขึ้น
“โถ่ คนดี ข้าไม่นึกว่าเจ้าจะคิดมากเรื่องนี้คนอื่นที่เจ้าเอ่ยถึงนั่นใช่เยี่ยไป๋เฟิ่งหรือไม่?” จ้าวหมิงหลงที่จู่ๆได้ฟังความในใจก็นิ่งอึ้งไป ไม่ใช่เพราะความไม่ชอบใจแต่เป็นเพราะความดีใจที่ได้รับรู้ว่าอีกฝ่ายก็มีความรู้สึกกับตนเช่นกันไม่ใช่ตนคิดเองไปฝ่ายเดียว ตอนแรกยังกังวลอยู่เลยว่าหากตนเองเอ่ยสารภาพไปร่างบางจะตอบรับตนหรือไม่เพราะที่ผ่านมาตนอยู่ร่วมกันแบบมิตรสหายเป็นความสบายใจไม่ใช่ในฐานะเป็นสนมของฮ่องเต้
หม่าเย่วอิงไม่ได้ตอบจ้าวหมิงหลงจึงผละออกจากร่างแล้วเชยคางเรียวให้เงยหน้าขึ้นมามองตน
“ว่าเช่นไรคนอื่นที่เจ้าเอ่ยถึงคือเยี่ยไป๋เฟิ่งใช่หรือไม่” จ้าวหมิงหลงเอ่ยถามย้ำเพราะคิดว่ามีเพียงคนเดียวที่ตนแสดงความสนิทสนมจนอาจทำให้อีกคนคิดมากส่วนบรรดาสนมคนอื่นพระองค์ก็เพียงทำตามหน้าที่เท่านั้น
ใบหน้างามพยักหน้าเบาๆเป็นการตอบ
“เยี่ยไป๋เฟิ่งข้าเห็นเป็นเพียงน้องสาวเท่านั้นไม่เคยคิดเป็นอื่นใด”
“แต่พระองค์ขอนางมาเป็นฮองเฮา” หม่าเย่วอิงที่เปิดเปลือยความในใจจนหมด ไม่ทราบว่าความกล้ามาจากไหนจึงได้เอ่ยเถียงออกไป
“หึ หึ เจ้าหึงหรือ” ดวงตาคมมองใบหน้างามตาเป็นประกายความพอใจและหวานล้ำจนคนถูกมองหน้าแดงก่ำด้วยความขัดเขิน
หม่าเย่วอิงที่เผอแสดงความไม่พอใจอย่างโจ่งแจ้งได้แต่หลบสายตาหวานฉ่ำที่มองมา
“เรื่องของเยี่ยไป๋เฟิ่งเป็นเพียงการกระตุ้นคนปากแข็งผู้หนึ่งเท่านั่นไม่มีอันใดหรอกเจ้าสบายใจได้เลย” จ้าวหมิงหลงอธิบายแต่ไม่ได้บอกรายละเอียดไปมากกว่านั้นเรื่องของใครก็สมควรจัดการเอง
“คนที่ข้ารักมีเพียงเจ้าเท่านั้นไม่มีใครอื่นใด” จ้าวหมิงหลงสบตาพร้อมบอกความในใจตนเองให้ร่างบางรับรู้
หม่าเย่วอิงที่ได้ฟังคำบอกรักก็ใจเต้นระรัวคล้ายว่าไม่ใช่ของตน ใบหน้างามที่แดงอยู่แล้วยิ่งแดงหนักขึ้นไปอีก ถึงแม้อายุอานามจะไม่ใช่สตรีแรกรุ่นหากแต่เรื่องความรักก็ไม่ต่างอะไรสาวน้อยที่พึ่งหัดมีความรัก
“ข้ารู้ว่ามันอาจจะฟังเชื่อยาก แต่อยากให้เจ้าได้รู้ว่าตัวข้าที่ไม่เคยที่จะมีความรักกับใครกลับรักเพียงแค่เจ้า หากเจ้ายังไม่แน่ใจให้ข้าได้พิสูจน์ให้เจ้าได้เห็น ข้าเพียงแค่ขอโอกาส เจ้าให้ข้าได้หรือไม่?”
จ้าวหมิงหลงเอ่ยยืดยาวไม่เว้นให้อีกฝ่ายได้ปฏิเสธ ซึ่งคำตอบที่ได้ก็ไม่ทำให้ผิดหวังเมื่อร่างบางพยักหน้าเป็นอนุญาตให้ทำตามที่ใจต้องการ ยิ่งทำให้ร่างสูงมีแต่ความยินดีจึงได้รวบร่างบางมากอดอีกครั้ง ทั้งคู่ไม่ได้เอ่ยอะไรอีกมีเพียงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งใจ คืนนั้นมีเพียงการนอนกอดกันท่ามกลางอากาศหนาวเย็นไปตลอดทั้งคืนจวบจนฟ้าสาง
เทียนจวิ้น คือ ผู้นำปกครองสูงสุดของบรรดาเทพ
ยามห้าย (亥:hài) คือ 21.00 - 22.59 น.
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เข้าใจกันไปอีก1คู่เมื่อไหร่ท่านอ๋องจะปล้ำน้องเอ้ย...555จีบน้องแบบจริงจังสะที รอดูลวดลายการจีบหญิงของท่านอยู่นะ
รอการเติมเต็ม100%จ๊า....เริ่มคิดถึงชินอ๋องมากขึ้นเรื่อยๆรอลุ้นจ๊า
ค้างงงจ้้า
ขนมเหมือนจะทำข้าวเกรียบปากหม้อมั้ย..