ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รวมเรื่องสั้นแปลของนาย Manus

    ลำดับตอนที่ #2 : ชาร์ลส์...เด็กหน้าใสหัวใจมารร้าย(Charles) โดย Shirley Jackson

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.91K
      21
      9 พ.ค. 48

    ชาร์ลส์...เด็กหน้าใสหัวใจมารร้าย

    จากเรื่อง Charles ของ เชอร์ลีย์ แจ็คสัน(Shirley Jackson)

    แปลโดย Manus







    วันที่ลูกชายของฉันชื่อลอรี่เริ่มเรียนชั้นอนุบาล
      เขาประกาศจะเลิกใส่เสื้อกางเกงกันเปื้อนผ้าริ้วพร้อมเอี๊ยม  และเริ่มใส่กางเกงยีนส์สีน้ำเงินกับเข็มขัดแทน  ฉันมองเขาเดินไปโรงเรียนตอนเช้าวันแรกพร้อมกับเด็กหญิงข้างบ้านที่แก่กว่าเขาหน่อยด้วยความรู้สึกชัดเจนว่าช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตฉันได้จบลงแล้ว  หนูน้อยเตรียมอนุบาลเสียงหวานถูกแทนที่ด้วยเด็กชายจอมวางโตใส่กางเกงขายาวผู้ได้ลืมหยุดแวะตามหัวมุมถนนเพื่อหันมาโบกมือลาฉันเสียแล้ว



    เขากลับมาด้วยท่าเดียวกัน  กระแทกประตูหน้าบ้านเปิด  หมวกแก๊ปกระเด็นตกพื้น  และเสียงที่เปลี่ยนเป็นเสียงตะโกนแหบๆทันที  “ไม่ใครอยู่นี่เลยหรือ?”



    ตอนเที่ยงเขาพูดเสียงหยาบคายกับพ่อตัวเอง  ทำนมของน้องสาวแบเบาะหกราด  และวิจารณ์ครูที่บอกว่าเราไม่สมควรจะเอาชื่อพระเจ้ามาพูดสบถเสียๆหายๆ



    “วันนี้โรงเรียนเป็นไงบ้างลูก”  ฉันถาม  ทำเป็นไม่สนใจอย่างประณีตบรรจง



    “ก็ดีครับ”  เขาตอบ



    “ลูกเรียนอะไรมาบ้างไหม”  พ่อเขาถาม



    เขามองพ่ออย่างเย็นชา  “ผมไม่ได้เรียนเปล่าอะไรครับ”  เขาพูดผิดๆถูกๆ



    “อะไรจ้ะ”  ฉันแก้ให้  “ไม่ได้เรียนอะไรต่างหากลูก”



    “ก็มีครูตีก้นเด็กผู้ชายคนหนึ่ง”  ลอรี่บอกพลางจดจ้องอยู่กับขนมปังและเนย  “โทษฐานที่หยาบคาย”  เขาเสริมทั้งๆที่อาหารเต็มปาก



    “เขาทำอะไร”  ฉันถาม  “ใครกันละจ๊ะ”



    ลอรี่คิด  “ชาร์ลส์ครับ”  เขาเอ่ย  “เขาหยาบคาย  ครูตีก้นเขาและให้เขาไปยืนตรงมุมห้อง  เขาน่ะเด็กหยาบคายอย่างร้ายกาจเชียว”



    “เขาทำอะไร”  ฉันถามอีกที  แต่ลอรี่กลับไถลออกจากเก้าอี้  แวะหยิบคุกกี้มาชิ้นหนึ่ง  แล้วจากไปในระหว่างที่พ่อของเขาพูดว่า  “แล้วพบกันนะ  เจ้าหนูน้อย”



    วันต่อมาลอรี่พูดขึ้นตอนอาหารเที่ยงทันทีที่เขานั่งลง  “ดูสิ  วันนี้ชาร์ลส์ทำตัวแย่อีกแล้ว”  เขาฉีกยิ้มกว้างมากๆแล้วเอ่ยต่อ  “วันนี้ชาร์ลส์ตีครูครับ”



    “ตายจริง”  ฉันอุทาน  ระวังไม่ให้ชื่อพระเจ้าหลุดออกมา  “แม่เดาว่าเขาโดนตีก้นอีกแล้วใช่ไหมจ๊ะ”



    “เขาโดนแน่ครับ”  ลอรี่ตอบ  “มองขึ้น”  เขาบอกกับพ่อ



    “อะไรหรือ”  พ่อเขาถามพลางเงยหน้าขึ้น



    “มองลง”  ลอรี่ร้องเป็นเพลง  “มองนิ้วโป้ง  เอ้อเฮอ  พ่อปากโป้ง”  เขาเริ่มหัวเราะบ้าๆ



    “ทำไมชาร์ลส์ถึงตีครูละลูก”  ฉันถามโดยเร็ว



    “เพราะครูพยายามบังคับให้เขาระบายสีด้วยสีเทียนสีแดงน่ะสิครับ”  ลอรี่ว่า  “ชาร์ลส์อยากระบายสีเขียว  เขาเลยตีครู  และครูก็ตีก้นเขา  และพูดว่าใครๆอย่าเล่นกับชาร์ลส์นะ  แต่ทุกคนก็ยังเล่นด้วย”



    วันที่สาม  --  วันพุธของสัปดาห์แรก  --  ชาร์ลส์กระแทกกระดานหกใส่หัวเด็กหญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งจนเลือดออก  ครูจึงให้เขาอยู่ในชั้นตลอดช่วงพัก  วันพฤหัสบดีชาร์ลส์ต้องยืนที่มุมห้องระหว่างเวลาเล่าเรื่องเพราะเขาเอาแต่กระทืบเท้า  วันศุกร์ชาร์ลส์ถูกตัดสิทธิพิเศษไม่ให้เขียนบนกระดานดำอีกต่อไปเพราะเขาขว้างปาชอล์ค



    ตอนวันเสาร์ฉันกล่าวกับสามีตัวเอง  “คุณคิดว่าชั้นอนุบาลจะยุ่งยากกับลอรี่ไปรึเปล่าคะ  ทั้งความรุนแรงนี้  กับไวยากรณ์แย่ๆ  แล้วยังเด็กชาร์ลส์คนนี้อีก  เขาดูจะมีอิทธิพลไม่ค่อยดีเอาเลยนะ”



    “เดี๋ยวก็เรียบร้อยเองน่า”  สามีฉันพูดให้แน่ใจอีกครั้ง  “เขาต้องเกี่ยวข้องกับคนอย่างชาร์ลส์หลายคนในโลกนี้  ควรจะได้พบเจอพวกเขาตอนนี้ดีกว่าภายหลังนะ”



    ตอนวันจันทร์  ลอรี่กลับบ้านช้าและมีเรื่องมาบอกไม่น้อย  “ชาร์ลส์”  เขาตะโกนขณะวิ่งขึ้นเนินมา  ส่วนฉันเฝ้ารออย่างเป็นกังวลอยู่ที่ขั้นบันไดหน้าบ้าน  “ชาร์ลส์”  ลอรี่โห่ร้องตลอดทาง  “ชาร์ลส์ทำตัวแย่อีกแล้ว”



    “เข้ามาเลยจ้ะ”  ฉันชวนเมื่อเขามาใกล้พอ  “มื้อเที่ยงรออยู่”



    “แม่รู้ไหมครับว่าชาร์ลส์ทำอะไร”  เขาถามพลางตามฉันเข้าประตูมา  “ชาร์ลส์ตะโกนเสียงดัง  ทางโรงเรียนเลยส่งเด็กจาก ป.หนึ่งให้มาบอกครูว่าครูต้องทำให้ชาร์ลส์เงียบ  ชาร์ลส์เลยต้องอยู่ต่อหลังเลิกเรียน  และนักเรียนทุกคนก็อยู่ดูเขาด้วย”



    “เขาทำอะไรเหรอจ๊ะ”  ฉันถาม



    “เขาแค่นั่งตรงนั้น”  ลอรี่บอกพลางปีนขึ้นเก้าอี้ที่โต๊ะ  “ฮาย  พ่อ  ไม้ถูพื้นเก่ายัดห่อ”



    “วันนี้ชาร์ลส์ต้องอยู่หลังเลิกเรียน”  ฉันบอกสามี  “ทุกคนอยู่กับเขาด้วย”



    “ชาร์ลส์หน้าตาเป็นยังไง”  สามีฉันถามลอรี่  “เขามีฉายาอะไรไหม”



    “เขาตัวใหญ่กว่าผม”  ลอรี่ตอบ  “และเขาก็ไม่มียางลบซักก้อนและเขาก็ไม่ใส่เสื้อแจ็คเกตซักตัวด้วย”







    คืนวันจันทร์เป็นการประชุมครูผู้ปกครองครั้งแรก  แต่ความจริงคือว่าลูกแบเบาะของฉันเป็นหวัด  ฉันเลยไม่ได้ไป  หากยังไงฉันยังอยากพบแม่ของชาร์ลส์สุดกำลัง  วันอังคาร  ลอรี่ก็กล่าวขึ้นมาทันใด  “ครูเรามีเพื่อนมาหาในโรงเรียนวันนี้ฮะ”



    “แม่ของชาร์ลส์เหรอ”  สามีกับฉันถามเป็นเสียงเดียวกัน



    “ม่ายยย”  ลอรี่ตอบเสียงหมิ่นๆ  “เขาเป็นผู้ชายที่ให้เราออกกำลัง  เราต้องแตะนิ้วเท้าเราครับ  ดูสิ”  เขาปีนลงจากเก้าอี้แล้วนั่งบนพื้นจากนั้นก็แตะนิ้วเท้า  “อย่างนี้ครับ”  เขาบอกก่อนกลับขึ้นเก้าอี้อย่างเคร่งขรึมแล้วหยิบส้อมขึ้นมา  “ชาร์ลส์ไม่ออกกำลังด้วยซ้ำ”



    “ดีนี่”  ฉันพูดเต็มเสียง  “ชาร์ลส์ไม่อยากออกกำลังกายเหรอ”



    “ม่ายยย”  ลอรี่ลากเสียง  “ชาร์ลส์ทำตัวหยาบคายต่อเพื่อนของครูจนเขาไม่ยอมให้ออกกำลังกายด้วยเลย”



    “หยาบคายอีกแล้วเหรอ”  ฉันถาม



    “เขาเตะเพื่อนของครู”  ลอรี่เล่า  “เพื่อนของครูบอกให้ชาร์ลส์แตะนิ้วเท้าเหมือนที่ผมทำ  และชาร์ลส์ก็เลยเตะเขา”



    “ลูกคิดว่าพวกเขาจะทำยังไงกับชาร์ลส์ต่อไปล่ะ”  พ่อเขาถาม



    ลอรี่ยักไหล่อย่างมีท่ามีทาง  “โยนเขาออกโรงเรียนมั้ง  ผมเดาเอานะ”



    วันพุธและวันพฤหัสก็เป็นไปตามแบบเดิม  ชาร์ลส์ตะโกนตอนชั่วโมงเล่าเรื่องและชกท้องเด็กคนหนึ่งจนร้องไห้  วันศุกร์  ชาร์ลส์ต้องอยู่หลังเลิกเรียนอีกครั้ง  คนอื่นๆทุกคนเลยอยู่ตามกันไปด้วย







    เมื่อถึงสัปดาห์ที่สามในโรงเรียนอนุบาล  ชาร์ลส์ก็เป็นขนบธรรมเนียมในครอบครัวเราอย่างหนึ่งไปแล้ว  ลูกแบเบาะของฉันทำตัวเป็นชาร์ลส์เมื่อแกร้องไห้ไม่หยุดตลอดบ่าย  ลอรี่ทำตัวชาร์ลส์ครั้งหนึ่งเมื่อเขาเอาโคลนยัดรถลากจนเต็มและเข็นมันไปรอบๆครัว  แม้กระทั่งสามีของฉันก็เป็นไปกับเขาด้วย  เขาเผลอพันข้อศอกกับสายโทรศัพท์และดึงทั้งตัวเครื่องกับชามใส่ดอกไม้ตกจากโต๊ะ  แล้วก็พูดขึ้นหลังผ่านไปนาทีแรกว่า  “เหมือนชาร์ลส์เลย”



    ระหว่างสัปดาห์ที่สามกับสี่  ดูเหมือนว่าจะเกิดการปฏิวัติในตัวชาร์ลส์เสียแล้ว  ลอรี่รายงานเรื่องนี้ด้วยสีหน้าบึ้งตึงตอนเที่ยงวันพฤหัสฯของสัปดาห์ที่สาม  “วันนี้ชาร์ลส์ทำตัวดีมากจนครูเอาแอปเปิ้ลให้เขาด้วย”



    “อะไรนะ”  ฉันร้อง  ส่วนสามีของฉันถามเสริมอย่างระมัดระวังท่าที  “ลูกหมายถึงชาร์ลส์หรือ”



    “ชาร์ลส์ครับ”  ลอรี่ตอบ  “เขาแจกสีเทียนไปรอบๆและช่วยเก็บหนังสือในตอนหลัง  ครูบอกว่าเขาเป็นผู้ช่วยของครู”



    “เกิดอะไรขึ้นจ๊ะ”  ฉันถามอย่างไม่อยากเชื่อ



    “เขาเป็นผู้ช่วยของครูฮะ  ก็แค่นั้นแหละ”  ลอรี่ว่าและยักไหล่



    “จะเป็นจริงไปได้หรือ  เรื่องชาร์ลส์น่ะค่ะ”  ฉันถามสามีคืนนั้น  “เกิดอะไรอย่างนี้ขึ้นได้ด้วยหรือ”



    “คอยดูก็แล้วกัน”  สามีฉันพูดเสียงถากถาง  “ถ้าคุณมีคนอย่างชาร์ลส์คนหนึ่งต้องรับมือด้วย  นี่ก็อาจหมายความว่าเขาแค่กำลังออกอุบายเท่านั้นแหละ”  ท่าทางเขาจะกล่าวผิด  สัปดาห์ต่อมาผ่านไป  ชาร์ลส์ก็เป็นผู้ช่วยของครู  แต่ละวันเขาจะแจกของไปทั่วและช่วยเก็บของขึ้นมา  ไม่มีใครต้องอยู่ต่อหลังเลิกเรียนอีกแล้ว



    “สัปดาห์หน้าจะมีการประชุมครูผู้ปกครองอีกแล้ว”  ฉันบอกสามีในเย็นหนึ่ง  “ฉันจะไปพบแม่ของชาร์ลส์ที่นั่น”



    “ถามเธอว่าเกิดอะไรกับชาร์ลส์ด้วย”  สามีของฉันกล่าว  “ผมอยากรู้”



    “ฉันเองก็อยากรู้ค่ะ”  ฉันตอบ



    วันศุกร์ของสัปดาห์นั้น  ทุกอย่างก็กลับไปเป็นแบบเดิม  “รู้ไหมฮะว่าวันนี้ชาร์ลส์ทำอะไร”  ลอรี่ถามตอนเที่ยงที่โต๊ะด้วยเสียงเกรงขามเล็กน้อย  “เขาบอกเด็กหญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งให้พูดคำหนึ่ง  และเธอพูด  และครูก็ล้างปากเธอด้วยสบู่  และชาร์ลส์ก็หัวเราะ”



    “คำอะไรหรือ”  พ่อเขาถามอย่างไม่ฉลาดเอาเสียเลย  ส่วนลอรี่ตอบ  “ผมต้องกระซิบให้พ่อฟังฮะ  มันแย่มาก”  เขาลงจากเก้าอี้และเดินรอบโต๊ะไปหาพ่อ  พ่อก้มหัวลงมา  ชาร์ลส์กระซิบใส่หูเขาด้วยความร่าเริง  สามีของฉันนัยน์ตาเบิกกว้าง



    “ชาร์ลส์บอกเด็กหญิงตัวเล็กๆให้พูดคำนั้นเนี่ยนะ”  เขาถามเสียงยำเกรง



    “เธอพูดมันตั้งสองรอบฮะ”  ลอรี่บอก  “ชาร์ลส์บอกเธอให้พูดมันออกมาสองรอบ



    “เกิดอะไรกับชาร์ลส์ล่ะ”  สามีฉันถาม



    “เปล่าฮะ”  ลอรี่ปฏิเสธ  “ตอนนั้นเขากำลังแจกสีเทียนอยู่”



    เช้าวันจันทร์  ชาร์ลส์ไม่ยุ่งเด็กหญิงตัวเล็กๆคนนั้นและพูดคำอันชั่วร้ายออกมาสามสี่รอบเองทีนี้  แต่ละคำก็โดนสบู่ล้างปากทีหนึ่ง  เขายังขว้างชอล์คอีกด้วย



    เย็นนั้นสามีของฉันเดินมาส่งที่ประตูขณะฉันเตรียมตัวจะไปประชุมครูผู้ปกครอง  “เชิญเธอมาดื่มชาหลังประชุมด้วยนะ”  เขาบอก  “ผมอยากเห็นหน้าเธอ”



    “ถ้าเธอมานะ”  ฉันภาวนา



    “เธอต้องมาอยู่แล้ว”  สามีฉันมั่นใจ  “ผมไม่รู้เลยว่าพวกเขาจะมีการประชุมผู้ปกครองได้ยังไงถ้าไม่มีแม่ของชาร์ลส์มาด้วย”



    ที่ประชุม  ฉันนั่งอยู่ไม่สุขและสำรวจหน้าของหญิงวัยกลางคนที่ล้วนแต่ดูไม่อึดอัดไปพลาง  ฉันพยายามพิจารณาว่าใบหน้าไหนกันที่ซ่อนความลับของชาร์ลส์ไว้  ฉันดูแล้วไม่เห็นมีใครหน้าซูบซีดพอเลย  ไม่มีใครยืนขึ้นในที่ประชุมและขอโทษกับพฤติกรรมของลูกชายเลย  ไม่มีใครพูดถึงชาร์ลส์



    หลังการประชุม  ฉันหาครูประจำชั้นอนุบาลของลอรี่เจอ  เธอมีจานใส่ชาถ้วยหนึ่งกับชิ้นเค้กช็อกโกแลต  ส่วนฉันก็มีจานใส่ชาถ้วยหนึ่งกับชิ้นเค้กมาร์ชแมลโลว์เหมือนกัน  เราพูดจาหลีกหลบกันและกันอย่างระมัดระวัง  จากนั้นจึงยิ้ม



    “ดิฉันอยากเจอคุณมากเลยค่ะ”  ฉันเริ่ม  “ฉันคือแม่ของลอรี่ค่ะ”



    “เราทุกคนสนใจลอรี่กันมากเลยค่ะ”  เธอบอก



    “เอ้อ  เขาชอบชั้นอนุบาลแน่ๆค่ะ”  ฉันกล่าว  “เขาคุยเรื่องนี้ตลอดเวลาเลย”



    “เรามีปัญหาเล็กน้อยที่ต้องปรับตัวให้ปรองดองกันในประมาณสัปดาห์แรกๆค่ะ”  เธอพูดอย่างสงบเสงี่ยม  “แต่ตอนนี้เขาเป็นผู้ช่วยตัวน้อยที่น่ารักเลย  แน่นอนว่าหลังจากนั้นก็ออกนอกลู่นอกทางไปบ้างเป็นช่วงๆแค่นั้นค่ะ”



    “ปกติลอรี่จะปรับตัวเร็วมากเลยนะคะ”  ฉันอธิบาย  “ดิฉันเดาว่าคราวนี้คงเป็นอิทธิพลจากชาร์ลส์เสียมากกว่า”



    “ชาร์ลส์หรือคะ?”



    “ค่ะ”  ฉันตอบพลางหัวเราะ  “คุณต้องยุ่งมือเป็นระวิงแน่ๆที่ต้องสอนในชั้นอนุบาลนั้นโดยมีชาร์ลส์อยู่ด้วย”



    “ชาร์ลส์หรือคะ?”  เธอทวนซ้ำ  “แต่ในชั้นอนุบาลนี้  เราไม่มีนักเรียนคนไหนชื่อชาร์ลส์ซักคนเลยนะคะ”

















    ประวัติผู้เขียน




    เชอร์ลีย์ แจ็คสัน(Shirley Jackson)เกิด 14 ธันวาคม ค.ศ. 1916 แต่งงานกับ Stanley Edgar Hyman ที่เป็นนักเขียนเช่นเดียวกันในปี 1941  งานเขียนหลากชนิดของเธอได้รับรางวัลมากมาย เรื่องสั้นของเธอได้รับลงพิมพ์ใน The New Yorker, Mademoiselle, Fantasy and Science Fiction, Charm, The Yale Review, The New Republic, The Saturday Evening Post, และ Reader\'s Digest อย่างสม่ำเสมอจนกระทั่งเธอเสียชีวิตลงในวันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ. 1965



    ประวัติรวบรวมโดย Manus
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×