ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ิอาณาจักรแห่งเทพ

    ลำดับตอนที่ #11 : กระดาษแสง

    • อัปเดตล่าสุด 31 ก.ค. 46


              ขนหญ้าพิษเปลีแตกกระจายออกมาจากฝีเย็บ  ลอยปะปนไปราวกับกำลังเริงระบำเหมือนหน่วยอำพรางแทรกตัวอยู่ในอากาศ  เจ้าปาเตอร์ไม่รู้ถึงหายนะที่กำลังมาเพราะมันเป็นสัตว์ที่ไร้สมอง  เป็นเพียงเครื่องมือของพวกกึ่งมนุษย์ไว้ใช้เป็นโล่กำบังเท่านั้น  

              เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดั่งเนื้อถูกหั่นออกเป็นชิ้น ๆ  เสียดผ่านอากาศออกมา  ร่างของเจ้าปาเตอร์กำลังละลายด้วยพิษกรดเข้มข้นของหญ้าพิษ  บางตัวไม่มีโอกาสที่จะได้กรีดร้องเพราะส่วนหัวของมันเป็นส่วนแรกที่ถูกละลาย  บางตัวดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้นหญ้า  แต่ส่วนใหญ่แล้วร่างจะสลายไปในเวลาอันรวดเร็ว

              “ ถึงตาแกแล้ว . . .  เจ้าปีศาจ ”

              ลูกกรงเหล็กแตกกระจายออกเป็นหอกพุ่งเข้าแทงเจ้าฟาลูอย่างแรง  มันล้มลงดิ้นกับพื้นด้วยความเจ็บปวดอย่างน่าเวทนา  หอกอีกนับพันพุ่งทะลูผ่านร่างอมนุษย์ที่น่าเกลียดอย่างไม่ให้ทันเอ่ยปากขอชีวิต  แต่มันก็ใช้กำลังเฮือกสุดท้ายลอยหนีขึ้นไปทางด้านตะวันออก  ทิ้งไว้แต่เพียงลอยเลือดสีดำเป็นทางยาวแสดงถึงทิศทางที่มันหนีเอาชีวิตรอดออกไป



              จากนั้นเทพแห่งป่าฟรอสก็ลอยไปดูอาการของเด็กทั้ง  5  ที่ตอนนี้หมดสติไปแล้ว

              “ เจ้าเรียกสัตว์แห่งเทพมารับเพื่อนของพวกเจ้าไปส่งยังบ้านเถิด  พวกเขาแค่ล้มหมดสติไปเท่านั้นเอง  เมื่อไปถึงบ้าน  สติของพวกเขาจะกลับคืนมา ”  เทพฟรอสกล่าวกับซีโอล

              “ เรื่องเข็มกลัดของเพื่อนเจ้า  ข้าจะจัดการให้เอง ”  กล่าวจบ  เข็มกลัดของโจนาสก็ลอยออกมาจากทุ่งแห่งหญ้าพิษเปลีไปติดบนหน้าอกเสื้อของโจนาส  ราวกับมีคนนำไปติดไว้ให้

              “ ครับ ”  ซีโอลรับคำ  พร้อมกับตะโกนออกไป  “ จัสเมท ”

              พลันมีเสียงลมพุ่งมาจากด้านทิศตะวันออกซึ่งไม่สามารถคาดคะเนความเร็วได้  สิ่งที่มองเห็นในระยะไกลเป็นเพียงร่างเล็กสีดำกำลังเคลื่อนตัวด้วยความเร็วสูง  สิ่งนั้นคือนกยูบาสไพร  สัตว์เลี้ยงแห่งเทพของซีโอลนั่นเอง

              “ พาเพื่อนของเราไปส่งที่บ้านให้ด้วยนะ ”  ซีโอลลูบหัวมันเบา ๆ  พร้อมกับอุ้มเพื่อนอีก  5  คนวางบนหลังของมัน

              จัสเมทเริ่มกระพือปีกขึ้นอีกครั้งและลอยลับออกไป  เหลือทิ้งไว้เพียงขนเส้นสีขาวบริเวณหางของมันเท่านั้นที่มันคิดว่าคงจะมีประโยชน์กับซีโอล

              ซีโอลช่วยพยุงโซลไปหาเทพแห่งป่าฟรอส

              “ ท่านคือเทพแห่งป่าฟรอส ”  โซลพยายามกล่าวออกมาด้วยเสียงอันแผ่วเบา

              “ ถูกต้อง ”  

              “ ทำไมท่านถึงรู้ว่าพวกเรากำลังอยู่ในอันตราย  เพราะอาณาจักของท่าน  อาณาจักรเมลโรส  อยู่ทางด้านทิศเหนือห่างออกไปราว  1,340  กิโลเมตร ”

              “ ความศรัทธา ”  เทพฟรอสกล่าว  “ เจ้าศรัทธาในตัวข้า  เวลาที่เจ้าต่อสู้  เจ้าก็นึกถึงข้า  นึกถึงเทพแห่งป่าที่เจ้าคิดว่าจะช่วยให้เจ้าและเพื่อนทุกคนรอดพ้นจากเงื้อมมือปีศาจ  ตอนนี้ข้าก็มาอยู่  ณ  ป่าแห่งนี้แล้ว  ข้ามีของสิ่งหนึ่งจะมอบให้เจ้า ”

              ชุดของโซลเปลี่ยนไป  กลายเป็นชุดสีเขียว  มีเข็มขัดเป็นสีน้ำเงินเข้ม  ที่หน้าขาด้านซ้ายประดับด้วยมรกตเป็นรูปใบไม้สี่แฉก  สายคล้องพาดบ่าลงมาจนถึงเอวเป็นสายประดับด้วยพลอยหลากสี  และมีสร้อยคล้องคอสีเขียวซึ่งเป็นอัญมณีแห่งป่า

              “ ข้าขอมอบอัญมณีแห่งป่าให้เจ้า ”

              “ ขอบคุณครับ . . . เทพฟรอส ”  โซลกล่าวออกมา

              “ จากนี้ต่อไป  เจ้าทั้งสองจะต้องผจญอันตรายอีกมากมายในฐานะผู้ครอบครองอัญมณีแห่งเทพ  พวกเจ้าจะต้องอดทนและหมั่นฝึกฝนใช้พลังแห่งเทพให้ชำนาญ ”

              “ ครับ ”  ทั้งสองตอบพร้อมกัน

              “ ข้าเชื่อว่าเจ้าฟาลูมันคงไม่ปล่อยเจ้าทั้งสองไว้แน่  ระหว่างทางกลับให้จงระมัดระวังตัวไว้   ข้ามีอีกสิ่งหนึ่งจะให้เจ้าทั้งสอง  นี่คือดอกโคเดกราส  มันช่วยรักษาอาการเหนื่อยและกระหายน้ำได้ ”

              ทั้งสองรับดอกโคเดกราสมาไว้ในมือและกินมันเข้าไป  ทั้งคู่รู้สึกได้ถึงพละกำลังที่เพิ่มขึ้นมาและการหายไปของความเหน็ดเหนื่อย

              “ เอาล่ะ  ข้าจำเป็นต้องไปแล้ว  บทพิสูจน์ของผู้ครอบครองอัญมณีแห่งเทพ  ยังมีอีกมาก  พวกเจ้าต้องฝ่าฟันไปด้วยตัวของตัวเอง ”  กล่าวจบ  เทพแห่งป่าฟรอสก็พลันหายไป  แสงสีเขียวจากอัญมณีที่ตอนแรกสว่างก็ลดแสงน้อยลงมาเป็นเพียงก้อนผลึกสีเขียวเท่านั้น

              “ ไม่แปลกหรอก . . . โซล  อัญมณีจะเปล่งแสงออกมาเมื่อตอนที่เราใช้พลังแห่งเทพเท่านั้น ”  ซีโอลกล่าว



              ต่อจากนั้นโซลกับซีโอลก็เดินออกมาจากป่าที่พวกเขาคงจะไม่มีวันลืม  มุ่งหน้าสู่บ้านของแต่ละคน



              ระหว่างที่เดินทางกลับ  ละอองเกสรของดอกอามกำลังลอยสะบัดอยู่ทั่วทุกอาณาบริเวณ  หญ้าใหญ่น้อยต่างชูต้นต้อนรับสันติสุขครั้งใหม่  ภายใต้แสงอาทิตย์โพล้เพล้รำไรใกล้ค่ำ  เสียงนกร้องประสานกันทางด้านใต้ของป่าใหญ่   กิ่งไม้กระทบกันพลันเอ่ยเป็นเสียงดนตรียามเย็น  มองเห็นเป็นเหล่านางฟ้าเริงร่าอยู่บนเมฆาซึ่งกำลังจะลอยลับหายวับไปในกลีบเมฆแห่งรัตติกาล  ค่ำคืนมืดลงแล้ว  เด็กน้อยทั้งสองต่างก็กลับไปที่บ้านของตน  ต่างก็นึกถึงเหตุการณ์และการค้นพบสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้น  อัญมณีที่ปรากฏในตอนนี้มี  2  ชิ้น  คือ  อัญมณีแห่งน้ำ  และ  อัญมณีแห่งป่า    ผู้สืบทอดอัญมณีคือ  ซีโอล  และ  โซล   ชะตาของเขาทั้งคู่คงยังไม่อาจบอกได้  แต่สิ่งเดียวที่ต้องทำในตอนนี้  คือ  หรี่ตาหลับลงในอ้อมกอดแห่งดารารัตติกาล



              รุ่งอรุณเปิดรับวันใหม่  เด็กนักเรียนต่างเร่งรีบผ่านประตูวิหารบอสโกเลียมเข้ามา  สัมภาระและหนังสืออันหนักอึ้งของแต่ละแผนกเป็นเหมือนเครื่องเพิ่มแรงให้กับเด็ก ๆ   เสียงพูดคุยดังมากขึ้นเรื่อย  ๆ  พร้อมกับความเมื่อยล้าจากการแบกตำราเรียน   ซีโอลเพ่งมองไปที่ด้านหน้าวิหาร  ร่างของเด็กหนุ่มที่เขาต้องการหายังไม่มา  มีแต่เพียงเศษกระดาษสีขาวขอบดำวางอยู่บนพื้นหยกสีเขียว  ตัวอักษรเขียนไว้อย่างเป็นระเบียบ

              ‘ ต้องเป็นของโซลแน่ ’  ซีโอลนึก  ‘ แต่ทำไมต้องใช้พลังแห่งเทพอำพรางด้วย ’

              แผ่นกระดาษที่มองไม่เห็น  มันเป็นเพียงกลุ่มหมอกสีขาวแห่งแสงสว่างรวมตัวกันเท่านั้น  ผู้ที่มีอำนาจวิเศษสามารถบันดาลสิ่งเหล่านี้ขึ้นได้  บางทีสิ่งที่ปรากฎแก่สายตาของซีโอลอาจเป็นลางบอกเหตุอะไรบางอย่างก็ได้

              แผ่นกระดาษปรากฎเป็นคำดังนี้



              “ อิทธิฤทธิ์ผู้ครอบครองอัญมณีแห่งป่า    เวทมนตร์มายา    เหล่าพนาแดนไกล

                ปกป้องปกครองหมู่ป่าพงไพร    มุ่งมั่นด้วยใจ    จารึกชื่อไว้ตลอดกาล  ”



              ‘ โซลคงตอบได้แน่ ’  ซีโอลนึก

              แล้วเด็กน้อยก็เดินผ่านประตูวิหารเข้าไป  แยกตรงไปเรียนที่แผนกของตนเอง  แสงสว่างก็คลายตัวออกจากกันทันทีที่ภารกิจของมันจบลง



              ในตอนเย็นซึ่งซีโอลหวังจะเจอโซลนั้น  กลับไม่เป็นอย่างที่คิด  เอสบอกว่าเห็นโซลแค่ตอนเที่ยงเท่านั้น  ส่วนเกอเลตก็พบโซลตอนที่จะกลับออกมา  เสียงคุ้นหูอีกเสียงก็ดังขึ้น

              “ เป็นอะไร  หน้าเครียดกันเชียว ”  ลุนโคสพูดด้วยอารมณ์ขันหลังจากที่เห็นหน้าอันเคร่งเครียดของทั้งสาม

              “ โซลหายไป ”  เกอเลตตอบ

              “ อาจจะแค่ไม่ได้มาโรงเรียนก็ได้ ”  โจนาสแย้ง

              “ มา  แต่ตอนนี้  ไม่อยู่แล้ว ”  เอสพูดขึ้นโดยไม่ได้เงยหน้า

              ‘ ต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ ’  ซีโอลนึก

              แล้วการสนทนาก็เริ่มขึ้นต่อจากนั้น  ทั้งลุนโคสและโจนาสตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า  ทั้งวันนี้พวกเขายังไม่พบโซลเลย  แต่ทั้งเอสและเกอเลตก็ยืนยันว่าเห็นเหมือนกัน  ผลสุดท้ายก็จบลงด้วยการตัดสินที่ว่า  โซลกลับไปแล้ว  ทั้งหมดจึงแยกย้ายกันไป

              ซีโอลยังคงนั่งอยู่ที่เดิม  เขายังคงคิดต่อไป  ‘ กระดาษที่เห็นนั้นมันสื่อถึงอะไร ’  เขาพึมพำกับตนเอง  บรรยากาศรอบข้างมีเพียงความวังเวงเท่านั้น  เสียงนักเรียนคุยกันหายลับไปกับการเลิกเรียน  ฟ้าเบื้องบนเริ่มถูกแต่งแต้มด้วยแสงสีส้มแดง   เหล่าแมลงต่างส่งเสียงร้อง  ซีโอลเงยหน้ามองขึ้นไปราวกับถูกมนต์สะกดให้ทำ  แผ่นกระดาษสีขาวเปล่งแสงออกมาอีกครั้ง  คราวนี้ปรากฏเป็นประโยคใหม่



              “ ด้านหน้าวิหารยิ่งใหญ่    ต้นเมกสูงไซร้    รองรับร่างไร้วิญญาณ

                พ่ายแพ้แก่พลังมาร    ดับสิ้นวายปราณ    กาลเวลาจบลง ”



              บนยอดกิ่งไม้ของต้นเมกที่อยู่ด้านตะวันตกของวิหาร  ร่างสีดำเล็ก ๆ กำลังลอยขึ้นสู่ด้านบน  สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ  แล้วกลับพุ่งดิ่งลงมาสู่พื้น

              “ โซล ”  ซีโอลตะโกนออกไป

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×