ลำดับตอนที่ #12
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : เรื่องในอดีต
          สายน้ำสีฟ้าอ่อนพุ่งตรงออกไปหวังจะรองรับร่างนั้น  แต่กลับไม่เป็นดังคิด  สายน้ำพุ่งแตกออก  สายน้ำกระเด็นเห็นเป็นรูปแผ่นกระจกขนาดเล็กมากมายก่อตัวรวมกัน  ทันใดนั้นเอง  กระจกอากาศเปล่งแสงออกมา  ปรากฏเป็นกล่องแก้วขนาดใหญ่ห่อหุ้มร่างหนึ่งไว้อยู่ภายใน  ด้วยสายลมพัดวนอยู่รอบกายคอยพยุงร่างไม่ให้ตกลงบนพื้นดิน
          กระจกอากาศแตกออก  พุ่งเศษแหลมมายังผู้ซึ่งต่อกรกับอำนาจแห่งมัน  อานุภาพแห่งความรุนแรงแผ่กระทบทั่วตัวของซีโอล  ความเร็วดุจสายลมพุ่งตวัดผ่านร่างเด็กน้อยออกไป  ตามมาด้วยเข็มพรากชีวิตนับร้อยชิ้น  เด็กน้อยตั้งสติอีกครั้งหลังจากตกอยู่ในพะวังแห่งพลังอันยิ่งใหญ่  พร้อมกับลอยตัวออกไปตั้งหลัก  ร่ายมนต์ที่คิดว่าจะรับมือพลังนั้นได้
          “ ปราการม่านน้ำ ”
          สายน้ำรอบตัวรวมกันสร้างเป็นปราการขนาดใหญ่  ความหนาของมันย่อมสยบกับพลังต่อกรระดับต่ำได้  แต่ตอนนี้  พลังมหาศาลกำลังถาโถมโจมตีเข้ามา  ม่านปราการลดลงไปเรื่อย ๆ พร้อมกับจำนวนเข็มพรากชีวิตที่น้อยลง  ระรอกคลื่นสุดท้ายกำลังจะจบสิ้นลง  การตัดสินใจในครั้งสุดท้ายของผู้ครองอัญมณีเทพ  คือการใช้พลังแห่งอัญมณี
          “ ด้วยอำนาจแห่งอัญมณีเทพ  ม่านน้ำพลิกผัน ”
          ปราการม่านน้ำคลายตัวออกเป็นช่องโหว่คอยรับเข็มพรากชีวิต  ทันทีที่เข็มผ่านเข้ามา  สายน้ำจากทางด้านบนจะดักจับมันเอาไว้  แล้วสายน้ำด้านล่างจะพุ่งตัวออกมาด้วยความแรงกระแทกเข็มให้แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ  ไม่มีสิ่งใดสามารถหลุดออกมาทำร้ายซีโอลผู้ซึ่งครอบครองอัญมณีแห่งเทพได้  ภาพการต่อสู้จบสิ้นลง  สิ่งที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้าเป็นเด็กหนุ่มที่ซีโอลรู้จักดีแต่มีสิ่งที่ผิดปกติออกได้  นั่นคือ  อานุภาพความเคียดแค้นที่แผ่ออกมาจากสายตาทั้งสองข้าง
          “ โซล ”  ซีโอลตะโกนออกไป
          “ ข้าไม่ใช่เพื่อนของแก ”  อีกเสียงตอบกลับมา
          ร่างนั้นไม่ต่างอะไรจากเพื่อนของเขาเลย  แต่ทำไม  การตอบกลับมาจากเพื่อนที่เขารัก  กลับเป็นเหมือนการตอบกลับของศัตรูที่ยาวนาน
          “ พลังแห่งข้า  ข้าได้พลังนั้นมาครอบครองแล้ว  ต่อไปข้าจะฆ่าทุกคน  และฆ่าคนที่มันเคยทำร้ายข้า ”  เสียงนั้นพูดออกมาพร้อมกับรอยยิ้มหัวเราะราวกับปีศาจ
          “ แกเป็นใคร  แกไม่ใช่โซลแน่ ”  ซีโอลถาม
          “ ข้าคืออีกตัวตนที่อยู่ในร่างของเพื่อนแก  ตอนนี้ข้ามีอำนาจเหนือมันแล้ว  ต่อไปนี้  แกจะไม่มีวันได้เห็นเพื่อนของแกอีก ”
          “ ว่าไงนะ ”  ซีโอลตกใจกับคำตอบประโยคสุดท้าย
          “ ไม่มีวันได้เห็นโซลอีก ”  ซีโอลพึมพำออกมา  แล้วตะโกนถาม
          “ แกหมายความว่าไง ”
          “ เผยตัวตนของแกมาดีกว่า  ข้ารู้ว่าแกยังไม่ตาย ”  เสียงคนในร่างโซลตะโกนออกมา
          แผ่นกระดาษสีขาวเปล่งแสงออกมา  ลมรอบแผ่นก่อตัวรวมกันเป็นร่างของเด็กน้อย  ไม่มีสิ่งใดบ่งบอกได้เด่นชัดว่าเป็นใคร  ลักษณะที่เห็นจากภายนอก  เป็นเพียงร่างเด็กน้อยตัวสูงเท่า ๆ กับซีโอล  แต่สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์และระบุได้แน่นอนว่านั่นคือโซล  คืองาช้างคู่หนึ่ง  ที่เปล่งแสงสีขาวนวลออกมา 
          “ โซล ”  ซีโอลหันไปพูดกับลมที่ก่อตัวเป็นร่างเด็กน้อย
          “ ใช่แล้ว . . . ซีโอล ”  อีกเสียงตอบกลับมา
          “ ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ได้ล่ะ ”
          “ มันเป็นอีกตัวตนที่ก่อตัวขึ้นมาตอนยังเด็ก  มันเป็นเรื่องเศร้าที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นมาเลย ”
          ณ  บริเวณหมู่บ้านหนึ่งที่อยู่คาบเกี่ยวระหว่างวาสโซและเมลาดูก้า  กลางวันก็ดำเนินไปตามปกติ  ร้านค้าเรียงรายตามถนน  ผู้คนร้องเรียกตะโกนหาลูกค้า  เวลาช่วงวันก็ผ่านเลยไปอย่างเร็ว  แสงสว่างจากฟ้าเบื้องบนถูกพ่นด้วยสีดำและความสว่างเปล่งประกายออกมาจากดวงดาว
          เสียงหนึ่งตัดผ่านราตรีเบื้องบนลงมา
          “ บรรยากาศแห่งค่ำคืนยามราตรี  จะต้องถูกแต้มสีด้วยเลือดสีแดงเข้ม  เหล่ามวลมารบริวารแห่งข้า  จงมุ่งทำลายล้างให้ราบเป็นสุสานแห่งเหล่าปวงชน ”
          เสียงร้องแห่งหายนะจากหมู่มารพุ่งออกมา  อีกไม่นานก็กลายเป็นเสียงปนระหว่างคนที่หวาดกลัวกับหมู่มวลมารที่บ้าคลั่ง  เลือดสีแดงสาดกระจายเต็มทั่วท้องถนน  บ้านหลายหลังกลับกลายเป็นสุสานฝังศพเพียงชั่วข้ามคืน  บางหลังถูกเผาทำลาย  บางหลังก็ถูกอิทธิฤทธิ์เวทมนตร์หายวับไปกับตา 
          ครอบครัวของโซลก็เช่นกัน  ต้องอพยพหนีตายออกมา  ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงแบบนี้  ทางหนีเพียงทางเดียวคือทางด้านหน้าของบ้าน  ซึ่งแน่นอน  นั่นคือที่ที่เหล่าฝูงปีศาจคอยฆ่าทุกชีวิตที่ผ่านออกมา
          พ่อของโซลเดินไปที่ด้านข้างของบ้าน  หยิบสายสร้อยสีขาวมาผูกให้กับโซล 
          “ เก็บไว้นะลูก  มันจะคอยปกป้องเจ้าเอง ”
          พ่อของโซลผูกสายสร้อยให้พร้อมกับตั้งสติอยู่ครู่หนึ่ง  แล้วตัดสินใจเอ่ยออกมา
          “ อย่ายอมแพ้  เราทุกคนต้องรอด ”
          สภาพท้องถนนที่เต็มไปด้วยเลือด  ชาวบ้านที่วิ่งหนีจากคมมีดและคมดาบ  หมู่มารลอยอยู่บนฟ้า  และเมฆสีดำปกคลุมแสงสว่างจากดาวจนมิด  เป็นภาพที่น่าสยดสยองที่สุดเท่าที่โซลเคยเห็นมา  ทั้งสามวิ่งออกพร้อมกับมุ่งขึ้นสู่ทิศทางด้านซ้าย  ‘ ป่าใหญ่คงจะช่วยคุ้มครองได้ ’  พ่อของโซลนึก
          ทั้งสามวิ่งไปเรื่อย ๆ  เสียงกรีดร้องจากการทำร้ายยังคงก้องอยู่ในหัวของโซล  ผู้คนต่างวิ่งหนีกันอลหม่าน  เด็กหนุ่มคนหนึ่งกระแทกเข้าที่หลังของโซล  โซลล้มลงแล้วมองกลับไป  เด็กคนนั้นมีสภาพแย่กว่าโซลอย่างมาก  หน้าตาดำเปื้อนโคลนจากตอนล้ม  สายน้ำสีขาวไหลออกมาจากตาทั้งคู่
          “ ไปด้วยกันนะ ”  โซลบอกเด็กหนุ่ม
          ทั้งหมดกำลังวิ่งหนีตาย  คนเริ่มน้อยลงแล้วเพราะทางที่วิ่งออกมามีเพียง  50 60  คนเท่านั้น  ส่วนใหญ่ยังคงติดอยู่ภายในวงล้อมแห่งปีศาจ  ที่รอดมาได้ก็ต่างหาที่หลบในพุ่มไม้  ต่างคนก็ต่างรอ  รอการหายไปของปีศาจ  รอรุ่งอรุณรับวันใหม่ที่ตามมา  ทุกคนปลอดภัยอยู่ในความมืดมิดแห่งป่าใหญ่ได้ไม่นาน  เสียงคุ้นหูก็ดังขึ้นอีกครั้ง
          “ พวกเจ้าต้องตาย  ป่าใหญ่แห่งนี้จะเป็นหลุมฝังศพแห่งพวกเจ้า ”
          ภารกิจของมารเสร็จไปหนึ่งส่วนแล้ว  ภาพคนล้มตายเป็นเหมือนยาบำรุงกำลังให้กับปีศาจ  ความฮึกเหิมและความบ้าคลั่งทำให้มันมุ่งเข้าสู่ป่าใหญ่  เสียงหวีดร้องจากความทุกข์ทรมานและความหวาดกลัวแทรกผ่านความมืดมิดออกมา  ทั้งสี่ยังคงปลอดภัย  แต่พ่อของโซลรู้ดีว่า  อีกไม่นานคงถึงเวลาของพวกเขา  จึงพูดกับโซลว่า
          “ จำไว้นะโซล  พวกปีศาจมันทำร้ายเรา  วันหนึ่งถ้าเราสามารถทำลายมันได้  จงทำ ”
          “ ครับ ”  โซลตอบ
   
          เสียงแหวกพุ่มไม้จากทางด้านข้างดังขึ้นมา  ร่างสีดำกำลังค้นหาผู้รอดชีวิตจากการต่อสู้  สัมผัสวิเศษแห่งมารสามารถรับรู้ความหวาดกลัวของคนผู้นั้นได้  มันกำลังพุ่งตรงเข้ามา  ในที่สุดมันก็พบกับร่างทั้งสี่
          “ ตาย . . . ”  มันคำรามออกมา
          พ่อของโซลขว้างเศษกิ่งไม้ที่แตกหักไปหาปีศาจ  อีกสามคนวิ่งหลบไปคนละทิศ
          “ ตายซะ ”  ปีศาจคำรามออกมาอีกครั้ง  พร้อมยกโซ่เหล็กแหลมปลายยาวฟาดลงบนร่างพ่อของโซล  แขนข้างซ้ายถูกตัดออกไป  มันยกโซ่เหล็กขึ้นอีกครั้ง  คราวนี้เป้าหมายของมันคือจะฟาดลงบนหัว  แม่ของโซลเห็นดังนั้นจึงวิ่งเข้ามารับการโจมตี  ร่างของทั้งคู่ถูกฟันขาดสองท่อน  เลือดกระเด็นเปื้อนใบไม้และพื้นดิน  เด็กหนุ่มอีกคนหวาดกลัวร้องเสียงดังออกมา  ปีศาจพุ่งโซ่เหล็กไปมัดตัว  โยนขึ้นไปบนฟ้าแล้วพุ่งเหล็กแหลมทะลุเสียบร่างนั้นกลางอากาศ 
          โซลยังคงหลบอยู่หลังพุ่มไม้  ความรู้สึกตอนนี้ไม่ใช่ความหวาดกลัวอีกต่อไปแล้ว  เขาจะต้องรอดเพื่อสักวันหนึ่ง  เขาจะได้แก้แค้นให้พ่อและแม่ของเขา 
          ‘ ฉันจะฆ่าแก  ไอ้ปีศาจร้าย ’  โซลนึกในใจ
          โซลยังคงหลบอยู่ที่เดิม  เขารู้ดีว่าถึงจะออกไปสู้ตอนนี้  จุดปลายท้ายสุดของการกระทำนั้นคือความตาย  ดังนั้น  เขาจะต้องอยู่นิ่ง ๆ  อย่างสงบและไม่ทำให้เจ้าปีศาจรู้ว่าเขาอยู่ตรงนี้  ด้วยการที่เขามีแต่ความหวังที่จะรอดและความเคียดแค้น  เจ้าปีศาจจึงไม่สามารถหาตัวเขาพบได้  เพราะสัมผัสวิเศษแห่งมารสามารถจับได้แค่เพียงความหวาดกลัวเท่านั้น
          เวลาแห่งค่ำคืนอันยาวนานยังคงผ่านพ้นไป  โซลรอคอยที่จะพบกับสันติสุขอีกครั้ง  ค่ำคืนนี้เป็นค่ำคืนที่เยือกเย็น  โดดเดี่ยว  และเศร้ามากที่สุด  ความหวาดกลัวเริ่มกลับเข้ามาอยู่อีกครั้ง  ตอนนี้เหล่ามารได้จากออกไปแล้ว  ทิ้งไว้แต่เพียงซากความเสียหายและรอยน้ำตาแห้ง ๆ ของโซล  ความง่วงกลายมาเป็นศัตรูสำคัญสำหรับเขาตอนนี้ 
          “ เทพแห่งป่าใหญ่  ท่านจงช่วยคุ้มครองข้าด้วยเถิด ”  โซลกล่าวน้ำเสียงสุดท้ายก่อนจะล้มลงบนแผ่นดินอันอบอุ่นแห่งพนาไพร
          กระจกอากาศแตกออก  พุ่งเศษแหลมมายังผู้ซึ่งต่อกรกับอำนาจแห่งมัน  อานุภาพแห่งความรุนแรงแผ่กระทบทั่วตัวของซีโอล  ความเร็วดุจสายลมพุ่งตวัดผ่านร่างเด็กน้อยออกไป  ตามมาด้วยเข็มพรากชีวิตนับร้อยชิ้น  เด็กน้อยตั้งสติอีกครั้งหลังจากตกอยู่ในพะวังแห่งพลังอันยิ่งใหญ่  พร้อมกับลอยตัวออกไปตั้งหลัก  ร่ายมนต์ที่คิดว่าจะรับมือพลังนั้นได้
          “ ปราการม่านน้ำ ”
          สายน้ำรอบตัวรวมกันสร้างเป็นปราการขนาดใหญ่  ความหนาของมันย่อมสยบกับพลังต่อกรระดับต่ำได้  แต่ตอนนี้  พลังมหาศาลกำลังถาโถมโจมตีเข้ามา  ม่านปราการลดลงไปเรื่อย ๆ พร้อมกับจำนวนเข็มพรากชีวิตที่น้อยลง  ระรอกคลื่นสุดท้ายกำลังจะจบสิ้นลง  การตัดสินใจในครั้งสุดท้ายของผู้ครองอัญมณีเทพ  คือการใช้พลังแห่งอัญมณี
          “ ด้วยอำนาจแห่งอัญมณีเทพ  ม่านน้ำพลิกผัน ”
          ปราการม่านน้ำคลายตัวออกเป็นช่องโหว่คอยรับเข็มพรากชีวิต  ทันทีที่เข็มผ่านเข้ามา  สายน้ำจากทางด้านบนจะดักจับมันเอาไว้  แล้วสายน้ำด้านล่างจะพุ่งตัวออกมาด้วยความแรงกระแทกเข็มให้แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ  ไม่มีสิ่งใดสามารถหลุดออกมาทำร้ายซีโอลผู้ซึ่งครอบครองอัญมณีแห่งเทพได้  ภาพการต่อสู้จบสิ้นลง  สิ่งที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้าเป็นเด็กหนุ่มที่ซีโอลรู้จักดีแต่มีสิ่งที่ผิดปกติออกได้  นั่นคือ  อานุภาพความเคียดแค้นที่แผ่ออกมาจากสายตาทั้งสองข้าง
          “ โซล ”  ซีโอลตะโกนออกไป
          “ ข้าไม่ใช่เพื่อนของแก ”  อีกเสียงตอบกลับมา
          ร่างนั้นไม่ต่างอะไรจากเพื่อนของเขาเลย  แต่ทำไม  การตอบกลับมาจากเพื่อนที่เขารัก  กลับเป็นเหมือนการตอบกลับของศัตรูที่ยาวนาน
          “ พลังแห่งข้า  ข้าได้พลังนั้นมาครอบครองแล้ว  ต่อไปข้าจะฆ่าทุกคน  และฆ่าคนที่มันเคยทำร้ายข้า ”  เสียงนั้นพูดออกมาพร้อมกับรอยยิ้มหัวเราะราวกับปีศาจ
          “ แกเป็นใคร  แกไม่ใช่โซลแน่ ”  ซีโอลถาม
          “ ข้าคืออีกตัวตนที่อยู่ในร่างของเพื่อนแก  ตอนนี้ข้ามีอำนาจเหนือมันแล้ว  ต่อไปนี้  แกจะไม่มีวันได้เห็นเพื่อนของแกอีก ”
          “ ว่าไงนะ ”  ซีโอลตกใจกับคำตอบประโยคสุดท้าย
          “ ไม่มีวันได้เห็นโซลอีก ”  ซีโอลพึมพำออกมา  แล้วตะโกนถาม
          “ แกหมายความว่าไง ”
          “ เผยตัวตนของแกมาดีกว่า  ข้ารู้ว่าแกยังไม่ตาย ”  เสียงคนในร่างโซลตะโกนออกมา
          แผ่นกระดาษสีขาวเปล่งแสงออกมา  ลมรอบแผ่นก่อตัวรวมกันเป็นร่างของเด็กน้อย  ไม่มีสิ่งใดบ่งบอกได้เด่นชัดว่าเป็นใคร  ลักษณะที่เห็นจากภายนอก  เป็นเพียงร่างเด็กน้อยตัวสูงเท่า ๆ กับซีโอล  แต่สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์และระบุได้แน่นอนว่านั่นคือโซล  คืองาช้างคู่หนึ่ง  ที่เปล่งแสงสีขาวนวลออกมา 
          “ โซล ”  ซีโอลหันไปพูดกับลมที่ก่อตัวเป็นร่างเด็กน้อย
          “ ใช่แล้ว . . . ซีโอล ”  อีกเสียงตอบกลับมา
          “ ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ได้ล่ะ ”
          “ มันเป็นอีกตัวตนที่ก่อตัวขึ้นมาตอนยังเด็ก  มันเป็นเรื่องเศร้าที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นมาเลย ”
          ณ  บริเวณหมู่บ้านหนึ่งที่อยู่คาบเกี่ยวระหว่างวาสโซและเมลาดูก้า  กลางวันก็ดำเนินไปตามปกติ  ร้านค้าเรียงรายตามถนน  ผู้คนร้องเรียกตะโกนหาลูกค้า  เวลาช่วงวันก็ผ่านเลยไปอย่างเร็ว  แสงสว่างจากฟ้าเบื้องบนถูกพ่นด้วยสีดำและความสว่างเปล่งประกายออกมาจากดวงดาว
          เสียงหนึ่งตัดผ่านราตรีเบื้องบนลงมา
          “ บรรยากาศแห่งค่ำคืนยามราตรี  จะต้องถูกแต้มสีด้วยเลือดสีแดงเข้ม  เหล่ามวลมารบริวารแห่งข้า  จงมุ่งทำลายล้างให้ราบเป็นสุสานแห่งเหล่าปวงชน ”
          เสียงร้องแห่งหายนะจากหมู่มารพุ่งออกมา  อีกไม่นานก็กลายเป็นเสียงปนระหว่างคนที่หวาดกลัวกับหมู่มวลมารที่บ้าคลั่ง  เลือดสีแดงสาดกระจายเต็มทั่วท้องถนน  บ้านหลายหลังกลับกลายเป็นสุสานฝังศพเพียงชั่วข้ามคืน  บางหลังถูกเผาทำลาย  บางหลังก็ถูกอิทธิฤทธิ์เวทมนตร์หายวับไปกับตา 
          ครอบครัวของโซลก็เช่นกัน  ต้องอพยพหนีตายออกมา  ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงแบบนี้  ทางหนีเพียงทางเดียวคือทางด้านหน้าของบ้าน  ซึ่งแน่นอน  นั่นคือที่ที่เหล่าฝูงปีศาจคอยฆ่าทุกชีวิตที่ผ่านออกมา
          พ่อของโซลเดินไปที่ด้านข้างของบ้าน  หยิบสายสร้อยสีขาวมาผูกให้กับโซล 
          “ เก็บไว้นะลูก  มันจะคอยปกป้องเจ้าเอง ”
          พ่อของโซลผูกสายสร้อยให้พร้อมกับตั้งสติอยู่ครู่หนึ่ง  แล้วตัดสินใจเอ่ยออกมา
          “ อย่ายอมแพ้  เราทุกคนต้องรอด ”
          สภาพท้องถนนที่เต็มไปด้วยเลือด  ชาวบ้านที่วิ่งหนีจากคมมีดและคมดาบ  หมู่มารลอยอยู่บนฟ้า  และเมฆสีดำปกคลุมแสงสว่างจากดาวจนมิด  เป็นภาพที่น่าสยดสยองที่สุดเท่าที่โซลเคยเห็นมา  ทั้งสามวิ่งออกพร้อมกับมุ่งขึ้นสู่ทิศทางด้านซ้าย  ‘ ป่าใหญ่คงจะช่วยคุ้มครองได้ ’  พ่อของโซลนึก
          ทั้งสามวิ่งไปเรื่อย ๆ  เสียงกรีดร้องจากการทำร้ายยังคงก้องอยู่ในหัวของโซล  ผู้คนต่างวิ่งหนีกันอลหม่าน  เด็กหนุ่มคนหนึ่งกระแทกเข้าที่หลังของโซล  โซลล้มลงแล้วมองกลับไป  เด็กคนนั้นมีสภาพแย่กว่าโซลอย่างมาก  หน้าตาดำเปื้อนโคลนจากตอนล้ม  สายน้ำสีขาวไหลออกมาจากตาทั้งคู่
          “ ไปด้วยกันนะ ”  โซลบอกเด็กหนุ่ม
          ทั้งหมดกำลังวิ่งหนีตาย  คนเริ่มน้อยลงแล้วเพราะทางที่วิ่งออกมามีเพียง  50 60  คนเท่านั้น  ส่วนใหญ่ยังคงติดอยู่ภายในวงล้อมแห่งปีศาจ  ที่รอดมาได้ก็ต่างหาที่หลบในพุ่มไม้  ต่างคนก็ต่างรอ  รอการหายไปของปีศาจ  รอรุ่งอรุณรับวันใหม่ที่ตามมา  ทุกคนปลอดภัยอยู่ในความมืดมิดแห่งป่าใหญ่ได้ไม่นาน  เสียงคุ้นหูก็ดังขึ้นอีกครั้ง
          “ พวกเจ้าต้องตาย  ป่าใหญ่แห่งนี้จะเป็นหลุมฝังศพแห่งพวกเจ้า ”
          ภารกิจของมารเสร็จไปหนึ่งส่วนแล้ว  ภาพคนล้มตายเป็นเหมือนยาบำรุงกำลังให้กับปีศาจ  ความฮึกเหิมและความบ้าคลั่งทำให้มันมุ่งเข้าสู่ป่าใหญ่  เสียงหวีดร้องจากความทุกข์ทรมานและความหวาดกลัวแทรกผ่านความมืดมิดออกมา  ทั้งสี่ยังคงปลอดภัย  แต่พ่อของโซลรู้ดีว่า  อีกไม่นานคงถึงเวลาของพวกเขา  จึงพูดกับโซลว่า
          “ จำไว้นะโซล  พวกปีศาจมันทำร้ายเรา  วันหนึ่งถ้าเราสามารถทำลายมันได้  จงทำ ”
          “ ครับ ”  โซลตอบ
   
          เสียงแหวกพุ่มไม้จากทางด้านข้างดังขึ้นมา  ร่างสีดำกำลังค้นหาผู้รอดชีวิตจากการต่อสู้  สัมผัสวิเศษแห่งมารสามารถรับรู้ความหวาดกลัวของคนผู้นั้นได้  มันกำลังพุ่งตรงเข้ามา  ในที่สุดมันก็พบกับร่างทั้งสี่
          “ ตาย . . . ”  มันคำรามออกมา
          พ่อของโซลขว้างเศษกิ่งไม้ที่แตกหักไปหาปีศาจ  อีกสามคนวิ่งหลบไปคนละทิศ
          “ ตายซะ ”  ปีศาจคำรามออกมาอีกครั้ง  พร้อมยกโซ่เหล็กแหลมปลายยาวฟาดลงบนร่างพ่อของโซล  แขนข้างซ้ายถูกตัดออกไป  มันยกโซ่เหล็กขึ้นอีกครั้ง  คราวนี้เป้าหมายของมันคือจะฟาดลงบนหัว  แม่ของโซลเห็นดังนั้นจึงวิ่งเข้ามารับการโจมตี  ร่างของทั้งคู่ถูกฟันขาดสองท่อน  เลือดกระเด็นเปื้อนใบไม้และพื้นดิน  เด็กหนุ่มอีกคนหวาดกลัวร้องเสียงดังออกมา  ปีศาจพุ่งโซ่เหล็กไปมัดตัว  โยนขึ้นไปบนฟ้าแล้วพุ่งเหล็กแหลมทะลุเสียบร่างนั้นกลางอากาศ 
          โซลยังคงหลบอยู่หลังพุ่มไม้  ความรู้สึกตอนนี้ไม่ใช่ความหวาดกลัวอีกต่อไปแล้ว  เขาจะต้องรอดเพื่อสักวันหนึ่ง  เขาจะได้แก้แค้นให้พ่อและแม่ของเขา 
          ‘ ฉันจะฆ่าแก  ไอ้ปีศาจร้าย ’  โซลนึกในใจ
          โซลยังคงหลบอยู่ที่เดิม  เขารู้ดีว่าถึงจะออกไปสู้ตอนนี้  จุดปลายท้ายสุดของการกระทำนั้นคือความตาย  ดังนั้น  เขาจะต้องอยู่นิ่ง ๆ  อย่างสงบและไม่ทำให้เจ้าปีศาจรู้ว่าเขาอยู่ตรงนี้  ด้วยการที่เขามีแต่ความหวังที่จะรอดและความเคียดแค้น  เจ้าปีศาจจึงไม่สามารถหาตัวเขาพบได้  เพราะสัมผัสวิเศษแห่งมารสามารถจับได้แค่เพียงความหวาดกลัวเท่านั้น
          เวลาแห่งค่ำคืนอันยาวนานยังคงผ่านพ้นไป  โซลรอคอยที่จะพบกับสันติสุขอีกครั้ง  ค่ำคืนนี้เป็นค่ำคืนที่เยือกเย็น  โดดเดี่ยว  และเศร้ามากที่สุด  ความหวาดกลัวเริ่มกลับเข้ามาอยู่อีกครั้ง  ตอนนี้เหล่ามารได้จากออกไปแล้ว  ทิ้งไว้แต่เพียงซากความเสียหายและรอยน้ำตาแห้ง ๆ ของโซล  ความง่วงกลายมาเป็นศัตรูสำคัญสำหรับเขาตอนนี้ 
          “ เทพแห่งป่าใหญ่  ท่านจงช่วยคุ้มครองข้าด้วยเถิด ”  โซลกล่าวน้ำเสียงสุดท้ายก่อนจะล้มลงบนแผ่นดินอันอบอุ่นแห่งพนาไพร
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น