ตอนที่ 26 : ตอนที่ 26 ผู้บุกรุก
ตอนที่ 26
ผู้บุกรุก
ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก
เสียงฝีเท้าสามคู่เดินตรงเข้ามายังหอเจ้าสำนักก่อนที่จะหยุดลงที่หน้าประตู เจ้าของฝีเท้าดังกล่าวทั้งสามพร้อมใจมองหน้าเมื่อรับรู้เช่นเดียวกันก่อนที่จะบุกเข้าไปเต็มกำลัง
ปัง!
“เจ้าเป็นใครมีจุดประสงค์อันใดถึงได้บุกเข้ามาในสำนักแห่งนี้” เสียงของหนึ่งในสามเอ่ยถามผู้บุรุกที่ตอนนี้พวกตนเห็นว่านั่งหันหลังอยู่บนเก้าอี้เจ้าสำนักอย่างถือสิทธิ ก่อนหน้านี้พวกตนนั่งพูดคุยกันเกี่ยวกับการวางแผนลาดตะเวนรอบทางเข้าเกาะเพื่อป้องกันบุคคลอื่นเข้ามาแต่จู่ๆก็สัมผัสได้ถึงพลังปราณลึกลับที่ปรากฏอยู่ที่หอแห่งนี้คล้ายว่าเจ้าของพลังปราณอยากให้พวกตนรับรู้ว่าตนเองอยู่ที่นี่
“เจ้าต้องการสิ่งใด” คราวนี้เป็นเสียงของเจ้าสำนักคนที่สองเพ่ยฉีหมิงด้วยประสาทรับสัมผัสที่เฉียบคมที่สุดในบรรดาพี่น้องเขาจึงเป็นคนแรกที่จับสัมผัสได้
ผู้บุกรุกยังคงเงียบไม่เอ่ยปากอันใดจนทำให้เพ่ยฉีหมิงที่มีนิสัยไม่ค่อยชอบการรอคอยนักเอ่ยขึ้นด้วยวามหงุดหงิด
“ดี! ไม่ว่าเป็นผู้ใดก็ไม่มีทางได้ออกไปจากที่นี่โดยง่ายจนกว่าเจ้าจะบอกว่าผู้ใดส่งเจ้ามา!” ไม่พูดเปล่ามือหยาบกร้านซัดพลังใส่คนที่นั่งหันหลังอย่างรวดเร็วจนแทบมองไม่เห็นโดยไม่ให้ตั้งตัวแต่ทันทีที่พลังปราณที่เป็นสายน้ำคล้ายลูกธนูพุ่งตรงเข้าใส่ตัวบุคคลลึกลับลูกธนูน้ำเหล่านั้นกลับถูกแช่แข็งกลางอากาศแล้วตกลงพื้นไป
“!!!!!!!!!!!”
ทั้งสามที่เห็นดังนั้นก็เกิดอาการแตกต่างกันออกไปหนึ่งคือรู้สึกตกตะลึงเพราะไม่คิดว่าอีกคนประสาทสัมผัสเฉียบคมถึงขนาดสามารถรับรู้ถึงพลังที่ตนซัดออกไปและสามารถหยุดมันลงได้ ในขณะที่อีกสองคนคิดได้หลังจากที่เห็นธนูสายน้ำกลายเป็นน้ำแข็งว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ใด
หมับ
เพ่ยฉีหมิงที่ข้องใจคิดจะเริ่มสู้อีกครั้งถูกมือของผู้เป็นพี่ดึงรั้งไว้พร้อมส่ายหน้าไม่ให้โจมตีอีกคนต่อ
“หยุดมือเถอะฉีหมิงเจ้ามิใช่คู่ต่อสู้เขา” ครานี้เป็นเพ่ยฉีหวงพี่ใหญ่ของสำนักเอ่ยขึ้น สายตาของคนวัยห้าสิบปลายๆที่ยังคงเฉียบคมมองตรงไปยังแผ่นหลังกว้างของบุรุษที่ยังคงนั่งหันหลังไม่ทุกร้อนใดๆ ท่าทางช่างดูคลับคล้ายคลับคากับผู้อาวุโสอีกหนึ่งคนที่ตอนนี้ปักหลักอยู่ที่นี่
“ไม่ทราบว่าแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นจ้าวมีธุระอันใดถึงได้บุกเข้ามาในสำนักแห่งนี้” เพ่ยฉีหวงเลือกที่จะเป็นฝ่ายถามก่อน
“สมกับเป็นเจ้าสำนักเพ่ยฉี” จ้าวเฟยหลงเอ่ยพร้อมลุกขึ้นแล้วหันหน้ามามองทั้งสามคนด้วยสายตาราบเรียบ
เพ่ยฉีหมิงที่ได้ยินพี่ใหญ่ของตนพูดว่าคนผู้นี้เป็นใครตนเองก็เข้าว่าเหตุใดถึงบอกว่าเขามิใช่คู่ต่อสู้เพราะขนาดพี่ใหญ่เองถ้าให้ประมือด้วยก็ยังไม่แน่ว่าจะเอาชนะบุรุษหนุ่มตรงหน้าได้ กิตติศัพท์ชื่อเสียงต่างๆนานาล้วนเคยได้ยินมาบ้างเป็นบุรุษที่ถึงแม้อายุยังน้อยหากแต่วรยุทธนับว่าเป็นหนึ่งในยอดผู้มีฝีมือในยุทธภพที่แม้แต่พวกตนยังต้องเกรงด้วยวรยุทธขั้นแปดปลายที่ไม่นานอาจบรรลุถึงขั้นเก้าได้
“เชิญพวกท่านนั่งเถิดคาดว่าพวกเราต้องพูดคุยกันอีกนาน” จ้าวเฟยหลงเอ่ยเชื้อเชิญแก่ทั้งสามคนราวกับเป็นเจ้าของที่นี่
ทั้งสามยังคงเงียบรอคอยฟังคำตอบจากปากบุรุษสูงศักดิ์ที่อ่อนวัยกว่าพวกตน
“มิใช่ว่าพวกท่านกำลังรอข่าวของทางสมาคมหลอมโลหิตอยู่หรอกหรือ?” เสียงเย็นชาเอ่ยขึ้นมาหนึ่งประโยคฟังดูเหมือนพูดเลื่อนลอยหากแต่คนฟังกลับไม่คิดเช่นนั้น การซื้อขายของหอหลงเสวี่ยล้วนแต่เป็นความลับระหว่างผู้ซื้อข่าวและทางหอไม่มีทางผู้อื่นจะรู้นอกเสียจากว่าบุรุษตรงหน้าเป็นคนของหอหลงเสวี่ย
แต่เดี๋ยวก่อนบุรุษผู้นี้มิได้ด้อยจะเป็นแค่คนของหอหลงเสวี่ยแน่หรือ?
มิใช่
บุรุษสูงศักดิ์ผู้นี่มิใช่คนของหอหลงเสวี่ยแต่เป็นเจ้าของหอต่างหาก!
เมื่อคิดได้ดังนั้นถึงอดหวาดระแวงคนตรงหน้าไม่ได้หอหลงเสวี่ยเป็นหอขายข่าวขึ้นชื่อเรื่องความแม่นยำของข่าวที่สุดในยุทธภพ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดถ้าต้องการซื้อข่าวย่อมต้องเป็นที่นี่หากบุรุษสูงศักดิ์ตรงหน้าเป็นเจ้าของหอหลงเสวี่ยจริงมิใช่ว่าแคว้นจ้าวล่วงรู้และกุมความลับของทุกแคว้นเอาไว้หรือ!!!!
“ไม่ทราบว่าชินอ๋องทราบได้อย่างไร” เพ่ยฉีอันเอ่ยถามทั้งๆที่ในใจก็รู้คำตอบและแน่ใจไปมากกว่าครึ่ง
กริ๊ก
เสียงหยกที่สลักเป็นรูปหัวพยัคฆ์กระทบพื้นโต๊ะเผยให้ทั้งสามได้เห็น
“เช่นนั้นการที่ท่านเดินทางมาถึงที่นี่หมายความว่าท่านได้ข่าวแล้วใช่หรือไม่” เมื่อเห็นสิ่งแทนตนของเจ้าของหอเพ่ยฉีอันก็ไม่คิดสงสัยอะไรต่อไปอีก เพราะทุกครั้งที่ซื้อข่าวนายของหอหลงเสวี่ยจะส่งจดหมายตอบรับการซื้อข่าวของผู้ซื้อพร้อมลงท้ายจดหมายด้วยตราประทับรูปหัวพยัคฆ์ทุกครั้ง
“อืม”
“ไม่ทราบว่าผู้นำของสมาคมกำลังจะทำสิ่งใด?”
“ครอบครองสิ่งที่พวกท่านกักขังไว้ขึ้นเป็นใหญ่ในยุทธภพ”
เป็นจริงดั่งคาดบุรุษผู้นี้ล่วงรู้ทุกสิ่งอย่างแท้จริง
“มันมิใช่สิ่งที่จะควบคุมได้” สิ่งนั้นหาใช่จะมีใครควบคุมมันได้ หากปล่อยให้หลุดจากการกักขังนับว่าเป็นหายนะ
“หากมีสิ่งที่ควบคุมมันได้?” เสียงทุ้มเย็นเอ่ยแม้ว่าตนจะไม่รู้ว่าสิ่งที่เจ้าสำนักทั้งสามกักขังอยู่คือสิ่งใด หากแต่คนของตนที่ลอบเข้ามาสำรวจบริเวณถ้ำหลังเกาะก็พบอักขระและอาคมสะกดขั้นสูงนับพันตัวอีกทั้งพลังของอักขระก็มาจากพลังปราณขั้นสูงสิ่งที่กักขังไว้นั้นย่อมมิใช่ธรรมดา
สิ่งที่ควบคุมสัตว์อสูรระดับตำนานได้มันมีด้วยหรือทั้งสามคนคิด
“พวกท่านเคยได้ยินชื่อบ่วงกำราบอสูรหรือไม่” จ้าวเฟยหลงเอ่ยในสิ่งที่คนของตนได้แฝงตัวเข้าไปสืบหาข่าวมาจึงทำได้รู้ว่า ผู้นำของกลุ่มสมาคมหลอมโลหิตครอบครองสิ่งที่เอ่ยไปนั้นเอาไว้แม้ไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างไรแต่ชื่อก็บอกเอาไว้แล้วว่าบ่วงกำราบอสูร มีไว้ทำอะไรก็คงเดาได้ไม่ยาก
“ไม่เคยได้ยินมาก่อน” เพ่ยฉีหวงเป็นผู้เอ่ยตอบ
“พี่ใหญ่เรารอปรึกษา ‘ท่านผู้นั้น’ ดีหรือไม่อาจจะรู้เกี่ยวกับบ่วงกำราบอสูรนี้” เพ่ยฉีอันที่นึกขึ้นได้ว่าขณะนี้มีผู้ใดอยู่กับตนเอ่ยขึ้นและเลือกที่จะไม่เอ่ยชื่อออกมาโดยตรง
“อืม”
ลานกว้างยามบ่ายของสำนักเพ่ยฉีตอนนี้เต็มไปด้วยบรรดาศิษย์ใหม่ที่รอรับการสั่งสอนจากอาจารย์ผู้อาวุโสอย่างเฟินต๋าเฉิงที่เป็นผู้สอนวิชาควบคุมพลังปราณและการต่อสู้ แม้ว่าเป็นลานกว้างแต่ก็ไม่ร้อนนักเนื่องจากรอบๆมีต้นไม้น้อยใหญ่คอยเป็นร่มเงาอีกทั้งตอนนี้เข้าสู่ฤดูตงเทียนจึงทำให้อากาศยามบ่ายค่อนข้างอบอุ่น
ไป๋เฟิ่งกับเสวี่ยเผยซินที่ยืนกันอยู่สองคนเนื่องจากยามบ่ายวันนี้อู๋ซูเซียนเรียนแยกจากพวกตน
“ไป๋เฟิ่งเจ้าว่าซูเซียนจะเหงาหรือไม่” เสวี่ยเผยซินเป็นฝ่ายชวนพูดคุยเมื่อเห็นว่าท่านอาจารย์ยังไม่มา
“ข้าว่าไม่หรอกนางคงเข้ากับเพื่อนคนอื่นๆได้” ด้วยนิสัยที่ช่างพูดและสดใสของเจ้าตัวคงทำให้นางเข้ากับคนอื่นได้ง่ายไป๋เฟิ่งจึงไม่ค่อยกังวลเท่าไหร่ที่อีกคนได้เรียนแยกจากพวกตน
เสวี่ยเผยซินพยักหน้าอย่างเห็นด้วยแล้วก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีกเท่าทีนางดูอีกคนคล้ายว่าจะเป็นคนเงียบๆกว่าตนเสียอีกแต่ก็ไม่ใช่ว่าเป็นคนจำพวกหยิ่งอะไรนั่นหรอกนะ แต่แค่ดูเหมือนไม่ค่อยพูดมากกว่าคิดกับตนเองอยู่เงียบๆก็ไม่คาดว่าอีกฝ่ายจะเริ่มชวนคุยบ้าง
“ข้าถามท่านได้หรือไม่?”
“ได้สิเจ้าจะถามอะไรหรือ” เสวี่ยเผยซินตอบด้วยรอยยิ้มดูท่าทีของอีกฝ่ายที่ไม่ค่อยจะชินกับการชวนผู้อื่นพูดคุย ทำให้นางอดรู้สึกไม่ได้ว่าท่าทางนั่นดูน่าเอ็นดู
หากนับตามอายุจริงตนนั้นเป็นพี่ของทั้งอู๋ซูเซียนและเยี่ยไป๋เฟิ่งอีกฝ่ายถึงเรียกนางอย่างให้เกียรติแม้ว่านางจะบอกว่าไม่เป็นไรก็ตาม ต่างจากอู๋ซูเซียนที่นิสัยโผงผางให้เรียกเช่นไรก็เรียกเช่นนั้น
“ท่านเป็นผู้ดูแลองค์ชายสามหรือ” ไป๋เฟิ่งที่พึ่งได้พบทั้งคู่จึงไม่ค่อยรู้อะไรมากมายนักแต่เท่าที่นางสังเกตดูสตรีตรงหน้าคล้ายว่าจะเป็นผู้ดูแลองค์ชายสามแห่งแคว้นหลางผู้นั้น
“อื้อ ข้ากับองค์ชายชิงฝูสนิทสนมกันมาตั้งแต่ยังเล็กท่านพ่อข้าเป็นหมอหลวงที่ถวายการรักษาพระมารดาขององค์ชายน่ะ” เสวี่ยเผยซินยังคงตอบด้วยรอยยิ้มเช่นเดิม
ไป๋เฟิ่งพยักหน้าหงึกหงักพอดีกับที่อาจารย์เฟินมาพอดีการสนทนาจึงหยุดลง
“เอาล่ะวันนี้ข้าจะสอนพวกเจ้าเกี่ยวกับเรื่องการควบคุมพลังปราณขั้นต้น”
“ข้าคิดว่าพวกเจ้าบางคนอาจได้ศึกษามันมาบ้างแล้ว การควบคุมพลังปราณจากธาตุหลักต่างจากการควบคุมพลังปราณจากธรรมชาติเพราะพวกเจ้าจะต้องคอยอยู่ใกล้แหล่งพลังของธาตุตนเองเพื่อที่จะดึงพลังนั้นมาใช้ได้และแน่นอนว่าพลังปราณจากธาตุหลักย่อมรุนแรงตามขั้นวรยุทธทำให้ผู้ที่มีวรยุทธในลำดับเดียวกันแต่ต่างขั้นถึงมีความห่างชั้นของพลังปราณ”
“หากในยามปกติทุกคนล้วนแต่สามารถดูดซับพลังเอาไว้ในร่างกายเพื่อใช้ในยามต่อสู้ พวกเจ้าต้องค่อยๆทำสมาธิเพื่อดูดซับพลังนั้นแล้วดึงมันเข้าสู่ร่างกายโคจรพลังนั้นเอาไว้ที่จุดตันเถียนแล้วปล่อยออกมาเป็นรูปแบบพลังที่พวกเจ้าต้องการที่ฝ่ามือ การดูดซับขึ้นอยู่ที่ตัวพวกเจ้าแต่ละคนว่าหมั่นฝึกฝนมากน้อยเพียงใด”
“เอาล่ะในเมื่อข้าอธิบายให้ฟังแล้วจะทำให้พวกเจ้าดูเป็นตัวอย่าง” เฟินต๋าเฉิงกล่าวพลางเดินเข้าไปใกล้สระน้ำที่อยู่ถัดไปจากลานกว้างไม่ไกลนัก ความจริงตนมีพลังปราณในร่างกายเหลือเฝือที่จะสร้างพลังปราณให้บรรดาศิษย์ดูแต่นั่นจะเป็นการทำให้ทุกคนไม่เห็นการดูดซับตั้งแต่ขั้นตอนแรก
“ดูและจดจำให้ดี” เฟินต๋าเฉิงกล่าวพลางหลับตาทำสมาธิดูดซับพลังจากสระน้ำไม่นานทั้งหมดที่ยืนดูอยู่ก็เห็นว่ามีละอองลอยขึ้นมาจากผิวน้ำในสระแล้วค่อยๆไหลเข้าสู่ร่างกายชายวัยกลางคนตรงหน้า จากนั้นจึงลืมตาขึ้นแล้วหงายฝ่ามือทั้งสองข้างขึ้นที่กลางฝ่ามือปรากฏลูกบอลน้ำขนาดกลาง
“นี่คือการควบคุมพลังปราณที่ดูดซับเข้าไปในร่างกายแล้วปล่อยออกมาเพื่อใช้ในการต่อสู้ วันนี้พวกเจ้าแต่ละคนต้องฝึกดูดซับและทำความเข้าใจเกี่ยวกับการควบคุมพลังปราณที่ไหลเข้าสู่ร่างกาย”
“หากไม่เข้าใจในส่วนใดจงถามข้าจำไว้หากรู้สึกติดขัดในส่วนใดห้ามฝืนกระทำการต่อไม่เช่นนั้นธาตุไฟจะเข้าแทรกได้ เข้าใจหรือไม่?”
“ศิษย์เข้าใจขอรับ/ศิษย์เข้าใจเจ้าค่ะ”
“ดี ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าค่อยๆทำความเข้าใจไปเถิดไม่ต้องรีบร้อน” เฟินต๋าเฉิงกล่าวพลางลูบเคราตนเอง ในที่นี้ตนคาดว่าคงไม่มีศิษย์คนใดสามารถทำได้ในครั้งแรกโดยใช้เวลาไม่นาน หากคนที่มีพรสวรรค์หน่อยยังใช้เวลาเกือบสามวันนับว่าเป็นระยะเวลาที่ศิษย์เก่าที่ถือว่าเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ในสำนักทำได้ดีที่สุด
เมื่อเฟินต๋าเฉิงบอกบรรดาเหล่าศิษย์ก็เริ่มจับกลุ่มกันเพื่อที่จะเริ่มฝึกการดูดซับพลัง ส่วนใหญ่แล้วคนที่มีธาตุหลักเดียวกันก็อยู่ด้วยกันเพื่อจะได้ทำความเข้าใจร่วมกันกลุ่มคนที่ได้เปรียบในเรื่องแหล่งพลังธาตุหลักก็คงจะเป็นผู้ที่ธาตุหลักเป็นธาตุดินและธาตุลมเพราะสามารถดูดซับได้ทุกที่
การดูดซับพลังธาตุหลักนั้นการไม่มีอาจารย์คอยให้คำชี้แนะที่ดีหรือลองผิดลองถูกด้วยตัวเองอาจธาตุไฟเข้าแทรกจนถึงแก่ชีวิตได้ เป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้ที่ก้าวขึ้นมาถึงวรยุทธขั้นสี่จำเป็นต้องได้รับการสั่งสอนที่ถูกต้อง เฟินต๋าเฉิงลอบตรวจสอบพลังดูผลปรากฏว่าเหล่าศิษย์ใหม่ต่างก็มีวรยุทธขั้นสี่ถึงขั้นสี่ต้นกันทั้งนั้น มีผู้ที่มีวรยุทธขั้นสี่กลางเพียงสองคนคือเชื้อพระวงศ์จากแคว้นเย่วและแคว้นหลางองค์รองเย่วหลี่เหวินและองค์ชายสามหลางชิงฝู
“ขออภัยที่รบกวนคุณหนูทั้งสองเจ้าค่ะ” เสียงเล็กของสตรีที่มาใหม่ทำให้ทั้งสองคนที่ยืนมองการจับกลุ่มของแต่ละคนหันมามอง
“เจ้าคือ?” เสวี่ยเผยซินเป็นฝ่ายเอ่ยถามสตรีที่มีรูปร่างเล็กและดูเด็กกว่าพวกตน
“เสียมารยาทแล้วข้ามีนามว่าลั่วหยางลู่เจ้าค่ะ” ร่างเล็กเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม
“มีอันใดหรือ?”
“ข้ามีเรื่องขอร้องเจ้าค่ะ”
“เรื่องใด”
“ให้ข้าฝึกร่วมกับพวกท่านได้หรือไม่เจ้าคะ” ดวงตากลมใสดั่งลูกกวางน้อยสมชื่อ ‘ลู่’ ของเจ้าตัวมองมายังพวกนางอย่างมีความหวัง
“เหตุใดเจ้าจึงไม่ไปร่วมฝึกกับพวกนางเล่า” ไป๋เฟิ่งเป็นฝ่ายเอ่ยถามพลางหันหน้าไปทางกลุ่มสตรีที่มีเรื่องราวกันเมื่อวันก่อน
“คะ..คะ..คือว่า ข้าเป็นเพียงบุตรพ่อค้าพวกเขาคงไม่ต้อนรับข้า” ใบหน้าเล็กก้มหน้าลงมือบางกำชายอาภรณ์ตนเองอย่างคนไม่รู้จะทำเช่นไร ตนที่รวบรวมความกล้าเดินมาขอร้องสตรีตรงหน้าเพราะเห็นว่าทั้งสองดูท่าทางใจดี หากทั้งสองไม่ให้ฝึกร่วมด้วยนางก็คงต้องฝึกเพียงคนเดียว บรรดาศิษย์ที่เป็นหญิงมีไม่ถึงสิบคนด้วยซ้ำ
“ตระกูลลั่วแห่งแคว้นเย่วมิใช่ตระกูลคหบดีหรอกหรือ เหตุใดจึงจะไม่เป็นที่ต้อนรับเล่า” ไป๋เฟิ่งถามด้วยความสงสัยอีกรอบ
“คะ คะ คือ” ลั่วหยางลู่ไม่รู้จะบอกเช่นไรดี ที่นางไม่อยากเข้ากลุ่มองค์หญิงหลี่เซียนเพราะนางชอบบังคับให้ตนส่งเครื่องประดับและผ้าแพรชั้นดีให้โดยที่ไม่ยอมจ่ายเงินแม้แต่ตำลึงเดียว ตนที่อุตส่าห์หนีจากแคว้นเย่วดั้นด้นสอบเข้าที่สำนักเพ่ยฉีเพื่อที่จะไม่ได้พบเจอนางอีกแต่ก็ดันได้มาพบกันที่สำนักซะได้ คราแรกที่ประกาศผลนางก็คิดว่าจะมาเรียนดีหรือไม่ หากแต่ท่านพ่อนางบอกว่าถ้าผ่านการทดสอบแล้วไม่มีเหตุจำเป็นจริงๆในการไม่ไปเข้าเรียนจะถือว่าเป็นการหักหน้าไม่ให้เกียรติเจ้าสำนักที่ให้ตนผ่านการทดสอบ นางเกรงจะเกิดปัญหาจึงได้เข้ามายังสถานที่แห่งนี้
“เอาเถอะหากเจ้าลำบากใจก็ไม่ต้องพูดเจ้าอยู่กับพวกข้านี่แหละ” เสวี่ยเผยซินบอกพร้อมรอยยิ้มใจดีทำให้ลูกกวางน้อยตรงหน้าโค้งขอบคุณแทบไม่ทัน
“ขอบคุณเจ้าค่ะ!” ลั่วหยางลู่กล่าวขอบคุณพร้อมมองทั้งสองด้วยสายตาขอบคุณจากใจจริง
“ขออภัยที่ทำให้เจ้าลำบากใจข้าไม่มีเจตนาที่จับผิดเจ้านะ” ไป๋เฟิ่งกล่าวขอโทษเด็กสาวตรงหน้า
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”
“ถ้าเช่นนั้นเราหาที่เริ่มฝึกกันเถอะ”
ทั้งสามคนเดินแยกตัวออกมาจากเหล่าผู้คนแต่ไม่ได้ไปไกลนักยังคงมองเห็นอาจารย์และบรรดาเพื่อนร่วมสำนัก
“ไม่ทราบว่าเจ้ามีธาตุหลักเป็นธาตุอะไรหรือหยางลู่” เสวี่ยเผยซินเอ่ยถามเด็กสาวที่ตนพึ่งทราบว่านางมีอายุเพียงสิบห้าหนาวเท่านั้นซึ่งเด็กกว่าทั้งนางและเยี่ยไป๋เฟิ่ง
“ข้ามีธาตุหลักเป็นธาตุดินเจ้าค่ะคุณหนูเสวี่ย”
“เรียกข้าพี่เผยซินเถิด”
“เจ้าค่ะท่านพี่เผยซิน” ลั่วหยางลู่ยิ้มจนตาปิดให้ทั้งสองคนทำให้สตรีอายุมากกว่าเด็กสาวเผยรอยยิ้มเอ็นดูพลางคิดว่าอยากมีน้องสาวที่น่ารักเช่นนี้สักคน
“ถ้าเช่นนั้นก็เหมือนกันกับข้าดีล่ะเรามาฝึกด้วยกัน เอ๊ะ ไป๋เฟิ่งแล้วธาตุหลักเจ้าล่ะ”
ไป๋เฟิ่งที่ได้ยินคำถามก็ยังไม่ได้ตอบออกไปทันทีนึกคิดครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกไป
“ธาตุน้ำน่ะ” ก็ตอนนี้นางฝึกดูดซับแค่ธาตุน้ำนับได้ว่ามีธาตุน้ำเป็นธาตุหลักก็แล้วกัน
“ถ้าเช่นนั้นพวกเรากลับเข้าไปใกล้สระน้ำดีหรือไม่” เสวี่ยเผยซินถามเพราะที่ที่พวกตนเดินออกมาค่อยข้างอยู่ไกลสระน้ำที่ไปยืนดูท่านอาจารย์เฟินเมื่อครู่
“ไม่เป็นไรท่านกับหยางลู่ฝึกกันเถิดข้ารู้สึกเพลียๆถ้าฝืนฝึกอาจไม่เป็นผลดี” ไป๋เฟิ่งบอกปัดอาจารย์นางกล่าวเตือนเอาไว้ว่าถ้ายังไม่สามารถควบคุมการดูดซับให้ช้าหรือเร็วตามใจคิดก็อย่าพึ่งทำการฝึกต่อหน้าใคร การให้บุคคลอื่นเห็นความสามารถที่น่าเหลือเชื่อของตนเองตอนนี้ไม่ใช่ผลดี ถ้าเลี่ยงได้ให้เลี่ยงไปก่อน
“เป็นอันใดมากหรือไม่” เสวี่ยเผยซิยถามด้วยความเป็นห่วง
ไป๋เฟิ่งส่ายหน้า
“หากรู้สึกไม่ดีรีบบอกข้านะ”
ไป๋เฟิ่งพยักหน้ารับทราบ แล้วปล่อยให้ทั้งสองเริ่มการฝึกดูดซับพลัง
ผ่านไปเกือบสองชั่วยามคนทั้งคู่จึงลืมตาขึ้นพลางมองซึ่งกันและกันในแววตาของลั่วหยางลู่ฉายแววเสียใจส่วนเสวี่ยเผยซินไม่ได้มีความรู้สึกใดๆไปมากกว่ารู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อยจากการนั่งนานๆ
“เอาล่ะการฝึกของวันนี้พอแค่นี้ก่อน” เสียงเฟินต๋าเฉิงที่ผสานพลังปราณทำให้ได้ยินไปทั่วบริเวณกว้างเรียกบรรดาศิษย์คนอื่นๆให้กลับเข้าไปรวมกลุ่ม
“พวกเจ้าอย่าได้เสียใจไปการดูดซับพลังปราณนั้นน้อยนักที่จะมีผู้ทำได้ในครั้งแรก หมั่นฝึกฝนบ่อยๆในไม่ช้าพวกเจ้าจะทำได้เอง” เฟินต๋าเฉิงเอ่ยปลอบจากนั้นก็เอ่ยอะไรอีกเล็กน้อยเกี่ยวกับการฝึกแล้วก็ปล่อยให้พวกตนกลับเรือนเพราะตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีเป็นยามพลบค่ำแล้ว
ไรท์ติดแก้วิจัยนะคะ ขอโทษด้วย
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เพราะกว่าเราจะทำผ่านก็แก้ไปหลายรอบเหมือนกัน เป็นกำลังใจให้นะค่ะ
ขอบคุณค่ะ สู้ๆค่ะ ขอให้ผ่านที่แก้ผ่านค่ะ
| สัมพันธ์*