ตอนที่ 16 : ตอนที่ 16 อ้ายหยางหลง
ตอนที่ 16
อ้ายหยางหลง
ร่างบางดิ้นขลุกขลักในอ้อมแขนแกร่งด้วยความหวาดกลัวพร้อมสั่นเทาน้อยๆ ในหัวเริ่มคิดอะไรไม่ออกนอกจากความหวาดกลัวเพราะยังฝังใจกับเหตุการณ์ที่ผ่านมาจึงพยายามที่จะดิ้นหนีจากการกเกาะกุม
“ข้าเอง” จ้าวเฟยหลงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและมีความรู้สึกผิดกับร่างน้อยที่ทำให้เกิดความหวาดกลัว รู้ทั้งรู้ว่านางพึ่งผ่านเหตุการณ์เลวร้ายมาแต่ก็ยังมาทำให้นางหวนคิดเรื่องนั้นซ้ำต่อให้นางเข้มแข็งปานใดก็ต้องหวาดกลัวอยู่ดี มือหนาที่ปิดปากบางคลายออกเมื่อคนตรงหน้าหยุดดิ้นและน่าจะรู้ว่าตนเป็นใครดึงให้อีกคนหันกลับมาหาตน
ฝ่ายไป๋เฟิ่งเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยก็หยุดดิ้นจนกระทั่งอีกคนพลิกร่างตนให้หันกลับไปเผชิญหน้า ใบหน้าคมที่เห็นลางๆภายใต้แสงจันทร์ทำให้ร่างบางลืมความกลัว นางมิเคยสำรวจใบหน้าของบุรุษตรงหน้าอย่างจริงจังมาก่อนมองผ่านๆแล้วยังรู้ว่ารูปงามเหนือบุรุษใดในใต้หล้า ดวงตาหงส์เรียวยาวสำรวจด้วยความสนใจ หากให้กล่าวตามความสัตย์จริงนับว่าบุรุษตรงหน้ารูปงามเหนือบุรุษผู้ใดที่นางเคยพบ สายตาที่สำรวจไปทั่วใบหน้าสะดุดลงเมื่อได้สบตากับดวงตาคู่คมที่มองนางแฝงไปด้วยความเป็นห่วงใยและอ่อนโยน ใจดวงน้อยเต้นรัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนทำให้หน้านางเกิดอาการร้อนขึ้นมาทั้งที่อากาศยามนี้หนาวเย็นนัก ไป๋เฟิ่งขืนตัวถอยห่างจากจากคนตรงหน้าเล็กน้อยแล้วก้มหน้าลงมองพื้นอย่างมิรู้จะทำเช่นใด ในขณะที่ใจยังเต้นแรงไม่หยุด
จ้าวเฟยหลงเห็นอาการสตรีตรงหน้าก็ยิ้มออกมาอย่างไม่ปิดปังเสียดายนักที่อีกคนไม่เห็นเพราะมัวแต่ก้มหน้าอยู่
“ให้ข้าดูแผลที่ข้อเท้าเจ้าได้หรือไม่”เสียงทุ้มเอ่ยถามเขาจำได้ว่าชายกระโปรงนางขาดวิ่นจึงทำให้เห็นแผลที่ข้อเท้าบาง
ไป๋เฟิ่งที่ทำสมาธิได้แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมาสบตากับอีกฝ่าย
“ไม่เป็นอันใดมากเพคะเพียงเป็นแผลเล็กน้อยเท่านั้น”
“เล็กน้อยอย่างไรก็ต้องรักษา สตรีพึงต้องถนอมกายไว้ให้มาก” เขากล่าวคล้ายสั่งสอน
“แต่....”นางกล่าวอย่างลังเล ข้อปฏิบัติเหล่าสตรีที่ร่ำเรียนมานั้นห้ามเปลือยเท้า ห้ามสยายผมต่อหน้าบุรุษคนใดที่มิใช่สามีเขามิรู้หรือ?
“ช่างข้อห้ามเหล่านั้นเถิด” ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่อาจแต่งกับใครได้นอกจากเขาอยู่แล้ว
ร่างบางที่ยังคงคิดไม่ตกถูกดึงไปนั่งบนเตียงตนเองพร้อมถูกร่างสูงจัดแจงให้นั่งพิงหัวเตียงพร้อมยกปลายเท้านางขึ้นมาไว้บนตักที่เขานั่งอยู่ปลายเท้าอย่างไม่นึกรังเกียจ นางพยายามจะชักเท้าหนีหากแต่ถูกสายตาคมมองมาด้วยสายกดดันจึงต้องจำยอมถึงแม้ว่ามันมิควร สักพักนางก็รู้สึกเย็นสบายที่บริเวณข้อเท้าที่เป็นแผลจากการโดนแส้น้ำตวัดรัด นางมองบุรุษที่บุกรุกเข้ามาห้องนางยามวิกาลที่กำลังบรรจงทาอย่างเบามือ พลางคิดในใจว่านี่หรือบุคคลที่ทั่วทั้งใต้หล้ากล่าวว่าโหดเหี้ยม เย็นชา นางไม่คิดว่าสิ่งที่ทุกคนพูดถึงกันจะตรงกันข้ามถึงเพียงนี้อีกทั้งความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยเมื่อยามอยู่ใกล้นี่มันคืออันใด ความคิดในหัวตีกันจนร่างบางส่ายหน้าไปมากับตนเองราวจะสะบัดความคิดออกไปจากความคิดที่นางก็ไม่ทราบว่ามันคืออะไร
“เจ้าเป็นอันใด”จ้าวเฟยหลงเมื่อทายาเสร็จถามไปยังร่างบางตรงหน้าที่คล้ายว่าคิดอันใดอยู่ แต่จู่ๆก็สะบัดหัวไปมา
“เปล่าเพคะ”ร่างบางตอบเสียงแผ่วลอบมองหน้าบุรุษสูงศักดิ์ที่นางเคยแอบทำกิริยาไม่ดีต่อเขา ไม่ว่าจะเป็นยามที่พบหน้ากันที่โรงเตี๊ยมแล้วเผยกิริยาไม่งามใส่หรือในงานเลี้ยงวันนี้ก็ตาม นางสัญญากับตนเองว่าจะไม่แสดงกิริยาแบบนั้นใส่เขาอีกความเข้มแข็งที่เคยมีตลอดมาพลันมลายหายไปเกือบหมดสิ้นเมื่อเจอเหตุการณ์วันนี้ นางยังอ่อนหัดนัก
จ้าวเฟยหลงถอดบางอย่างออกจากคอตนแล้วยื่นให้อีกฝ่าย
“สิ่งนี้คืออะไรหรือเพคะ?” ไป๋เฟิ่งมองแท่งสีเงินวาวอันเล็กที่ตรงปลายเจาะรูกลวงหนึ่งรู ตรงหัวแท่งมีห่วงเล็กๆคล้องกับตัวสร้อยอย่างสนใจเพราะไม่เคยเห็นมาก่อน
จ้าวเฟยหลงไม่ตอบ มือหนาปลดตะขอสร้อยแล้วขยับเข้าไปสวมลงบนลำคอระหงอย่างเชื่องช้าแผ่วเบา ด้วยระยะห่างที่ทั้งสองมีนั้นแทบจะเรียกได้ว่าใกล้จนลมหายใจของผู้ที่สูงกว่ารดใบหน้าของผู้ที่อยู่ต่ำกว่า ทำให้ฝ่ายที่ถูกลมหายใจอุ่นร้อนรดใบหน้าถึงกับเกร็งตัวแต่ก็ไม่ได้ผละออก ร่างสูงที่ปลายจมูกอยู่ใกล้เรือนผมงามแอบสูดหายใจเอากลิ่นกายหอมของคนตรงหน้าอย่างห้ามตนไม่อยู่ก่อนจะผละออกมาอยู่ที่เดิมเมื่อสวมสร้อยให้ร่างบางเสร็จ
“หากเมื่อเจ้ารู้สึกถึงภัยอันตรายจงเป่ามันให้ดัง”
“เข้าใจหรือไม่”เสียงทุ้มเอ่ยถามอีกครั้งและพึงพอใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายผงกหัวราวไก่จิกเมล็ดข้าว
“เก็บยานี้ไว้ทาบาดแผลจนกว่าจะหาย” เขายื่นตลับยาใส่มือบางอย่างบังคับเพราะรู้ว่านางจะปฏิเสธด้วยความที่ได้พบกันหลายครั้งทำให้เขารู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนดื้อรั้นที่ไม่ชอบรับของจากผู้ใดนักแม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใครก็ตาม ดูอย่างที่นางปฏิเสธฝ่าบาทสิหากเป็นคนอื่นคงร้องขอนั้นนี่ไม่หยุดหากฮ่องเต้ให้ความสนิทสนมเป็นการส่วนตัว ด้วยเหตุนี้ด้วยกระมังที่ทำให้พี่ชายตนถูกใจนาง
“แต่......”
“ห้ามปฏิเส ถ้าเจ้าปฏิเสธข้าจะลงโทษเจ้า” จ้าวเฟยหลงเอื้อมมือไปตรงหน้าทำให้อีกฝ่ายหลับตาปี๋
ไป๋เฟิ่งที่กำลังจะเอ่ยแย้งเพราะรู้ว่าตลับยานี้คงเป็นยาชั้นเลิศที่ใช้สำหรับเชื้อพระวงศ์นางไม่อาจรับไว้ แต่ก็ถูกร่างสูงขู่แล้วยื่นมือมาคล้ายจะตีนางทำให้นางหลับตาลงทันที ความอุ่นร้อนถูกสัมผัสกับบริเวณแก้มนวลของนางทำให้นางลืมตาขึ้นพบว่าอีกฝ่ายยื่นมือมาจับแก้มนางพร้อมออกแรงดึงน้อยๆแต่ก็ทำให้นางรู้สึกเจ็บอยู่บ้างนางจึงอดเบ้ปากหน่อยๆไม่ได้ บุรุษตรงหน้าคงพอใจจึงได้หยุดดึงแก้มนางแล้วลูบบริเวณที่ดึงเบาๆคล้ายจะปลอบที่ทำให้นางเจ็บเมื่อครู่ คล้ายว่าโดนตบหัวแล้วลูบหลัง?
“นี่ก็ดึกมากแล้วนอนเสีย” มือหนากดไหล่บางให้นอนลงแล้วยิบผ้าห่มมาคลุมให้อย่างอ่อนโยน ความอ่อนโยนที่ไป๋เฟิ่งได้รับทำให้เกิดอาการหน้าร้อนผ่าวอีกรอบนิ้วเรียวยาวดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมปิดจนเกือบมิดเหลือเพียงดวงตาที่โผล่ออกมา
จ้าวเฟยหลงที่เห็นดังขึ้นจึงเกิดความเอ็นดูอดยิ้มมุมปากน้อยๆมิได้หารู้ไม่ว่ารอยยิ้มนั้นทำให้อีกฝ่ายที่นอนอยู่ยิ่งอาการหนักมากยิ่งขึ้น หากกล่าวว่าหนึ่งยิ้มของสตรีที่งดงามนั้นสามารถล่มเมืองได้ หนึ่งยิ้มที่มาจากบุรุษผู้นี้คงสามารถล่มแคว้นเลยทีเดียวมือหนาลูบศีรษะเล็กแล้วกะโดดออกจากห้องนางไป ทิ้งให้อีกคนนอนใจเต้นรัวจนแทบระเบิดนางมิรู้ว่าอาการที่นางเป็นอยู่คืออะไร พยายามคิดหาอาการจากตำราที่เคยอ่านก็ไม่ทราบคิดไปมาจนผล็อยหลับไปอย่างไม่รู้ตัว
“ถวายพระพรท่านอ๋องพะยะค่ะ” ชายทั้งสองรีบเข้ามาทำความเคารพนายตนที่ก้าวเข้ามาในห้องเล็กๆคล้ายห้องเก็บของทั่วไปหากแต่มันมีความพิเศษกว่านั้น
“งานที่ให้ไปจัดการเรียบร้อยดีหรือไม่”
“เรียบร้อยดีพะยะค่ะ จับกุมกลุ่มมือสังหารที่ถูกส่งไปสังหารรัชทายาทอ้ายหยางหลงได้สามคนส่วนคนที่เหลือฆ่าตัวตายพะยะค่ะ หลักฐานการว่าจ้างทั้งหมดกระหม่อมมอบให้เอ้อหลางเรียบร้อยแล้วพะยะค่ะ” หนึ่งในสองที่ถูกส่งไปทำงานต่างแคว้นเอ่ยรายงาน
“อืม” พยักหน้าอย่างพอใจกับผลงานที่ได้
“ทั้งสามคนถูกจับทรมานให้รับสารภาพรวมกับคนที่พึ่งลอบโจมตีครอบครัวรองแม่ทัพเยี่ยพะยะค่ะ” ซานหลิวเอ่ยรายงานอย่างไม่มีตกบกพร่อง เขาคือองครักษ์คนสนิทอีกคนหนึ่งของชินอ๋องจ้าวเฟยหลงในกลุ่มองครักษ์ทั้งสามของชินอ๋องเขาเป็นผู้จัดการงานต่างๆแทนพระองค์มากกว่าเพื่อนอีกสองคนเนื่องจากพวกเขาต่างถูกฝึกมาต่างกันเพื่อให้รับใช้ชินอ๋องแตกต่างกันไป เอ้อหลางติดตามท่านอ๋องทุกฝีก้าวคอยรับใช้ใกล้ชิด หย่งหนานจัดการเรื่องกิจการของท่านอ๋องและมีหน้าที่พิเศษคือเป็นหมอประจำพระองค์
“อืม” หลังจากฟังรายงานจากซานหลิวทั้งหมดก็เคลื่อนกายหายเข้าไปหลังประตูที่ภายนอกคือผนังห้องธรรมดาหากแต่เมื่อเลื่อนตู้หนังสือด้านหน้าออกจะพบกลไกบางอย่างแล้วประตูจะเปิดออกเส้นทางลึกลับทอดยาวไปเรื่อยๆจนสิ้นสุดเมื่อเห็นแสงสว่างจากคบเพลิงจากห้องโถงกว้างที่อยู่ใต้ดิน
“เจ้าจะสารภาพหรือไม่ว่าใครเป็นคนส่งเจ้ามายังแคว้นจ้าว” เอ้อหลางที่ควบคุมการทรมานในการเค้นความจริงจากมือสังหารเอ่ยถามร่างสะบักสะบอมตรงหน้าที่แม้ว่าถูกทรมานอย่างไรก็ไม่ยอมสารภาพความจริง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีหลักฐานแต่หากได้ตัวพยานบุคคลจะเป็นการดีกว่า
“คะ แค่ก แค่ก ฆ่าข้าเสียเถอะอย่างไรข้าก็ไม่บอก” มันบอกด้วยน้ำเสียงแหบพร่ากระอักเลือดที่อยู่ในปากออกมา
“ข้าจัดการเอง”เสียงทุ้มเย็นที่ดังขึ้นจากด้านหลังทำให้ทั้งหมดหันไปมองจ้าวเฟยหลงที่เดินนำเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้ามือสังหารสี่คนที่ถูกจับมา สามคนด้านซ้ายมือคือกลุ่มที่ถูกส่งไปสังหารอ้ายหยางหลงส่วนอีกคนคือหนึ่งในกลุ่มที่ลอบโจมตีครอบครัวจิ้งจอกหน้ามึนที่พึ่งเอ่ยปฏิเสธการรับสารภาพ
“ถวายพระพรท่านอ๋องพะยะค่ะ”ทั้งหมดเอ่ยขึ้น พร้อมกลับมาทำตัวปกติเมื่อนายตนพยักหน้ารับการเคารพ
มันไม่กล้าสบตากับบุรุษที่เข้ามาใหม่คล้ายหวาดกลัวทั้งที่ก่อนหน้านี้โดนทรมานสารพัดอย่างก็ไม่ปริปากหรือแสดงความหวาดกลัวใด มันยังจำภาพพวกพ้องคนหนึ่งที่โดนปราณสายฟ้าฟาดลงกลางร่างทำให้ร่างนั้นไหม้เกรียมตายอย่างอเนจอนาถ ทำให้มันที่โดนจับก่อนที่จะกินยาฆ่าตัวตายรู้ได้ทันทีว่าบุรุษที่มีบรรยากาศรอบตัวเย็นยะเยือกน่ากลัวผู้นี้คือชินอ๋องจ้าวเฟยหลงที่เลื่องลือของแคว้นจ้าว บุรุษผู้ที่มีวรยุทธสูงส่งขั้นแปดปลายผู้ซึ่งมีธาตุหลักพิเศษหายากนับว่าหนึ่งร้อยปีจะมีมาซักหนึ่งคน รังสีน่าหวาดหวั่นที่แผ่ออกมารอบตัวทำให้มันเกิดการสั่นกลัว
จ้าวเฟยหลงเปรยตามองอย่างเย็นชาก่อนจะเอ่ยขึ้นมาเพียงประโยคเดียว
“เอ้อหลางส่งคนไปจัดการครอบครัวทุกคนที่ยังเหลือรอด”เมื่อจบคำสั่งพวกมันทุกคนก็ตาเบิกกว้างมิคาดคิดว่าบุรุษผู้นี้จะไม่ละเว้นแม้กระทั่งคนที่มิรู้เรื่องราวอันใดอย่างครอบครัวพวกตน เดิมทีการเป็นมือสังหารนั้นเป็นงานที่เสี่ยงอยู่แล้วจึงไม่สามารถเปิดเผยกับครอบครัวได้บางคนเป็นพวกไม่มีญาติพี่น้องก็ไม่มีห่วงอยู่ข้างหลัง
“พะยะค่ะ”
“ขะ ข้าบอกแล้ว! ขะ ข้าจะบอก!” ชายที่อยู่ด้านขวามือสุดตะโกนอย่างร้อนรนเมื่อเห็นว่าบุรุษสูงส่งตรงหน้ากำลังจะเดินออกไป มันไม่อาจลากครอบครัวตนที่ยังเหลืออยู่มาตกตายไปกับงานที่ทำอยู่ได้หากมันจะตายก็ขอตายเพียงคนเดียว
“ขอแค่ท่านไว้ชีวิตครอบครัวข้า!!”
ดวงตาคมใช้หางตามองมันเพียงเล็กน้อยอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะเดินจากไปทิ้งให้คนที่เหลือจัดการ
“ตามหาอ้ายหยางหลงไปถึงไหนแล้ว” ร่างสูงเอ่ยถามคนสนิทตนทันทีเมื่อนั่งลงบนเก้าอี้ในห้องทำงาน
“คนของเราตามเบาะแสที่ได้ไปจนเข้าเขตชั้นในของป่าอู๋เฮยแล้วพะยะค่ะคาดว่าอีกไม่นานคงพบ”ไม่ศพก็ตัวคน ซานหลิวกล่าวต่อในใจเพราะไม่อาจเอ่ยออกไปได้ จากการรายงานของคนที่เข้าไปตามหาพบว่าจุดที่รัชทายาทแคว้นอ้ายตกลงไปนั้นเป็นหน้าผาสูงชันที่มีแม่น้ำไหลเชี่ยวกราดอยู่ด้านล่างหากตกลงไปทั้งที่บาดเจ็บคงไม่น่ารอด แต่พวกเขามีหน้าที่หาตัวบุคคลให้เจอไม่ว่าจะเป็นหรือตาย
“อืม”
“ส่งคนไปตรวจสอบคนผู้หนึ่งให้ข้าที”เรื่องที่ได้รับมาจากแม่ทัพอู๋นับว่าเป็นเรื่องใหญ่หากว่าเป็นความจริงต้องรีบส่งคนไปตรวจสอบ
“พะยะค่ะกระหม่อมจะเร่งดำเนินการให้ทันที” องครักษ์คนสนิทกล่าวจบก็ทำการจะก้าวออกจากห้องไปจัดการตามรับสั่งแต่ยังไม่ทันได้ก้าวไปไหนก็ถูกเสียงทุ้มดึงไว้ก่อน
“เดี๋ยว”
“ส่งคนที่มีฝีมือไปคุ้มกันคุณหนูเยี่ยด้วย”
“พะยะค่ะ” ซานหลิวรู้สึกงุนงงเล็กน้อยว่าเหตุใดนายตนถึงได้ส่งคนไปคุ้มกันโฉมงามที่ผู้คนเล่าลือกันแต่ก็ไม่ได้เอ่ยอันใดตนมีหน้าที่แค่ไปจัดการตามรับสั่ง
“เจ้าออกไปได้แล้ว”
“พะยะค่ะ”
เมื่อองครักษ์คนสนิทออกจากห้องไป ร่างสูงก็นั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่คนเดียวในความคิดนั้นกลับมีใบหน้าของผู้ที่เขาพึ่งไปพบมาแทรกเข้ามาเป็นระยะๆไม่ว่าจะเป็นกลิ่นกายหอมดอกเหมยเย้ายวนชวนให้ลุ่มหลหรือจะเป็นดวงตาหงส์ที่จ้องเขาตาแป๋วอย่างอยากรู้เมื่อยามที่สงสัย
ป่าอู๋เฮย
ดวงตาที่ถูกปิดมานานหลายวันค่อยๆลืมตาขึ้นก่อนจะหลับตาลงอีกครั้งเมื่อแสงที่สาดเข้ามานั้นจ้าเกินไปสำหรับคนที่นอนเป็นผักมาหลายวัน เขารู้สึกว่าร่างกายตนหนักอึ้งไปหมดปวดร้าวไปตามร่างกายคล้ายว่าไม่ใช่ร่างกายตนเอง ดวงตาสีน้ำตาลเข้มฝืนลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก่อนที่จะกระพริบสองสามครั้งเพื่อปรับสายตา กวาดตามองไปรอบๆพบว่าตนนอนอยู่ในกระท่อมหลังหนึ่งซึ่งไม่รู้ว่าเป็นของผู้ใดกลิ่นสมุนไพรอบอวลไปทั้งกระท่อมมองออกไปทางหน้าต่างที่อยู่ติดกับตรงที่เขานอนอยู่เห็นที่ตากสมุนไพรต่างๆมากมาย รอบๆที่อาศัยไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เป็นป่าทั้งหมดคาดว่าเขาคงยังอยู่ภายในป่าอู๋เฮย เขากำลังจะยันกายฝืนตัวเองลุกขึ้นออกไปด้านนอกเสียงใสนุ่มกังวานก็ดังขึ้นเสียก่อน
“นี่ เจ้าพึ่งฟื้นก็อย่าฝืนตัวเองสิ”สตรีผู้มีใบหน้างดงามแต่ดูท่าทางจะเป็นคนโผงผางไม่น้อยดูจากกิริยาที่เดินเข้ามาในกระท่อมพร้อมกับตะกร้าอะไรบางอย่างที่น่าจะเป็นสมุนไพรพร้อมเอ่ยตำหนิเขาที่กำลังฝืนลุกขึ้นมานั่ง
“ข้าอยู่ส่วนไหนของป่าอู๋เฮยหรือ?”
“เขตป่าชั้นใน” ฟงอวี้หลานมองบุรุษที่ตนเก็บได้(?)ด้วยสายตาระยิบระยับนางนั้นชมชอบบุรุษรูปงาม ตอนที่พบครั้งแรกยังเห็นใบหน้าไม่ชัดเนื่องจากร่างกายและใบหน้าเต็มไปด้วยเลือดจนกระทั่งท่านปู่นางจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าเช็ดเนื้อเช็ดตัวรักษาบาดแผล ตอนแรกนางอาสาจะทำแต่ท่านปู่เอ่ยห้ามเนื่องจากนางเป็นสตรีจะให้มาเห็นเรือนร่างบุรุษที่มิใช่ญาติสนิทมิตรสหายที่ใกล้ชิดก็ไม่ควรทั้งที่นางยืนยันอย่างหนักแน่นว่าไม่เป็นไร หลังจากเซ้าซี้จนโดนท่านปู่เขกหัวจึงได้ยอม
“ขอบคุณมากที่ช่วยข้าเอาไว้” อ้ายหยางหลงคิดว่าสตรีตรงหน้าที่เป็นคนช่วยตนจึงเอ่ยขอบคุณ
“อย่าได้ขอบคุณข้าเลย ข้าไม่ได้เป็นคนช่วยเจ้าท่านปู่ข้าต่างหาก” ฟงอวี้หลานโบกไม้โบกมือใส่คนตรงหน้า
“เอ๊ะ ท่านปู่มาพอดีเขาฟื้นแล้วเจ้าค่ะ”สตรีตรงหน้าเอ่ยขึ้นกับชายชราที่พึ่งเข้ามาใหม่ อ้ายหยางหลงรู้สึกว่าคุ้นหน้าชายชราอยู่ไม่น้อย แต่ด้วยความที่พึ่งฟื้นจากพิษบาดแผลยังคงมีอยู่ทำให้รู้สึกปวดหัวจนไม่อยากคิดอะไรต่อ
ฟงเกาจั้งมองบุรุษที่พึ่งเขานึกได้ว่าเคยพบกันมาก่อนอย่างสำรวจ บาดแผลทุกอย่างบนร่างกายเริ่มทุเลาไม่อักเสบแผลเริ่มแห้งสนิทกำลังฟื้นตัวอย่างรวดเร็วด้วยโอสถของเขาไม่เกินหนึ่งเดือนบาดแผลก็คงหายดีสนิท
“อวี้หลานเจ้าไปเก็บต้นจิเสวี่ยเฉ่า* มาให้ข้าที”
“แต่ในตะกร้าข้างนอกยังมีอยู่นี่นา”
“ข้าอยากได้เพิ่มเจ้าไปได้แล้ว”
“เจ้าค่ะ”อวี้หลานรับคำอย่างมึนงงพร้อมเดินออกไปตามคำสั่งแต่ก็ยังคงสงสัยว่าทำไมท่านปู่นางถึงใช้ให้ไปเอาทั้งที่ยังมีอยู่
“เมื่อครู่นางกล่าวว่าท่านเป็นคนช่วยชีวิตข้า ข้าขอขอบพระคุณท่านผู้อาวุโสมากหากมิได้ท่านข้าคงไม่รอดเป็นแน่” อ้ายหยางหลงค้อมตัวลงเท่าที่ร่างกายจะอำนวยเพื่อขอบคุณชายชราตรงหน้า
“ข้าเป็นหมอหากมิช่วยคนเจ็บแล้วจะให้ทำสิ่งใด”เกาจั้งเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
“ท่านคงมีเรื่องจะพูดคุยกับข้า” เขารู้ว่าชายชราตรงหน้าไล่สตรีอีกคนออกไปเนื่องจากต้องการพูดคุยกับตนเป็นการส่วนตัว
“เหตุใดรัชทายาทแคว้นอ้ายอย่างท่านจึงมาอยู่ในป่าอู๋เฮยแห่งนี้ตัวคนเดียว”เกาจั้งเอ่ยตรงประเด็นโดยไม่อ้อมค้อม
อ้ายหยางหลงรู้สึกตกใจเล็กน้อยแต่ไม่แสดงสีหน้าอันใด หากแต่มองหน้าอีกฝ่ายแล้วลองนึกดูว่าชายชราตรงหน้าเป็นใครสักพักก็คล้ายว่าจะนึกออกแล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจนัก
“ท่านหมอเทวดาฟง?”
“นับว่าความจำท่านยังดีอยู่”ถึงแม้ว่าเกาจั้งจะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครแต่ก็หาได้สะทกสะท้านกับฐานะที่อีกฝ่ายมีในเมื่อเขาได้ช่วยชีวิตไว้ทั้งแม่และลูกขนาดนี้ แต่ไหนแต่ไรชื่อเสียงฟงเกาจั้งก็ถูกกล่าวว่าเป็นหมอเทวดาที่รักษาตามอารมณ์ตนไม่สนว่าอีกฝ่ายที่จะให้ทำการรักษานั้นเป็นผู้ใดมียศศักดิ์สูงปานใดหากเขาไม่รักษาก็คือไม่รักษา ดั้งนั้นจึงทำให้คนที่ต้องการให้เขารักษาประจบเอาใจมากกว่าอวดเบ่งอำนาจใส่
เมื่อจำได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครเขาจึงเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ชายชราตรงหน้าฟังอย่างไม่ปิดบัง
ผ่านมานับสัปดาห์สภาพร่างกายและจิตใจของคนในครอบครัวเยี่ยไป๋เฟิ่งดีขึ้น ความผิดพลาดในครั้งนี้ส่งผลให้ทางจวนเสนาบดีใหญ่เข้มงวดขึ้นกว่าเดิมจากที่คิดว่าตนเข้มงวดแล้วแต่ก็ยังมีเหตุการณ์ทำให้ครอบครัวตกอยู่ในอันตราย ฮูหยินของจวนอาการดีขึ้นมากแต่ก็ยังทำอันใดด้วยตนเองมากมิได้คนในครอบครัวต่างพากันพลัดเปลี่ยนดูแล
“ท่านแม่ได้เวลาทานยาแล้วเจ้าค่ะ” ไป๋เฟิ่งที่เดินเข้ามาในห้องของมารดาพร้อมหม้อยาในมือสำหรับบำรุงรักษาอาการบาดเจ็บ หลังจากที่นางตื่นขึ้นมาจากวันที่เกิดเหตุการณ์ก็ดึงสติและอารมณ์ตนเองให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อย่างรวดเร็วแล้วมาดูแลมารดาที่ยังคงเจ็บอยู่
“เหตุใดจึงไม่ให้บ่าวไพร่ยกมา” อ้ายเหม่ยหลินที่ฟื้นขึ้นมาเมื่อหลายวันก่อนแล้วพบว่าตนเองยังมิชีวิตอยู่ก็ดีใจมากก่อนที่ภาพทุกอย่างจะดับวูบลงไปนางนึกว่านางจะตายเสียแล้วด้วยซ้ำ ความที่ร่างกายคนทั่วไปต่างจากร่างกายคนฝึกวรยุทธยามเมื่อได้รับบาดเจ็บหนักจึงค่อนข้างสาหัสกว่า
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะข้าอยากนำมาให้ท่านแม่ด้วยตนเอง” ไป๋เฟิ่งตอบมารดาด้วยรอยยิ้ม
“แม่ดีขึ้นมากแล้ว พวกเจ้าสามคนพ่อลูกเลิกทำเหมือนแม่ป่วยหนักทำอันใดมิได้สักที” อ้ายเหม่ยหลินบ่นเมื่อตนเองเกิดอาการเบื่อหน่าย ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมานางถูกสั่งให้อยู่แต่ในห้องไม่ได้ออกไปไหนแม้ว่าจะยังเจ็บอยู่แต่ก็เดินเหินได้บ้างแล้ว นางก็อยากออกไปสูดอากาศด้านนอกบ้าง
“ท่านแม่ยังไม่หายดีเลยเจ้าค่ะ”
“แม่รู้แต่แม่ก็อยากออกไปด้านนอกบ้างพ่อเจ้านั้นแหละที่ไม่ให้ออกไป”
“ก็เพราะเจ้ายังไม่หายดีน่ะสิ”ต้นเสียงที่พูดเดินเข้ามาในห้องพร้อมมองไปยังคนที่ยังนั่งอยู่บนเตียงอย่างดุๆ ท่านพ่อที่น่าจะพึ่งกลับมาจากวังหลวงคงจะตรงดิ่งมาที่ห้องของท่านแม่อย่างไม่ต้องสงสัยพร้อมทั้งทันได้ยินประโยคบ่นของท่านแม่อีกด้วย
“ข้าก็แค่อยากออกไปด้านนอกบ้างหนิเจ้าคะ” อ้ายเหม่ยหลินเผลออ้อนสามีโดยที่ลืมไปว่าห้องนี้มิได้มีแต่พวกเขาสองคน
“เอาเถอะ ถ้าเจ้าอยากออกไปก็ให้แม่นมตู้พาไปแล้วกัน” ไป๋เจี้ยนที่โดนภรรยาอ้อนถึงกับใจอ่อนแล้วเอ่ยถึงแม่นมคนสนิทของภรรยาตนที่ตอนนี้น่าจะไปจัดการเรื่องราวต่างๆในจวนแทนภรรยาที่ยังไม่หายดี
“ขอบคุณเจ้าค่ะ”ไป๋เจี้ยนที่ได้รับรอยยิ้มหวานจากภรรยาก็มีสีหน้ายิ้มแย้มผิดจากเมื่อครู่
ท่านพ่อท่านแม่เจ้าคะข้ายังอยู่ในห้องนะเจ้าคะ ไป๋เฟิ่งได้แต่กล่าวในใจมองสองคนที่มีบรรยากาศอบอวลไปด้วยความรักอย่างเงียบๆ
*จิเสวี่ยเฉ่า = ใบบัวบก
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เมื่อไหร่น้องเฟิ่งจะเก่งเนี่ย
รอ e-book