ตอนที่ 15 : ตอนที่ 15 มือสังหาร
ตอนที่ 15
มือสังหาร
“เหตุใดเจ้าจึงได้มาพร้อมชินอ๋อง” ไป๋เจี้ยนเปิดประเด็นที่ค้างคาในใจทันทีเมื่อขึ้นมายังรถม้าเรียบร้อยแล้วพร้อมมองไปยังบุตรสาวอย่างต้องการคำตอบ บุตรสาวเขาไปสนิทสนมกับชินอ๋องเมื่อใดกัน
“หือ มิใช่พี่ใหญ่ฝากชินอ๋องไปตามลูกหรอกหรือเจ้าคะ?” ไป๋เฟิ่งเอ่ยขึ้นอย่างข้องใจ ไหนชินอ๋องทรงตรัสว่าพี่ชายนางฝากไปตามนางกันเล่า?
“เจ้ากล่าวอันใดกันน้องรักพี่ชายเจ้าหรือจะหาญกล้าใช้ชินอ๋อง”
“ถ้าเช่นนั้น..” ไป๋เฟิ่งหยุดพูดไปพร้อมขบคิด แล้วเหตุใดพระองค์จึงกล่าวเช่นนั้น?
“เอาเถอะถ้าเช่นนั้นต่อไปก็อย่าไปข้องแวะกับชินอ๋องมากนัก”ไป๋เจี้ยนเอ่ยพร้อมคิดในใจว่าไม่ว่าบุรุษผู้ใดเขาก็มิอยากให้มาข้องแวะกับบุตรสาวตนหรอก เพียงแค่เรื่องวันนี้ตระกูลเยี่ยก็ถูกเพ่งเล็งมากพอแล้วไหนจะเรื่องราวจากแคว้นอ้ายอีก
ไป๋เฟิ่งเผลอขมวดคิ้วอย่างงงในคำพูดของบิดานาง ใครไปข้องแวะกับชินอ๋องกัน? ผ่านจากทางแยกมุมถนนที่เป็นป่าขนาดย่อมทางไปจวนนางไม่นานเท่าไหร่ ไป๋เฟิ่งก็สัมผัสว่ามีคนตามรถม้าจวนนางมา
“ท่านพ่อเจ้าคะมีคนตามเรามา” จบคำพูดของไป๋เฟิ่งก็มีเสียงจากด้านนอกดังขึ้น
ฟึบบบบบ!!!
อั่ก! ฉึบ! อ๊ากกก!!
เสียงด้านนอกคล้ายมีคนลอบโจมตีคนขับรถม้าของจวนตามมาด้วยเสียงดาบและเสียงร้องของคนขับก่อนที่จะหล่นลงจากรถม้า รถม้าที่ถูกลอบโจมตีเมื่อขาดคนบังคับทำให้ม้าเตลิดวิ่งเร็วขึ้นเนื่องจากตื่นกลัว อ้ายเหม่ยหลินกรีดร้องอย่างตกใจต่างจากผู้เป็นบุตรสาวที่แสดงเพียงสีหน้าเคร่งเครียดพร้อมกับบิดาและพี่ชาย เสียงต่อสู้ของเหล่าเงาที่ปะทะกับกลุ่มคนที่ลอบโจมตีดังขึ้น เสียงดาบและการใช้พลังปราณปะทะกันดังสนั่น ไป๋เทียนตั้งสติได้จึงพลุบออกไปกระโดดขึ้นหลังม้าเพื่อควบคุมและพยายามที่จะฝ่ากลุ่มลอบโจมตีออกไป หนึ่งในกลุ่มคนลอบโจมตีเมื่อเห็นว่าเป้าหมายพยายามจะหลบหนีจึงพุ่งเข้าไปประชิดไป๋เทียนที่บังคับม้าหมายจะสังหาร
ด้านไป๋เจี้ยนที่โผล่ออกมาดูสถานการณ์ภายนอกเห็นหนึ่งในกลุ่มผู้ลอบโจมตีพุ่งเข้ามาที่ไป๋เทียนจึงเค้นพลังปราณสร้างลูกบอลลมสีฟ้าโจมตีไปที่ชายผู้นั้น ตัวเขาก็อยากออกไปจัดการด้านนอกกับบุตรชายเพราะเท่าที่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะมีมากกว่าพวกตน หากแต่ห่วงภรรยาและบุตรสาวตนที่ยังอยู่ในรถม้า ถึงบุตรสาวตนจะเป็นผู้ฝึกวรยุทธหากแต่มิมีธาตุหลักถึงแม้จะแข็งแกร่งกว่าบุคคลทั่วไปแต่ว่าอ่อนแอนักสำหรับผู้มีวรยุทธด้วยกันเอง แล้วกลุ่มที่ลอบโจมตีล้วนเป็นวรยุทธเทียบเท่ากับบุตรชายเขาเลยทีเดียว เดาได้ว่าคงเป็นมือสังหารที่ถูกส่งมา
เหล่าเงาทั้งสิบคนที่ตอนนี้เหลือเพียงแค่แปดต่อสู้กันอย่างยากลำบากเนื่องด้วยอีกฝ่ายมีมากกว่า อีกทั้งพวกเขาต้องคอยกันอีกฝ่ายไม่ให้เข้าใกล้รถม้าของนายตน ด้วยความที่มีน้อยกว่าจึงเพลี่ยงพล้ำพลาดปล่อยให้มือสังหารผู้หนึ่งเข้าใกล้รถม้าแล้วใช้ดาบฟันฉับเข้าที่เชือกที่ใช้ยึดลากกับตัวม้าไว้ส่งผลให้ตัวรถม้ากับม้าหลุดออกจากกัน
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
อ้ายเหม่ยหลินกรีดร้องสุดเสียงเมื่อตัวรถม้าไถลกระแทกอย่างแรงกับพื้นดินก่อนที่จะปะทะกับโคนต้นไม้แล้วทำให้สภาพรถม้าเสียหาย ไป๋เทียนที่เห็นตั้งแต่ตัวรถม้ากับม้าหลุดออกจากกันนั้นจึงใช้วิชาตัวเบากระโดดลงจากหลังม้ารีบกลับมาช่วยบิดานำตัวมารดาและน้องสาวให้ออกมาจากรถม้าทันก่อนที่จะปะทะกับโคนต้นไม้ทำให้ทั้งคู่ปลอดภัยแล้วรีบดันทั้งสองคนให้ไปหลบอยู่หลังพุ่มไม้ใหญ่ใกล้กับซากรถม้า ก่อนจะหันมาจัดการกับมือสังหารที่ยังคงพยายามจะฝ่าเหล่าเงาเข้ามาใกล้ครอบครัวตน
ไป๋เจี้ยนโยนดาบที่นำออกมาจากรถม้าไปให้บุตรชาย ไป๋เทียนรับดาบมาก่อนแล้วกระชับมือกำดาบตนแน่น ถึงการต่อสู้ส่วนใหญ่จะใช้พลังปราณหากแต่เหล่าทหารเช่นเขามักใช้อาวุธผสานวรยุทธในการต่อสู้เสียมากกว่าต่างจากชาวยุทธที่แท้จริงที่ใช้เพียงพลังปราณเท่านั้น มือแกร่งยกดาบที่ผสานพลังปราณธาตุลมกวัดแกว่งปัดเปลวเพลิงที่อีกฝ่ายซัดใส่ตน ฝ่ายมือสังหารเห็นไป๋เทียนยืนอยู่คนเดียวไม่มีผู้คุ้มครองจึงพุ่งเข้าไปเพื่อที่จะโจมตี เหล่าเงาที่พยายามต้านมาเป็นเวลาเกือบเค่อ*เริ่มสู้ไม่ไหวเพราะอีกฝ่ายมีมากกว่าเกือบอีกเท่าหนึ่งและก็เริ่มบาดเจ็บจากการต่อสู้กันไม่น้อย
ไป๋เจี้ยนมองสถานการณ์ตรงหน้าอย่างตึงเครียดพลางคิดว่าคงเป็นกลุ่มมือสังหารที่ทางแคว้นอ้ายส่งมาหมายจะเอาชีวิตบุตรชายตนอย่างแน่นอน มือก็กวัดแกว่งดาบในมือต้านศัตรูถึงตนจะมีวรยุทธขั้นหกต้นแต่หากต่อสู้กับคนที่มากกว่าเท่าตัวย่อมมีช่องโหว่งเสียเปรียบอยู่ดี สายตาเห็นบุตรชายที่พยายามหลบพลังปราณและดาบของฝ่ายตรงข้ามอย่างต่อเนื่อง มีจังหวะหนึ่งที่ไป๋เทียนเป็นฝ่ายพลาดท่าโดนดาบของมือสังหารฟันถูกที่ไหล่ด้านขวาทำให้เขาเสียจังหวะการต่อสู้อีกฝ่ายง้างมือตวัดดาบหมายจะฟันซ้ำ ไป๋เจี้ยนจึงทำการรวบรวมปราณสร้างม่านกำแพงพายุเป็นเกราะป้องกันให้แก่ไป๋เทียน ด้วยกำแพงพายุที่ถูกสร้างด้วยพลังปราณขั้นหกต้นทำให้คนที่พุ่งเข้ามาปะทะโดนกำแพงพายุดีดพัดฉีกกระชากตัวให้กระเด็นตกลงไปบนพื้นแล้วบาดเจ็บสาหัสจนสลบไปเกือบสิบคน
สถานการณ์พลิกเปลี่ยนฝั่งครอบครัวท่านเสนาบดีใหญ่เป็นฝ่ายดีขึ้น กลุ่มคนที่เหลืออยู่เห็นดังนั้นจึงลอบส่งสัญญาณให้แก่กันแล้วพุ่งเข้าปะทะอีกครั้ง ทั้งสองฝ่ายกระโจนเข้าหากันต่อสู้อย่างดุเดือด
ทางด้านอ้ายเหม่ยหลินและไป๋เฟิ่งที่ถูกดันเข้ามาหลบอยู่หลังพุ่มไม้ใหญ่ยังคงคอยแอบดูสถานการณ์ตรงหน้าด้วยความเป็นห่วง ไป๋เฟิ่งกระชับมือที่เกาะกุมกับมารดาเพื่อปลอบปะโลมซึ่งกันและกัน อ้ายเหม่ยหลินเป็นถึงอดีตองค์หญิงแคว้นอ้ายชั่วชีวิตก็เคยผ่านเหตุการณ์เช่นนี้มาบ้างแต่ก็ยังคงมีความกลัวอยู่ไม่น้อย ไป๋เฟิ่งจากที่ง่วงๆอยู่ก็กลายเป็นตื่นเต็มตาพร้อมอดกล่าวโทษตนเองที่ฝึกวรยุทธให้ก้าวหน้าไม่ได้ถ้าเช่นนั้นก็คงช่วยคนอื่นๆได้บ้าง ทั้งคู่ต่างมัวแต่ดูสถานการณ์ตรงหน้าจนไม่ระวังตัวว่ามีคนพุ่งตรงมาทางพวกตน ไป๋เฟิ่งที่รู้สึกถึงรังสีความชั่วร้ายพุ่งตรงมาทางที่ตนและมารดาอยู่จึงรีบร้องบอกมารดา
“ท่านแม่เจ้าคะมีคนกำลังตรงมายังพวกเรา!!!” ไป๋เฟิ่งมือหนึ่งจับชายกระโปรงที่รุ่มร่ามของตนอีกมือก็ใช้คว้ามือมารดารีบพากันหนีเข้าป่าไป
หนึ่งในกลุ่มตรงมาถึงพุ่มไม้ใหญ่ที่คาดว่าจะมีสตรีสองนางนั้นอยู่กลับพบว่าทั้งคู่หายไป แต่เห็นชายผ้าสีขาวที่ขาดเกี่ยวอยู่กับกิ่งไม้ส่องประกายสะท้อนแสงจันทร์ที่ส่องสว่างยามค่ำคืนทางเข้าไปในป่ามันจึงใช้วิชาตัวเบาตามไป เมื่อมันตามเข้ามาในส่วนของป่าสายตาจึงเห็นสตรีสองนางที่กำลังพากันวิ่งหนีจึงใช้วิชาตัวเบากระโดดไปขวางทันที
ฟิ้วววววววว! ฟึบบบบบ! ตุบ!
“พวกเจ้าจงตามข้าออกไปแต่โดยดีแล้วข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้า” มันเอ่ยขึ้นพร้อมเสนอทางเลือกให้พวกนางสองแม่ลูก
ไป๋เฟิ่งมองมารดาที่แววตาปรากฏความกลัวแต่ไม่แสดงออกยังคงนิ่งเงียบเช่นเดียวกันกับนาง นางมองมารดาแล้วพยักหน้าส่งสัญญาณให้มารดาเชื่อใจ
“ได้ข้ากับมารดาจะตามเจ้าออกไป” เสียงหวานกังวานในความเงียบทำให้ชายตรงหน้าเคลิบเคลิ้มไปครู่หนึ่งก่อนจะดึงสติกลับมาได้
“เดินนำไปอย่าคิดหนีข้าจะคอยดูพวกเจ้าสองแม่ลูก” มันบังคับให้ไป๋เฟิ่งและมารดาเดินนำหน้า จังหวะที่ไป๋เฟิ่งและมารดาเดินผ่านตัวมันไปนางรวบรวมพลังปราณที่มีซัดเข้าท้องของอีกฝ่าย
“โอ๊ยยยยย!!!!!!” มันร้องด้วยเสียงเจ็บปวดจนล้มลงไปกุมท้องตนเองไป๋เฟิ่งได้จังหวะรีบพามารดาวิ่ง แต่ยังไม่ทันที่จะไปไหนได้ไกลก็โดนแส้ที่สร้างขึ้นจากพลังปราณที่เป็นสายน้ำฟาดใส่โดนกลางหลังอ้ายเหม่ยหลินจึงทำให้นางทรุดตัวลงกับพื้นทันที
“ท่านแม่!!!!!!!!” ไป๋เฟิ่งร้องลั่นไปทั่วทั้งผืนป่ารีบคว้าตัวมารดาที่ทรุดลงกับพื้นดิน
“เจ้าทำข้าเจ็บแสบนักนะ!!!” มันตะคอกด้วยความโมโหที่สตรีตรงหน้าลอบกัดตน มันรึอุส่าห์ให้โอกาสไม่ต้องถูกมัดมือให้ลำบากเพราะใจอ่อนพลาดให้กับเสียงหวานใสมันไม่คิดว่าสตรีท่าทางอ่อนแอผู้นี้จะเป็นวรยุทธ
มันเลิกสนใจสตรีที่นอนเจ็บตรงหน้าที่มันคิดว่าคงไม่รอดเพราะเป็นเพียงสตรีบอบบางแล้วหันมากระชากแขนสตรีที่ซัดพลังใส่ตนแล้วลากตัวออกไปด้านนอกเพื่อต่อรองกับบุรุษที่ตนได้รับคำสั่งให้มาสังหาร ไป๋เฟิ่งลอบรวบรวมพลังปราณอีกครั้งและเล็งไปยังดวงตาหมายจะทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บรุนแรงกว่าครั้งก่อน คล้ายว่าประสบการณ์ที่ผ่านมาจะทำให้มันรู้ตัวว่ามิควรไว้ใจสตรีผู้นี้จึงทำให้มันหันมามองแล้วพบว่าอีกฝ่ายกำลังจะซัดพลังใส่ตนอีกครั้ง มันปล่อยแขนเรียวแล้วหลบพลังปราณที่ถูกส่งมา
“นังนี่!!!” ไป๋เฟิ่งที่ทำพลาดถอยหลังออกมาจากคนที่ลากแขนตนแล้วพยายามจะหนีแต่ไม่พ้นเมื่ออีกฝ่ายสร้างแส้น้ำรัดข้อเท้านางแล้วกระตุกจนล้มลงกับพื้น ไป๋เฟิ่งเห็นอีกฝ่ายที่มีสีหน้าโกรธกำลังจะยกแส้น้ำในมือฟาดลงมาที่ตนจึงหลับตาเกร็งร่างกายเตรียมใจกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น นางคิดว่าคงไม่รอด
เปรี้ยง!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
อ๊ากกกกกกกกกกกก!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ไป๋เฟิ่งที่หลับตาเตรียมใจยอมรับว่าตนเองกำลังจะไม่รอดลืมตาเมื่อได้ยินเสียงคนตรงหน้าที่จะกำลังจะฟาดแส้ลงใส่นางกลับร้องขึ้นอย่างโหยหวน ภาพตรงหน้าที่ไป๋เฟิ่งเห็นคือร่างที่ไหม้เกรียมส่งกลิ่นไหม้ของเนื้อชวนให้ผู้คนที่ได้กลิ่นอาเจียน ร่างบางสั่นกลัวกับสิ่งที่เห็นตรงหน้าอย่างห้ามไม่ได้จนกระทั่งมีมือคู่หนึ่งมาปิดตานางเอาไว้พร้อมเสียงปลอบปะโลม
“เจ้าไม่เป็นไรแล้ว” เสียงทุ้มที่พึ่งได้ยินก่อนจะจากเมื่อครู่เอ่ยขึ้นจากด้านหลังของนางทำให้นางรู้สึกปลอดภัยจนในที่สุดน้ำตาที่กลั้นไว้ตั้งแต่ยามเห็นมารดาตนทรุดลงต่อหน้าก็ไหลทะลักออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
จ้าวเฟยหลงดึงสตรีที่ตนรู้สึกทั้งหวงและห่วงอย่างที่ไม่เคยรู้สึกกับสตรีนางไหนมาก่อนเข้ามากอดไว้เบาๆด้วยไม่รู้ว่าจะปลอบอย่างไร ตัวพระองค์เองก็มิเคยปลอบสตรีคนไหน ระหว่างทางที่กลับจวนพระองค์เริ่มถามกับตนเองว่าเหตุใดจึงรู้สึกไม่ยินยอมเมื่อยามที่ได้ยินว่าเสด็จแม่หมายจะทาบทามนางให้แก่ฝ่าบาท แต่ไม่สามารถให้คำตอบกับตัวเองได้จนกระทั้งองครักษ์คนสนิทรายงานว่าบริเวณที่เขาผ่านมาเมื่อครู่มีกลุ่มคนลอบดักซุ่มอยู่ ด้วยความที่ได้รับรู้เรื่องราวของครอบครัวเสนาบดีเยี่ยจึงคิดว่าอาจเป็นคนของแคว้นอ้ายที่ส่งมาสังหารเยี่ยไป๋เทียน แค่คิดว่าสตรีหน้ามึนผู้นั้นจะได้รับการบาดเจ็บจากการปะทะกันในใจก็รู้สึกร้อนรุ่มด้วยความเป็นห่วงจึงสั่งให้คนขับรถม้าล่วงหน้ากลับไปก่อนส่วนตัวพระองค์และองครักษ์ฝีมือดีตามติดมุ่งตรงไปยังเส้นทางที่พึ่งผ่าน เมื่อไปถึงพบว่าท่านเสนาบดีเยี่ยกับเยี่ยไป๋เทียนกำลังสู้กับกลุ่มคนชุดดำด้วยสภาพที่บาดเจ็บทั้งคู่หากแต่เมื่อสายตาคู่คมดุดันกวาดตามองไม่เห็นสตรีที่พระองค์นึกห่วงจึงทิ้งให้เหล่าองครักษ์จัดการกลุ่มคนชุดดำแล้วรีบอกตามหา
เขามองเรือนผมงามที่เคยถักเปียอย่างประณีตหยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง ชุดสีขาวงดงามเปื้อนไปด้วยเศษดินใบหน้างามที่โผล่พ้นผ้าคลุมมีน้ำตานองเต็มหน้าดวงตาแดงช้ำอย่างน่าสงสาร เสียงสะอึกสะอื้นเบาๆทำให้เขานึกโกรธแค้นร่างไหม้เกรียมที่อยู่ใกล้อยากจะสับร่างให้เป็นหมื่นๆชิ้นให้สมกับการที่ทำให้สตรีตรงหน้าต้องหวาดกลัวและมีน้ำตา
ไป๋เฟิ่งที่มีสติกลับคืนมารีบผละออกจากอ้อมแขนที่นางเผลอเข้าใกล้เมื่อตอนรู้สึกปลอดภัยจากคนตรงหน้าที่มาช่วย แล้วรีบเดินเข้าไปดูมารดาที่นอนสลบอยู่ไม่ไกล
“ท่านแม่ ท่านแม่เจ้าคะ ท่านแม่” ร่างบางเขย่าตัวมารดาเบาๆพลางร้องเรียก
“ขอข้าตรวจดูอาการเยี่ยฮูหยินหน่อย” ไป๋เฟิ่งขยับให้บุรุษสูงศักดิ์ตรวจดูอาการมารดาตนอย่างรวดเร็วพร้อมคอยมองมารดาสลับกับคนดูอาการอย่างจ้าวเฟยหลงอย่างเป็นห่วงอยู่ข้างๆ จ้าวเฟยหลงจับชีพจรตรงข้อมือตรวจอาการเบื้องต้น
“เยี่ยฮูหยินบาดเจ็บภายในค่อนข้างหนักแต่มิอันตรายถึงแก่ชีวิตถ้าได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว”
“หากไม่รบกวนชินอ๋องจนเกินไปโปรดส่งคนไปตามท่านหมอมารักษามารดาหม่อมฉันได้หรือไม่เพคะ” ไป๋เฟิ่งที่กลับมาได้สติรีบถามหลังจากทราบอาการมารดา
“มิต้องเป็นกังวลข้ามีหมอฝีมือดีติดมาพอดี”จ้าวเฟยหลงกล่าวให้คนตรงหน้าสบายใจ
“เหม่ยหลิน! เฟิ่งเอ๋อร์! / ท่านแม่! เฟิ่งเอ๋อร์!” เสียงเยี่ยไป๋เจี้ยนและเยี่ยไป๋เทียนดังขึ้นเมื่อตามมาสมทบทีหลัง หลังจากจัดการกลุ่มมือสังหารได้ ทั้งคู่รีบปรี่เข้ามาหาสตรีทั้งสองของครอบครัวอย่างเป็นห่วง ไป๋เจี้ยนที่เห็นภรรยาตนนอนแน่นิ่งก็เกิดอาการลนลานรีบเข้าไปคว้าร่างที่สลบอยู่เข้ามาตรวจดู
“เหม่ยหลิน! เหม่ยหลิน!”
“อาการเยี่ยฮูหยินมิได้เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตหากเพียงแต่ภายในบอบช้ำมากเอาการต้องรักษาอาการภายในอย่างเร่งด่วน”จ้าวเฟยหลงเอ่ยบอกบุรุษวัยกลางคนที่กอดร่างภรรยาอย่างควบคุมสติไม่อยู่ น้อยนักที่จะเห็นท่านเสนาบดีใหญ่ผู้สุขุมเจ้าแผนการของพี่ชายตนเป็นเช่นนี้
“หย่งหนานรักษาเยี่ยฮูหยิน”องครักษ์อีกคนที่มีหน้าที่ติดตามรับใช้ชินอ๋องนำยาออกมาจากเสื้อแล้วนำไปยื่นให้เสนาบดีเยี่ยเป็นคนป้อน ส่วนตนเองก็ทำการใช้พลังปราณรักษาการบาดเจ็บภายในเบื้องต้นไม่ให้บอบช้ำไปกว่าเดิมยามเมื่อต้องย้ายร่างคนเจ็บกลับไปรักษาที่จวน
จวนเสนาบดีใหญ่เกิดความวุ่นวายเมื่อฮูหยินของจวนเกิดบาดเจ็บกลับมาจากไปงานเลี้ยงในวังหลวง บรรดาบ่าวรับใช้ต่างปิดปากเงียบรอฟังอาการฮูหยินผู้ใจดีของพวกตน อ้ายเหม่ยหลินปกครองบ่าวไพร่ด้วยความเมตตาช่วยเหลือครอบครัวบ่าวทุกคน ยามมีอันใดก็แบ่งปันบ่าวไพร่มิได้ขาดแม้แต่เสื้อผ้าของพวกตนยังดูดีกว่าบ่าวจวนอื่นๆถึงจะเข้มงวดไปบ้างแต่มิเคยจะลงโทษบ่าวไพร่อย่างไร้เหตุผลเป็นเหตุให้คนที่อาศัยอยู่ในจวนมีชีวิตที่ดีและรักใคร่กลมเกลียวมิเคยมิเรื่องราวให้หนักใจนับว่าการได้เป็นบ่าวจวนเสนาบดีเยี่ยนั้นมีบุญวาสนา
หลังจากแม่นมตู้ทำความสะอาดร่างกายพร้อมเปลี่ยนชุดให้อ้ายเหม่ยเสร็จจึงเดินออกมาจากหลังฉากกั้นแล้วให้บ่าวรับใช้ยกฉากกั้นออกเมื่อทำงานเสร็จบ่าวทั้งหมดจึงออกจากห้องไปอย่างรู้ความ
“ถวายพระพรชินอ๋องเพคะ”แม่นมตู้ที่อยู่ในวังหลวงมาเกือบค่อนชีวิตเมื่อเห็นบุรุษแปลกหน้าแต่ดูมีรัศมีบ่งบอกว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ อีกทั้งตนได้ยินที่นายท่านเอ่ยพูดคุยกันยามเข้ามาที่จวน หากมิได้ชินอ๋องมิรู้ว่าครอบครัวนายตนจะเป็นเช่นไรดวงตาฝ้าฟางมององค์หญิงของนางที่ทั้งชีวิตมิเคยบาดเจ็บหนักถึงเพียงนี้ด้วยน้ำตาคลอ
“อืม” จ้าวเฟยหลงที่รับคำในลำคอก่อนจะส่งสายตาให้หย่งหนานเข้าไปทำการรักษาเยี่ยฮูหยิน
“เสร็จแล้วพะยะค่ะ”
“อาการเป็นเช่นไรบ้าง”จ้าวเฟยหลงเอ่ยถามคนสนิทตนแทนคนทั้งหมดที่อยากทราบ
“เยี่ยฮูหยินปลอดภัยดีพะยะค่ะ”
“เพียงแค่นำยานี้ไปต้มให้เยี่ยฮูหยินดื่มทุกเช้า-เย็น หลังตื่นนอนและก่อนนอนช่วยบรรเทาอาการช้ำในอันนี้ยาทาบาดแผลที่หลังทาทุกเช้า-เย็น หลังอาบน้ำ” หย่งหนานที่นอกจากเป็นองครักษ์ของชินอ๋องแล้วยังคงทำหน้าที่เป็นหมอรักษาทุกครั้งที่ชินอ๋องทรงบาดเจ็บอีกด้วย ดังนั้นยาที่ได้จากเขาย่อมเป็นยาชั้นเลิศอย่างแน่นอน
“ขอบคุณท่านมาก”เยี่ยไป๋เจี้ยนและเยี่ยไป๋เทียนเอ่ยขอบคุณคนที่รักษาภรรยาและมารดาตนแล้วนำห่อยามอบให้แม่นมตู้เอาไปจัดการ
“มิได้ขอรับข้าน้อยเพียงแต่ทำตามรับสั่งจากท่านอ๋อง”
“กระหม่อมต้องขอบพระทัยชินอ๋องที่ทรงช่วยชีวิตครอบครัวของกระหม่อมไว้ หากมีอันใดที่พวกกระหม่อมพอจะช่วยได้ขอทรงได้โปรดตรัสมา กระหม่อมสัญญาว่าจะทำตามไม่บิดพลิ้ว” ไป๋เจี้ยนคุกเข่ากล่าวขอบคุณในน้ำพระทัยของชินอ๋องด้วยความซาบซึ้งอย่างแท้จริงหากมิได้บุรุษสูงศักดิ์ตรงหน้าก็มิรู้ว่าภรรยาและบุตรสาวตนจะเป็นเช่นไร
“ลุกขึ้นเถิดรองแม่ทัพเองก็เป็นคนของข้า ท่านเองก็เป็นที่ปรึกษาที่ทำคุณประโยชน์และภักดีต่อฝ่าบาทและราชวงศ์จ้าวสมควรแล้วที่ข้าจะช่วย” จ้าวเฟยหลงสะบัดมือให้ทุกคนในห้องที่คุกเข่าลุกขึ้นหากแต่ในใจกลับจดจำวาจาของท่านเสนาบดีเยี่ยอย่างขึ้นใจ
“นี่ก็ดึกมากแล้วข้าขอตัวก่อน”
“กระหม่อมขออาสาไปส่งพะยะค่ะ” ไป๋เทียนที่ทำแผลแล้วเอ่ยแล้วมองไปยังบิดาที่อยู่เฝ้ามารดาแล้วพยักหน้าให้แก่กัน จ้าวเฟยหลงเดินออกจากห้องไปที่ประตูจวน ความหนาวเย็นของฤดูตงเทียนเริ่มแสดงผลแล้วสายลมเย็นยามค่ำคืนปะทะเข้ากับร่างแกร่งของบุรุษทั้งสองคนทันที่เดินออกมาข้างนอก
“ส่งข้าเพียงตรงนี้พอ”เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นพร้อมหันหน้ากลับมาบอกรองแม่ทัพตน
“พะยะค่ะ ”
“อืม ไปกันเถอะ” ร่างสูงตอบแล้วหันไปกล่าวกับคนสนิทของตนแล้วใช้วิชาตัวเบาทะยานจากไป
ห้องทรงพระอักษร
จ้าวหมิงหลงกลับจากงานเลี้ยงก็ตรงมายังห้องทำงานเพื่อตรวจฎีกาต่างๆต่อมือแกร่งที่มีเส้นเลือดปูดนูนขึ้นตามหลังมือบ้างประปรายกำด้ามพู่กันตวัดเขียนคำสั่งต่างๆมากมายเพื่อตอบแก้ปัญหาที่เหล่าขุนนางส่งมาด้วยอารมณ์เบิกบานหลังจากที่ได้แกล้งเจ้าน้องชายจอมเย็นชา ร่างโปร่งของผู้ประทับอยู่เก้าอี้ทรงงานชะงักเกร็งร่างกายก่อนจะกลับมาผ่อนคลายเช่นเดิมเมื่อรู้ว่าผู้ที่กล้าบุกรุกเข้าตำหนักเขตหวงห้ามนั้นเป็นใคร
“มิใช่ว่าเจ้ากลับไปแล้ว หรือว่าเจ้าคิดถึงข้ากัน?” ร่างโปร่งเอ่ยเย้าผู้ที่มาใหม่เล็กน้อย
“มีมือสังหารมาจากแคว้นอ้าย” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบส่วนผู้ได้ยินนั้นมีสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด
“ลงมือแล้วหรือ” เสียงที่เคยมีความขี้เล่นหายไป
“เหตุการณ์เป็นเช่นไรบ้าง”
“เยี่ยฮูหยินบาดเจ็บแต่มิถึงชีวิต ท่านเสนาบดีกับรองแม่ทัพเองก็บาดเจ็บเล็กน้อย”
“จับตัวมือสังหารที่ยังไม่ตายได้หรือไม่” จ้าวหมิงหลงถามเพื่อที่จะได้มีหลักฐานเอาไว้ซักทอดผู้บงการ จ้าวเฟยหลงพยักหน้าเล็กน้อยเขาจับมือสังหารคนสุดท้ายที่เกือบจะกินยาฆ่าตัวตายไว้ได้ทัน เพียงแค่ทรมานเค้นหาผู้บงการและให้ลงลายมือประทับก็มีหลักฐานมัดตัวอีกฝ่ายอย่างดิ้นไม่หลุดไหนจะมือสังหารอีกกลุ่มที่ถูกส่งไปจัดการอ้ายหยางหลงอีกด้วย
“ถ้าเช่นนั้นก็ดี แล้วการตามหารัชทายาทแคว้นอ้ายเป็นอย่างไรบ้าง”
“พบร่องรอยแล้วแต่ยังหาตัวไม่พบ”
“ข่าวจากทางแคว้นอ้ายเป็นอย่างไรบ้าง”
“ยังคงเงียบ”
ที่ยังไม่มีข่าวใดเพราะอ้ายหลิ่งอี้และหวังกุ้ยเฟยมิอาจเคลื่อนไหวอะไรมิได้ตราบใดที่เยี่ยไป๋เทียนยังไม่ตายทางโน้นคงคาดหวังกับการส่งมือสังหารมาจัดการในครั้งนี้ไม่น้อย จ้าวเฟยหลงที่นึกขึ้นได้ส่งกระดาษที่ได้รับมาก่อนหน้าให้เจ้าของตำหนัก
“ข่าวที่ได้มาเชื่อถือได้หรือไม่?”
“จากแม่ทัพบูรพา”ถ้าเช่นนั้นก็คงเป็นเรื่องจริงเห็นทีว่าจะต้องปรึกษาเรื่องนี้กับเสนาบดีเยี่ยและราชครูเฉินเสียแล้ว
ร่างบางที่ยังไม่นอนนั่งอยู่บนเตียงนอนตนด้วยจิตใจว้าวุ่นคิดเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อชั่วยามที่ผ่านมาด้วยอารมณ์ไม่เป็นปกติ ถึงนางจะจิตใจเข้มแข็งขนาดไหนแต่เมื่อผ่านเหตุการณ์เฉียดตายครั้งแรกในชีวิตก็ตระหนกตกใจหวาดกลัวไม่น้อย พลางคิดว่ายังมิได้ขอบคุณผู้มาช่วยตนและมารดาด้วยซ้ำ
เสี่ยวจูที่มิได้ตามไปรับใช้ในงานเลี้ยงมองคุณหนูตนที่นั่งซึมอยู่คนเดียวก็อดสงสารอีกฝ่ายไม่ได้ จะกล่าวปลอบก็กลัวจะไปสะกิดแผลในใจที่พึ่งเกิดขึ้นจึงได้แต่ยืนอยู่ด้วยเงียบๆให้คุณหนูของตนไม่รู้สึกว่าอยู่คนเดียว
ตุบ!
“เอ๊ะ! เสียงอะไร เดี๋ยวเสี่ยวจูออกไปดูเดี๋ยวมานะเจ้าคะคุณหนู” เสี่ยวจูเอ่ยขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเหมือนสิ่งใดตกอยู่หน้าเรือนคุณหนูตนจึงรีบออกไปดูให้
ร่างบางที่เหม่อมองออกไปบนท้องฟ้าที่นอกหน้าต่างได้ยินเสียงของสาวใช้คนสนิทหากแต่มิได้เอ่ยตอบอันใด นางยังคงคิดไปเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งภาพแผ่นฟ้าและหมู่ดาวยามราตรีถูกแทนที่ด้วยเงาดำมืด ด้วยความตกใจนางจึงรีบผลุดจะลุกออกจากเตียงเพื่อหนีแต่มีมือหนาข้างหนึ่งยื่นมาจับแขนนางเอาไว้ ร่างบางกำลังจะอ้าปากกรีดร้องขอความช่วยเหลือก็โดนมือหนาเอื้อมมาปิดปากเอาไว้เสียก่อน!
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ชายคนนี้อาจเป็นรัชทายาทก็ได้ มาเจอหมอเทวดา
รับรองรอดตาย แถมอาจได้คู่ 555