ตอนที่ 20 : ตอนที่ 20 ออกเดินทาง
ตอนที่ 20
ออกเดินทาง
ไป๋เฟิ่งเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากทางด้านหลังก็ชะงักหยุดนิ่งไปพร้อมหมุนตัวกลับมาหาคนที่เรียกตนช้าๆด้วยสายตาที่มีความกังวล
“ท่านพ่อ”
“ตามข้ามา” ไป๋เจี้ยนที่มองบุตรสาวด้วยสายตานิ่งลึกเกินกว่าที่อ่านออกพร้อมออกคำสั่งให้บุตรสาวตามตนกลับเข้าไปข้างใน
ไป๋เฟิ่งเดินตามหลังบิดาจนมาถึงห้องหนังสือเงียบๆ สั่งให้เสี่ยวจูกลับเรือนไปก่อน ส่วนตัวเองก็สูดลมหายใจลึกๆระงับความกังวลเอาไว้ก่อนจะก้าวเข้าไปยืนใกล้บิดาที่ยังคงยืนหันหลังให้นางอยู่ เวลาผ่านไปเกือบเค่อก็ยังไม่มีเสียงอันใดเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากของผู้เป็นบิดา บรรยากาศที่อึมครึมทำให้ไป๋เฟิ่งตัดสินใจเป็นฝ่ายพูดก่อน
“ท่านพ่อ”
“เจ้ามีอะไรจะบอกพ่อหรือไม่” ไป๋เจี้ยนที่รอให้บุตรสาวเป็นฝ่ายพูดก่อนหันมาหาบุตรสาวพร้อมหยั่งเชิงบุตรสาวด้วยคำถามที่ไม่คล้ายจะถามเฉยๆหากแต่เป็นคำถามที่ตัวไป๋เฟิ่งเองทราบว่าจะต้องตอบอย่างไม่บิดพลิ้ว จึงเอ่ยปากเล่าทุกอย่างตั้งแต่แรกที่ได้ตำรามาบิดาตนฟัง
“ที่เจ้าออกไปข้างนอกครั้งก่อนก็เพราะเรื่องนี้สินะ” ไป๋เจี้ยนเมื่อได้ฟังเรื่องราวทุกอย่างก็เข้าใจ ไม่ใช่ว่าตนจะไม่ตามสืบที่ร้านตำรานั่นแต่คนเขาเขาไม่สามารถเข้าใกล้บริเวณนั้นได้เลยต่างหากจึงได้แต่รอคาดคั้นจากบุตรสาวตนเอง ประกอบกับเกิดเรื่องราวกับครอบครัวตนจึงทำให้ไม่ได้จับบุตรสาวมาสอบถาม
“เจ้าค่ะ” เมื่อได้ยินบิดาเอ่ยเช่นนั้นนางจึงคิดว่าบิดาคงจะรู้ตั้งนานแล้วแต่รอให้นางเป็นฝ่ายพูด
“ต่อไปนี้มีเรื่องอันใดให้บอกกล่าวแก่ข้าก่อนอย่าได้ประมาทออกไปไหนนอกจวนตัวคนเดียว” น้ำเสียงแฝงไปด้วยความตำหนิชัดเจนทำให้ไป๋เฟิ่งพยักหน้าอย่างสำนึกผิดกับบิดาและรู้ตัวว่าตนดื้อดึงและอวดเก่งเพียงใดเมื่อยามประสบเหตุการณ์ร้ายแรงตนก็ไม่ต่างจากหมูในอวยให้ผู้ที่เเข็งเเกร่งกว่าทุบตีเล่น
“แล้วอาจารย์ผู้นั้นของเจ้าเป็นใครกัน?” ตั้งแต่ที่เล่าเรื่องราวมาบุตรสาวตนยังไม่ได้เอ่ยชื่อผู้ที่ตนเองกราบเป็นอาจารย์เลย
“มีผู้บุกรุก!” เสียงเอะอะข้างนอกส่งผลให้ทั้งสองคนในห้องหยุดการสนทนาแล้วรีบออกมาดูที่มาของเสียง
ไป๋เจี้ยนที่ออกมาพร้อมกับบุตรสาวมองไปยังลานหน้าห้องหนังสือที่ตอนนี้เต็มไปด้วยเหล่าเงาที่คุ้มครองจวนยืนนิ่งราวกับมีใครหยุดการเคลื่อนไหวเอาไว้กลิ่นอายพลังปราณเข้มข้นกดข่มโดยรอบ เบื้องหน้ากลุ่มเงามีชายชรายืนเอามือไพล่หลังสบายๆไม่เดือดเนื้อร้อนใจราวกับกำลังยืนชมสวนในจวนตนเองหาใช่จวนผู้อื่น
“เรียนถามท่านผู้อาวุโสเหตุใดจึงบุกเข้ามาจวนข้าในเวลาเช่นนี้” ไป๋เจี้ยนถามอย่างระแวดระวังท่าทีเต็มที่เมื่อสัมผัสไม่ได้ถึงขั้นพลังของอีกฝ่ายย่อมแสดงว่าคนตรงหน้ามีวรยุทธสูงกว่าตน จึงไถ่ถามอย่างนอบน้อมคงดีกว่าการแสดงท่าทีแข็งกร้าวด้วยไม่ทราบว่าคนผู้นี้มาดีหรือมาร้าย
“ข้ามารับศิษย์ของข้า” ชายชราหันมาพร้อมกับโบกพัดที่กางในมือไปมา
“ท่านอาจารย์” ไป๋เฟิ่งเอ่ยเมื่อเห็นหน้าอาจารย์ของตนชัดๆ แล้วรีบประสานมือคาราวะนางคงเลยเวลานัดไปนานมากท่านอาจารย์ถึงได้มาตามเช่นนี้
“เจ้าไม่ไปตามนัด”
“ศิษย์ขออภัยท่านอาจารย์เกิดปัญหาบางประการ...เอ่อ” ไป๋เฟิ่งมองไปทางบิดาแล้วกลับมามองยังอาจารย์ตนคล้ายจะสื่อว่าที่ไม่ได้ไปเพราะเหตุใด
“อ้อ” อี้มู่ซุนมองไปยังไป๋เจี้ยนแล้วพอจะเข้าใจ นังหนูนี่ยังไม่ได้บอกคนในครอบครัวกระมังเอาเถอะยังมีเวลาพอที่จะพูดคุย
“เชิญท่านผู้อาวุโสเข้าไปพูดคุยด้านในก่อนเถิด”ไป๋เจี้ยนเอ่ยเชิญชายชราที่บุตรสาวเรียกว่าอาจารย์เข้าไปในห้อง
กึก
เสียงของจอกน้ำชาที่วางลงบนโต๊ะที่ไป๋เฟิ่งรินให้ทางผู้เป็นอาจารย์ดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศเกร็งๆ ก่อนคนที่บิดาจะเอ่ยขึ้น
“บุตรสาวข้ากล่าวว่าท่านคืออาจารย์ของนาง ไม่ทราบว่าท่านผู้อาวุโสมีนามว่าอันใด”
“อี้มู่ซุน” ชายชราเพียงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่มีความกดดันใดๆ หากแต่คนที่ได้ยินชื่อถึงกับตาเบิกโพลง
“ท่านคือจ้าวยุทธภพท่านอาจารย์อี้ อี้มู่ซุน!!” ไป๋เจี้ยนเอ่ยด้วยน้ำเสียงตกใจนามอี้มู่ซุนหากพูดถึงในกลุ่มคนฝึกวรยุทธหรือแม้แต่คนทั่วไปก็ย่อมรู้จักเจ้าของตำแหน่งเจ้ายุทธภพคนปัจจุบันหากแต่ผู้คนกล่าวว่าเขานั้นได้หายตัวไปหลังจากได้ตำแหน่งไม่กี่ปี ไม่มีผู้ใดทราบว่าไปไหนหรือไปที่ใด หากมีคนทราบว่าเขาปรากฏตัวขึ้นแล้วยุทธภพที่สงบเงียบมาตั้งเกือบสิบกว่าปีคงต้องกลับมาสั่นสะเทือนอีกครั้งอย่างแน่นอน
“เป็นข้า” อี้มู่ซุนยังคงโบกพัดในมือไปมาอย่างไม่ยี่หระต่ออาการของผู้อื่น ส่วนไป๋เจี้ยนที่ได้ทราบความจริงก็อดตื่นตะลึงปนขนลุกบ้างที่ได้พบผู้ที่คนให้ความยำเกรงในความแข็งแกร่งและรู้สึกยินดีอยู่ในใจเมื่อบุตรสาวตนมีวาสนามีอาจารย์ที่สูงส่งเพียงนี้
“ขออภัยที่ข้าไม่รู้ความไม่ทราบว่าท่านคือท่านอาจารย์อี้” ไป๋เจี้ยนลุกโค้งคาราวะขอโทษชายชราตรงหน้า
อี้มู่ซุนโบกไม้โบกมือไม่ให้เอ่ยอะไรมากความ หลังจากพูดคุยให้เข้าใจ ชายชราก็ยกจอกน้ำชาที่มีกลิ่นดอกโม่ลี่อ่อนๆให้ความสดชื่นขึ้นมาจิบอีกอึกดับกระหายก่อนจะเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น
“นี่ก็ดึกมากแล้วคงไม่ได้ไปที่เพ่ยฉี ไว้พรุ่งนี้ข้าจะมารับเจ้ายามเหม่า (卯:mǎo)”
“หวังว่าเจ้าคงไม่ว่าอะไรหากข้าจะพาศิษย์ออกนอกจวนบ่อยๆ” อี้มู่ซุนลุกขึ้นเตรียมกลับหันมาพูดกับไป๋เจี้ยน
“ข้ามิกล้าท่านอาจารย์อี้” ไป๋เจี้ยนรีบตอบเพราะกลัวเข้าใจผิด
“ข้าไปละ” ไป๋เจี้ยนและไป๋เฟิ่งเดินออกมาส่งที่ลานกว้างหน้าห้องหนังสือมองชายชราเดินผ่านเหล่าเงาหายวับไปพริบตา ไป๋เจี้ยนมองคนที่หายไปด้วยสายตาชื่นชมในวรยุทธอันสูงส่งก่อนจะหันมาพูดคุยกับบุตรสาวเรื่องการออกเดินทางพรุ่งนี้เล็กน้อยแล้วแยกย้ายกันกลับเรือนตนไปแต่คล้ายว่าจะลืมอะไรบางอย่างไป.....
วันรุ่งขึ้น
ไป๋เฟิ่งที่กำลังเตรียมตัวออกเดินทางไปยังสำนักเพ่ยฉีนั่งรอผู้เป็นอาจารย์อยู่ที่กลางห้องในหัวคิดกังวลไปเรื่อยเปื่อย หากไปตรวจวัดพลังปราณที่นั่นแล้วหากปรากฏว่าตัวนางไม่มีธาตุหลักแล้วจะทำเช่นไร แต่เอาเถอะหากไม่มีหนทางก็ต้องย่อมรับมันให้ได้ถึงแม้ว่าการเลื่อนขั้นวรยุทธเพื่อที่จะแข็งแกร่งปกป้องครอบครัวตนจะเป็นสิ่งที่นางปรารถนาก็ตามที
นิ้วเรียวลูบไล้ปกหนังสือที่อยู่บนตักตนเบาๆ นับตั้งแต่ที่นางได้รับหนังสือมามีเพียงครั้งแรกเท่านั้นที่นางเปิดหนังสือออกได้ นอกนั้นไม่ว่านางจะงัดแงะหรือแม้แต่ถ่ายทอดพลังปราณตนเข้าไปยังหนังสือก็ไม่สามารถเปิดออกได้
นั่งรอไม่นานนักก็มีบ่าวมาแจ้งว่ามีรถม้ามารอที่หน้าประตูจวนแล้วจึงได้รีบเก็บตำราเข้าห่อผ้าแล้วขยับลุกทันที โดยไม่มีสาวใช้คนสนิทติดตามไปด้วยเพราะสำนักเพ่ยฉีมิได้ต้อนรับคนนอกสักเท่าไหร่ การไปครั้งนี้มีเพียงนางและท่านอาจารย์ของนางเท่านั้น
นางนั้นยังไม่ได้บอกมารดาและพี่ชายเพราะบิดากล่าวว่าจะเป็นฝ่ายบอกเองเนื่องจากทุกอย่างกระชั้นชิดไปหมด และมารดาตนเองก็มิได้อยู่จวน เห็นว่าไปทำธุระแต่เช้าตรู่ไม่ได้อยู่ร่วมทานอาหารเช้า ส่วนพี่ชายนางก็ยังไม่กลับจวนตั้งแต่เมื่อวาน ไป๋เฟิ่งเดินมาถึงหน้าประตูจวนพบบิดาที่ยืนพูดคุยอยู่กับท่านอาจารย์ของนางอยู่
“คาราวะท่านอาจารย์ ท่านพ่อ”
“ข้าจะไปรอด้านใน” อี้มู่ซุนกล่าวพร้อมก้าวเข้าไปนั่งในรถม้ารอศิษย์น้อยของตนที่ต้องล่ำลาบิดาก่อนที่จะเดินทางไกล
“เจ้าเดินทางไกลครานี้จงระมัดระวังตัวอย่าได้ประมาทเข้าใจหรือไม่?” ไป๋เจี้ยนบอกกล่าวแก่บุตรสาวที่กำลังจะออกเดินทางไกล สำนักเพ่ยฉีเป็นสำนักฝึกยุทธหนึ่งเดียวของยุทธภพทำให้ในสำนักมีบุคคลที่ไม่ควรมีเรื่องด้วยหากไม่อยากสิ้นชีพไปโดยเปล่าประโยชน์ไม่น้อย ในสำนักรวบรวมเหล่าผู้มีพรสวรรค์ทางด้านวรยุทธมากมายที่เป็นศิษย์ของสำนักมีทั้งบุคคลทั่วไปรวมถึงเหล่าเชื้อพระวงศ์ นับว่าบุตรสาวของเขากำลังจะก้าวขาเข้าไปในดงพยัคฆ์อย่างแท้จริง แต่ก็โล่งใจไปเปราะหนึ่งเพราะมีท่านอี้มู่ซุนที่เป็นอาจารย์ของบุตรสาวตนเป็นผู้พาไปที่นั้นคงทำให้หลายคนเกรงใจบ้าง
“เจ้าค่ะ” ไป๋เฟิ่งพยักหน้ารับคำบิดา
“รีบเข้าไปด้านในเถิดสายมากแล้ว” ไป๋เจี้ยนมองรถม้าเคลื่อนแล่นลับไปจนสุดสายตาพร้อมถอนหายใจดังเฮือกใหญ่ ถือซะว่าให้นางได้เติบโตขึ้นเพื่อตัวนางเองก็แล้วกันหากนางแข็งแกร่งขึ้นก็ยากจะมีผู้ใดรังแกได้เป็นการดีต่อตัวนางเอง
หลังจากที่ถามเรื่องที่เกี่ยวกับสำนักเพ่ยฉีเล็กน้อยกับอาจารย์รถม้าที่เคลื่อนตัวอย่างนุ่มนวลไม่รวดเร็วแต่ก็ไม่ได้เชื่องช้าจนเกินไปไม่มีการสะดุดอันใดซักนิด ไป๋เฟิ่งจึงหยิบตำราที่พกมาด้วยขึ้นมาอ่านแก้เบื่อส่วนอาจารย์นางก็หลับตาเข้าสู่สมาธิ
รถม้าหยุดลงเมื่อออกเดินทางมาได้เกือบหนึ่งชั่วยามทำให้ไป๋เฟิ่งที่อ่านหนังสือเพลินหยุดชะงักเงยหน้าขึ้นมาแล้วมองไปยังชายชราที่พึ่งลืมตาขึ้นมาอย่างมีคำถาม
“ลงไปกันเถิด” ชายชราไม่ได้ตอบอันใดกับคำถามที่ส่งมาทางสายตาลุกนำออกไปด้านนอก
"เจ้าไปได้แล้ว" อี้มู่ซุนพูดกับคนขับรถม้าแล้วโยนถุงเงินค่าจ้างให้อีกฝ่าย
“เรามิเดินทางต่อหรือเจ้าคะ?”ไป๋เฟิ่งที่ก้าวลงมาจากรถม้ามองไปยังรถม้าที่นั่งมาเมื่อครู่แล่นผ่านหน้าจากไปเหลือเพียงนางและอาจารย์อย่างงุนงง ก่อนที่จะมองไปรอบๆตัวพบว่าตัวเองอยู่ชายป่านอกเขตเมืองหลวงที่มีทางแยกที่จะไปยังเมืองต่างๆ
“เจ้าคิดว่าเราจะเดินทางด้วยรถม้าหรือ? อีกครึ่งเดือนกระมังถึงจะถึงเพ่ยฉี”
“เสี่ยวฟงออกมา”
วี้ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!
เสียงหวีดร้องดังขึ้นพร้อมลมกรรโชกแรงดั่งพายุทำให้เหล่าต้นไม้น้อยใหญ่บริเวณใกล้เคียงโยกเอนไหวอย่างไม่อาจต้านแรงลม ใบไม้ปลิวว่อนไปทั่วก่อนที่เหนือศีรษะของไป๋เฟิ่งจะปรากฏวิหคขนาดใหญ่ที่มีลำตัวมีสีน้ำเงินเข้มเหลือบม่วงสลับดำ ดวงตาสีน้ำเงินเช่นเดียวกันกับสีขน รอบตัวรวมทั้งดวงตามีสายฟ้าไหลวนรอบๆ ส่งแรงกดดันจนตัวไป๋เฟิ่งแทบเข่าอ่อน
“ท่านอาจารย์ไม่ทราบว่านี่คือ?” ไป๋เฟิ่งที่กัดฟันต่อแรงกดดันเอ่ยถามผู้เป็นอาจารย์
“นี่คือสัตว์อสูรของข้า เสี่ยวฟงหยุดปล่อยแรงกดดันเสียเจ้าเห็นหรือไม่ว่าศิษย์ข้าจะยืนไม่ไหวแล้ว” ตอบคำถามศิษย์น้อยเสร็จก็หันไปเอ่ยกับสัตวอสูรของตน
ไป๋เฟิ่งมองสัตว์อสูรตรงหน้าอย่างตื่นเต้น นางทราบมาว่ามีเพียงสัตว์อสูรชั้นสูงที่มีสติปัญญาเท่านั้นที่จะสามารถทำพันธะสัญญากับมนุษย์ได้ทั้งยังต้องได้รับการยอบรับจากมันด้วยถึงจะสามารถครอบครองได้
“เอาล่ะเดี๋ยวค่อยทำความคุ้นเคยกับเสี่ยวฟงขึ้นมาเราจะได้เดินทางกันต่อ”
ไป๋เฟิ่งค่อยๆก้าวขึ้นไปบนหลังสัตว์อสูรขนาดใหญ่ด้วยความไม่คุ้นชิน และระมัดระวังไม่ให้สัตว์อสูรตรงหน้าไม่โมโหจนจัดการนาง
“คุณหนูเยี่ยเดินทางออกจากจวนตั้งแต่ยามเหม่า (卯:mǎo)พร้อมชายชราผู้หนึ่งพะยะค่ะ”
คำรายงานจากคนที่เขาส่งไปดูแลไป๋เฟิ่งทำให้จ้าวเฟยหลงหยุดมือที่กำลังเขียนลงแล้วหันมาถามคนที่ยืนตรงหน้าทันที
“ทราบไหมว่าเป็นใคร”
“ไม่ทราบพะยะค่ะ พวกกระหม่อมไม่สามารถเข้าไปใกล้รถม้าได้เลย”
“แล้วไปที่ใด” จ้าวเฟยหลงขมวดคิ้ว ไม่สามารถเข้าใกล้ได้เลยหรือชายชราผู้นั้นคงมิใช่ธรรมดาแต่ว่าเป็นอันใดกับคนตระกูลเยี่ยกัน?
“จุดหมายคือสำนักเพ่ยฉีพะยะค่ะ”
“สำนักเพ่ยฉี?” เหตุใดจิ้งจอกหน้ามึนจึงไปที่นั่นได้กัน สำนักเพ่ยฉีมิใช่ว่าใครจะเข้าไปก็ได้มีเพียงเหล่าศิษย์ของสำนักและเหล่าผู้อาวุโสที่เป็นอาจารย์เท่านั้น
“ตามต่อไป คอยคุ้มครองอยู่ห่างๆหากไม่มีเรื่องร้ายแรงจนเกิดการต่อสู้ไม่ต้องเผยตัว"
“พะยะค่ะ”ว่าแล้วก็โค้งกายถอยหลังหายลับไป
ท่านพ่อออออออออออออ ท่านลืมคลายจุดให้คนคุ้มกันนนนนนน
ยืนตัวแข็งทั้งคืน555555555555555555555
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

5555 ไรท์ก็เนาะ
สู้ๆค่ะ
ค่อยๆแต่งไปค่ะ