ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ลำเนาไพร

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ ๑ สาวน้อยกลางพงไพร

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 103
      0
      19 ก.พ. 47

    ลำเนาไพร

    บทที่๑ สาวน้อยกลางพงไพร






    กลอนบนประตูหลังบ้านส่งเสียงดังกริ๊กขึ้น ลิซ่าจึงลุกขึ้นนั่งในเตียง เวลานี้เธอตื่นเต็มที่และตั้งใจฟังอยู่ ห้องนอนของเธอตั้งอยู่หลังห้องครัว ดังนั้นเธอจึงสามารถได้ยินทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นข้างนอกได้ ถ้าเสียงกริ๊กนั้นดังมาอีกที เธอจะรู้ได้ว่าอดัมกำลังแอบไปข้างนอกโดยไม่พาเธอไปด้วย



    “เขาสัญญากับฉันแล้วนี่ว่าครั้งต่อไปเขาจะพาฉันไปล่าสัตว์กับเขาด้วย” เธอกระซิบกับตัวเองอย่างขุ่นเคือง แล้วเอนตัวไปทางหน้าต่าง หางเปียตกลู่อยู่หน้าไหล่ทั้งสองข้าง



    ราตรีชวนนิทรานั้นเพิ่งจะเริ่มสว่างขึ้นมาบ้างเล็กน้อย ดวงดาราเปล่งแสงสีซีดๆสองดวงปรากฏบนผืนฟ้าสี่เหลี่ยมไกลออกไปนอกหน้าต่าง พวกมันดูเย็นเยือกและไกลโพ้น จู่ๆลิซ่าก็ตัวสั่นขึ้นมาด้วยความหนาวเย็น



    “พนันเลยว่าเมื่อกี้ฉันได้ยินเสียงอะไรสักอย่างนี่แหละ” เธอบอกกับตัวเองขณะดึงผ้านวมมาห่มตัว มันทำมาจากเศษผ้าหลายๆสีปะปนกัน เธอขยับตัวไปมา จึงทำให้แกลบแข็งๆตะปุ่มตะป่ำในฟูกส่งเสียงกรอบแกรบ แต่มันไม่ได้ซ่อนเสียงโครมเบาๆจากประตูหลังบ้านที่ถูกปิดอย่างรวดเร็วจนกระแทกไว้ได้เลย



    ลิซ่ากระโจนออกจากเตียงมาอยู่ที่หน้าต่าง ผ้านวมนั้นยังคงอยู่บนไหล่เธอในขณะที่เธอคลำหากลอนหน้าต่างอย่างเงอะงะ กลอนติด เธอจึงกระตุกมันอย่างหมดความอดทน



    “เปิดสิ” เธอกระซิบเสียงดุๆด้วยความโกรธ กลอนเปิดอ้าออก ลิซ่าดันหัวออกมานอกหน้าต่างแล้วเรียก “อดัม!”



    อดัมยืนอยู่ตรงข้างๆหน้าต่างพอดี เธอสามารถเห็นเงาจากร่างสูงใกล้ๆประตูและปืนไรเฟิลในมือเขาได้เลย



    “พี่สัญญาแล้วนะ!” เสียงของเธอสูงขึ้นเป็นเสียงโอดครวญ “ฉันไปด้วยได้ พี่พูดอย่างนั้นนี่”



    “เงียบหน่อยสิ” อดัมพูดอย่างอ่อนโยนแต่หนักแน่น เสียงของเขาฟังดูช้าๆและระมัดระวัง อดัมอายุสิบห้าปี และเขาพูดอย่างชายที่โตเต็มที่ไปเสียแล้ว เขาเดินตรงมายังหน้าต่าง พลางก้าวอย่างเงียบๆลงบนพื้นหญ้าแห้งๆในสนาม



    ลิซ่าเห็นหน้าเขาได้ถนัดชัดเจนในเวลานี้ จึงมองสำรวจอย่างตั้งใจเพื่อหาร่องรอยว่าเขาลืมสัญญาของเขาไปแล้วหรือเปล่า ทุกๆครั้งที่ลิซ่ามองหน้าอดัมอย่างจริงๆจังๆนั้น เธอจะคิดถึงแม่ของเธออยู่เสมอ แม่ได้ตายจากไปสองปีแล้ว แต่ลิซ่ายังคงสามารถจำริ้วรอยทั้งหมดบนใบหน้าของแม่ได้เป็นอย่างดี เพราะอดัมช่างเหมือนท่านเหลือเกิน เขามีใบหน้าแคบๆกับดวงตาสีน้ำเงินเข้มเหมือนท่าน แม้แต่สภาพผมสีดำของเขาที่โค้งไปด้านหลังจากหน้าผากก็ยังเหมือนกัน



    อดัมยิ้ม ความหวังของลิซ่าจึงเพิ่มขึ้นทันที “ฉันเตรียมตัวพร้อมได้เสมอเลยนะพี่” เธอพูดอย่างรวดเร็ว และเพื่อพิสูจน์คำพูด เธอจึงรวบหางเปียของเธอมาพันรอบหัวอย่างลวกๆ



    “ไม่ใช่วันนี้” อดัมบอก “น้องก็รู้ว่าท่านพ่อพูดยังไงเมื่อคืนนี้ ที่น้องควรจะเอาใจใส่เซ็ทธ์เหมือนที่ผู้หญิงคนหนึ่งพึงจะกระทำ น้องไม่ใช่ผู้หญิงที่โตแล้วก็จริง แต่ก็….”



    “ฉันอายุสิบสองแล้วนะ” ลิซ่าว่า เธอยืดตัวตรงเพื่อให้อดัมเห็นว่าเธอสูงแค่ไหน แต่ก็เผลอไปกระแทกหัวกับกรอบหน้าต่างเข้า “โอ๊ย!” ลิซ่าเอามือกุมหัวแน่น “เซ็ทธ์กำลังหลับอยู่นะ และแม้แต่ไฟไหม้ก็ปลุกเขาขึ้นมาไม่ได้หรอก จนกว่าจะถึงเวลาอาหารเช้านั่นแหละ ฉันขอพูดไว้เลย”



    เตียงของเซ็ทธ์ทำจากกล่องเล็กๆซึ่งตั้งอยู่บริเวณหลังห้อง เขามีส่วนแบ่งในห้องนอนของเธอ เพราะเขาอายุเพียงสามปีเท่านั้น และเขายังเป็นความรับผิดชอบของลิซ่าด้วย แต่ตอนนี้เธอไม่ต้องการจะนึกขึ้นมาว่าเธอควรจะดูแลเซ็ทธ์ไว้ให้ดี เธอต้องการจะไปล่าสัตว์กับอดัมบนเนินเขาด้านหลังที่พัก มันเป็นต้นฤดูใบไม้ผลิ อากาศมีกลิ่นดินชื้นๆรวมทั้งกลิ่นหญ้าเขียวชะอุ่มสดชื่นกำจาย การอยู่กับบ้านไม่สนุกเลยในเมื่อเธอสามารถเดินขึ้นเนินเขาท่ามกลางแสงแดดยามเช้าตรู่หมาดๆได้



    “แอนนี่ ลูย์สามารถดูแลเขาแทนฉันได้น่า” เธอพูดแทบไม่ทันหายใจ “อดัม ได้โปรดเถอะ!”



    อดัมส่ายหัว “แอนนี่ ลูย์ไม่มีประโยชน์กับเด็กเล็กๆหรอกนะ” เขาบอกอย่างเคร่งขรึม “อย่างน้อยก็จัดการให้เขาเตรียมพร้อมอะไรไม่ได้เลย”



    ลิซ่ารู้ว่าอดัมพูดถูก แอนนี่ ลูย์เป็นญาติของพ่อพวกเขา เธออยู่กับครอบครัวนี้มานานตั้งแต่ก่อนลิซ่าจะจำความได้ เธอสามารถปรุงอาหารและเย็บผ้าได้ แต่ก็แก่เกินกว่าที่จะมาสนใจเซ็ทธ์



    “พี่สัญญาเป็นที่แน่นอนจริงๆแล้วนี่” ลิซ่าพูดดื้อดึง



    เขาส่ายหัวอีกครั้ง “ล่าสัตว์ไม่ใช่เรื่องของเด็กผู้หญิงนะ” เขาว่า “น้องก็รู้ว่าท่านพ่อพูดอย่างนั้น” อดัมหันหลังให้เธอและเดินย่ำสนามลื่นๆขึ้นไปสู่แนวช่องมืดๆของหมู่ต้นไม้ที่เลยขอบสวนไป



    “ไม่ใช่เรื่องของเด็กผู้หญิง!” ลิซ่าจ้องอดัมเขม็งจนกระทั่งเขาหายลับเข้าไปท่ามกลางหมู่มวลไม้ เธอเม้มปากเป็นเส้นบางๆ “ฉันกำลังมาแล้ว” เธอพูดเสียงดังโดยพยายามระมัดระวังไม่ให้เซ็ทธ์ตื่นขึ้น “และพี่ก็จะหยุดฉันไม่ได้หรอก ไม่ใช่พี่หรือท่านพ่อหรือ…หรือใครทั้งนั้น!”



    สองนาทีให้หลัง ลิซ่าก็กำลังใส่กางเกงยีนส์ตัวเก่าของอดัมและม้วนหางเปียยุ่งๆใส่เข้าในหมวกแก๊ปที่เคยเป็นของเขาอยู่ กางเกงยีนส์ยาวเกินไป แต่ลิซ่าม้วนชายกางเกงขึ้นอย่างเร่งรีบเหนือหัวเข่าเธอ เธอไม่ได้ยุ่งกับรองเท้า นอกจากว่าอากาศจะหนาวจริงๆ ลิซ่าก็ไม่เคยใส่รองเท้าเลย ฝ่าเท้าเธอเกือบจะแข็งเท่าหนังฟอกแล้ว และมันก็ง่ายกว่าถ้าจะวิ่งโดยไม่มีรองเท้า



    ขณะเธอกำลังแต่งตัวอยู่ ลิซ่านึกถึงพี่ชายที่สัญญาไปแล้วก็ไม่ทำตาม เธอจำทุกๆคำพูดที่พ่อของเธอกล่าวถึงเรื่องหน้าที่ในการเป็นแม่บ้านและดูแลเซ็ทธ์ซึ่งเธอควรจะทำได้ แต่เธอรีบเอาคำพูดเหล่านั้นไปไว้ที่ก้นความคิดซะ มันคงจะดีกว่าถ้าจะคิดถึงอดัมและความสนุกในการออกไปล่าสัตว์แทน



    “ฉันจะกลับมาทันเวลาเตรียมเซ็ทธ์กินข้าวเช้าน่า” เธอพูดกับตัวเองเบาๆ แล้วชำเลืองมองไปที่เตียงของเขา ทั้งหมดที่เธอเห็นได้ในตอนนี้ก็คือกองผ้านวมเล็กๆกับผมหยิกๆสีสว่างๆหนึ่งกำมือบนหมอนเท่านั้น



    ลิซ่าเดินย่องไปที่เตียงของเซ็ทธ์และก้มหน้ามองเขา ตอนนี้เธอสามารถเห็นแก้มแดงระเรื่อข้างหนึ่งกับเงาจากจมูกสั้นๆหนาๆของเขาได้แล้ว ไม่ว่าจะหลับหรือตื่น เซ็ทธ์ยังคงดูเหมือนเทวดาคริสต์มาสอยู่เสมอ



    “หลับต่อไปเถิดนะ” เธอกระซิบและลูบผ้านวมตรงไหล่ของเขา



    เธอเขย่งเท้าเดินมุ่งหน้าไปยังประตูซึ่งนำทางไปสู่ห้องครัว และถอดกลอนออกอย่างระมัดระวัง ข้างๆประตู(จากมุมมองในห้องครัว)มีเก้าอี้ตั้งอยู่ และบนเก้าอี้คือกระโปรงผ้าฝ้ายลายตาหมากรุกที่เธอถอดออกเมื่อคืนก่อน ลิซ่าก้มหน้ามองกางเกงยีนส์สีตกที่ขาเธอ จากนั้นเธอก็มองดูกระโปรงแล้วถอนหายใจ



    “ฉันควรจะใส่มันดีกว่า” เธอคิด “ท่านพ่อไม่ชอบเด็กผู้หญิงที่ใส่กางเกงเลย”



    เธอกระชากกระโปรงมา และพยายามกลัดกระดุมกระโปรงทับกางเกงยีนส์ตัวใหญ่ไปทั้งอย่างนั้นเลย ถ้าเธอไม่รีบ อดัมคงจะไปไกลถึงภูเขาเกินกว่าที่เธอจะตามทันได้ แต่กระดุมปฏิเสธที่จะเข้าไปในรูกระดุมซะนี่ เธอหาสิ่งๆหนึ่งอย่างวิตกจริตท่ามกลางข้าวของที่ยุ่งเหยิงในตู้ลิ้นชักชั้นบนสุดของเธอ มีหินสีหกก้อน รังของนกโรบิน กล่องตะปู และกระดูกกระรอกอยู่ในลิ้นชัก แต่ไม่มีเข็มอยู่ในสายตา ในที่สุด เธอพบเข็มกลัดอันหนึ่งอยู่ใต้กล่องตะปูและกลัดมันเข้ากับรูกระดุมและกระดุม ระหว่างที่เธอยุ่งอยู่กับการกลัดเข็มในกระโปรงนั้น เธอก็มองเงาสะท้อนของตัวเธอในกระจกเหนือตู้ลิ้นชักไปด้วย หมวกแก๊ปใบใหญ่ซึ่งพองออกมาเพราะหางเปียนั้น เกือบจะซ่อนแววตาสีน้ำเงินของเธอได้พอดี แต่ใต้เงาของมันนั้น เธอเห็นจมูกรั้นๆคมๆของเธอและรอยกระแผ่ตัวกระจัดกระจายไปทั่วจมูก



    “เธอก็ยังดูเหมือนเด็กผู้ชายอยู่ดีน่ะแหละ” เธอบอกกับตัวเองและพยักหน้าอย่างพอใจ



    อีกครั้งหนึ่งที่เธอต้องถอดกลอนของประตูห้องครัวออกและเดินอย่างนุ่มนวลเข้าไปในห้อง มีเพียงแสงสลัวๆและความเงียบสงัดในยามเช้าตรู่ ลิซ่าสามารถเห็นโครงร่างมัวๆของโต๊ะกลาง รูปร่างลางๆของเตาผิงหินใหญ่เบ้อเร่อ และสีแดงระเรื่อของพรมเปื่อยๆด้านหน้าเตาผิงได้ ถัดไปจากเตาผิงคือประตูที่นำไปสู่ห้องของพ่อเธอ



    เธอคงสายตาให้อยู่ที่ประตูนั้นขณะคลานไปหลังห้อง พ่อของเธอเป็นคนหลับลึก แต่ถ้าเขาบังเอิญตื่นขึ้นมาเมื่อไรล่ะก็ ความหวังทั้งหมดที่จะออกไปล่าสัตว์เป็นอันจบกัน เธอก้าวลงไปบนแผ่นไม้ในพื้นห้องที่หลวมๆแผ่นหนึ่งและหยุดทันที หัวใจเต้นกระหน่ำรุนแรง แล้วเธอจึงเสี่ยงเหลียวดูประตูที่อยู่บนกำแพงฝั่งตงข้าม แอนนี่ ลูย์กำลังหลับอยู่หลังประตูบานนั้น อย่างน้อยลิซ่าก็หวังว่าเธอกำลังหลับ แต่คุณไม่มีทางจะบอกอะไรเกี่ยวกับแอนนี่ ลูย์ได้แน่นอนเลย เธอทั้งแก่และน่าประหลาดใจ



    ลิซ่าก้าวยาวๆอีกสามก้าวไปยังประตูและผลักมันเปิดออกอย่างเร่งรีบ บานพับส่งเสียงเอี๊ยดๆอย่างน่ารังเกียจและอีกครั้งหนึ่งที่หัวใจของเธอเต้นโครมคราม แต่เธอไม่ได้รอดูว่าเสียงนั้นได้ปลุกใครไปบ้างหรือเปล่า เธอฉวยเสื้อนอกที่มีเนื้อผ้าเหมือนเบาะเก่าๆมาจากหมุดที่ปักอยู่ข้างๆประตูและวิ่งฉิวขึ้นเนินสวนโดยไม่หันกลับมาดูสักนิด



    ครั้งหนึ่งเธอก้าวพลาดลงบนผักกาดเทอร์นิพตายซากแห้งๆเข้าและเกือบจะล้มลงไป แต่ดีที่จับเสาตรงมุมเล้าหมูได้ทัน



    “ฟิ้ว!” ลิซ่าก้าวลื่นออกไปจากสายตาด้านหลังคอกและหยุดพักหายใจหอบๆ ภายในคอกแห่งนั้น เธอสามารถได้ยินเสียงเจ้าเบนเฒ่า ตัวล่อ(สิ่งมีชีวิตรูปร่างเหมือนม้าที่มีแม่เป็นลาพ่อเป็นม้า)กำลังขยับอยู่บนเตียงฟางของมัน เสียงกระต๊ากอย่างอยู่ไม่สุขของแม่ไก่ และเสียงคำรามทางจมูกจากทิลดาหมูตัวเมีย



    “เงียบหน่อย” ลิซ่ากระซิบ “เช้าเกินกว่าจะกินข้าวนะ เจ้าหมูแก่ แกน่ะแหละ”



    ทิลดาเป็นสัตว์เลี้ยงพิเศษของลิซ่า แต่อาหารเช้าของมันนั้นยังรอได้ เธอสวมเสื้อนอก ขณะตัวสั่นในอากาศเย็นเฉียบ ”นี่ยังไม่ฤดูใบไม้ผลิเลย” เธอบอกทิลดา “ไม่เป็นไรหรอกถ้ามันเป็นเดือนเมษายน กลับไปนอนซะ” เธอลูบด้านข้างของคอกและหันไปสู่หมู่แมกไม้ที่อยู่เหนือสวน



    “ทางไหนที่เขาอาจจะไปนะ” เธอถามตัวเอง นึกถึงทางเดินคดไปเคี้ยวมาที่นำสู่ภูเขา เธอรู้ว่าอดัมตั้งใจจะล่ากระต่ายให้ได้สักตัวในเช้านี้ เขาบอกพ่อของเขาอย่างนั้นเมื่อคืนก่อน



    ลิซ่าเริ่มขึ้นเนิน ทั้งกึ่งเดินกึ่งวิ่งบนพื้นแสนขรุขระ



    “มีกระต่ายเยอะแยะในพื้นที่โล่งและลึกลงไปในโพรง” เธอพูดเสียงดัง “ถ้าเขา….” ลิซ่าหยุดเดินเพราะกระโปรงติดกิ่งกุหลาบ



    ลิซ่าไม่เสียลมปากสบถอะไรเลยเมื่อเธอดึงทึ้งกระโปรงที่น่าโมโห มันหลุดออกจากกุหลาบพร้อมกับรอยฉีกเป็นทางยาว แต่เธอไม่ได้ดูความเสียหายที่เกิดขึ้น เธอรวบกระโปรงเป็นก้อนแล้วยัดเข้าใต้เข็มขัดกางเกงยีนส์ จึงเกิดรอยโป่งที่อึดอัดขึ้นตรงบริเวณท้องเธอ แต่ลิซ่าไม่สนใจ ตอนนี้เธอสามารถวิ่งได้เต็มที่โดยไม่มีกระโปรงอันน่ารำคาญคลุมเข่าอยู่



    “เขาไปที่ราบแน่” เธอคิดเมื่อเธอเข้ามาภายในร่มเงาของต้นไม้ “เขาแน่ใจเสมอว่าจะไปหากระต่ายที่นั่นได้” เธอหันเข้าไปในตรอกมืดๆท่ามกลางหมู่มวลต้นสนทั้งหลายและปีนสู่ยอดเขาอย่างมั่นคง



    ส่วนของพื้นที่บริเวณข้างเขาทั้งหมดนี้เป็นของพ่อเธอ มันอยู่รวมๆกับพื้นที่ที่เรียกว่ามิดเดิ้ลโฟล์ดส์ ของเนินฮันด์เร็ดโฟลด์ฮิลส์ ซึ่งอยู่ไกลออกไปในพื้นที่ด้านหลังของหมู่เขาเคนทัคกี้ ผู้คนจำนวนไม่มากไปกว่าหนึ่งกำมืออาศัยอยู่ข้างเคียงแนวห้วยและลำธารของมิดเดิ้ลโฟล์ดส์ และเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างไปมากกว่าหนึ่งไมล์ แต่ลิซ่าอยู่ในหมู่เนินเขามาตลอดทั้งชีวิต และไม่เคยรู้จักความเปล่าเปลี่ยวหงอยเหงาเลย



    ตอนนี้เมื่อเธอรีบวิ่งไปตามทางเดิน ลิซ่าใช้เวลาชั่วระยะหนึ่งดูรอบๆตัว ดูหมู่ต้นสนมืดๆและแนวแสงแฉลบๆบนพื้นดินอันเต็มไปด้วยลูกไม้ข้างใต้หมู่ต้นสน พ่อของเธอภูมิใจเสมอในการคงสภาพให้ที่ดินของเขาราบเรียบแม้แต่ในส่วนที่เป็นป่า ระหว่างช่วงเดือนในฤดูหนาว เขากับอดัมถางต้นไม้ตายและพวกพุ่มไม้ที่มักจะขึ้นใต้ต้นไม้ใหญ่ เพื่อที่หมู่มวลไม้จะได้ยืนสูงและตั้งตรงบนพื้นที่ตระกูลแมเธอร์อย่างเป็นระเบียบ พวกทางเดินต่างๆก็ถูกคงให้สาธารณะด้วย ลิซ่ารู้ทางหนีทีไล่ในป่าได้ดีจนเธอไม่เคยลังเลตรงทางแยกหรือทางเลี้ยวซักครั้งเลยเมื่อเธอตามรอยอดัมไป



    ใกล้ยอดภูเขาลิซ่าหยุดและฟัง เหนือศีรษะขึ้นไปเป็นเสียงใบไม้ต้นสนดังกรอบแกรบและเสียงกระซิบนุ่มๆ ไกลออกไปด้านล่างเป็นเสียงหัวเราะหึๆอันเบาบางจากห้วยน้ำลำธารแมเธอร์ครีกเมื่อมันไหลคดเคี้ยววกเวียนไปมาในก้นแม่น้ำที่เป็นหินของมัน แต่เสียงพวกนี้เก่าแก่และเป็นเสียงที่รู้ๆกันอยู่แล้ว ลิซ่าต้องการได้ยินเสียงฝีเท้าของอดัมหรือไม่ก็เสียงปังจากปืนไรเฟิลของเขามากกว่า



    “อดัม!” ลิซ่าเรียกชื่อเขาเพียงเพื่อจะได้ยินเสียงสะท้อนของเธอตอบกลับมาจากฝั่งภูเขาที่เปิดโล่ง



    กระรอกสีมอตัวหนึ่งบนกิ่งไม้เหนือหัวเธอเริ่มร้องเสียงแหลมดังๆในอากาศยามเช้า



    “แกเงียบไปซะ!” ลิซ่าปาไม้ท่อนหนึ่งใส่มัน แต่มันก็แค่กระโดดไปที่กิ่งไม้อีกกิ่งเท่านั้น และส่งเสียงตำหนิดังกว่าเดิม



    “ถ้าฉันมีปืนไรเฟิลเหมือนอดัมนะ ฉันจะยิงแกให้ตายอย่างเลือดเย็นเลย” ลิซ่าว่า “แกไม่มีอะไรดีเลย นอกจากแค่เป็นสตูได้”



    ทันใดนั้นเองลิซ่าก็หิวขึ้นมา เธอคิดถึงสตูกระรอกที่แม่ของเธอเคยทำ กับเครื่องในซีดๆผอมๆที่แอนนี่ ลูย์เรียกว่าสตู ลิซ่าถอนหายใจ แอนนี่ ลูย์แก่เกินกว่าที่ใครจะเอาเรื่องเธอในการทำอาหารได้ และมันไม่มีประโยชน์ที่จะคิดถึงแม่ของเธอ อาการป่วยทรุดโทรมทำให้ท่านจากไป ลิซ่าเรียนรู้ที่จะทำให้ความเศร้าโศกในการคิดถึงท่านลดลงไปบ้าง เธอย้ำให้ตัวเองนึกขึ้นได้ว่ากำลังมองหาอดัมอยู่



    “อดัม!” คราวนี้เธอตะโกนเรียกชื่อของเขา ลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปหมดยกเว้นแต่ความต้องการให้มีเขาอยู่ใกล้ๆ เธอเริ่มวิ่ง ร้องเรียกชื่อเขาทุกๆลมหายใจ



    ณ บริเวณริมพื้นที่ราบใกล้ๆสันภูเขา เธอหยุดวิ่ง ท้องฟ้ายามนี้สว่างขึ้นมาบ้างแล้ว และเหนือแนวต้นไม้ตรงยอดภูเขาขึ้นไปเป็นแสงสีแดงระเรื่อของดวงอาทิตย์ขึ้น มันทิ้งแสงตะวันสีแดงอ่อนบนบรรดาหินก้อนเล็กก้อนน้อยและพุ่มไม้ต่างๆในพื้นที่ราบแห่งนั้น จิตใจของลิซ่าปลอดโปร่งขึ้น ในพื้นที่เปิดโล่งเช่นนี้เธอรู้สึกปลอดภัยกว่าและมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น



    “ฉันไม่กลัวเลยในทางเดิน” เธอพูดเสียงดัง “ไม่กลัวเลยสักนิด” เธอทวนซ้ำเพื่อทำให้มันดูเป็นจริง



    “โฮฮฮ่!”



    เสียงดังมาจากด้านหลังหินที่ริมพื้นที่ราบ ลิซ่าเผลอหวีดร้องอย่างตกใจออกมาดังลั่น แล้วชั่วครู่ต่อมา เธอจึงเห็นยอดหมวกแก๊ปของอดัมอยู่เหนือก้อนหินและปากกระบอกปืนไรเฟิลของเขา



    “โธ่เอ๊ย” ลิซ่าว่า เธอไอเพื่อให้เสียงของเธอหยุดสั่น



    แขนยาวๆของอดัมยื่นออกมาและกวักมือเรียกให้เธอเข้ามาหา “น้องคงจะกลัวแน่นอน” เขาว่าขำๆเมื่อเธอเข้ามารวมกับเขาที่ด้านหลังก้อนหิน “พี่บอกน้องแล้วว่าให้คอยอยู่ที่บ้านเหมือนที่…”



    “…เหมือนที่ผู้หญิงคนหนึ่งควรจะกระทำ” ลิซ่าต่อให้และทำหน้าบึ้งใส่เขา “ได้โปรดนะอดัม อย่าบอกพ่…..ฉันหมายถึงท่านพ่อน่ะ” เธอจำได้ว่าแม่ของเธอสอนให้เธอเรียกว่าท่านพ่อเพราะมันแสดงถึงความเคารพมากกว่า



    “ท่านน่าจะรู้ได้เองน่ะแหละ” อดัมบอก “ไม่มีอะไรพ้นหูพ้นตาท่านไปได้มากนักหรอก นั่งสงบๆตรงนี้และเงียบไปซะ” เขาดึงเธอให้นั่งลงข้างๆเขา แล้วกลับไปนั่งในท่าที่ปืนไรเฟิลวางข้ามหัวเข่าที่ตั้งขึ้นอยู่



    ลิซ่าลอบมองเขาทางหางตา เพราะหวังที่จะพบว่าเขาไม่ได้โมโหเธอจริงๆหรอก อดัมมักจะเป็นเพื่อนของเธออยู่เสมอ แม้ว่าเขาจะเป็นเด็กผู้ชายและแก่กว่าเธอก็ตาม ตอนนี้ ในขณะเธอนั่งตัวตรงกับก้อนหิน ลิซ่าเห็นว่าเขากำลังขมวดคิ้วอยู่ และดวงตาของเขานั้นมีแววรอคอยที่ดูแปลกพิลึก



    “เห็นกระต่ายสักตัวบ้างหรือยังล่ะ” เธอถาม



    อดัมดูเหมือนจะไม่ได้ยิน เขาโค้งตัวไปข้างหน้า มือกำด้ามปืนไรเฟิลไว้แน่น



    “กระต่ายอยู่ไหนหรือ” เสียงของลิซ่าสูงขึ้นด้วยความตื่นเต้นทันทีเพราะเห็นอากัปกิริยาของเขา



    “เงียบ!” อดัมยกมือเป็นสัญญาณเตือน “ไม่ใช่กระต่ายหรอกที่พี่ตามรอยมา พี่คอยจับตาดูพื้นที่ต่างหาก” เขากำลังกระซิบ แต่อย่างนุ่มนวลเสียจนคำของเขามาถึงหูลิซ่าเหมือนเสียงสะท้อนที่จางหายไปอย่างรวดเร็ว



    ลิซ่าจ้องเขาเขม็ง อดัมเคยมีท่าทางแปลกพิลึกบ้างในบางครั้ง แต่เธอไม่เคยเห็นเขาทำท่าอย่างนี้มาก่อน เขาดูราวกับว่ากำลังรอให้อะไรบางอย่างเกิดขึ้น…อะไรบางอย่างที่เลวร้าย



    ลิซ่าใจเต้นรัวเร็วและกำมือแน่นจนสั่น



    “นั่นไง!” อดัมพยักหน้าไปทางริมพื้นที่ราบอันไกลออกไป “พี่กำลังรอพวกเขาอยู่ ตอนนี้พวกเขามาแล้ว”



    “พวกเขา? พวกเขาน่ะใครกัน?”



    แต่อดัมเอามือปิดปากเธอไว้ ลิซ่าจึงเงียบ เพื่อรอไปกับเขาด้วย











    โปรดติดตามตอนต่อไปได้ใน \"ภัยร้ายเริ่มคืบคลาน\"

    ***********

    ดูรูปประกอบได้ที่

    http://board.dserver.org/s/story/00000329.html
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×