ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    MASHLE Fanfic นักเรียนเจ้าปัญหาคนใหม่แห่งอีสตัน [ ปิดรับสมัครตัวละคร ]

    ลำดับตอนที่ #4 : แกะตัวที่ 1 : แมร์ รีส กับการสอบที่ชวนให้ง่วงเหงา

    • อัปเดตล่าสุด 16 พ.ย. 67


    “ฮ้า~ว…”

     

    ทั้งที่กำลังขี่ไม้กวาดบินต้านลมจนเรือนผมถูกพายพัดสะบัดพลิ้วไหว แมร์ รีสก็ยังคงอ้าปากหาววอดใหญ่ด้วยความง่วงงุน

     

    ราวกับไม่รู้สึกถึงแรงต้านอากาศใด ๆ ดวงตาที่หลับพริ้มนั้นได้มองทางอยู่หรือเปล่าก็ไม่อาจรู้ได้เลยแม้แต่น้อย ท่าทางสัปหงกราวกับโค้งคำนับอะไรบางอย่างอยู่เบา ๆ แทบจะตลอดเวลาชวนให้หวาดเสียวเหลือเกินว่าจะมือไม้อ่อนแรงจนร่วงตกลงมาจากไม้กวาดหรือเปล่า การที่เขายังขี่ไม้กวาดให้มุ่งตรงไปข้างหน้าได้ก็นับว่าเป็นปาฏิหาริย์เหนือคณาแล้ว เกิดเป็นคนปกติคงไม่แคล้วเซไปมาจนชนต้นไม้หรือเสาข้างทางจนบาดเจ็บสาหัสไปตั้งแต่ต้น

     

    ทั้งที่ไม่ได้เล่นท่าฉวัดเฉวียน แต่วิธีการขี่ไม้กวาดของจอมเวทสามปานคนนี้ก็จัดว่าน่าหวาดเสียวใช้ได้

     

    กระทั่งเพื่อนที่รู้จักกันมาเป็นแรมปีจนรู้เนื้อแท้กันดีหมดไส้หมดพุง มาเจอสภาพนี้เข้าก็ยังอยากจะยกบาทาขึ้นมาก่ายหน้าผากด้วยความหน่ายใจ

     

    “ขี่แบบนั้นนายได้ชนต้นไม้ไม่ก็เสาก่อนได้ถึงโรงเรียนแหง”

     

    ชายกำยำร่างสูงเอ่ยพลางลอบถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ใบหน้าละม้ายคล้ายฆาตกรต่อเนื่องซึ่งมีรอยปานอยู่สองปานเหลียวมองเด็กหนุ่มผมขาวด้วยสีหน้าเรียบนิ่งไร้อารมณ์ สายตาคมดุดันแค่จ้องมองก็ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังถูกข่มขู่ เรียกได้ว่าเป็นใบหน้าที่เด็กน้อยที่กำลังยิ้มร่ามาเห็นคงได้เปลี่ยนเป็นร้องไห้จ้าทันควัน

     

    นั่นไม่ใช่คำกล่าวเกินจริงแต่อย่างใด ใบหน้าของ เฟค เออร์เรอร์ คือใบหน้าที่น่าพรั่นพรึงตามนิยามเช่นนั้น

     

    แต่ไม่ใช่สำหรับแมร์ รีสที่กำลังหัวเราะร่วนอย่างละอาย 

     

    “แหะ ๆ”

     

    “ไม่ต้องมา ‘แหะ ๆ’ เลยนะว้อย”

     

    “แบ๊ะ”

     

    “แล้วทำไมจู่ ๆ ถึงร้อง ‘แบ๊ะ’ ฟะ!?”

     

    เด็กหนุ่มผมขาวหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะยอมเงยหน้าขึ้นมาปรับท่าปรับทางให้มันดี ๆ เหมือนอย่างที่คนปกติเขาขี่กัน 

     

    “แต่ว่านะ ผมดีใจมากเลยล่ะที่ฟลิคยอมมาด้วย”

     

    เฟคส่งเสียง “เฮอะ” ในลำคอ เรียวคิ้วขมวดเข้าหากันคล้ายจะแสดงออกว่าตนไม่ได้ยินดีเลยแม้แต่น้อย ร่างสูงยกมือขึ้นกอดอก ก่อนจะแค่นเสียงใส่อย่างไม่พอใจ

     

    “ฉันไม่เห็นดีใจเลยสักนิด เบื่อหน้าแกจะตายชัก”

     

    ถึงปากจะพูดแบบนั้นออกไป แต่ในใจก็คงราว ๆ ว่า ‘ฉันเองก็ดีใจมากเหมือนกันที่ได้ไปโรงเรียนด้วยกันกับนาย’ ล่ะมั้ง

     

    เพราะฟลิคปากไม่ตรงกับใจเท่าไรเท่าไรก็เลยถือวิสาสะคิดเข้าข้างตัวเองสักหน่อยล่ะน้า แต่ทุกทีก็เดาถูกบ่อย ๆ เพราะงั้นครั้งนี้แมร์ก็ขอทึกทักไปเองเหมือนอย่างเคยก็แล้วกัน

     

    คิดพลางเด็กหนุ่มก็อมยิ้มอย่างนึกขัน ก่อนจะอ้าปากหาวอีกวอดใหญ่ ทว่าก็ยังไม่ทันได้หาวจนสุดลมเพราะเพื่อนตัวใหญ่ของเขาเอ่ยทักขึ้นมาซะก่อน

     

    “ว่าแต่แกจะไปอีสตันทั้งชุดนอนแบบนี้เลยรึไง?”

     

    “อื๋อ?”

     

    แมร์เอียงคออย่างงุนงง กระทั่งได้ก้มลงมองเสื้อผ้าของตนที่ยังคงเป็นชุดนอนเต็มยศทั้งที่ก็ออกจากบ้านมาได้ตั้งนานสองนาน

     

    “อะ..”

     

    เด็กหนุ่มผมขาวพลันอ้าปากหวอ ดูทรงแล้วคงจะเพิ่งรู้ตัวเมื่อกี้เลยล่ะนะ

     

    “ลืมสนิทเลย ทำไมฟลิคเพิ่งทักอะ”

     

    “ก็แล้วมันใช่หน้าที่ฉันไหม!?”

     

    เฟคสวนทันควัน สีหน้าหน่ายใจของเขาในตอนนี้ดูแล้วหากยกเท้าขึ้นมาก่ายหน้าผากได้ก็คงทำไปนานแล้ว สายตาทิ่มแทงเล็กน้อยปรายมองเพื่อนขี้เซาที่ตอนนี้ก็ยังคงแย้มยิ้มอย่างไม่รู้สึกรู้สา ให้ตายสิ เมื่อไรไอ้หมอนี่จะโตกันนะ ตอนนี้เขาแทบจะเป็นพี่เลี้ยงเด็กมากกว่าเพื่อนอยู่แล้ว

     

    แต่ก่อนจะมานั่งเพลียก็คงต้องมองหาที่ให้แมร์ใช้เปลี่ยนเสื้อผ้าซะก่อน—โอ๊ะ โชคดีจริง ๆ ที่มีห้องน้ำอยู่ไม่ไกล

     

    “ตรงนั้นมีห้องน้ำอยู่นะ แอรีซ”

     

    แมร์ยืดคอมองตามทิศทางที่เฟคชี้ไป ครั้นเห็นว่าเป็นห้องน้ำจริง ๆ ก็ค่อย ๆ ชะลอความเร็วของไม้กวาดก่อนจะลงจอดอย่างนิ่มนวล เด็กหนุ่มค่อยกระโดดหยอยลงมาจากไม้กวาดพร้อมกับหอบเสื้อผ้าที่ไม่รู้ว่าเอาออกมาจากกระเป๋าเมื่อไรเอาไว้ ก่อนจะหันมาพูดกับเพื่อนสนิท

     

    “งั้นผมขอเปลี่ยนชุดก่อน ฟลิครอแป๊บนึงนะ”

     

    “เออ เร็ว ๆ”

     

    เฟคตอบเสียงเรียบ และแมร์ก็ได้แวบเข้าห้องน้ำไป หากแต่ว่าหลังจากที่ยืนรอมาได้พักใหญ่ ตั้งแต่ห้านาที…สิบนาที…ยี่สิบนาที…กระทั่งครึ่งชั่วโมงผ่านพ้นไปก็ยังไม่มีวี่แววว่าจอมเวทสามปานจะออกมา

     

    ‘ตกส้วมตายแล้วรึไง?’

     

    ร่างสูงคิดอย่างนึกหน่าย ก่อนจะเดินไปเคาะประตูห้องน้ำสองสามทีเพื่อเช็กดูว่าเพื่อนของตนยังอยู่ดีไหม

     

    “เฮ้ย แอรีซ?”

     

    “…ฟรี้~”

     

    และสิ่งที่ตอบกลับมาก็คือเสียงกรนของเจ้าแกะขี้เซา

     

    ถามจริงเถอะ ในห้องน้ำมันก็ยังจะนอนได้อีกเรอะ!?

     

    เฟคอ้าปากค้างด้วยความเหลือจะเชื่อ แต่เดี๋ยวสิ! มันใช่เวลาจะมาทึ่งกับความสามารถพิเศษของไอ้เจ้าขี้เซานี่ซะที่ไหน!? 

     

    “โอ้ย! แอรีซ ตื่นนะโว้ย!”

     

    ชายร่างสูงตะโกนลั่นพลางเคาะประตูรัว ๆ ราวกับจะทำให้ประตูห้องน้ำเป็นรูเอาให้ได้ อันที่จริงก็คิดอยู่ว่าพังประตูเข้าไปน่าจะดีกว่าปล่อยให้เจ้าสามปานนั่นหลับอยุ่ข้างในนาน ๆ ไอ้ที่จะไปสอบสายนั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่เรื่องที่น่าหนักใจยิ่งกว่า—

     

    ทว่าก่อนที่เฟคจะได้ทำอะไรทั้งนั้น ห้องน้ำก็ระเบิด ตู้มมมมม!!! กระเด็นกระดอนไปคนละทิศละทาง หลงเหลือไว้เพียงบานประตูที่ก็ไม่รู้ว่าจะเหลือไว้ทำไม

     

    น้ำจากโถสุขาสาดกระจายเป็นน้ำพุสู่ท้องฟ้า โปรยปรายลงมาเป็นสายฝนที่สกปรกที่สุดเท่าที่จะสกปรกได้ ใจกลางของฝนน้ำเปรอะสิ่งปฏิกูลนั้นคือแมร์ รีสที่ยืนสัปหงกอย่างไม่ทุกข์ร้อนใด ๆ หลับใหลไปทั้งที่มือยังคาอยู่กับเนคไทแบบนั้น

     

    ในยามนี้เฟคเริ่มอยากจะยกเท้าขึ้นมาก่ายหน้าผาก แต่ก่อนหน้านั้นก็อยากจะโบกกบาลเจ้าเพื่อนตัวดีนี่สักป้าบ ระเบิดที่ไหนไม่ระเบิด ดั๊นมาระเบิดห้องน้ำสาธารณะซะงั้น! เล่นทำลายข้าวของกันซะโจ่งแจ้งแบบนี้มีหวังโดนตำรวจเวทมนตร์จับโยนเข้าซังเตแหงแซะ!

     

    ว่าง่าย ๆ ก็คือฉิบหายขนานแท้

     

    ไอ้หนังหน้าเขาก็ดันเหมือนอาชญากรซะด้วย ทีนี้ก็ว้าวุ่นเลย

     

    แม้จะอยากยืนกุมขมับต่อไปอีกสักสามวิ แต่ตอนนี้เฟคไม่มีเวลาให้เสียกับเรื่องไร้สาระแล้ว เด็กหนุ่มร่างสูงรีบฉุดดึงเพื่อนขี้เซาออกมาจากตรงนั้น ก่อนจะขี่ไม้กวาดพร้อมบิดเต็มสปีด

     

    “เฟรม เรโชว!”

     

    สิ้นเสียงบทร่ายเวทประจำตัว ภาพเงาพลันก่อร่างเป็นบางอย่างละม้ายคล้ายเฟรมแอนิเมชั่นทอดยาวไปข้างหน้าจนถึงโรงเรียนเวทมนตร์ที่อยู่ไกล ๆ ร่างสูงรีบออกตัวตามภาพเงาไปในทันใด เพียงพริบตาเดียวทั้งเขาและแมร์ที่หลับใหลก็แวบหายไปจากตรงนั้น

     

    ทิ้งให้เหล่าตำรวจเวทมนตร์ที่เพิ่งมาถึงพากันยืนอึ้ง ตะลึงกับห้องน้ำที่บัดนี้กลายเป็นน้ำพุที่เหม็นเน่าที่สุดในโลกเวทมนตร์ไป

     

    กลิ่นตุ ๆ ที่ลอยโชยมาไม่ได้มีเพียงกลิ่นขี้…หากแต่ยังมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ของพลังเวทที่ดูเหมือนว่าเจ้าของจะควบคุมไม่ได้ล่องลอยผสมปนเป

     

    ถ้าหากเป็นพลังเวทธรรมดาก็คงไม่น่าหนักใจเท่าไร…แต่ที่แค่สัมผัสได้แบบหยาบ ๆ ก็ดูจะมากกว่าพลังเวทของบรรดาตำรวจเวทมนตร์ในตอนนี้รวมกันเสียอีก!

     

    “นี่มันพลังเวทที่หลุดการควบคุม…แต่ว่าเยอะขนาดนี้เลยเรอะ!?”

     

    “นี่มันระดับภัยคุกคามแล้ว!”

     

    “ติดต่อคุณดัสก์เร็วเข้า! เรื่องนี้ต้องให้เขาตรวจสอบเท่านั้น!”

     

     

    และเหล่าผู้พิทักษ์ความสงบสุขของโลกเวทมนตร์ก็ได้วิ่งวุ่นกันใหญ่แต่หัววัน หารู้ไม่ว่าตัวการได้ลอยนวลเข้าโรงเรียนเวทมนตร์อีสตันไปซะแล้ว


     

    .

    .

    .


     

    วันสอบเข้าโรงเรียนเวทมนตร์อีสตันในปีนี้เองก็ยังมีผู้เข้าสอบมาสมัครกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง

     

    สีเสื้อคลุมสีเข้มบดบังผืนหญ้าเขียวขจีไปหมดเมื่อมองจากมุมสูง แม้สนามหญ้าจะกว้างขวางหลายตารางกิโลเมตรก็ยังน่าห่วงว่าจะรองรับผู้เข้าสอบไม่ไหว แต่ไม่เป็นไรหรอก อีกเดี๋ยวคนเกินกว่าเก้าในสิบก็จะถูกคัดออกไป การสอบเข้าโรงเรียนอีสตันไม่ใช่เรื่องง่ายดายที่ไม่ว่าใครก็สอบผ่าน

     

    ผู้ที่จะสอบเข้าโรงเรียนนี้ได้มีเพียงระดับหัวกะทิ—ไม่ก็พวกบ้าบอเหนือมนุษย์มนา

     

    คล็อด ลุจจิ ได้เพิ่มคนจำพวกหลังเข้ามาจากประสบการณ์ตรงของตนที่ได้ประสบเมื่อสองปีก่อน


     

    หน้าที่อาจารย์คุมสอบเคยเป็นหน้าที่อันทรงเกียรติที่ไม่ว่าใครก็ล้วนหมายปอง และคล็อด ลุจจิก็ได้ทำหน้าที่นั้นมาอย่างยาวนานในฐานะนักเวทสายขาวผู้เปี่ยมไปด้วยความสามารถ ทว่าเมื่อราว ๆ สองปีก่อนที่เขาพยายามทำให้นักเรียนคนหนึ่งสอบตกไปเพราะไม่ชอบหน้า เขาก็ได้ถูกถอนออกไปจากตำแหน่งนี้ถึงหนึ่งปีเต็ม ๆ

     

    หากแต่ว่าปีนี้เขาก็ได้กลับมาดำรงตำแหน่งอีกครั้ง เพราะอาจารย์คุมสอบปีที่แล้วดันลาออกไปเองพร้อมกับคำพูดสั่งเสียราว ๆ ว่า “พวกผู้เข้าสอบปีนี้มันโคตรบ้า”

     

    แต่ก็…นะ…รู้สึกว่าก็เข้าใจได้

     

    อาจารย์ผมบลอนด์ถอนหายใจ นัยน์ตาคมคล้ายแมวป่าก้มลงมองทิวทัศน์เบื้องล่างด้วยความคาดหวังระคนความปลง

     

    ไม่มีใครยกดัมเบล…โอเค ดูผิวเผินก็ค่อนข้างปกติดี ผู้เข้าสอบเกินกว่าครึ่งพากำลังอ่านตำราทบทวนกันอย่างแข็งขัน คล็อดพยายามขยี้ตาดูอีกทีว่านั่นเป็นตำราเวทมนตร์แน่หรือเปล่านะ…อื้ม เหมือนจะเป็นตำราเวทมนตร์ปกติ ไม่ใช่หนังสือเทรนกล้ามเนื้อแต่อย่างใด

     

    ไอ้พวกนี้ส่วนใหญ่สอบตกแหงแซะ

     

    ไม่รู้ว่าทำไม แต่อาจารย์คุมสอบค่อนข้างมั่นใจว่ามันจะเป็นเช่นนั้น

     

    ดวงตาสีเปลือกเกาลัดกะพริบสักสองสามทีก่อนเริ่มกวาดตามองใหม่ นั่นปะไร แวบเดียวก็เห็นพวกทำตัวแหกคอกเด่นมาแต่ไกลแล้ว ตรงโน้นมีคนตั้งซุ้มขายตำราสรุปเก็บข้อสอบร้องตะโกนขายของอยู่เย้ว ๆ ใต้ต้นไม้ก็มีคนงีบหลับไม่สนโลก และตรงแถวหลัง ๆ ของพวกที่มาลงทะเบียนสอบทันแบบเฉียดฉิวก็มีไอ้หน้าอาชญากรกับเด็กหัวหงอกนอนหนุนตุ๊กตาแกะสบายใจเฉิบ

     

    และนู่น…และนี่…และนั่น…มีความบ้าอีกสารพัดสารเพจนไม่อาจบรรยายออกมาเป็นถ้อยคำได้

     

    นี่โลกเหวี่ยงให้เขามาเจอกับอะไร

     

    คล็อด ลุจจิคิดพลางลอบถอนหายใจ มือคว้าไม้กายสิทธิ์ขึ้นมาแกว่งไกว ร่ายบทเวทเคลื่อนย้ายพาร่างของตนลงไปปรากฏอยู่เบื้องล่างบนเวทีเล็ก ๆ ต่อหน้าผู้เข้าสอบทุกคน เสียงฮือฮาดังมาจากเหล่าบรรดาตัวประกอบ ปฏิกิริยาตามแบบที่อาจารย์คุมสอบคาดหวัง

     

    “สวัสดีทุกคน”

     

    ชายผมบลอนด์ลอบยิ้มรับเสียงฮือฮาของคนปกติเหล่านั้น ก่อนจะเริ่มเอ่ยปากแนะนำตัว

     

    “ฉันคือผู้ดำเนินการสอบครั้งนี้ คล็อด ลุจจิ” เขาป่าวประกาศชื่อเสียงเรียงนามของตนอย่างมาดมั่น “ยินดีที่ได้รู้จัก”

     

    สิ้นเสียงก็ได้ปรายตามองไปรอบ ๆ อีกครา ดูเหมือนว่าปีนี้จะไม่มีไอ้เด็กเวรคนไหนกล้าถามอะไรเพี้ยน ๆ อย่าง ‘โผล่มาจากเปลวไฟแบบนั้นไม่ร้อนหรือไง’

     

    “…ฟรี้~”

     

    หือ?

     

    พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นเด็กแถวท้ายกำลังยืนหลับโดยไม่สนอะไร…แต่ว่าหลับอยู่จริง ๆ เรอะ!? ในเวลาแบบนี้เนี่ยนะ!? นี่มันใกล้จะถึงเวลาสอบแล้วนาเหวย!?

     

    “เฮ้ย แอรีซ”

     

    พอเพื่อนข้าง ๆ กระทุ้งข้อศอกใส่เบา ๆ หนึ่งที ฟองน้ำมูกก็แตกดังโป๊ะพร้อมกันกับที่เด็กหนุ่มคนนั้นค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ ร่างเพรียวเซไปข้างหลังเล็กน้อยเมื่อถูกปลุกให้ตื่น ทั้งที่ตอนนอนดันทรงตัวได้อย่างเทพโดยไม่มีปัญหาอะไร

     

    หรือตอนแรกไอ้เด็กนี่มันไม่ได้หลับ…แต่เพราะถูกปลุกก็เลยหลับ—เอ๊ะ???

     

    ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกไม่เข้าใจ สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะช่างหัวมันไป

     

    ท่องไว้…หน้าที่ของเขาคือการเป็นอาจารย์คุมสอบ ไอ้พวกเด็กท่าทางประหลาด ๆ น่ะช่างมันปะไร

     

    คล็อดย้ำเตือนตัวเองในใจ พึมพำบทร่ายเวทไว้ก่อนจะป่าวประกาศคำสั่งของตนด้วยเสียงดังกึกก้อง

     

    “เดี๋ยวจะเริ่มการทดสอบรอบแรกแล้ว ทุกคนนั่งที่ซะ”

     

    เสียงซุบซิบของผู้เข้าสอบดังแว่วมาเมื่อได้ยินคำอาจารย์ ก็แหงล่ะ ไม่มีใครเห็นว่าจะมีโต๊ะให้พวกเขานั่งเลยสักคน

     

    คล็อดยกไม้กายสิทธิ์คู่กายขึ้นมากวัดแกว่งให้ดูชม พลันเสียง ครืนนน ก็ดังขึ้นมาพร้อมกับแรงสั่นสะเทือนจากผืนพสุธาที่ค่อย ๆ ยกตัวขึ้นมาเป็นโต๊ะและเก้าอี้หินให้ผู้เข้าสอบได้ทิ้งตัวลงนั่ง

     

    เหล่าตัวประกอบยังคงรับบทกองเชียร์ส่งเสียงฮือฮา แต่เสียงนั้นก็เงียบหายไปในพริบตาเมื่อเห็นแผ่นกระดาษและปากกาขนนกวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะเบื้องหน้าพวกตน


     

    และนี่คือการเริ่มต้นทดสอบคัดเลือกนักเรียนโรงเรียนเวทมนตร์อีสตัน


     

    .

    .

    .


     

    “ฮ้าว~”

     

    เด็กหนุ่มผมขาวอ้าปากหาววอดทันทีที่หย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้หินเย็นเยียบราวกับเป็นสัญญาณบอกว่าตนกำลังจะเริ่มทำข้อสอบภาคทฤษฎี

     

    ศีรษะของแมร์โคลงไปมาเล็กน้อยอย่างงัวเงีย มองเผิน ๆ อาจเห็นว่าดวงตาคู่นั้นยังหลับพริ้ม ทว่าความจริงเปลือกตาก็ได้เปิดออกราว ๆ 0.01 เซนติเมตรพอให้มีช่องว่างให้มองเห็นสิ่งต่าง ๆ รอบกายอยู่ลาง ๆ

     

    มือข้างของเด็กหนุ่มถนัดเอื้อมไปจับปากกา จรดมันลงบนกระดาษก่อนจะเริ่มกวาดสายตาอ่านโจทย์ไปคร่าว ๆ

     

    ทว่าในขณะที่ปรายตาอ่านข้อความอยู่นั้น แมร์ก็ได้ส่งเสียง “อื๋อ?” ออกมาเบา ๆ อย่างนึกฉงน


     

    ‘เทพประทานคนปัจจุบันมีกี่คน?’

     

    ‘อาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนชื่อว่าอะไร?’

     

    ‘เวทที่ระดับสองปานใช้ได้มีชื่อเฉพาะว่าอะไร?’


     

    จอมเวทสามปานกะพริบตาปริบ ๆ มือซ้ายยกขึ้นขยี้ตาที่แทบจะปิดสนิทอีกทีพลางกวาดตาอ่านโจทย์ใหม่

     

    ‘อะไรกันเนี่ย โจทย์ง่าย ๆ เองนี่นา?’

     

    แมร์เลิกคิ้วด้วยความสงสัยเป็นกำลังที่เห็นว่าข้อสอบภาคทฤษฎีของโรงเรียนเวทมนตร์ช่างแสนง่ายดาย—หรือว่าความจริงแล้วจะแจกข้อสอบให้ผิดชุดกันนะ?

     

    แต่ขอย้ำความเป็นจริงให้ทุกคนได้ฟังอีกครั้งว่าโรงเรียนเวทมนตร์อีสตันเป็นโรงเรียนชั้นนำที่มีผู้เข้าสอบผ่านการคัดเลือกเพียงสามเปอร์เซ็นต์ในการสอบแต่ละปี แน่นอนว่าไม่มีทางที่ข้อสอบคัดเลือกภาคทฤษฎีจะง่ายดายปานนั้น ความยากของภาคทฤษฎีคือเวทมนตร์ก่อกวนที่ร่ายใส่กระดาษให้ตัวอักษรที่เป็นโจทย์ขยับยึกยือไปมา เป็นเวทที่มีความยากพอตัวซึ่งช่วยคัดคนไร้ความสามารถออกไปได้นักต่อนัก

     

    และแมร์ รีสที่มีปานถึงสามปานย่อมไม่ใช่จอมเวทไร้ความสามารถ

     

    พลังเวทที่หลุดการควบคุมของเจ้าตัวออกมากำลังกลืนกินเวทก่อกวนในกระดาษข้อสอบเข้าไปจนไม่อาจสำแดงฤทธา และเวทมนตร์ที่ทำให้ตัวอักษรวิ่งวุ่นไปมาอย่างกับฝูงมดดำก็ถูกทำให้หมดพิษสงไปอย่างง่ายดาย

     

      แน่นอนว่าเจ้าตัวไม่รู้เรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย

     

    เขาง่วงเกินกว่าจะนึกสงสัยอะไร แล้วก็ไม่เคยรู้ถึงผลพลอยได้เพียงน้อยนิดของอาการพลังเวทรั่วไหลที่คุณพ่อมักจะพูดประชดประชันว่ามันเป็นการฉี่ราด

     

    ‘ช่างเถอะ ทำ ๆ ไปก่อนละกัน’

     

    แมร์คิดในใจเช่นนั้น ก่อนจะเริ่มจรดปลายปากกาเขียนคำตอบของตนลงไปอย่างสบาย ๆ

     

    แต่พอเขียนไปได้สักพัก เจ้าตัวก็เริ่มรู้สึกเบื่อ—และความเบื่อก็ยิ่งทำให้ความง่วงงุนทวีความรุนแรงขึ้นมาจนไม่อาจลืมตาสู้ไหว

     

    ‘อือ…ง่วงจัง’

     

    “ฮ้าว~”

     

    จอมเวทสามปานอ้าปากหาววอดขึ้นมาอีกครั้ง และเปลือกตาก็เริ่มปิดลง…ปิดลง…

     

    “คร่อก…ฟรี้~”


     

    .

    .

    .


     

    คล็อด ลุจจิเดินตรวจตราผู้เข้าสอบในแต่ละแถวอย่างแข็งขันตามหน้าที่ของอาจารย์คุมสอบ

     

    อันที่จริงเขาก็ไม่ต้องลงมาเดินเองหรอก กระดาษข้อสอบพวกนั้นมีเวทมนตร์กันการทุจริตร่ายถูกร่ายไว้ทำให้ตัดสิทธิ์พวกขี้โกงได้อย่างรวดเร็วทันใจ ทว่าเขาก็เลือกที่จะเดินลงมาเปลี่ยนบรรยากาศบ้างอะไรบ้าง ไม่รู้สิ การได้เห็นสีหน้าสิ้นหวังของพวกนักเรียนที่ทำข้อสอบไม่ได้มันก็รู้สึกดีอยู่หน่อย ๆ

     

    ชายผมบลอนด์เดินผ่านนักเรียนคนแล้วคนเล่า อิ่มเอมใจกับความสิ้นหวังของนักเรียนผู้ไร้พรสวรรค์ จนกระทั่งเขาได้เดินมาจนถึงแถวท้าย ๆ

     

    แถวที่มีไอ้เด็กหงอกยืนหาวตอนเขากำลังพูดอยู่

     

    ‘ไปดูหน้ามันสักหน่อยดีกว่า’

     

    คิดพลางเขาก็เดินไปหาเรือนผมสีขาวปุยเด่นมาแต่ไกล มองไกล ๆ เห็นคอตกห้อยลงอย่างกับพวกที่ถอดใจเพราะสิ้นหวังอย่างสุดแสน

     

    ‘เหอะ คงจะยอมแพ้ไปแล้วล่ะสิไอ้เด็กนี่’

     

    คล็อดคิดในใจพลางยิ้มเยาะ สองขาก้าวไปข้างหน้าอย่างเปรมปรีดิ์กระทั่งเขามาหยุดอยู่หน้าผู้เข้าสอบที่มีนามว่า ‘แมร์ รีส’

     

    ก็เป็นพวกโนเนมปกติ สามัญชนชั้นรากหญ้าที่ไม่มีใครรู้จักหน้าค่าตา

     

    ทว่าพอได้ลองเข้ามายืนอยู่ต่อหน้า อาจารย์ผมบลอนด์ถึงได้เพิ่งเห็นว่าบนใบหน้าของเด็กหนุ่มมีปานอยู่ถึงสามปาน

     

    …ฮะ?

     

    ไอ้เด็กนี่อะนะจอมเวทสามปาน!!?

     

    เหงื่อกาฬเม็ดโตไหลอาบใบหน้าของชายผมบลอนด์เมื่อได้รู้ว่าเด็กหนุ่มผมขาวตรงหน้าเป็นสปีชีส์หายากที่มีประชากรน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย อัจฉริยะผู้ถูกเลือกโดยพระเจ้าซึ่งอาจมีพลังเวททัดเทียมกับเหล่าเทพประทาน ความเหม็นขี้หน้าเพราะบังอาจมาหลับในตอนที่เขากำลังแนะนำตัวแปรเปลี่ยนเป็นความตื้นตัน ถ้าเด็กหนุ่มคนนี้สอบผ่านเข้ามาได้คงสร้างผลงานให้กับอีสตันได้มากมายเป็นแน่

     

    ย้ำว่าถ้าสอบผ่าน

     

    “คร่อก…ฟรี้~”

     

    เสียงกรนของจอมเวทสามปานทำให้คล็อด ลุจจิอยากจะยกบาทาขึ้นมาก่ายหน้าผากด้วยความหน่ายใจ

     

    มันก็น่าจะผ่านได้สบาย ๆ อยู่หรอกถ้าไอ้เด็กนี่ไม่ได้นั่งหลับ ถามจริงเท้อ ถ้าไม่มีกะจิตกะใจจะสอบเลยสักนิดแล้วจะมาสอบทำหยังวะหา!? ถึงจะมีสามปานแต่ถ้าทำคะแนนไม่ได้ก็ชวดอดเข้าเรียนเหมือนกัน แล้วดันมาหลับภาคทฤษฎีที่ทำคะแนนได้ง่ายที่สุดอีกจนอยากจะร้องโว้ยออกมาดัง ๆ

     

    จบละ ไอ้เด็กสามปานนี่สอบตกแหงแซะ

     

    ชายผมบลอนด์ว่าพลางก็เตรียมหันหลังกลับ เห็นทีโรงเรียนเวทมนตร์อีสตันจะอดได้จอมเวทสามปานมาอยู่ในสังกัดซะแล้วล่ะม้าง—


     

    แกร่ก แกร่ก แกร่ก


     

    หือ?

     

    ในจังหวะที่กำลังจะเดินไปจากตรงนั้น เสียงอะไรบางอย่างคล้ายปลายปากกาขูดขีดลงบนกระดาษก็ได้เรียกให้คล็อด ลุจจิหันมามองอีกครา

     

    เสียงนั้นดังมาจากแถว ๆ จอมเวทสามปานที่เขาเพิ่งละสายตาออกมาเมื่อครู่ สงสัยจะเป็นเสียงของเด็กหนุ่มผมดำที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กระมัง แต่พอก้มลงมองที่มือก็ได้รู้ว่าอ้าวเฮ้ย ไม่เห็นว่าจะเขียนอะไรลงไปเลยนี่หว่า แต่ถ้าเสียงไม่ได้มาจากตรงนี้แล้วมันจะมาจากใคร—

     

    ไม่มั้ง…คงไม่ใช่…

     

    ดวงตาสีเปลือกเกาลัดค่อย ๆ ปรายมองไป กระทั่งเห็นปากกาขนนกกำลังขยับเคลื่อนไหวเขียนตัวอักษรลงไปบนกระดาษข้อสอบแบบสะเปะสะปะ คล็อด ลุจจิคงจะไม่ได้อะไรนักหรอกนะหากว่านั่นเป็นคนที่ขยับมือเขียนแบบปกติธรรมดา แต่ภาพที่ปรากฏแก่สายตาเรียกได้ว่าฉีกจากความปกติไปไกลโข

     

    เพราะไอ้คนที่เขียนมันกำลังนั่งหลับอยู่—นั่งสัปหงกเป่าน้ำมูกเป็นฟองกรนฟรี้ ๆ


     


     

    ถามจริง!?


     

    แมร์ รีสกำลังทำข้อสอบอยู่ทั้งที่หลับตาอยู่แบบนี้…ทั้งที่กำลังหลับฝันหวานในท่านั่งแบบนี้อะนะ!?


     

    อาจารย์คุมสอบผมบลอนด์คิดว่าเขาอาจจะแค่ตาฝาด—แต่ไม่เลย ตาของเขายังคงปกติดี และภาพของแมร์ รีสที่กำลังทำข้อสอบอยู่แม้จะไม่มีสติก็เป็นความจริง เดี๋ยว-เดี๋ยว ๆๆ! นี่มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ย!? ไอ้เด็กนี่คิดว่ามันละเมอทำข้อสอบได้จริง ๆ งั้นเหรอ!? 

     

    คล็อด ลุจจิยื่นหน้าเข้าไปดูำตอบที่จอมเวทสามปานเขียนลงไปด้วยความเหลือจะเชื่อ ถึงคำตอบจะเป๋ไปเป๋มาอยู่ไม่น้อย แต่ทุกคำล้วนสะกดได้ถูกต้องแถมยังดูเข้าเค้าว่าจะเป็นคำตอบอีกแน่ะ

     

    มันจะอเมซิ่งเกินไปละ

     

    ละเมออีท่าไหนให้เขียนตอบได้ขนาดนี้เนี่ย? ถึงจะมีสามปานก็เถอะ แต่มันก็เหลือเชื่อเกินไปแล้ว!

     

    ชายผมบลอนด์ได้เพียงแต่โวยอยู่ภายในใจกับภาพที่กำลังกัดกินเซลล์สมอง มันโผล่มาจริง ๆ แล้วไง พวกบ้าบอเหนือมนุษย์มนาที่มีแววว่าจะสอบผ่าน


     

    ในขณะที่ยืนนิ่งค้างอยู่ตรงนั้น เวลาของการทดสอบรอบแรกก็ได้สิ้นสุดลง


     

    ผู้เข้าสอบวางปากกา บ้างก็เริ่มคอตก คล็อดพยายามเรียกสติที่หลุดลอยออกไปให้หวนคืนสู่กายหยาบของตน เย็นไว้ อย่าเพิ่งช็อก เก็บกระดาษคำตอบให้เรียบร้อยก่อน เขาพยายามบอกตนเองเช่นนั้น

     

    ไหน ๆ ก็อยู่ตรงนี้ทั้งที เริ่มจากเก็บกระดาษคำตอบของแมร์ รีสก่อนเลยก็แล้วกัน

     

    “เฮ้ย ตื่นมาส่งกระดาษคำตอบก่อน”

     

    “อ๊ะ คร้าบ”

     

    เด็กหนุ่มผู้ถูกเรียกขานรับแบบเอื่อย ๆ ตามประสาคนง่วงนอน ก่อนจะยื่นกระดาษคำตอบของตนให้กับอาจารย์คุมสอบทั้งที่หัวโคลงไปมาเล็กน้อยอย่างสะลึมสะลือ

     

    คล็อด ลุจจิกวาดตามองคำตอบของแมร์ รีสไปปราดหนึ่ง 

     

    บ้าเอ๊ย ดันตอบถูกทุกข้อซะด้วย ถึงลายมือจะอ่านยากบรรลัยเลยก็เถอะ

     

    เด็กหนุ่มสามปานได้สำแดงอภินิหารในฐานะจอมเวทสามปานให้เขาได้ประจักษ์แล้ว แต่ว่าการทดสอบต่อไปจะผ่านไปได้ตลอดรอดฝั่งหรือเปล่านะ?


     

    ไม่มีเวลาให้คล็อดได้ครุ่นคิดคาดการณ์อะไรมากนัก การทดสอบคัดเลือกจอมเวทเข้าสู่โรงเรียนเวทมนตร์อีสตันต้องดำเนินต่อไป


     

    “ด่านต่อไปคือการข้ามทะเลสาบ”

     

    แมร์ รีส ข้ามทะเลสาบมาได้ด้วยไม้กวาดแม้จะขี่เป๋ไปมาอย่างน่าหวาดเสียว

     

    “ตามด้วยการใช้เวทลอยตัวกับก้อนหิน”

     

    แมร์ รีส ยกหินก้อนยักษ์หนักเกือบตันได้อย่างง่ายดายทั้งที่นอนฟุบอยู่บนหมอนแกะ

     

    “ถัดไปคือนี่ นั่น แล้วก็โน่น”

     

    แมร์ รีส ผ่านทุกบททดสอบได้อย่างไม่ยากเย็น ทั้งที่ดวงตายังคงหลับพริ้มแถมยังนอนกรนสบายใจเฉิบ


     

    ไม่ว่าจะเป็นการทดสอบแบบใดก็ไม่อาจทำให้เด็กหนุ่มสามปานลืมตาขึ้นมาได้เลยแม้แต่น้อย แม้วิธีการผ่านจะไม่ได้พิสดารอะไรมากมายเหมือนอย่างจอมเวทพลังกล้ามเมื่อสองปีก่อน แต่ภาพของเด็กหนุ่มที่เคลียร์การทดสอบทั้งที่ยังหลับอยู่ก็ได้ทำลายสามัญสำนึกจนหดหาย—อันที่จริงมันก็ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าสามัญสำนึกเหลือรอดมาจากรุ่นเมื่อสองปีก่อนแล้ว พวกอัจฉริยะบ้าหลุดโลกกำลังทำให้ความปกติสามัญถูกหลอมละลายไป

     

    ‘ล..แล้วคราวนี้ล่ะจะยังผ่านโดยที่หลับอยู่ได้อีกไหม!?’

     

    คล็อดคิดในใจพลางแกว่งไกวไม้กายสิทธิ์คู่ใจ ทันใดนั้นผืนดินก็สั่นไหวอย่างรุนแรงจนผู้เข้าสอบแทบเซไปตาม ๆ กัน กำแพงสูงชันพลันโผล่ขึ้นมาจากพื้นพิภพขวางกั้นว่าที่นักเรียนอีสตันแยกให้ทุกคนกระจัดกระจายออกไปคนละทิศละทาง เรียงต่อกันเป็นเขาวงกตยักษ์ที่เต็มไปด้วยกับดักและภยันตราย


     

    “เอาล่ะ มาสู่ขั้นต่อไปกันเลย”


     

    จอมเวทผมบลอนด์ประกาศลั่น และเหล่าผู้เข้าสอบก็เริ่มถูกคลื่นความกังวลและความกดดันถาโถมเข้าใส่


     

    แล้วทางฝ่ายจอมเวทสามปานคนนั้นจะมีทีท่าเช่นไรกันหนอ?


     

    .

    .

    .


     

    “ฮ้า~ว~”

     

    -*-*-*-*-*-*-*-*-

    writer Note : 

    ในที่สุด…ในที่สุดตอนที่หนึ่งก็เสร็จ โฮฮฮฮ

    ตอนนี้เจ้าแกะก็หลับเกือบทั้งตอน #แมร์คุงเลิกนอนกี่โมง ต้องมาแล้วค่ะงานนี้ 

    -*-*-*-*-*-*-*-*-

    To be Continue

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×