คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : เล่ห์ร้าย 8
“ช่วย…อื้อ”
“อย่าส่งเสียง ไม่งั้นเจ็บตัวแน่”
“อยากได้อะไรก็เอาไป แต่อย่าทำอะไรฉัน” หมอสาวบอกเสียงสั่น เธอห่วงตัวเองมากกว่าสิ่งของ
“ฉันไม่ได้อยากได้ของๆ เธอ แต่มีคนฝากฉันมาเตือน”
“เตือนอะไร” ความสงสัยทำให้เธอลืมกลัวไปชั่วขณะ
“อย่ายุ่งกับลุกซ์” ชายคนดังกล่าวเอาคำเตือนที่ถูกฝากมาบอกต่อ เขาไม่รู้ว่าคนชื่อลุกซ์นี่เป็นใคร และมันก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรที่เขาจะใส่ใจด้วย ผู้หญิงตรงหน้ามันน่าสนใจมากกว่า “อืม...สวยเหมือนกันนี่” สะแยะยิ้มชั่วร้าย เขาได้รับคำสั่งมา ทำอย่างไรก็ได้ให้เธอกลัว ฉะนั้นแค่คำขู่อย่างเดียวคงไม่พอ
หมอมธุรินรู้ว่าอีกฝ่ายไม่แค่จะส่งคำขู่เท่านั้น ช่วงเวลาคับขันหากเธอไม่ปกป้องตัวเอง ก็อาจจะพลาดท่าเสียที คราแรกเธอทำทีเหมือนยอมตามใจ แต่พอเขาเผลอก็กัดเข้าที่ไหล่ อีกฝ่ายสะดุ้งโหยงด้วยความเจ็บปวด
“โอ๊ย!” ชายคนนั้นร้องลั่น พร้อมกับถูกเธอผลัก แต่ก็คว้าแขนเธอไว้ได้ พร้อมกันนั้นก็ก็กดฝ่ามือไปที่ลำคอระหง บีบอย่างแรงด้วยความโมโห เธอต่อสู้สุดฤทธิ์ ข้าวของในห้องกระจัดกระจาย
“ช่วยด้วย!” หมอสาวตะโกนขอความช่วยเหลืออย่างจนปัญญา พยายามทำให้เกิดเสียงดังมากที่สุด เผื่อมีคนได้ยิน ชายคนนั้นกระโจนเข้าหา แล้วบีบคอเธออีกครั้งเพื่อให้เธอหยุดส่งเสียง
“เงียบนะ! อยากตายรึไง” น้ำเสียงดุกร้าวข่มขู่ เธอคิดว่าคงไม่มีใครได้ยินเธอแน่แล้ว เธอกำลังจะถูกชายคนนี้ขืนใจ และร้ายกว่านั้นอาจถูกฆ่าปิดปาก แต่จู่ๆ ก็มีเสียงทุบประตูจากอีกด้านหนึ่ง
“คุณหมอ! เป็นอะไรไหมครับคุณหมอ”
เธอไม่สามารถตะโกนตอบกลับไปได้ แต่คนที่อยู่ด้านนอกก็ไม่ล่ะความพยายามที่จะช่วยเธอ เมื่อเธอไม่ตอบ จึงพังประตูเข้ามาเลย ชายที่เป็นคนร้ายตกใจ จึงรีบหนีออกทางหน้าต่างอย่างรวดเร็ว
หมอสาวทรุดลงนั่งกับพื้น พูดไม่ออกไปอึดใจใหญ่ ชายคนที่เข้ามาช่วยเธอไว้รีบดูอาการหมอสาวด้วยความเป็นห่วง หลังจากนั้นก็พาเธอไปโรงพักเพื่อแจ้งความ
“ขอบคุณนะคะที่ช่วย ฉันเกือบจะแย่แล้ว” พอให้ปากคำเสร็จ หมอมธุรินก็รีบขอบคุณชายผู้ช่วยชีวิตเธอ เพราะเหตุการณ์ฉุกละหุกเธอเลยเพิ่งสังเกตเขา “คุณย้ายเข้ามาใหม่เหรอคะ ฉันไม่เคยเห็นหน้าคุณเลย” เขามีอาการอึกอัก ไม่ได้ตอบในทันที และพออีกคนมาถึง เขาก็รีบทำความเคารพ นั่นทำให้หมอสาวงงเข้าไปใหญ่ ทำไมลุกซ์ถึงรู้ข่าวเร็วปานนี้
“คุณปลอดภัยรึเปล่า” ลุกซ์สอบถามหญิงสาว เขามีท่าเคร่งเครียดผิดจากทุกครั้ง
“ฉันปลอดภัยค่ะ คุณรู้ได้ยังไง” อาการงุนงงของเธอเปลี่ยนเป็นความโกรธ เมื่อเขาอธิบายให้ฟัง
“อย่าเพิ่งโกรธผมนะ ผมทำเพราะเป็นห่วงคุณ”
“ด้วยการส่งคนมาสะกดรอยตามฉันเนี่ยนะ”
“มาอารักขาต่างหาก พูดให้ถูกสิ ถ้าไม่ได้คนของผม คุณคงเสร็จมันไปแล้ว” เขาหวังจะได้คำขอบคุณ กลับโดนเธอถลึงตาใส่ พอหลังจากที่เธอถูกมือดีมากรีดรถคราวก่อน ลุกซ์จึงห่วงสวัสดิภาพของหญิงสาวมาก เลยส่งคนมาตามดูแลเธอโดยไม่ได้บอกให้รู้ และก็เกิดเรื่องเข้าจนได้
“มันเกินไปแล้วนะ นี่มันไม่เคารพสิทธิส่วนบุคคลกันเลย” หมอมธุรินเอาเรื่องเสียงเขียว นับวันลุกซ์ก้าวก่ายเรื่องของเธอมากไปแล้ว
“ผมยอมรับว่ามันอาจจะเกินไป แต่เพื่อความปลอดภัยของคุณ ผมยอมโดนคุณด่า”
เหตุผลของเขาทำให้เธอว่าเขาไม่ลงอีก ได้แต่โกรธอย่างเงียบๆ ฝ่ายชายหนุ่มรอจนเธอผ่อนความโกรธลง จึงได้พูดต่อ
“คืนนี้คุณคงกลับไปพักที่หอไม่ได้แล้ว มันอันตราย เกิดว่าคนร้ายย้อนกลับมา”
“ก็คงอย่างงั้นแหล่ะค่ะ ฉันคงต้องไปเปิดโรงแรมนอน”
“ไม่ได้ ไปนอนโรงแรมยิ่งอันตราย” น้ำเสียงดุเข้ม เวลานี้ใบหน้าลุกซ์แลดูขึงเครียดจริงจัง เหตุการณ์มันเกิดขึ้นต่อเนื่องจนเกินกว่าที่จะเป็นเรื่องบังเอิญได้ ตั้งแต่เรื่องรถมาจนถึงเรื่องคนร้ายบุกเข้าหาเธอ “คืนนี้ผมให้คุณอยู่คนเดียวไม่ได้ คุณไปค้างที่เพ้นท์เฮ้าส์ผมเถอะ”
“อะไรนะคะ ไปนอนกับคุณน่ะหรือ ไม่มีทาง ถ้าฉันไปเดี๋ยวคนอื่นก็เข้าใจผิดกันพอดี”
“คุณกลัวความคิดของคนอื่นมากกว่าความปลอดภัยของตัวเองรึไง ผมไม่ทำอะไรคุณหรอก นอกจากคุณจะอยากให้ทำ”
“ฉันเนี่ยน่ะเหรอจะอยากให้คุณทำ อย่าพูดอะไรที่ไม่มีทางเป็นไปได้เลยค่ะ ขอบคุณนะคะ แต่ฉันไม่อยากรบกวน” เธอว่าไปนอนกับเขาก็คงอันตรายไม่ต่างกันหรอกมั้ง
“อย่าปฏิเสธความหวังดีของผมเลยคุณหมอ ผมห่วงคุณจริงๆ นะ”
หมอสาวคิดหนัก ครั้นจะโทรหาไมเคิล ดึกป่านนี้แล้วเธอก็เกรงใจ และลุกซ์เองก็พูดถูก ตอนนี้เธอไม่สามารถไว้ใจใครได้เลย
หมอมธุรินถูกลุกซ์พากลับมาที่เพ้นท์เฮ้าส์จนได้ ตึกหกสิบชั้นสูงตระหง่านอยู่ใจกลางกรุง ภายในหรูหราสมราคามหาเศรษฐีหนุ่ม เขาบันดาลให้มันที่พักผ่อนอันรื่นรมย์ ถูกตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สุดหรู มีเคาน์เตอร์บาร์เป็นมุมสำหรับนั่งดื่ม คิดว่าเขาคงจะมีปาร์ตี้กับสาวๆ บ่อยแน่
“ปรกติผมพักที่นี่ ไม่ค่อยได้กลับไปที่คฤหาสน์ ผมชอบความเป็นส่วนตัว” เขาอธิบายให้เธอฟัง แน่ล่ะถ้าอยู่คฤหาสน์เขาคงไม่ได้ทำอะไรตามใจ นั่นเพราะนางลูซินดาชอบความสงบ และเขาก็มีปาร์ตี้กับสาวสวยบ่อยเสียด้วย แต่นั่นมันเมื่อก่อน
“ฉันไม่ใช่ผู้หญิงคนแรกที่มาที่นี่ใช่ไหม” เธอถามพลางมองวิวของเมืองในยามค่ำคืน ขณะที่ชายหนุ่มเดินมาหาพร้อมกับเครื่องดื่ม
“ใช่ ก็...ผมมีเพื่อนเยอะ” บอกพลางยักไหล่ ชายหนุ่มเลือกที่จะไม่โกหก ผู้หญิงส่วนใหญ่เขาให้คำนามว่าเป็นเพื่อน หรือจะเรียกอีกแบบก็คือคู่นอนเท่านั้น
“เพื่อน เพื่อนนอนเหรอคะ” เธอมองเขาอย่างรู้ทัน และรอดูว่าเขาจะตอบว่ายังไง
“ใช่”
“คงเยอะล่ะสิท่า” หมอสาวเหลียวมามอง คนร่างสูงยืนกอดอกพิงกระจก โคลงแก้วเครื่องดื่มในมือเล่น
“อย่าให้ผมนับเลย ผมจำไม่ได้หรอกว่ามีใครมาบ้าง” เป็นคำตอบที่ตรงประเด็นอย่างยิ่ง ไม่ได้พูดให้ตัวเองดูดี เขาจะไม่เสแสร้งต่อหน้าเธอ มาจนป่านนี้เธอคงไม่คิดว่าเขาจะถือพรหมจรรย์ไว้รอเธอ ลุกซ์คิดว่าเรื่องที่ผ่านมาไม่สำคัญเท่ากับเรื่องที่เขาจะทำต่อจากนี้
“นั่นสินะ คนที่ใช้ผู้หญิงเปลืองอย่างคุณจะไปจำอะไรได้” เขายืดอกยอมรับหน้าตาเฉย ทำให้เธอหมั่นไส้เป็นอย่างมาก พอนึกถึงว่ามีผู้หญิงจำนวนไม่น้อยที่เขาพามา ก็เคืองใจอย่างอธิบายไม่ถูก
“คุณไม่ต้องห่วงหรอก หลังจากเราแต่งงานกัน ผมจะสงวนที่นี่ให้เป็นที่ของเรา” เขายืนยัน
“ฉันยังไม่ได้รับปากเลยนะคะ อย่าเพิ่งด่วนสรุปสิ”
“แต่ผมเชื่อว่าคุณจะรับปาก” ลุกซ์ดูมั่นใจนัก รอยยิ้มพึงใจหมายมาดต่อหญิงสาว ดวงตากลมวาวมีเสน่ห์นั้นมองมาที่เขา เหมือนกับพินิจพิเคราะห์ ใบหน้ารูปไข่ต้องแสงไฟยิ่งทำให้เธอดูสวยหวาน เขาเกลี่ยหลังมือไปที่แก้มนวล เธอสวยหมดจด จะมีตำหนิอยู่ก็แค่รอยช้ำที่คอ ซึ่งเดี๋ยวมันก็คงจางลงเองในไม่ช้า “ชีวิตผมมีผู้หญิงผ่านมาเยอะนะคุณหมอ แต่ผมบอกตรงๆ ว่าผมไม่เคยพอใจใครเท่าคุณมาก่อน”
ลุกซ์เกลี่ยนิ้วลงมาเน้นคลึงที่ริมฝีปากเนียนนุ่มสีอ่อน ไม่มีสิ่งใดมาเคลือบเติมแต่งเพื่อให้สวยงาม มันจึงเป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดเขา เธองามอย่างธรรมชาติจริงๆ และยังมีกลิ่นหอมเหมือนดอกไม้ เพียงแต่ดอกไม้ดอกนี้เย็นชา และไม่สามารถเด็ดดมได้ง่ายๆ
หมอมธุรินยืนนิ่ง ไม่ได้ปัดป้องเมื่อเขาลูบไล้ใบหน้าตน รู้สึกแปลกเมื่อร่างชายหนุ่มขยับเข้ามาชิด หลายคนคงหลงใหลเครื่องหน้าอันแสนหล่อเหลา สันจมูกโด่งและสายตาคมกริบ เวลาสาดมองเหมือนมีพลังงานส่งออกมา มีหลายคราที่เธอไม่ชอบใจกับความเจ้ากี้เจ้าการ แต่ต้องยอมรับว่าความวุ่นวายนี้ช่วยเธอได้หลายครั้ง เธออาจจำเป็นต้องยอมรับความช่วยเหลือของเขา ถึงรู้ว่ามันจะเสี่ยงมากก็ตาม สิ่งที่เธอต้องแลกเปลี่ยนราคามันสูงมากสำหรับเธอ รู้ความปรารถนาของเขาดี แต่เธอก็ยังไม่พร้อมที่จะให้ เธอเลยเบือนหน้าหลบ
“เรายังคุยกันไม่จบเลย คุณอย่าเพิ่ง...” หญิงสาวรู้สึกอึดอัดที่วงแขนใหญ่โอบรัดเอวตนแน่นจนเกินไป คุยกันไม่ทันไรก็ออกลายแล้ว มือไวเหลือเกิน
“บอกผมมาสิ คุณจะเอายังไง” เขาข่มใจไว้อย่างยากลำบาก ร่างนุ่มหอมกรุ่นอยู่ในอ้อมแขน แต่กลับทำอะไรไม่ได้นอกจากกอด เป็นอะไรที่ทรมาน “ตกลง หรือไม่ตกลงกันแน่” เร่งรัดเอาคำตอบ เขาไม่ชอบเลยที่ต้องเป็นฝ่ายรอคอย โดยเฉพาะกับสตรีบอบบาง ไม่เคยที่จะถูกขัดใจยามเมื่อแรงปรารถนาโหมกระพือ และเธอก็ใช้เวลาคิดนานเหลือเกิน
“ตกลงค่ะ”
“ก็แค่นั้น” คำตอบเป็นที่น่าพอใจ ในที่สุดเธอก็ยอมตกลงจนได้
“แล้ว คุณรับปากว่าจะช่วย...”
“ผมไม่ลืมหรอก”
“แล้วเอ่อ...เรื่อง” หญิงสาวอึกอัก เธอเพิ่งขอความช่วยเหลือจากเขา เมื่อเขารับปาก ก็ย่อมต้องมีอะไรแลกเปลี่ยนบ้าง แต่เรื่องนี้เธอยังไม่ได้ทำใจ และก็ลำบากใจที่จะต้องเอ่ยขอ เพราะมันเหมือนเป็นการเห็นแก่ตัว
ชายหนุ่มดูอาการของเธอแล้ว รู้เลยว่าเธออยากจะพูดอะไร ที่จริงแล้วเขาก็อยากกระชับความสัมพันธ์ให้แนบแน่นเสียเดี๋ยวนี้ แต่หากเป็นอย่างนั้น มันเป็นจะการฝืนใจเธอ เธอยอมแต่งงานเพราะผลตอบแทนที่เขาช่วยเธอได้ ไม่ได้มีความเสน่หา ฉะนั้นเขาควรแสดงความเป็นสุภาพบุรุษต่อเธอ
“ผมสัญญา ผมจะไม่แตะต้องคุณจนกว่าคุณจะพร้อม”
“ขอบคุณค่ะ” ได้ยินแบบนี้เธอถึงได้ยิ้มออก อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ไปอีกพักหนึ่ง แต่ถ้าถึงวันนั้นจริง เธอจะยอมเป็นของเขาได้รึเปล่านะ
ความคิดเห็น