คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : มือกลองคนใหม่
“ว่าไงนะ อู ไอ้บอยย้ายโรงเรียน!!!!”
เสียงตะคอกตะเบ็งลั่นระคนตกใจจากเด็กหนุ่มร่างสูง หน้าตาดี (แต่หื่นนิดๆ) สะท้านไปทั่วทางเดินภายในโรงเรียนประจำจังหวัด ในยามเย็นหลังเลิกเรียน ทำเอาเด็กหนุ่มคนข้างๆ ต้องเอามืออุดหูเป็นการใหญ่ “เบาๆ ก็ได้โว้ย ไอ้แจ๊คอยู่กันแค่นี้!!+_+” ไก่อูเอามืออุดหูต่อว่าด้วยสีหน้าเบ้ๆ ใช้ปลายนิ้วแหย่เข้าไปเล็กน้อย เพื่อเช็คว่ายังไม่มีอะไรบุบสลาย “เอ่อๆ โทษที ตกใจไปหน่อยว่ะ แล้วคราวนี้เราจะหามือกลองจากไหนมาแทนว่ะ” แจ๊คบ่นเปรยๆ อย่างเป็นกังวล “ไม่รู้สิ คงต้องประกาศหาเอาล่ะมั้ง” ไก่อูตอบ “ลองไปปรึกษาเจ้าพวกนั้นกันดีกว่า ตี้ นนท์!!” ว่าแล้ว ไก่อูก็หันไปตะโกนเรียกเพื่อนชายสองคนที่กำลังเล่นบาสกันอยู่บนสนามบาสเก็ตบอลกลางแจ้ง กับบรรดาเพื่อนร่วมรุ่น คะเคล้าไปกับรุ่นน้องร่วมสถาบัน เด็กหนุ่มตัวสูงผิวขาว หน้าตาดี เงยหน้ามอง ก่อนที่จะสะกิดเพื่อนอีกคนที่กำลังเล่นบาสอยู่ “มีอะไรนนท์?” คนที่กำลังเล่นบาสอยู่ถามอย่างสงสัย เขาเป็นเด็กหนุ่มร่างสูง ผิวขาว หน้าตาตี๋ๆ เงยหน้ามองเพื่อนชายคนนี้ นนท์ชี้มือไปที่เด็กหนุ่มสองคนที่ยืนอยู่ข้างสนาม “แจ๊คกับอูเรียก” “สรุปว่า เราต้องหามือกลองมาแทนบอย ทุกคนคิดว่ายังไง?” ว่าที่นายประธานชมรมดนตรีและผู้จัดการวงเอ่ยถามเสียงเครียด หลังจากเล่าเรื่องทั้งหมดให้ทุกคนฟัง ในระหว่างนั่งประชุมกันอยู่ใต้ต้นก้ามปูข้างๆ สนามบาส เหล่าสมาชิกต่างมองหน้ากันเลิกลั่น “เดี๋ยว แล้วเราจะไปหากันที่ไหนล่ะ?” ตี๋ยกมือขึ้นถามอย่างสงสัย “ในโรงเรียนเรามันจะมีเหรอ ส่วนใหญ่ก็อยู่เป็นวงใครวงมันอยู่แล้ว” “เรื่องนั้นค่อยคิด ว่าแต่ มีใครเห็นด้วยไหม?” ไก่อูเลี่ยงประเด็นใหม่วกกลับสู่เรื่องเดิม “ฉันเห็นด้วย” นนท์ยกมือขึ้นเป็นคนแรก “ฉันตามนนท์” ตี๋กอดอกยักไหล่อย่างไม่ระยี้ “ฉันยังไงก็ได้ ตามเสียงส่วนมาก” แจ๊คตอบขึ้นมา “เป็นอันว่าไม่มีใครคัดค้าน ตกลงเราจะหามือกลองคนใหม่แทนเจ้าบอยที่ออกไปแล้ว ” ไก่อูพูดสรุป “เอาล่ะ ไปห้องชมรมดีกว่า” แล้วเขาก็ชักชวนพรรคพวกไปที่ห้องประจำ ห้องชมรมดนตรีสากลอยู่บนอาคารสังคม ซึ่งเป็น อาคาร 3 ชั้น ชั้นหนึ่งและสองเป็นห้องเรียน ห้องวิชาการ ห้องพักครู และอื่นๆ อีกนิดหน่อย ส่วนชั้นสามเป็นห้องเรียนดนตรี และสังคมประวัติศาสตร์ สองห้องใหญ่ที่อยู่ติดกันริมบันไดทางทิศตะวันออก จึงเป็นห้องชมรมของดนตรีสากล ผลัก! ประตูกระจกใสถูกผลักเข้าไปโดยฝีมือไก่อู เป็นประจำแล้วที่มันไม่ค่อยจะถูกล๊อก เนื่องจากจะมีคนมาใช้เป็นประจำ และหน้าที่ดูแลรักษาเครื่องดนตรีและห้องสี่เหลี่ยมกว้างๆ ห้องนี้ ซึ่งเปรียบเสมือนห้องซ้อมดนตรีของเหล่านักเรียนในโรงเรียน จึงตกเป็นของประธานชมรมและพรรคพวกไปโดยปริยาย จึงไม่น่าแปลกนัก ถ้าจะเห็นเด็กหนุ่มกลุ่มนี้ออกจากห้องกลุ่มสุดท้ายเป็นประจำ
ตึง!! ตึง!! เสียงกลองชุดที่ตั้งไว้กลางห้องดังขึ้น เรียกความสนใจให้เหล่าบรรดาเด็กหนุ่มกลุ่มใหม่หันไปสนใจ ก็พบว่า กลองชุดสีดำชุดใหญ่ กำลังมีคนใช้อยู่ “ผู้หญิงนี้หว่า” แจ๊คอุทานออกมาเบาๆ เมื่อเห็นหน้าตาของคนที่กลังตีกลองอยู่ และดูเหมือนเด็กสาวจะไม่รับรู้ถึงการมาของพวกเขา เพราะว่าเจ้าหล่อนยังคงหมกมุ่นอยู่กับมัน ตึ่ง!! ตัง!! ตึง!! ไม้กลองสีอ่อนดูเก่าคร่ำครา ราวกับผ่านการใช้งานมานานนม ถูกใช้กระทบกับผิวหน้าของหนังกลอง เท้าก็เหยียบเป็นจังหวะเข้ากับมืออย่างชำนาญ ไม่มีจุดบกพร่องแม้แต่น้อย ทำเอาบุรุษหนุ่มสี่คนยืนมองกันอย่างไม่กระพริบตา ตึง!! เธอหวดไม้ลงอย่างแรง เป็นสัญญาณบอกว่า ‘มันจบแล้ว’
เด็กสาวหลับตานิ่งอยู่พักหนึ่ง เสยผมที่ชุ่มเหงื่อขึ้นเล็กน้อย แปะ! แปะ!
เสียงตะคอกตะเบ็งลั่นระคนตกใจจากเด็กหนุ่มร่างสูง หน้าตาดี (แต่หื่นนิดๆ) สะท้านไปทั่วทางเดินภายในโรงเรียนประจำจังหวัด ในยามเย็นหลังเลิกเรียน ทำเอาเด็กหนุ่มคนข้างๆ ต้องเอามืออุดหูเป็นการใหญ่
“เบาๆ ก็ได้โว้ย ไอ้แจ๊คอยู่กันแค่นี้!!+_+” ไก่อูเอามืออุดหูต่อว่าด้วยสีหน้าเบ้ๆ ใช้ปลายนิ้วแหย่เข้าไปเล็กน้อย เพื่อเช็คว่ายังไม่มีอะไรบุบสลาย
“เอ่อๆ โทษที ตกใจไปหน่อยว่ะ แล้วคราวนี้เราจะหามือกลองจากไหนมาแทนว่ะ” แจ๊คบ่นเปรยๆ อย่างเป็นกังวล
“ไม่รู้สิ คงต้องประกาศหาเอาล่ะมั้ง” ไก่อูตอบ “ลองไปปรึกษาเจ้าพวกนั้นกันดีกว่า ตี้ นนท์!!”
ว่าแล้ว ไก่อูก็หันไปตะโกนเรียกเพื่อนชายสองคนที่กำลังเล่นบาสกันอยู่บนสนามบาสเก็ตบอลกลางแจ้ง กับบรรดาเพื่อนร่วมรุ่น คะเคล้าไปกับรุ่นน้องร่วมสถาบัน
เด็กหนุ่มตัวสูงผิวขาว หน้าตาดี เงยหน้ามอง ก่อนที่จะสะกิดเพื่อนอีกคนที่กำลังเล่นบาสอยู่
“มีอะไรนนท์?” คนที่กำลังเล่นบาสอยู่ถามอย่างสงสัย เขาเป็นเด็กหนุ่มร่างสูง ผิวขาว หน้าตาตี๋ๆ เงยหน้ามองเพื่อนชายคนนี้ นนท์ชี้มือไปที่เด็กหนุ่มสองคนที่ยืนอยู่ข้างสนาม
“แจ๊คกับอูเรียก”
“สรุปว่า เราต้องหามือกลองมาแทนบอย ทุกคนคิดว่ายังไง?”
ว่าที่นายประธานชมรมดนตรีและผู้จัดการวงเอ่ยถามเสียงเครียด หลังจากเล่าเรื่องทั้งหมดให้ทุกคนฟัง ในระหว่างนั่งประชุมกันอยู่ใต้ต้นก้ามปูข้างๆ สนามบาส เหล่าสมาชิกต่างมองหน้ากันเลิกลั่น
“เดี๋ยว แล้วเราจะไปหากันที่ไหนล่ะ?” ตี๋ยกมือขึ้นถามอย่างสงสัย “ในโรงเรียนเรามันจะมีเหรอ ส่วนใหญ่ก็อยู่เป็นวงใครวงมันอยู่แล้ว”
“เรื่องนั้นค่อยคิด ว่าแต่ มีใครเห็นด้วยไหม?” ไก่อูเลี่ยงประเด็นใหม่วกกลับสู่เรื่องเดิม
“ฉันเห็นด้วย” นนท์ยกมือขึ้นเป็นคนแรก
“ฉันตามนนท์” ตี๋กอดอกยักไหล่อย่างไม่ระยี้
“ฉันยังไงก็ได้ ตามเสียงส่วนมาก” แจ๊คตอบขึ้นมา
“เป็นอันว่าไม่มีใครคัดค้าน ตกลงเราจะหามือกลองคนใหม่แทนเจ้าบอยที่ออกไปแล้ว ” ไก่อูพูดสรุป “เอาล่ะ ไปห้องชมรมดีกว่า” แล้วเขาก็ชักชวนพรรคพวกไปที่ห้องประจำ
ห้องชมรมดนตรีสากลอยู่บนอาคารสังคม ซึ่งเป็น อาคาร 3 ชั้น ชั้นหนึ่งและสองเป็นห้องเรียน ห้องวิชาการ ห้องพักครู และอื่นๆ อีกนิดหน่อย ส่วนชั้นสามเป็นห้องเรียนดนตรี และสังคมประวัติศาสตร์ สองห้องใหญ่ที่อยู่ติดกันริมบันไดทางทิศตะวันออก จึงเป็นห้องชมรมของดนตรีสากล
ผลัก!
ประตูกระจกใสถูกผลักเข้าไปโดยฝีมือไก่อู เป็นประจำแล้วที่มันไม่ค่อยจะถูกล๊อก เนื่องจากจะมีคนมาใช้เป็นประจำ และหน้าที่ดูแลรักษาเครื่องดนตรีและห้องสี่เหลี่ยมกว้างๆ ห้องนี้ ซึ่งเปรียบเสมือนห้องซ้อมดนตรีของเหล่านักเรียนในโรงเรียน จึงตกเป็นของประธานชมรมและพรรคพวกไปโดยปริยาย
จึงไม่น่าแปลกนัก ถ้าจะเห็นเด็กหนุ่มกลุ่มนี้ออกจากห้องกลุ่มสุดท้ายเป็นประจำ
ตึง!! ตึง!!
เสียงกลองชุดที่ตั้งไว้กลางห้องดังขึ้น เรียกความสนใจให้เหล่าบรรดาเด็กหนุ่มกลุ่มใหม่หันไปสนใจ ก็พบว่า กลองชุดสีดำชุดใหญ่ กำลังมีคนใช้อยู่
“ผู้หญิงนี้หว่า”
แจ๊คอุทานออกมาเบาๆ เมื่อเห็นหน้าตาของคนที่กลังตีกลองอยู่ และดูเหมือนเด็กสาวจะไม่รับรู้ถึงการมาของพวกเขา เพราะว่าเจ้าหล่อนยังคงหมกมุ่นอยู่กับมัน
ตึ่ง!! ตัง!! ตึง!!
ไม้กลองสีอ่อนดูเก่าคร่ำครา ราวกับผ่านการใช้งานมานานนม ถูกใช้กระทบกับผิวหน้าของหนังกลอง เท้าก็เหยียบเป็นจังหวะเข้ากับมืออย่างชำนาญ ไม่มีจุดบกพร่องแม้แต่น้อย ทำเอาบุรุษหนุ่มสี่คนยืนมองกันอย่างไม่กระพริบตา
ตึง!!
เธอหวดไม้ลงอย่างแรง เป็นสัญญาณบอกว่า ‘มันจบแล้ว’
เด็กสาวหลับตานิ่งอยู่พักหนึ่ง เสยผมที่ชุ่มเหงื่อขึ้นเล็กน้อย แปะ! แปะ!
เด็กสาวหลับตานิ่งอยู่พักหนึ่ง เสยผมที่ชุ่มเหงื่อขึ้นเล็กน้อย
แปะ! แปะ!
เด็กสาวหลับตานิ่งอยู่พักหนึ่ง เสยผมที่ชุ่มเหงื่อขึ้นเล็กน้อย
แปะ! แปะ!
“เก่งจังนะ เธอนิ”
และคนที่ปรบมือพร้อมเอ่ยชมไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจาก ไก่อู ประธานชมรมดนตรีสากล เขาปรบมือเบาๆ ดูชื่นชมผลงานของคนตรงหน้าไม่น้อย ทำเอาเด็กสาวสะดุ้งตัวเล็กน้อย “พวกนาย
” เธอพึมพัมเบาๆ ในลำคอ “เธอสนใจ
” พรึ่บ!!
และคนที่ปรบมือพร้อมเอ่ยชมไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจาก ไก่อู ประธานชมรมดนตรีสากล เขาปรบมือเบาๆ ดูชื่นชมผลงานของคนตรงหน้าไม่น้อย ทำเอาเด็กสาวสะดุ้งตัวเล็กน้อย
“พวกนาย ” เธอพึมพัมเบาๆ ในลำคอ
“เธอสนใจ ”
พรึ่บ!!
“มาเป็นมือกลองให้พวกฉันเถอะนะ”
ไวกว่าประธานไก่อูจะพูดขึ้น แจ๊คก็ตะครุบคว้ามือเด็กสาวขึ้นมากุมแน่น พร้อมออกปากเอ่ยชวนแกมบังคับ “พวกฉันกำลังต้องการมือกลองอยู่พอดี เธอสนใจไหม?” ฟึ่บ!! เด็กสาวสะบัดมือของแจ๊สออกอย่างไม่ใยดี ก่อนที่จะลุกขึ้นหยิบกระเป๋านักเรียนสีดำ เดินออกไปโดยไปสนใจเหล่าบรรดาเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ เหมือนคนพวกนี้เป็นเพียงอากาศที่พัดผ่าน “เฮ้ย เดี๋ยวสิ!!!” เพราะความโมโหที่ถูกเมินแบบไม่มีเยื่อใยจากเด็กสาวปริศนา แจ๊คก็กระชากไหล่ของอีกคนให้หันมาเผชิญหน้าด้วยแววตาดุดัน ซึ่งยอมรับว่าขนาดคนเป็นเพื่อนยังเคยสยองกลัวมาแล้ว “คิดจะเมินกันง่ายๆ แบบไม่มีมรรยาทแบบนี้เหรอ!!!” “
.” เจ้าหล่อนไม่ตอบอะไร เพียงแต่จ้องหน้ามองกลับเพียงเท่านั้น ด้วยแววตาแข็งกราวไม่ยอมแพ้เช่นเดียวกัน ก่อนที่จะสะบัดตัวหนีออกไปดุ่มๆ “ถ้าไม่เต็มใจจะเป็นให้ ก็บอกกันดีๆ ก็ได้โว๊ย!!!!!” แจ๊คตะโกนไล่หลังออกมาอย่างอารมณ์เสียสุดขีด จนไก่อูต้องเป็นฝ่ายห้ามปรามให้ใจเย็น “ใจเย็นๆ น้า แจ๊ค เดี๋ยวฉันไปคุยกับเขาเอง” ไก่อูบอกแล้ววิ่งตามเด็กสาวออกไป “เฮ้ย!! ฉันไปด้วย” ตี๋ตะโกนบอกก่อนที่จะวิ่งตามนายประธานชมรมไป “เดี๋ยวเธอ!!!!!” เสียงตะโกนของไก่อูเรียกดักอีกคนที่กำลังจะเดินลงบันไดอาคารเรียนไป เธอชะงักฝีเท้าไว้ หันเสี้ยวหน้ามามองอย่างเย็นชา ก่อนที่จะหันกลับคืน “มาเป็นมือกลองให้เราเถอะนะ พวกเรากำลังต้องการคนแบบเธออยู่พอดี “ “
” “เอางี้ ฉันจะลองให้เธอกลับไปคิดดู ถ้าเธอพร้อมเมื่อไร ก็มาติดต่อฉันได้ทุกเมื่อนะ” ไก่อูพูดด้วยน้ำเสียงสดใส พลางเอามือตบหน้าอกเบาๆ ด้วยรอยยิ้มตาปิด ซึ่งดูขัดกับหน้าตาที่ออกซึมๆ เหมือนคนหมดอาลัยตายอยากนัก “
.” เด็กสาวไม่พูดอะไร นอกจากหันหลังกลับแล้วเดินลงไปเพียงเท่านั้น ไก่อูมองตามได้แต่ถอนหายใจวูบ ดูท่าตัวเองจะเจอศึกหนักเข้าเสียแล้ว “แววตาเหมือนไอ้แจ๊คไม่มีผิด ดื้อดึงพอกัน” “เป็นไงท่านประธาน สำเร็จไหม?” ตี๋ที่เพิ่งออกมาจากห้อง เนื่องจากติดพันคุยอยู่กับเพื่อนอีกสองคนอยู่ เรียกแกมแซวพลางถามด้วยสีหน้าระรื่น แววตามีประกาย ปิ๊ง! ปิ๊ง! เหมือนลูกสุนัขที่เห็นเจ้าของเดินมาพร้อมจานอาหาร ไก่อูหันไปมอง ยกมือขึ้นไขว้เป็นรูปกาบาท พร้อมส่ายหน้า “เหรอ คิดไว้แล้วเชียว ว่าต้องไม่ยอม” ตี๋เกาศีรษะด้วยสีหน้าเรียบๆ “แต่เอาเถอะ ฉันจะทำให้ยัยนั่นมาเป็นมือกลองวงเราให้ได้” ไก่อูเปรยขึ้นด้วยสีหน้ามุ่งมั่น ริมฝีปากกระตุกยกขึ้นเล็กน้อย
ไวกว่าประธานไก่อูจะพูดขึ้น แจ๊คก็ตะครุบคว้ามือเด็กสาวขึ้นมากุมแน่น พร้อมออกปากเอ่ยชวนแกมบังคับ
“พวกฉันกำลังต้องการมือกลองอยู่พอดี เธอสนใจไหม?”
ฟึ่บ!!
เด็กสาวสะบัดมือของแจ๊สออกอย่างไม่ใยดี ก่อนที่จะลุกขึ้นหยิบกระเป๋านักเรียนสีดำ เดินออกไปโดยไปสนใจเหล่าบรรดาเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ เหมือนคนพวกนี้เป็นเพียงอากาศที่พัดผ่าน
“เฮ้ย เดี๋ยวสิ!!!”
เพราะความโมโหที่ถูกเมินแบบไม่มีเยื่อใยจากเด็กสาวปริศนา แจ๊คก็กระชากไหล่ของอีกคนให้หันมาเผชิญหน้าด้วยแววตาดุดัน ซึ่งยอมรับว่าขนาดคนเป็นเพื่อนยังเคยสยองกลัวมาแล้ว
“คิดจะเมินกันง่ายๆ แบบไม่มีมรรยาทแบบนี้เหรอ!!!”
“ .”
เจ้าหล่อนไม่ตอบอะไร เพียงแต่จ้องหน้ามองกลับเพียงเท่านั้น ด้วยแววตาแข็งกราวไม่ยอมแพ้เช่นเดียวกัน ก่อนที่จะสะบัดตัวหนีออกไปดุ่มๆ
“ถ้าไม่เต็มใจจะเป็นให้ ก็บอกกันดีๆ ก็ได้โว๊ย!!!!!” แจ๊คตะโกนไล่หลังออกมาอย่างอารมณ์เสียสุดขีด จนไก่อูต้องเป็นฝ่ายห้ามปรามให้ใจเย็น
“ใจเย็นๆ น้า แจ๊ค เดี๋ยวฉันไปคุยกับเขาเอง” ไก่อูบอกแล้ววิ่งตามเด็กสาวออกไป
“เฮ้ย!! ฉันไปด้วย” ตี๋ตะโกนบอกก่อนที่จะวิ่งตามนายประธานชมรมไป
“เดี๋ยวเธอ!!!!!”
เสียงตะโกนของไก่อูเรียกดักอีกคนที่กำลังจะเดินลงบันไดอาคารเรียนไป เธอชะงักฝีเท้าไว้ หันเสี้ยวหน้ามามองอย่างเย็นชา ก่อนที่จะหันกลับคืน
“มาเป็นมือกลองให้เราเถอะนะ พวกเรากำลังต้องการคนแบบเธออยู่พอดี “
“ ”
“เอางี้ ฉันจะลองให้เธอกลับไปคิดดู ถ้าเธอพร้อมเมื่อไร ก็มาติดต่อฉันได้ทุกเมื่อนะ”
ไก่อูพูดด้วยน้ำเสียงสดใส พลางเอามือตบหน้าอกเบาๆ ด้วยรอยยิ้มตาปิด ซึ่งดูขัดกับหน้าตาที่ออกซึมๆ เหมือนคนหมดอาลัยตายอยากนัก
“ .”
เด็กสาวไม่พูดอะไร นอกจากหันหลังกลับแล้วเดินลงไปเพียงเท่านั้น ไก่อูมองตามได้แต่ถอนหายใจวูบ ดูท่าตัวเองจะเจอศึกหนักเข้าเสียแล้ว “แววตาเหมือนไอ้แจ๊คไม่มีผิด ดื้อดึงพอกัน”
“เป็นไงท่านประธาน สำเร็จไหม?”
ตี๋ที่เพิ่งออกมาจากห้อง เนื่องจากติดพันคุยอยู่กับเพื่อนอีกสองคนอยู่ เรียกแกมแซวพลางถามด้วยสีหน้าระรื่น แววตามีประกาย ปิ๊ง! ปิ๊ง! เหมือนลูกสุนัขที่เห็นเจ้าของเดินมาพร้อมจานอาหาร ไก่อูหันไปมอง ยกมือขึ้นไขว้เป็นรูปกาบาท พร้อมส่ายหน้า
“เหรอ คิดไว้แล้วเชียว ว่าต้องไม่ยอม” ตี๋เกาศีรษะด้วยสีหน้าเรียบๆ
“แต่เอาเถอะ ฉันจะทำให้ยัยนั่นมาเป็นมือกลองวงเราให้ได้” ไก่อูเปรยขึ้นด้วยสีหน้ามุ่งมั่น ริมฝีปากกระตุกยกขึ้นเล็กน้อย
“แป๊ก!!!!!”
เสียงหวานๆ ตะโกนเรียกเด็กสาวหน้าใส ผิวคล้ำหน่อยๆ ดวงตาเรียวคมที่กำลังเดินลงบันไดมาให้หันไปมอง ก่อนที่สีหน้าบึ้งตึ้งราวกับทศกันฐ์จะผันเปลี่ยนเป็นสีหน้าสดใสเหมือนหนุมานในทันทีที่เห็นคนเรียก “ต่าย!!!” “
ขอบใจนะ
” แป๊กกล่าวขึ้น เมื่ออีกคนยื่นแก้วน้ำโค๊กที่รสชาติจืดชืดเล็กน้อย เพราะน้ำแข็งที่ละลายผสมด้วย เด็กสาวหน้าหล่อใส ผิวขาวเหมือนหมีขั้วโลกยิ้มหยั่งเชิง ก่อนที่จะทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ เพื่อนสาวคนนี้ “
แป๊กนะ ทำไมถึงไม่หาวงอยู่ให้มันเป็นหลักเป็นแหล่งล่ะ?” เธอถามขึ้น และดูเหมือนมันจะเป็นปัญหาถูกถามมานาน แป๊กถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยสีหน้าเรียบๆ เสยผมขึ้นเล็กน้อย “เธอก็รู้นิต่าย ว่าฉันไม่ชอบการผูกมัดกับคนอื่น” “อืม ฉันรู้
” ต่ายตอบเรียบๆ ก้มลงดูดน้ำในแก้วของตนเป็นการใหญ่ “แต่พี่เขาก็จบไปนานแล้วนะ แป๊กไม่น่าจะไปยึดติดกับอดีตนักสิ” ต่ายเปรยออกมาเบาๆ ด้วยหน้าหน้ามุ่ยๆ “เธอไม่เข้าใจหรอก ต่าย” แป๊กเอ่ยตอบเสียงเรียบ หยิบไม้กลองที่ดูเก่าคล่ำคลาขึ้นมาดูด้วยแววตาสลด เมื่อมองชื่อที่ติดอยู่ที่โคนไม้ “เธอไม่เข้าใจหรอก ว่าฉันรู้สึกยังไง?” “แป๊ก ทำไม่ฉันจะไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้พี่เขา
เอ่อ
ช่างเถอะ แต่ฉันอยากให้แป๊กได้ทำในสิ่งที่เธอชอบนะ” ต่ายพูดด้วยสีหน้าจริงจัง แป๊กหันไปสบตาเพื่อนสาว แล้วเผลยยิ้มบางๆ โดยที่คนรับรู้สึกว่ามันเหมือนจะแฝงความเศร้าสร้อย “ช่างเถอะน้า คิดมากเชียว” แป๊กพูด เก็บไม้กลองลงกระเป๋าสะพาย ลุกขึ้นยืน “กลับบ้านกันเถอะ หิวแล้ว” เธอออกปากชวนต่ายที่นั่งอยู่ให้กลับบ้านด้วยกัน เด็กสาวพยักหน้ารับ หยิบกระเป๋าลุกขึ้นเดินตามแป๊กที่เดินล่วงหน้าไปพอสมควร ด้วยความไม่เข้าใจจิตใจของแป๊กแม้แต่น้อย ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
เสียงหวานๆ ตะโกนเรียกเด็กสาวหน้าใส ผิวคล้ำหน่อยๆ ดวงตาเรียวคมที่กำลังเดินลงบันไดมาให้หันไปมอง ก่อนที่สีหน้าบึ้งตึ้งราวกับทศกันฐ์จะผันเปลี่ยนเป็นสีหน้าสดใสเหมือนหนุมานในทันทีที่เห็นคนเรียก
“ต่าย!!!”
“ ขอบใจนะ ”
แป๊กกล่าวขึ้น เมื่ออีกคนยื่นแก้วน้ำโค๊กที่รสชาติจืดชืดเล็กน้อย เพราะน้ำแข็งที่ละลายผสมด้วย เด็กสาวหน้าหล่อใส ผิวขาวเหมือนหมีขั้วโลกยิ้มหยั่งเชิง ก่อนที่จะทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ เพื่อนสาวคนนี้
“ แป๊กนะ ทำไมถึงไม่หาวงอยู่ให้มันเป็นหลักเป็นแหล่งล่ะ?” เธอถามขึ้น และดูเหมือนมันจะเป็นปัญหาถูกถามมานาน แป๊กถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยสีหน้าเรียบๆ เสยผมขึ้นเล็กน้อย
“เธอก็รู้นิต่าย ว่าฉันไม่ชอบการผูกมัดกับคนอื่น”
“อืม ฉันรู้ ” ต่ายตอบเรียบๆ ก้มลงดูดน้ำในแก้วของตนเป็นการใหญ่ “แต่พี่เขาก็จบไปนานแล้วนะ แป๊กไม่น่าจะไปยึดติดกับอดีตนักสิ” ต่ายเปรยออกมาเบาๆ ด้วยหน้าหน้ามุ่ยๆ
“เธอไม่เข้าใจหรอก ต่าย” แป๊กเอ่ยตอบเสียงเรียบ หยิบไม้กลองที่ดูเก่าคล่ำคลาขึ้นมาดูด้วยแววตาสลด เมื่อมองชื่อที่ติดอยู่ที่โคนไม้ “เธอไม่เข้าใจหรอก ว่าฉันรู้สึกยังไง?”
“แป๊ก ทำไม่ฉันจะไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้พี่เขา เอ่อ ช่างเถอะ แต่ฉันอยากให้แป๊กได้ทำในสิ่งที่เธอชอบนะ”
ต่ายพูดด้วยสีหน้าจริงจัง แป๊กหันไปสบตาเพื่อนสาว แล้วเผลยยิ้มบางๆ โดยที่คนรับรู้สึกว่ามันเหมือนจะแฝงความเศร้าสร้อย
“ช่างเถอะน้า คิดมากเชียว”
แป๊กพูด เก็บไม้กลองลงกระเป๋าสะพาย ลุกขึ้นยืน “กลับบ้านกันเถอะ หิวแล้ว” เธอออกปากชวนต่ายที่นั่งอยู่ให้กลับบ้านด้วยกัน เด็กสาวพยักหน้ารับ หยิบกระเป๋าลุกขึ้นเดินตามแป๊กที่เดินล่วงหน้าไปพอสมควร ด้วยความไม่เข้าใจจิตใจของแป๊กแม้แต่น้อย ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
ความคิดเห็น