ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รวมเรื่องสั้นแปลของนาย Manus

    ลำดับตอนที่ #4 : เกมล่า(หนู)นัดสำคัญ(The Great Rat Hunt) โดย Laurence Yep

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 603
      3
      27 ก.ค. 48

    เกมล่า(หนู)นัดสำคัญ

    จากเรื่อง The Great Rat Hunt ของ ลอเรนซ์ เย็พ(Laurence Yep)

    แปลโดย Manus








    ผมเป็นโรคหืดตอนยังเล็กๆ  ผมเลยไม่ค่อยได้เล่นกีฬากับพ่อบ่อยนัก  ในระหว่างที่พี่ชายกับพ่อของผมฝึกซ้อมอยู่  ผมก็เพียงแต่นั่งบนเตียง  มีหมอนหลายใบพิง  ผมอ่านการ์ตูนไปก็ได้ยินพวกเขาเล่นอยู่ใต้หน้าต่างอพาร์ตเม้นท์  ฤดูร้อนจะเป็นเสียงฝุบฝับของลูกเบสบอลที่พี่ผมทำเข้าถุงมือพ่อ  ส่วนฤดูใบไม้ร่วงคือเสียงผัวะผะของลูกฟุตบอล  และฤดูหนาวก็จะมีเสียงลูกบาสเกตบอลกระทบพื้นก้องบริเวณ



    แม้ว่าพ่อของผมจะมาจากเมืองจีนตอนอายุแปดขวบ  หากท่านปรับตัวกับเกมของชาวอเมริกันได้เร็วนัก  ตอนที่พ่อกับแม่ยังหนุ่มยังสาวอยู่  พวกท่านเคยอยู่ในงานเต้นรำกับสมาคมกีฬาเดียวกันในฐานะเพื่อนต่างโรงเรียนสีขาว  --  ทว่าคอยแต่จะพลัดกันในเมืองไชน่าทาวน์(พ่อพบแม่ตอนแม่เดินสะดุดท่านระหว่างเกมบาสเกตบอลที่ไชน่าทาวน์ วาย.)



    พ่อตัวใหญ่กว่าอายุของท่านไม่น้อยและเล่นกีฬาได้ดีมาก  จริงๆแล้วชมรมในไชน่าทาวน์เคยจ้างเขาไปเล่นฟุตบอลกับอีกชมรมหนึ่งในไชน่าทาวน์ด้วยซ้ำ  และพ่อก็ไปเล่น...เป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งต่อกรกับพวกชายฉกรรจ์หลายคน



    ระหว่างนัดหนึ่งในวัตสันวิลล์  ตัวสำรองที่ชอบเล่นแรงคนหนึ่งทำจมูกพ่อหัก  ซึ่งไม่เคยรักษาได้หายขาดอีกเลย  ทำให้มีรอยปูดเล็กน้อยตรงสันจมูก  แล้วยังมีอาการบาดเจ็บอื่นๆจากเบสบอล บาสเกตบอล และเทนนิสอีก  แต่ละรอยปูดและแผลเป็นตามร่างกายของพ่อมีที่มาต่างกันไป  และแต่ละที่มาจะตามมาด้วยถ้วยหรือเหรียญรางวัลเสมอ



    แม้บัดนี้พ่อจะเป็นเจ้าของร้านขายของชำแห่งหนึ่งในซานฟรานซิสโก  พ่อก็ยังพยายามจะให้ความสามารถทางกีฬาของเขาสืบทอดมาถึงพี่ชายกับผมด้วย  ช่วงที่ผมยังไม่แย่นักก็จะพยายามตามพวกเขาให้ทัน  แต่ปอดทรยศผมเสมอ



    ยามไหนเมื่อผมต้องนั่งลงบนขอบถนน  ผมจะรู้สึกเหมือนทำให้พ่อตกต่ำลง  ผมจะเหลือบมองขึ้นอย่างกังวลใจหลังรู้สึกได้ถึงเงาบนตัว  แต่พ่อไม่เคยดูโกรธหรือรังเกียจเลย  --  แค่พิศวงงงงวย  ราวกับพ่อไม่เข้าใจเลยว่าทำไมปอดของผมถึงไม่เหมือนกับของพ่อ



    “ขะ-ขะ-ขอโทษฮะ”  ผมหอบ



    “ไม่เป็นไร”  พ่อจะนั่งข้างๆแล้วโบกหมวกให้มีอากาศพัดมาที่ผมมากขึ้น  ส่วนฉากหลังคือเอ็ดดี้ที่เล่นจับบอลกับตัวเองพลางรออย่างร้อนใจให้บทเรียนต่างๆเริ่มขึ้นอีกครั้ง  ผมจะรู้สึกละอายยามนั้นแล้วอ้าปากหอบบอก  “ไปเถอะครับ...ไปเล่นต่อเถอะ”



    และพ่อกับเอ็ดดี้จะเริ่มเล่นอีกครั้งในขณะที่ผมนั่งมองด้วยความหดหู่กับตัวเองที่ไร้ซึ่งความเป็นอเมริกันอย่างแท้จริง  ต้องเป็นคนอ่อนแอ  เป็นคนนั่งดูตลอดกาล  และเป็นคนนอก  ที่แย่กว่านั้น  ผมรู้สึกเหมือนว่าเอ็ดดี้เป็นลูกชายที่แท้จริงเพียงคนเดียวที่พ่อมีอยู่



    และจากนั้นจึงมาถึงวันที่หนูตัวนั้นบุกรุกร้านของเรา  เอ็ดดี้สังเกตเห็นเรื่องนี้เป็นคนแรกขณะที่เรากำลังจัดเรียงบรรจุของใส่หิ้งร้าน  ผมกำลังเก็บถั่วให้เข้าที่ตอนเอ็ดดี้เรียก  “เฮ้  นายรู้ไหมว่านี่มันอะไรกัน”  เขาตวัดมือมาให้ผมดูข้ามกระป๋องซุป  บนฝ่ามือเขานั้นมีก้อนสีดำอยู่  “ลูกกวาดรึเปล่าน่ะ”



    พ่อออกมาจากห้องเก็บของที่หลังร้านพร้อมแบกกระสอบข้าวสารใบโตหนักหนึ่งร้อยปอนด์อยู่  พ่อปล่อยมันกระแทกกับพื้นทันที  “โยนมันทิ้งไปซะ”



    “อะไรหรือฮะ  พ่อ”  ผมถาม



    “ขี้หนู”  พ่อบอก  “ไปล้างมือเร็ว”



    “แหวะ”  เอ็ดดี้โยนมันลงพื้น



    ในระหว่างที่เอ็ดดี้ไปล้างมือ  ผมช่วยพ่อกำจัดหลักฐานทั้งหมด  จากนั้นพ่อก็เอากับดักสองสามอย่างมาจากหิ้งและเราช่วยกันวางมันกระจายไปทั่ว



    อย่างไรก็ตาม  กับดักเหล่านั้นมีไว้สำหรับหนูทั่วไป  ไม่ใช่หนูบ้านตัวใหญ่  เจ้าหนูนั่นต้องแอบหัวเราะไปยกใหญ่แน่ๆตอนขโมยอาหารล่อแล้วถอดสปริงออก



    จากนั้นพ่อก็พยายามใช้เศษขนมปังวางยา  หากหนูมันยังเมินทุกชิ้น  แถมยังทิ้งของที่ระลึกตรงใกล้ๆประตูหน้าพอดีด้วย



    พ่อหน้าถมึงทึงขณะเก็บกวาดเศษนั้นขึ้นมา  “พ่อโดนหลอกให้โง่มามากพอแล้ว”



    ดังนั้นพ่อจึงโทรหาเพื่อนที่เป็นคนกำจัดหนูชื่อพีท วอง  ผู้มีฉายาว่าราชันย์แมลงสาบแห่งไชน่าทาวน์  ในระหว่างที่พีทรมควันร้าน  เราย้ายไปอยู่กับป้าแนนซี่ที่เมสันชั่วคราว  เป็นสถานที่ซึ่งรถเคเบิลใต้ดินคอยทำให้ผมตื่นจนดึกอยู่เสมอ  พวกรถชอบทำเสียงกระดิ่งทุกคราวเมื่อมาถึงหัวมุมเลี้ยว  บางทีถึงแม้จะไม่อยู่ตรงนั้นเสียทีเดียว  ผมยังได้ยินเสียงรถเคเบิลวิ่งเสียงโครมครามในช่องทางใต้ถนนตลอด  แต่ก็ไม่เป็นไรเท่าไรเพราะลูกพี่ลูกน้องของผมคือแจ็คกี้เล่าเรื่องราวต่างๆได้ทั้งคืนเชียวละ



    วันต่อมาเมื่อเรากลับบ้าน  พ่อวิ่งวุ่นไปทั่วร้านพลางสูดดมหาสารเคมีที่เป็นพิษถึงตายอย่างหวาดระแวง  แม่ขึ้นไปชั้นบนเพื่อหาพัดลมมาเป่า



    แม่เดินกลับมามือเปล่า  “ฉันคิดว่าเจ้าหนูนั่นคงย้ายขึ้นไปอยู่ข้างบนนั้นแล้วล่ะ  ฉันได้ยินมันข่วนผนังอยู่หลังกำแพงห้องนั่งเล่น”



    พ่อมองเพดานเขม็งราวกับว่าเจ้าหนูนั่นทำเกินไปแล้ว  “ปล่อยให้ผมจัดการเอง”  พ่อว่า  พ่อล้วงเอากุญแจรถออกมาจากกระเป๋า



    “จะไปไหนคะนั่น”  แม่ถาม



    แต่พ่อเป็นผู้ชายพูดน้อย  เขาพึงพอใจจะพูดด้วยการแสดงออกเสียมากกว่า  “เดี๋ยวผมกลับมา”



    หนึ่งชั่วโมงครึ่งต่อมา  พ่อกลับบ้านพร้อมปืนไรเฟิล  พ่อชูมันขึ้นให้เราสามคนมอง  “สวยใช่ไหมล่ะ  เฮนรี่ ลูให้พ่อยืมมาน่ะ”  เฮนรี่ ลูเป็นคนขายยาและเป็นหนึ่งในคู่หูตกปลาของพ่อ



    แม่ขมวดคิ้ว  “คุณจะยิงปืนใหญ่นั้นในบ้านฉันไม่ได้นะคะ”



    “แค่รุ่นยี่สิบสองเอง”  พ่อดึงเอากล่องกระสุนปืนออกมาจากกระเป๋าเสื้อ  “ไปกันเถอะ  เด็กๆ”



    แม่สูดลมหายใจเฮือกอย่างฉุนเฉียว  “โทมัส!”



    พ่อประหลาดใจกับการคัดค้านของแม่  “พวกเขาก็ต้องเรียนรู้บ้างสิ”



    แม่หันมาหาเราอย่างรีบเร่ง  “มันหมายถึงการฆ่าแกง  เหมือนกับการซื้อไก่ของปู่ป๊อปนั่นแหละ  แต่คราวนี้ลูกจะเป็นคนที่ทำให้มันตาย”



    “ไม่เหมือนกันซะหน่อย”  พ่อเถียง  “เราไม่ต้องบิดคอมันนี่นา”



    การซื้อไก่เป็นหน้าที่ที่ใครๆต่างพากันหลีกเลี่ยงยามเทศกาลปีใหม่ซึ่งคุณตายืนยันให้มี  และเพื่อให้แน่ใจว่าไก่นั้นสด  เราจะต้องมองคนขายไก่ฆ่ามัน  จากนั้นเราก็ต้องเทเลือดกลิ่นฉุนคล้ายทองแดงใส่ในถ้วยเป็นจานพิเศษที่มีแต่พ่อของแม่เท่านั้นที่กิน  ชั่วขณะหนึ่งนั้นผมเกิดคลื่นไส้ขึ้นมา



    “คุณทำให้พวกเด็กๆกลัวนะ”  พ่อดุแม่



    แม่ชำเลืองข้ามไหล่มองพ่อ  “พวกเขาควรจะรู้สิว่าจะต้องเจอกับอะไร”



    ผมไม่เชื่อถือในการฆ่าฟันนักหรอก  --  เว้นแต่มันเป็นแมลงอย่างแมลงสาบเท่านั้น  อย่างไรก็ตาม  ผมกลับรู้สึกต่างออกไปยามเห็นปืนไรเฟิลของจริง  --  ลำกล้องมันวับ  กลิ่นน้ำมันจางๆ  พร้อมที่ใส่กระสุนไม้ทาลาย  ผมพยายามคิดหัวหมอมาแย้งในเรื่องการล่าครั้งนี้เอาว่าไม่ได้จะไปฆ่ากระต่ายหรือกวางเสียหน่อย  แค่หนูแก่ใจร้ายตัวหนึ่งเท่านั้นเอง  --  ก็คล้ายๆแมลงสาบแบบมีขนนั่นแหละ



    “จะเอาไงล่ะ  หนุ่มๆ”  พ่อถาม



    ผมสูดหายใจลึกๆแล้วพยักหน้า  “ครับพ่อ”



    พ่อหันไปมองเอ็ดดี้อย่างคาดหวังแล้วเลิกคิ้วขึ้น



    หากทว่า...เอ็ดดี้ที่ยืนถัดจากผมไปกลับพึมพำ  “ผมคิดว่าจะอยู่ช่วยแม่ครับ”  เขาไม่ยอมสบตาผม



    พ่อดูตกใจพอๆกับแม่และผม  “แน่ใจหรือ”



    เอ็ดดี้ก้าวถอยหลังและงึมงำเสียงทุกข์ใจ  “ครับพ่อ”



    แม่จุ๊บผมเร็วๆตรงแก้ม  “แม่อยากให้ลูกยังมีนิ้วเท้านิ้วมือครบอย่างละสิบตอนเสร็จเรื่องนะ”



    ผมรู้สึกแปลกๆขณะเรากำลังออกจากร้าน  ส่วนหนึ่งของผมรู้สึกชนะ  มันเป็นครั้งหนึ่งละที่เอ็ดดี้ท้อถอยและไม่ใช่ผม  หากกระนั้น  อีกส่วนหนึ่งของผมยังหวังว่าจะได้กลับไปอยู่กับเขาและแม่



    พ่อไม่พูดอะไรยามเราออกมาจากร้านแล้วไต่บันไดหลัง  ผมตามหลังพ่อไป  ใจก็คิดว่าที่พ่อเงียบนั้นเป็นเพราะกำลังผิดหวังอยู่  พ่อคงอยากได้เอ็ดดี้มาช่วยเหลือมากกว่าผมเสียกระมัง



    พ่อหยุดตรงประตูหลังร้านของอพาร์ตเม้นท์เราแล้วเอ่ยเสียงห้วน  “ทีนี้  นี่เป็นกฏบางข้อนะ  อย่างแรก  ห้ามเด็ดขาด  ห้ามเล็งปืนไรเฟิลใส่ใครอื่น”



    ผมฟังอย่างตั้งอกตั้งใจให้มากด้วยเคยทำล่มเวลาพ่อพยายามสอนผมว่าควรจะเขี่ยบอล จับลูกฟุตบอล หรือรับมือกับลูกฟาล์วทั่วๆไปได้ยังไง  “ครับ”  ผมพยักหน้าอย่างจริงจัง



    พ่อดึงตัวนกมาถึงเกือบตรงกลางปืน  “อย่างต่อไป  ต้องแน่ใจว่าปืนไรเฟิลไม่มีลูกกระสุน”  พ่อปล่อยให้ผมสำรวจท้ายลำกล้องปืน  ไม่มีอะไรภายในเลย



    “ครับพ่อ”  ผมตอบและชำเลืองมองหน้าพ่อเนื่องจากอยากจะอ่านอารมณ์ท่าน  จากการที่พ่อพูดเพียงนิดเดียว  จะทำให้พ่อฟังดูคล้ายหมดความอดทนเล็กน้อยเสมอเมื่อสอนอะไรผม  อย่างไรก็ตาม  คราวนี้มันบอกได้ยากจริงๆว่าเป็นความไม่พอใจโดยแท้หรือแค่อาการเก็บตัวตามปกติเท่านั้น



    พ่อเพียงแต่คำรามนิดหน่อย  “เอ้านี่  เปิดให้หน่อย”  แล้วพ่อก็ยื่นกล่องใส่กระสุนปืนส่งให้ผม



    ผมตื่นๆจนกระสุนกระทบกันดังคลิ๊กๆในกล่องเมื่อผมรับมา  ขณะผมกำลังเปิดกล่องอย่างเงอะๆงะๆ  ผมเกือบจะขอโทษที่ไม่ใช่เอ็ดดี้เสียแล้ว



    ทีนี้  ยามผมรู้สึกสั่นๆไม่มั่นใจทีไร  ผมจะตรงข้ามกับพ่อเสมอ  คือช่างพูดมากขึ้น  “พ่อรู้วิธีล่าสัตว์มาจากไหนครับ”  ผมถาม  “จากปู่เหรอ”



    พ่อของผมแทบไม่เคยพูดถึงพ่อของตนเองที่ตายไปก่อนผมเกิดเลย  ตอนนี้เขาดูสะดุ้งราวกับเจ้าหนูนั่นเพิ่งจะกัดเขาไป  “ตาเฒ่าของพ่อน่ะหรือ  เปล่าหรอก  เขาไม่มีเวลา  พ่อเรียนมาจากคู่หูบางคนที่ไชน่าทาวน์ต่างหาก”  พ่อยื่นมือออกมา



    ผมส่งลูกกระสุนให้  “พ่อล่าอะไรครับ  หมีหรือ”



    “เรายิงนกคุ่มกัน”  พ่อบรรจุกระสุนใส่ปืนไรเฟิลอย่างระมัดระวัง



    ผมรู้สึกอึดอัดเมื่อนึกภาพการยิงเจ้านกตัวเล็กๆน่ากอดที่เคยเห็นในการ์ตูน  “จริงหรือครับ”



    พ่อทำเสียงคลิ๊กให้กระสุนเข้าไปอยู่ในไรเฟิล  “คนเราต้องเข้มแข็งบนโลกใบนี้นะ  ลูกเอ๋ย  ต้องมีบางเวลาที่จะไม่มีใครอยู่รอบๆให้ช่วยเลย  --  เหมือนตอนที่พ่อมาอเมริกาเป็นครั้งแรก”



    สำหรับพ่อแล้วนี่เป็นคำพูดที่ยาวทีเดียว  “แต่พ่อก็ยังมีปู่นี่ครับ”  แม่ของพ่อต้องอยู่ต่อในเมืองจีน  เพราะเมื่อก่อนนั้น  อเมริกาจะไม่ให้ท่านอยู่กับสามี



    “เขาทำงานยุ่งจนไม่มีเวลา”  พ่อก้มลงจดจ้องบันไดราวกับแต่ละขั้นคือระยะเวลาหนึ่งปี  “ตอนพ่อมาครั้งแรกที่นี่  พ่อโดนพวกเด็กผิวขาวรังแกเอา  และพอไม่มีพวกเด็กผิวขาวใกล้ๆ  ก็ยังมีเด็กจีนคนอื่นๆอีก”



    ผมย่นหน้าผากอย่างพิศวงก่อนยื่นกระสุนอีกลูกให้พ่อ  “แต่พวกเขาก็อย่างเดียวกับพ่อไม่ใช่เหรอครับ”



    พ่อบรรจุกระสุนอย่างสม่ำเสมอในขณะที่ผมคอยส่งลูกกระสุนให้  “เปล่าสักหน่อย  พวกเขาเกิดที่นี่  พวกเขาชอบทำให้เด็กที่เกิดที่เมืองจีนลำบากเสมอ  คงคิดละสิว่าพ่อจะยอมให้ถูกแกล้งง่ายๆ  แต่มันก็เป็นการต่อสู้ที่ขาวสะอาดนะ  ไม่มีมีด  ไม่มีปืน  แค่ลูกเตะกับกำปั้นเท่านั้น  ไม่เหมือนพวกพั๊งค์ทุกวันนี้”  เขาตบกระสุนชุดสุดท้ายใส่ปืนไรเฟิล  “แล้วพ่อก็รู้ว่าจะเล่นตามเกมพวกเขาได้อย่างไร  และพ่อก็ทำให้พวกเขาเป็นเพื่อนพ่อ”  พ่อพูดท่อนสุดท้ายด้วยความภาคภูมิใจ



    และครั้นนั้นเอง  ผมจึงเริ่มเข้าใจเรื่องถ้วยรางวัลและเหรียญชนะเลิศต่างๆในห้องนั่งเล่นของเรา  พวกมันเป็นมากกว่ารางวัลชนะกีฬา  แต่ละรางวัลนั้นเป็นเครื่องบ่งบอกว่าพ่อของผมเป็นส่วนหนึ่งของอเมริกา  --  และในขณะเดียวกันก็เป็นส่วนหนึ่งของไชน่าทาวน์ด้วย  และมันก็เป็นสาเหตุที่บัดนี้พ่อพยายามอย่างหนักที่จะสอนกีฬาให้เอ็ดดี้กับผม



    หลังจากเข้าใจในที่สุดว่าจริงๆแล้วกีฬามีความสำคัญอะไรกับพ่อบ้าง  มันก็แค่ตอกย้ำความไม่สมประกอบของผมให้เด่นชัดขึ้นเท่านั้นเอง  “ผมสู้ไม่เก่ง”  ในขณะที่ผมปิดฝากล่องกระสุน  ผมก็คิดว่าควรจะเตรียมให้พ่อรับมือกับความผิดหวังในอนาคตด้วย  “ผมไม่เก่งอะไรมากเลย”



    พ่อคอยระวังไม่ชี้ปืนไรเฟิลมาที่ผมขณะถอดกลอนประตู  “พ่อบอกว่าลูกต้องเข้มแข็ง  ไม่ใช่งี่เง่า  ไม่เห็นมีเหตุผลที่ต้องมีหน้าแก่โดนยำเละอย่างพ่อนี่นา”



    ผมส่ายหน้าด้วยความประหลาดใจ  “เกิดอะไรกับหน้าพ่อเหรอครับ”



    พ่อดูขบขันขณะก้าวออกมาจากประตูแล้วพยักเพยิดหน้าให้ผมเปิดให้  “ก็ไม่มีอะไรที่รถบดถนนซ่อมไม่ได้หรอก”



    “แต่พ่อมีใบหน้าที่น่าสนใจนะครับ”  ผมท้วงก่อนเอื้อมไปจับลูกบิดประตู



    “ลูกตาบอดรึเปล่า  ใบหน้านี้จะไม่มีทางชนะรางวัลสวยๆงามๆที่ไหนได้เลยนะ”  พ่อหัวเราะฮึๆ  “พ่อโดนล้อหลายชื่อตอนเด็ก  แต่ไม่เคย ‘น่าสนใจ’ เลย  ลูกถนัดด้านการใช้คำนะ”



    ลูกบิดเย็นเฉียบในอุ้งมือผม  “จริงหรือครับ”



    พ่อขยับมือที่จับปืนไรเฟิลให้กระชับขึ้น  “พ่อคงไม่กล้าซื้อความหวังจริงจังจากลูกหรอก”  และพ่อก็ยิ้มกว้างอย่างให้กำลังใจ  “ทีนี้ไปฆ่าหนูตัวนั้นกันเถอะ”



    ขณะที่ผมเปิดประตู  จู่ๆบ้านของเราก็ดูแปลกประหลาดพอๆกับแอฟริกาทีเดียว  ตอนแรกผมรู้สึกโดดเดี่ยว  --  และหวาดกลัวเล็กน้อย  ครั้นแล้วผมถึงได้ยินพ่อพูดให้อุ่นใจ  “พ่ออยู่ด้วยนะ  ลูก”



    เมื่อรู้สึกมั่นใจมากขึ้น  ผมก็คืบคลานผ่านครัวเข้าไปในห้องนั่งเล่น  พ่ออยู่ติดหลังผมและบุ้ยใบ้ให้ผมสำรวจครึ่งหนึ่งของห้องในขณะที่พ่อตรวจตราอีกครึ่ง  หลังจากพบรูหนึ่งตรงมุมห้องห่างจากเตาผิงหน่อย  ผมก็สบตาพ่อแล้วชี้



    พ่อมองลอดใต้เก้าอี้กับผมแล้วขยิบตาอย่างพออกพอใจให้  “ช่วยพ่อหน่อยสิ”  เขากระซิบ



    เราร่วมมือช่วยย้ายเก้าอี้ไปข้างๆเงียบๆ  แล้วก็ยกโซฟามาตั้งไว้จนมันตั้งอยู่ระหว่างเรากับรูหนูพอดี  เราค่อยๆทำเครื่องกีดขวางจากของตกแต่งทีละนิดๆ  ผมคงไม่อาจภูมิใจไปกว่านี้แน่หากเราสร้างป้อมปราการขึ้นมาด้วยกัน



    พ่อยังระลึกถึงผมจึงปล่อยของเบาๆให้ผมยก  และผมก็รู้สึกขอบคุณจากความช่างคิดนั้น  สิ่งสุดท้ายที่ผมอยากให้เกิดตอนนี้คืออาการภูมิแพ้เพราะออกแรงมากเกินไป  เมื่อเราขนย้ายเสร็จแล้ว  พ่อก็หยิบปืนไรเฟิลจากมุมที่ทิ้งไว้ชั่วคราว



    ขณะที่เราหมอบตัวอยู่หลังเครื่องกั้นที่สร้างขึ้นมาอย่างรีบเร่งนั้น  พ่อก็วางปืนไรเฟิลพักบนนั้น  “เราจะผลัดกันคอยจับตามองนะ”



    “ครับพ่อ”  ผมตอบพลางชำเลืองมองข้ามสิ่งกีดขวาง  แม้แต่หนวดเส้นหนึ่งก็ไม่โผล่ออกมาจากรูนั้นด้วยซ้ำ



    ในระหว่างที่ผมกำลังเพ่งมองรอบๆรูหนูนั้นด้วยสายตาเรดาร์อย่างตึงเครียด  พ่อก็พยายามผ่อนคลายตนเองโดยพิงตัวพักโซฟาไว้  มันทำให้ผมรู้สึกสำคัญที่ได้รู้ว่าพ่อเชื่อใจผม  และผมก็ตั้งมั่นจะทำให้ได้ดี  ตรงกลางกำแพงห้องนั่งเล่นคือเตาผิง  และบนหิ้งของมันนั้นมีถ้วยเหรียญรางวัลต่างๆของพ่อตั้งตระหง่านอยู่ราวแถวพลทหารที่ค่อยเตือนผมให้ระลึกว่าไม่ควรประมาท



    เราคงอยู่ในความเงียบเป็นเพื่อนกันซักประมาณสี่สิบห้านาทีได้  แล้วจู่ๆผมก็เห็นอะไรบางอย่างแวบหนึ่งตรงปากรูหนู  “พ่อครับ”  ผมกระซิบ



    พ่อเด้งตัวขึ้นมาอย่างระวังไวและรีบหยิบปืนไรเฟิล  พ่อเล็งมันไปที่รูหนูนั้นโดยหยีตาหลับข้างหนึ่ง  ร่างที่หมอบอยู่นั้นตึงเขม็งขึ้นทันที  “ดีละ”  พ่อปรับเปลี่ยนการเล็งอย่างพิถีพิถัน  “ดีละ  หายใจลึกๆไว้นะ”  พ่อท่องกับตัวเอง  “ผ่อนคลาย  แล้วลั่นไกปืน”  จู่ๆพ่อก็เงยหน้าอย่างตกใจ  “มันไปไหนแล้ว”



    ขณะร่างสีเทาถลันมาข้างหน้า  ผมไม่อาจสะกดกลั้นความกลัวไว้ได้  “มันตรงมาที่เราเลยครับ”



    ลำกล้องปืนไรเฟิลสะบัดไปหน้าหลังอย่างบ้าคลั่งในขณะที่พ่อพยายามจะเล็ง  “ไหน”



    ผมคิดว่าเห็นฟันซี่ใหญ่และแววตาวาวดุดัน  ฟันนั้นขนาดพอๆกับกริช  และตาก็รูปร่างประมาณลูกเบสบอล  และทั้งสองอย่างนั้นยิ่งดูใหญ่ขึ้นทุกๆขณะ  มันเป็นจ้าวแห่งหนูเลย  “ยิงมัน!”  ผมร้องลั่น



    “ไหนล่ะ”  พ่อตะโกนอย่างสิ้นหวัง



    ความหาญกล้าใดๆนั้นระเหยไปจากตัวผมแล้ว  ผมคิดได้เพียงแค่ว่าต้องหนี  “มันกำลังโจมตี”  ผมเด้งตัวขึ้นมายืนแล้วถลาออกนอกห้อง



    “โอย  ตายๆ”  พ่อว่า  และเสียงฝีเท้าของพ่อก็วิ่งตามผมมา



    ด้วยความกลัว  ผมจึงหลับหูหลับตาวิ่งเตลิดเปิดเปิงออกจากอพาร์ตเม้นท์ลงไปชั้นล่างและเข้าร้านทันที



    “เรียก เอส.ซี.พี.เอ. มาที(SCPA = Society for the Prevention of Cruelty to Animals สมาคมเพื่อการป้องกันการทารุณต่อสัตว์)  ผมคิดว่าหนูมันบ้าไปแล้ว”  พ่อร้องพลางกระแทกประตูปิดตามหลัง



    แม่หยิบปืนไรเฟิลจากมือพ่อ  “ฉันคงรำคาญเหมือนกันนั่นแหละถ้ามีใครจะมายิงฉัน”



    “เปล่า”  พ่อหอบหายใจ  “ผมหมายความว่ามันมีเชื้อบ้า”  เราสามารถได้ยินหนูนั่นวิ่งอยู่เหนือหัวในห้องนั่งเล่น  ฟังดูคล้ายว่ามันกำลังเต้นประกาศชัยชนะอยู่เลย



    แม่บังคับให้พ่อเอาลุกกระสุนออกจากปืนไรเฟิล  “คุณเอาไปคืนเฮนรี่ ลู พรุ่งนี้เถอะนะ”  แม่บอก  “เราจะเรียนรู้ที่จะอยู่กับหนู”



    ในขณะที่แม่ไปเก็บปืนไรเฟิลในห้องเก็บของ  พ่อก็พยายามจะเรียกเกียรติของเขากลับคืนมา  “มันอาจมีหมัดก็ได้นะ”  พ่อร้องตามหลังแม่ไป



    บัดนี้หลังความกลัวของผมหมดลง  ผมก็เริ่มรู้สึกตัวขึ้นมาทันใดว่าได้ทำอะไรใหญ่แย่แค่ไหนลงไป  พ่อพึ่งผมให้ช่วย  แต่กระนั้นผมก็วิ่งหนี  ปล่อยให้พ่อเผชิญกับการรุกรานของเจ้าสัตว์ประหลาดนั่น  ผมมันแย่กว่าไอ้ขี้แพ้เสียอีก  ผมมันคนตาขาว  ผมทอดทิ้งพ่อในยามที่พ่อต้องการผมมากที่สุด  ผมจะไม่โทษพ่อเลยหากพ่อจะเตะผมออกจากบ้าน



    ต้องใช้กำลังใจเพียงเล็กน้อยที่เหลืออยู่กว่าผมจะกล้าเงยหน้ามองพ่อ  ในตอนนั้น  พ่อดูสูงค้ำผม  ทั้งยิ่งใหญ่และเก่าแก่พอๆกับอนุสาวรีย์  “ผมขอโทษครับ”  ผมกล่าวอย่างทุกข์ใจ



    พ่อขมวดคิ้วเข้าหากันขณะทำให้เปลือกหอยในอุ้งมือกระทบกันดังกริ๊กๆ  “เรื่องอะไร”



    มันทำให้ผมรู้สึกแย่ลงไปอีกที่ต้องอธิบายต่อหน้าเอ็ดดี้  “ที่วิ่งครับ”  ผมบอกเสียงเศร้าหมอง



    พ่อหัวเราะลงคอพร้อมยัดกล่องใส่กระสุนลงกระเป๋าเสื้อเชิ้ต  “โธ่  พ่อก็วิ่งด้วยนี่  บางทีมันก็ฉลาดนะที่จะกลัว”



    “พ่อเคยกลัวอะไรด้วยหรือครับ”  ผมเถียง



    พ่อติดกระดุมกระเป๋า  “หลายครั้งเลย  อย่างตอนพ่อมาอเมริกา  พวกเขาถึงกับต้องแงะนิ้วพ่อออกจากกราบเรือด้วยละ”



    เป็นครั้งแรกที่ผมเคยได้ยินพ่อสารภาพว่าแพ้  “แต่พ่อทำอะไรเยี่ยมไปเสียทุกอย่างนี่ครับ”



    “ไม่มีใครเยี่ยมไปเสียทุกอย่างหรอกนะ”  พ่อสะบัดหัวเบาๆราวกับว่าความคิดนี้ทำพ่อพิศวง  “เราแต่ละคนถนัดบางเรื่องและเหลวเป๋วอีกเรื่อง  วิธีการคือต้องหาบางเรื่องที่เราถนัด”



    ผมนึกไปถึงหิ้งเตาผิงที่ถ้วยรางวัลกีฬาทุกอย่างของพ่อตั้งอยู่  เอ็ดดี้ให้สัญญาว่าจะสะสมให้ได้เท่า  แต่ผมรู้ตัวดีว่าตนเองคงโชคดีหากจะได้ชนะซักถ้วยด้วยซ้ำไป



    “กีฬาผมเหลวไม่เป็นเรื่อง”  ผมสารภาพ



    นัยน์ตาของพ่อกวาดไปหน้าหลัง  ราวกับใบหน้าของผมเป็นหนังสือให้พ่อตรวจตรา  พ่อมีท่าทีประหลาดใจกับสิ่งที่เขาได้อ่านไป



    แล้วเข่าพ่อก็ย่อลงอย่างช้าๆจนเรามองสบตากัน  “งั้นลูกก็จะพบอะไรอย่างอื่น”  พ่อบอกและโอบแขนรอบตัวผม  พ่อผมนั้นไม่เคยปล่อยให้ใครแตะต้องตัวเลย  จริงๆแล้ว  ผมแทบไม่เคยเห็นพ่อกอดแม่ด้วยซ้ำ  ยามที่วงแขนของเขารัดแน่นขึ้นนั้น  ผมก็รู้สึกได้ถึงความรักความมั่นใจที่แท้จริงในอ้อมกอดนี้



    ไม่นานหลังจากนั้น  เจ้าหนูก็หายไปอย่างลึกลับพอๆกับตอนที่มันมา  “ผมคงต้องไปทำมันกลัวหนีไปแน่ๆ”  พ่อประกาศ



    แม่ส่ายหน้า  “เจ้าหนูนั่นมันหัวเราะเยาะจนตายไปละมากกว่า”



    พ่อหายเงียบเข้าในห้องเก็บของ  และชั่วขณะหนึ่งนั้นเราคิดกันว่าแม่อาจพูดแรงไปหน่อย  และแล้วเราก็ได้ยินเลื่อยไฟฟ้าที่พ่อเก็บไว้ดังขึ้น  “นั่นคุณทำอะไรอยู่น่ะ”  แม่ร้องถาม



    พ่อกลับมาพร้อมพร้อมท่อนไม้สองนิ้วทรงจัตุรัส  พ่อกำลังใช้กระดาษทรายขัดตรงขอบที่เป็นสะเก็ด  “บางทีซักวันเราจะพบศพ  หัวของมันคงดูดีบนเตาผิงแน่ๆ”



    แม่กำลังพยายามอย่างหนักที่จะบังคับใบหน้าให้เรียบเฉย  “คุณมีหัวเป็นรางวัลที่ระลึกไม่ได้นอกจากคุณจะยิงมันนะคะ”



    “ถ้ามันตายเพราะหัวเราะเยาะอย่างที่คุณพูดจริงๆ  งั้นก็แสดงว่าผมฆ่ามัน”  พ่อยืนยันอย่างภูมิใจ  “มันก็แน่นอนพอๆกันหากผมลั่นปืนไปนั่นแหละ”  พ่อขยิบตาให้ผม  “ไปเอาน้ำมันชักเงามาเคลือบรางวัลของเรากันหน่อยไหม”



    ผมกำลังเดินจากไปตอนที่ระลึกขึ้นมาได้ว่าพ่อพูดว่า  “ของเรา”  ผมหันกลับไปและพูดว่า  “เจ้าหนูนั่นมันหมดวาระจะมีชีวิตตั้งแต่เริ่มแล้วครับ”  ผมได้ยินพ่อกับแม่หัวเราะทั้งคู่ในขณะที่ผมรีบเดินหนีไป

















    (จากผู้แปล : ที่คุณได้อ่านมานี้ทั้งหมดคือความทรงจำอย่างหนึ่งของผู้เขียนในวัยเด็กครับ)







    ประวัติผู้เขียน

    ลอเรนซ์ เย็พ(Laurence Yep)



    \"เปิดตาให้กว้างคือหัวใจสำคัญของการเป็นนักเขียน อะไรก็ตามที่คุณเห็นจะมอบเมล็ดพันธุ์ให้กลายเป็นเรื่องราวเรื่องหนึ่งสักวัน\"



    ชายผู้ทรงวุฒิ ลอเรนซ์ เย็พเกิดในซาน ฟรานซิสโก แคลิฟอร์เนียและเติบโตขึ้นมาในละแวกชุมชนอเมริกันแอฟริกัน เขาถูกส่งไปเรียนโรงเรียนสองภาษาในไชน่าทาวน์  หลังจบไฮสคูล เขาเรียนต่อจนได้ปริญญาเอก เยพทำงานเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ เป็นนักอาจารย์ผู้บรรยายในการเรียนการสอนเกี่ยวกับชาวเอเชียนอเมริกัน  และเป็นนักเขียนประจำ



    ความภูมิใจของผู้เป็นพ่อ  หนังสือของเย็พคือ Dragonwings(ปีกมังกร)  ชนะถึงสิบรางวัล  ผลงานมากมายสำหรับวัยรุ่นช่วงหลังๆนี้จะสำรวจเกี่ยวกับตำนานชาวจีน  เขายังเขียนนิยายวิทยาศาสตร์และหนังสือสำหรับผู้ใหญ่อีกด้วย  ความทรงคุณวุฒิในการเป็นนักเขียนของเย็พนั้นทำให้ผู้เป็นพ่อปลื้มอกปลื้มใจอย่างใหญ่หลวงทีเดียว  และท่านก็ตั้งแสดงเหรียญตราชนะเลิศและแผ่นจารึกรางวัลต่างๆ \"เป็นการทดแทนรางวัลนักกีฬา\"
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×