ตอนที่ 21 : ตอนที่ 21 สำนักเพ่ยฉี
ตอนที่ 21
สำนักเพ่ยฉี
อี้มู่ซุนมองศิษย์ตนบนหลังสัตว์อสูรที่กำลังบินเหนือพื้นดินผ่านหมู่เมฆและกระแสลม นังหนูนี่ถึงแม้จะกลัวหากแต่ก็จัดการกับความกลัวเก็บความรู้ตัวเองได้ดี สังเกตได้จากการที่มือเรียวเล็กกำชายอาภรณ์ตนเองแน่นเมื่อยามเสี่ยวฟงเริ่มบนสูงขึ้นแล้วค่อยๆผ่อนคลายจนสามารถเป็นปกติ
ที่เขาใช้เสี่ยวฟงในการเดินทางสาเหตุก็เพราะจะได้เดินทางไปถึงเพ่ยฉีได้เร็วขึ้น
ไป๋เฟิ่งที่หายจากอาการประหม่ากับสิ่งที่ไม่คุ้นชินมองไปยังรอบๆตัวที่ตอนนี้มีบรรยากาศต่างจากตอนอยู่บนพื้นดิน เงยหน้ารับสายลมเย็นที่พัดผ่าน เส้นผมสีดำดุจน้ำหมึกไหวลู่ไปด้านหลังตามแรงลมลมเย็นๆที่ปะทะใบหน้าให้ความรู้สึกต่างจากยามได้สัมผัสสายลมตอนอยู่เบื้องล่าง สายตามองไปยังเบื้องล่างที่เห็นเพียงสีเขียวจากต้นไม้ใบหญ้า ลำธาร ภูเขา หรือเพียงหลังคาบ้านเรือนของเมืองต่างๆที่ผ่าน
นางและอาจารย์โบยบินอยู่กลางอากาศอีกประมาณสองชั่วยามก็ดูเหมือนว่าพวกนางจะมาถึงที่หมายเบื้องหน้าคือเกาะขนาดใหญ่คล้ายเป็นเศษเสี้ยวของแผ่นดินที่แตกออกไปแล้วถูกล้อมรอบด้วยน้ำ
สำนักเพ่ยฉีเป็นสำนักฝึกยุทธอันดับหนึ่งของยุทธภพที่ตั้งอยู่ในตำแหน่งที่เป็นเอกเทศไม่ติดกับแคว้นใดแต่ใกล้กับแคว้นเย่วมากที่สุดในบรรดาสี่แคว้นสามชนเผ่า สำนักตั้งอยู่บนภูเขาสูงบนเกาะการตั้งสำนักเพ่ยฉีนั้นยากลำบากนักครั้งที่เหล่าผู้อาวุโสทั้งสามของสำนักเดินทางไปทั่วทุกสารทิศเพื่อค้นหาที่ตั้งสำนักก็ได้มาพบกับเกาะนี้โดยบังเอิญจึงได้ทำการเข้าสำรวจจนได้พบกับสัตว์อสูรมากมายทั่วเกาะแล้วเกิดการต่อสู้ระหว่างคนกับสัตว์อสูรขึ้น ในขณะที่ทั้งหมดกำลังสังหารสัตว์อสูรระดับล่างเกือบจะหมดก็ปรากฏสัตว์อสูรในตำนานที่ถูกเขียนบันทึกไว้ในตำราโบราณที่ไม่คิดว่าจะยังคงมีอยู่อย่างจิ้งจอกหิมะเก้าหางขึ้น ลองกวาดสายตาดูพบว่าจิ้งจอกตัวนั้นพึ่งจะมีเพียงเจ็ดหางเท่านั้นแต่ก็ยากที่สามารถเอาชนะแม้จะรวมพลังกันทั้งหมดเข้าสู้ก็ตาม
ในครานั้นเหล่าผู้อาวุโสเล่าว่าพวกตนคงต้องทิ้งชีวิตไว้ที่เกาะแห่งนี้เสียแล้ว จู่ๆก็ปรากฏร่างของชายผู้หนึ่งที่ดูมีวรยุทธสูงส่งกว่าพวกเขามากนักได้ทำการยื่นมาเข้ามาช่วยทั้งสี่รวมพลังเข้าต่อสู้แต่ก็ไม่สามารถสังหารจิ้งจอกหิมะตัวได้ได้เพียงแค่รวมพลังกักขังจิ้งจอกตัวนั้นไว้ที่ถ้ำลึกในป่าด้านหลังของเกาะและเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ หลังจากการตั้งสำนักและเปิดรับศิษย์ทางสำนักจึงได้ตั้งกฎห้ามล่วงล้ำเข้าไปยังป่าด้านหลังสำนักเด็ดขาดหากใครฝ่าฝืนจะต้องถูกไล่ออกจากสำนักอย่างไม่มีข้อแม้
เสี่ยวฟงค่อยๆบินร่อนลงบนพื้นชายป่าบริเวณทางเข้าสำนัก
ไป๋เฟิ่งลงมาจากหลังสัตว์อสูรของอาจารย์ตนด้วยความระวัดระวังอย่างเช่นตอนที่ขึ้นไปนั่งบนหลังของมันด้วยรู้สึกว่าสัตว์อสูรตรงจะมิใคร่อยากให้คนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าของขึ้นไปนั่งสักเท่าไหร่
“เสี่ยวฟงเจ้ากลับเข้าไปพักผ่อนเถิด” อี้มู่ซุนบอกแก่สัตว์อสูรตน
วี้ดดดดดดดด
เสี่ยวฟงหวีดร้องรับคำสั่งก่อนที่จะหายตัวเข้าไปภายใต้จิตของผู้เป็นเจ้าของ ทำให้ไป๋เฟิ่งมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างสนอกสนใจแต่ก็ไม่ได้เอ่ยอันใด นางเองก็อ่านตำราเกี่ยวกับอสูรมาบ้าง สัตว์อสูรส่วนมากจะไม่ค่อยปรากฏตัวให้คนเห็นมักอาศัยอยู่รวมกันอยู่ที่ใดที่หนึ่งโดยที่มีสัตว์อสูรชั้นสูงที่มีสติปัญญาและแข็งแกร่งที่สุดเป็นผู้ควบคุมสัตว์อสูรที่เหลือและสัตว์อสูรที่ถูกทำพันธะสัญญาจะอาศัยอยู่ช่องว่างภายในจิตของผู้เป็นนาย แต่ก็มีน้อยคนนักที่จะได้รับการยอมรับแล้วทำพันธะสัญญากับพวกมัน
“จากนี้ไปเราต้องเดินทางกันเองต่อ เจ้าใช้วิชาตัวเบาได้หรือไม่?” อี้มู่ซุนหันมาเอ่ยกับศิษย์ตนพร้อมถามคำถาม
“ได้เจ้าค่ะ” ไป๋เฟิ่งพยักหน้า
“ดี ถ้าเช่นนั้นก็ไปต่อกันเถอะ” อี้มู่ซุนพูดจบก็ทะยานออกตัวไปก่อนหน้าก่อนที่ไป๋เฟิ่งจะทะยานตัวตามไปติดๆ ใช้เวลาไม่นานทั้งสองก็มาถึงด้านหน้าประตูทางเข้าสำนักที่มีคนเฝ้าประตูอยู่
“ขอดูป้ายเข้าสำนักด้วยขอรับ” เวรยามที่เฝ้าประตูเอ่ยกับผู้มาใหม่ที่เป็นหนึ่งชายชราและหนึ่งสตรีร่างบอบบางที่สวมผ้าคลุมหน้าอย่างสุภาพ
อี้มู่ซุนมองคนถามอย่างเฉยชาก่อนจะล้วงเอาป้ายที่สหายเก่าเคยให้ไว้ออกมายื่นให้คนเฝ้าประตูดู
“ขออภัยที่ทำให้ล่าช้าเชิญผู้อาวุโสขอรับ” เวรยามที่ได้รับป้ายมาดูถึงกับตะกุกตะกักเมื่อเจอแรงกดดันที่แผ่ออกมาจากชายชราจนไม่ทันได้สังเกตพู่ที่ห้อยป้ายที่ตนได้เห็น
กึก
“ขออภัยแม่นาง ข้าไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อนขอดูป้ายเข้าสำนักด้วย” เวรยามคนเดิมเป็นคนเอ่ยเมื่อเห็นสตรีอีกคนที่ติดตามมากำลังจะเดินผ่านพวกมันไป
“ขออภัยพี่ชายข้าไม่มีป้ายที่ว่านั่น” ไป๋เฟิ่งหยุดชะงักเมื่อคนทั้งสองยกกระบี่ขึ้นมากันไม่ให้นางเข้าไปด้านใน
“หากไม่มีป้ายผ่านก็ไม่สามารถเข้าไปในสำนักได้เชิญแม่นางรอด้านนอกเถิด”
“นางมากับข้า มีปัญหาอันใดหรือไม่?” อี้มู่ซุนกล่าวด้วยน้ำเสียงแฝงไปด้วยความไม่พอใจ
“ตะ..ตะ..แต่ถ้าหากไม่มีป้ายก็เข้าไม่ได้นะขอรับ” ผู้มีหน้าที่เฝ้าประตูยังคงยืนกรานเช่นเดิม มันไม่อยากถูกลงโทษเพราะทำผิดกฎเนื่องจากปล่อยให้คนนอกเข้าไปยังสำนัก ถึงมันจะรู้สึกเกรงกลัวชายชราตรงหน้าก็ตาม
“หากผู้ใดมีปัญหาก็ให้มาคุยกับข้าไป๋เฟิ่งตามข้ามา” อี้มู่ซุนกล่าวอย่างเย่อหยิ่งแล้วสะบัดชายเสื้อก้าวเท้าไปต่อพร้อมเรียกศิษย์ตนให้เดินตามเข้าไป ด้านไป๋เฟิ่งเมื่อได้ยินคำสั่งจากผู้เป็นอาจารย์ก็เคลื่อนกายอ้อมคนเฝ้าประตูที่ยืนอึ้งอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรก้าวเท้าตามอาจารย์ไป
“เจ้ารีบไปแจ้งอาจารย์อวิ๋นเร็วเข้า” คนที่ได้สติก่อนรีบบอกอีกคนให้ไปแจ้งอารจารย์ผู้คุมกฎของสำนักอย่างเร่งด่วน
“ท่านอาจารย์อวิ๋นมีเรื่องด่วนขอรับ!”
“มีเรื่องใดอันถึงได้วิ่งตะโกนโหวกเหวกเสียงดังมาที่ห้องอาจารย์เช่นนี้มิรู้หรือว่ามันรบกวนการทำงานของท่านอาจารย์” เสียงสตรีที่อยู่ในชุดสีฟ้าอ่อนงดงามหรูหราแต่ทว่าตัวชุดดูทะมัดทะแมงเข้ารูปเผยให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งของหญิงสาวชัดเจน ใบหน้าถือว่าเป็นหนึ่งในสตรีที่จัดได้ว่างดงามมากที่สุดผู้หนึ่งกำลังยืนจัดเรียงใบบันทึกกำหนดงานประลองของปีนี้ใกล้ๆกับโต๊ะของชายวัยกลางคนที่กำลังมีสีหน้าราวกับกำลังใช้ความคิด เอ่ยตำหนิคนที่เข้ามาอย่างชัดเจน
“ขออภัยท่านอาจารย์อวิ๋น องค์หญิงหลี่เซียน” มันกล่าวอย่างเกรงๆกับหนึ่งในศิษย์คนสำคัญของสำนักที่มีฐานะเป็นถึงองค์หญิง
“มีเรื่องอันใด” บุรุษวัยกลางคนที่ถูกเรียกว่าอาจารย์อวิ๋นถามคนที่รีบร้อนเข้ามาหา
“มีผู้อาวุโสท่านหนึ่งพร้อมผู้ติดตามมายังสำนักขอรับ”
“แล้วอย่างไร?” อวิ๋นเมิ่งเหยาถามต่ออย่างงุนงง เพียงแค่มีคนเข้ามาในสำนักเหตุใดต้องทำเหมือนเป็นเรื่องใหญ่จนต้องได้มาแจ้งเขาด้วย
“ผู้อาวุโสท่านนั้นมีป้ายผ่านเข้าสำนักที่มีพู่ห้อยเช่นเดียวกันกับท่านเจ้าสำนักทั้งสามเลยขอรับ!!” ผู้ที่มาแจ้งเรื่องจึงได้เอ่ยสิ่งที่ตนพึ่งสังเกตเห็นหลังจากชายชราเก็บป้ายเข้าไว้ที่ใต้แขนเสื้อ
มีป้ายที่ห้อยพู่เช่นเดียวกับท่านเจ้าสำนักงั้นหรือเป็นไปไม่ได้ คนที่ห้อยพู่สีทองมีเพียงท่านเจ้าสำนักทั้งสามเท่านั้น! หรือว่าจะเป็นผู้แอบอ้าง! ตอนนี้มีเพียงเจ้าสำนักเพ่ยฉีอันผู้เดียวที่ยังอยู่ในสำนักเพราะอาจารย์คนอื่นนำศิษย์มากกว่าครึ่งที่มีวรยุทธสูงออกไปทำบางอย่างทางเขตที่เชื่อมต่อกับป่าด้านหลังสำนัก ไม่ได้การล่ะ!!
“ข้าจะไปจัดการคนผู้นั้นเดี๋ยวนี้!” อวิ๋นเมิ่งเหยารีบหันมาบอกแก่ศิษย์ตนพร้อมรีบออกไปจากห้อง
.
.
.
ทางด้านไป๋เฟิ่งที่ตามหลังอาจารย์ตนมาแอบกวาดสายตาสำรวจรอบๆภายในสำนักคร่าวๆ เท่าที่นางทราบมาสำนักเพ่ยฉีมีศิษย์ในสำนักนับร้อย แล้วนี่กลับพบคนเพียงเบาบางคนในสำนักหายไปไหนกันหมด นางได้แต่คิดสงสัยจนมาถึงหน้าอาคารใหญ่ที่ดูเหมือนจะเป็นอาคารสำคัญแห่งหนึ่งของที่นี่เพราะมีการวางกำลังคุ้มกันรอบๆไม่น้อย
“พวกเจ้าเป็นใคร!!!” กลุ่มคนเฝ้าระวังรีบตะโกนเสียงดังเมื่อสังเกตเห็นบุคคลแปลกหน้าทั้งสองที่ตรงดิ่งเข้ามายังเขตหอเจ้าสำนัก
“หนวกหูยิ่งนัก” อี้มู่ซุนกล่าวด้วยน้ำเสียงเจือไปด้วยความรำคาญใจ พร้อมสะบัดมือใส่ทำให้ทั้งหมดไม่สามารถขยับหรือเปล่งเสียงออกมาได้ พวกมันได้แต่หน้าซีดตัวสั่น เพียงแค่สะบัดมือเบาๆก็สามารถหยุดทุกสิ่งได้นับว่าคนตรงหน้าน่ากลัวอย่างยิ่ง
อี้มู่ซุนไม่เหลือบแลกลุ่มคนที่โดนตนจัดการ เดินผ่านคนเหล่านั้นไปพร้อมเอื้อมมือหมายจะเปิดประตูแต่ก็มีคนเปิดมันออกมาเสียก่อน
“คาราวะท่านจ้าวยุทธภพ” เพ่ยฉีอันประสานมือโค้งคาราวะคนตรงอย่างนอบน้อม เขาที่ได้ยินเสียงตั้งแต่มีคนตะโกนหน้าหอของตน เมื่อสัมผัสปราณที่แผ่ให้เขารับรู้ก็รีบลุกจากที่นั่งด้านในออกมาต้อนรับบุคคลที่ทุกคนต้องเกรงทั้งยุทธภพอีกทั้งยังเป็นผู้มีพระคุณของพวกเขาสามพี่น้องอีกด้วย
“อืม” อี้มู่ซุนมิได้กล่าวอันใดมากเพียงเอ่ยรับการคาราวะ
เพ่ยฉีอันไม่ได้กล่าวอันใดอีกเมื่อคนตรงหน้ายังคงเงียบอยู่ได้แต่รอให้ผู้อาวุโสกว่าเป็นผู้เอ่ยปาก
“ ไป๋เฟิ่งนี่คือหนึ่งในสามเจ้าสำนักเพ่ยฉี เพ่ยฉีอัน” อี้มู่ซุนเงียบไปพักหนึ่งเพราะรับรู้ได้ถึงพลังอะไรบางอย่างที่อยู่ใกล้ๆก่อนที่จะหันมาแนะนำบุคคลที่จะต้องรู้จักให้เยี่ยไป๋เฟิ่งได้ทราบ
“เยี่ยไป๋เฟิ่งคาราวะท่านเจ้าสำนัก” ไป๋เฟิ่งรีบคาราวะชายชราที่น่าจะอายุราวสักหกสิบปีดูท่าทางอายุน้อยกว่าอาจารย์นางดูได้จากรูปลักษณ์ภายนอกของอีกฝ่าย
“ไม่ทราบว่าสตรีน้อยผู้นี้คือ?” เพ่ยฉีอันมองสตรีที่ติดตามท่านจ้าวยุทธภพมาด้วยความฉงนหรือว่าจะเป็นหลานสาว?
“นางคือศิษย์ของข้า” เสียงเอ่ยราบเรียบดูไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใดหากแต่ผู้ที่ได้ยินถึงกับเบิกตากว้างไปครู่หนึ่ง
ศิษย์หรือ?! นี่มันข่าวใหญ่กว่าการปรากฏตัวของท่านจ้าวยุทธภพซะอีก!!! ใต้หล้ามีใครไม่ทราบบ้างว่าท่านจ้าวยุทธภพอี้มู่ซุนไม่เคยรับศิษย์แม้ว่าคนผู้นั้นจะเป็นผู้มีพรสวรรค์จากทั่วทั้งสี่แคว้นก็ตาม คิดแล้วพลางมองสตรีตรงหน้าอีกรอบอย่างอยากทราบว่าสตรีน้อยผู้นี้ทำเช่นไรถึงสามารถทำให้บุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในยุทธภพยอมรับเป็นศิษย์ได้ แม้จะมีคำถามมากมายเต็มไปหมดแต่ก็ไม่อาจเอ่ยออกมาได้แม้เพียงครึ่งคำ ศิษย์ของท่านจ้าวยุทธภพหาใช่ที่จะก้าวก่ายได้ต่อให้เขาเป็นเจ้าสำนักที่ผู้คนให้ความยำเกรงก็ตาม
“ท่านเจ้าสำนัก!” เสียงที่เต็มไปด้วยความร้อนรนดังขึ้นพร้อมกับการมาของเจ้าของเสียงที่ดูแล้วน่าจะรีบมาไม่น้อย
อวิ๋นเมิ่งเหยาที่ทะยานมาด้วยความเร็วเท่าที่จะทำได้เห็นเจ้าสำนักตนกำลังยืนคุยกับชายชราผู้หนึ่งโดยมีสตรีร่างบางอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆกัน
“มีอันใดหรือ? เมิ่งเหยา”เพ่ยฉีอันถามผู้ที่เป็นหนึ่งในอาจารย์ในสำนักที่ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องอะไรซักอย่าง
“เวรยามคุ้มกันประตูมาแจ้งมาว่ามีคนแปลกหน้าเข้ามายังสำนักกล่าวว่าคนผู้นั้นถือป้ายผ่านเข้าสำนักที่มีพู่แบบเดียวกันกับเจ้าสำนักทั้งสาม แถมยังให้สตรีที่ไม่มีป้ายของสำนักติดตามเข้ามาด้วยข้าเกรงว่าจะเป็นคนร้ายแอบแฝงมาจึงได้รีบมาท่าน” อวิ๋นเมิ่งเหยาเอ่ยพร้อมหันไปทางชายชราและสตรีร่างบางอย่างสื่อความหมายว่าบุคคลที่กล่าวถึงคือสองคนที่อยู่ด้านหน้าตอนนี้
“อย่าได้เสียมารยาท!” เพ่ยฉีอันเอ่ยบอกด้วยเสียงเข้มเนื่องด้วยเกรงว่าทำให้บุคคลตรงหน้าไม่พอใจ
“แต่ท่านเจ้าสำนัก คนผู้นี้ดูไม่น่าไว้ใจอย่างยิ่งเขาอาจจะเป็นคนร้ายแอบแฝงเข้ามามิหนำซ้ำยังพาคนติดตามเข้ามาอย่างไม่เกรงกลัวต่อสำนักเพ่ยฉีของพวกเราโปรดอย่าได้ไว้ใจ” อวิ๋นเมิ่งเหยายังกล่าวต่อไปโดยไม่ได้สังเกตสีหน้าอันมืดครึ้มของคนที่เป็นเจ้าสำนัก
“ทะ....” ยังไม่ได้ทันจะกล่าวต่อเสียงที่กำลังจะเปล่งออกมาดันหายไปพยายามเค้นเสียงเท่าไหร่แต่กลับไม่มีแม้แต่เสียงลมออกมาคล้ายว่าเป็นใบ้ทำให้เจ้าตัวตาเบิกกว้างอย่างตระหนกหันไปมองคนโน้นคนนี้เลิ่กลั่ก
“ขออภัยคนขอข้าไม่รู้ความ ขอท่านจ้าวยุทธภพได้โปรดอย่าถือสาข้ารับปากว่าจะจัดการเขาอย่างเหมาะสม” เพ่ยฉีอันรีบโค้งตัวประสานมือเอ่ยปากขออภัยแทนคนของตนทันที หากท่านอี้มู่ซุนเกิดมีโทสะขึ้นมาศีรษะคนทั้งสำนักก็ไม่อาจพอที่จะดับโทสะได้เหตุการณ์สะเทือนขวัญของฮ่องเต้แคว้นหนึ่งที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วเป็นตัวยืนยันได้ดี
“สำนักเพ่ยฉีของเรางั้นหรือ? หึ น่าขัน สำนักเพ่ยฉีเป็นของเจ้าตั้งแต่เมื่อใดกัน?” น้ำเสียงจากปากชายชราเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
ไป๋เฟิ่งที่ยืนดูเหตุการณ์เงียบๆมาตั้งแต่แรกอดสงสัยไม่ได้ว่าตัวตนที่แท้จริงของท่านอาจารย์เป็นเช่นไรกันแน่กับผู้คนอื่นอาจารย์นางนั้นวางตัวอยู่สูงเหนือจากคนอื่นอย่างไม่แยแสแต่กับนางนั้นนับว่าเป็นอีกตัวตนหนึ่ง
“เพ่ยฉีอันนำทาง” อี้มู่ซุนเอ่ยพร้อมหันหลังก้าวเดินออกไปจากตรงนั้นทันที ทำให้เพ่ยฉีอันและไป๋เฟิ่งรีบก้าวตามไปอย่างรวดเร็วทิ้งให้อีกคนที่พูดไม่ได้ยืนนิ่งค้างหน้าซีดตั้งแต่ได้ยินคำเรียกขานจากท่านเจ้าสำนักต่อชายชราตรงหน้าว่า ‘ท่านจ้าวยุทธภพ’
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ท่านอาจารย์โคตรเทพ
อีกสามตอนไหมค่ะกำลังสนุก
ไป่เฟิ่งคงเจอบททดสอบในสำนักเพ่ยฉีอย่างโหดแน่นอน