คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : เล่ห์ร้าย 6
“ต้องขอโทษด้วยที่งานแต่งงานของเคลวินผมไปไม่ได้” นายเฮนริคบอก
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเข้าใจ แล้วนี่อาการป่วยของคุณดีขึ้นรึยังคะ” นางยิ้มนิด พร้อมสอบถามอาการ นายเฮนริคเป็นเพื่อนสนิทของสามีนาง สองครอบครัวมีสายสัมพันธ์ที่ดีมานานมาก โดยเฉพาะตอนที่สามีนางยังอยู่ ก็เคยได้รับความช่วยเหลือจากนายเฮนริคอยู่หลายครั้ง เพราะฉะนั้นนางจึงมีความเกรงใจอีกฝ่ายเป็นอย่างมาก
“ดีขึ้นแล้วครับ คนอายุมากก็แบบนี้ สังขารก็ร่วงโรยตามวัย”
“ฉันจะมาหลายครั้งแล้ว แต่ติดงาน เห็นคุณไม่เป็นอะไรค่อยโล่งใจหน่อย” สมัยก่อนตอนสามีนางยังอยู่ สองครอบครัวไปมาหาสู่กันบ่อยมาก กระทั่งสามีนางเสียชีวิตไปก็ยังเป็นแบบนั้นอยู่ จนพักหลังนายเฮนริคป่วย จึงไม่ค่อยได้พบกัน จะมีก็แต่นางมาร์ธาที่ได้เจอกันบ้างตามงานเลี้ยง และเพราะสายสัมพันธ์ของครอบครัวที่มีมานาน นางลูซินดาจึงหมายตามิลล่าหลานสาวของอีกฝ่ายเอาไว้ให้ลุกซ์ แต่ดูหลายชายของนางกลับไม่ได้สนใจมิลล่า แต่ไปชอบพอหลานสาวอีกคนแทน หากเป็นก่อนนี้นางคงคิดหนัก แต่ตอนนี้ การที่นายเฮนริคยอมให้หมอมธุรินเข้ามาทำงานในโรงพยาบาล นางเลยคิดว่าความสัมพันธ์ของสองตาหลานคงจะดีขึ้นแล้ว นางเองก็ไม่เคยเจอหมอสาวมาก่อน กระทั่งเกิดเรื่องกับหลานชายคนโต ทำให้นางรู้ว่าหมอมธุรินเป็นหลานสาวอีกคนของนายเฮนริค จุดประสงค์ที่นางมาวันนี้ ไม่เพียงแค่จะมาเยี่ยมเยือน แต่มีอีกเรื่องที่นางต้องการจะพูดกับอีกฝ่ายด้วย ระหว่างที่ทั้งสองพูดคุยกันอยู่ นางมาร์ธาและมิลล่าก็ลงมาสมทบ
“เห็นมาร์ธาบอกว่าพักนี้โรงพยาบาลมีปัญหาหรือคะ”
“ใช่ครับ” นายเฮนริคพยักหน้า แต่แอบเหล่มองไปที่ลูกสาวอย่างไม่พอใจ ที่เอาเรื่องในครอบครัวไปเล่าให้นางฟัง
“ฉันอยากช่วยนะคะ ที่แล้วมาคุณเองก็เคยช่วยเหลือครอบครัวฉัน” นางว่า ที่ต้องพูดขึ้นก่อน เพราะรู้ว่านายเฮนริคขี้เกรงใจ จะไม่ยอมเอ่ยปากก่อน อีกทั้งนายเฮนริคเป็นคนหยิ่งในศักดิ์ศรีมาก แต่นางติดตามข่าวมาตลอด รู้ว่าตอนนี้โรงพยาบาลประสบปัญหาอย่างหนักด้วย
“จริงๆ วันนี้ที่ฉันมา ไม่ใช่แค่มาเยี่ยมอย่างเดียวนะคะ คือฉันจะมาคุยกับคุณเรื่องของลุกซ์ด้วยค่ะ” นางลองเกริ่นเพื่อดูท่าทีอีกฝ่าย อีกสองคนนั้นมีปฏิกิริยาทันที แต่นางจำเป็นต้องพูดต่อ ถึงรู้ว่านางมาร์ธาหวังให้มิลล่าเป็นคนที่ถูกเลือก แต่ลุกซ์ยืนยันว่าต้องเป็นหมอมธุรินเท่านั้น และความคิดนี้เป็นความคิดของลุกซ์เองด้วย หากจะหยิบยื่นความช่วยเหลือมาตรงๆ นายเฮนริคคงไม่ยอมรับ แต่ถ้าใช้การแต่งงานเป็นข้ออ้าง นายเฮนริคคงไม่ปฏิเสธ
“หลานชายของฉันมาบอกว่า กำลังคบหาดูใจกับหลานสาวของคุณอยู่น่ะค่ะ และฉันคิดว่าครอบครัวของเราก็รู้จักกันมานาน ก็เลยอยากจะให้เรามีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกว่านี้ หากว่าจะมีการแต่งงานเกิดขึ้น คุณจะว่ายังไงคะ”
พอนางบอก นายเฮนริคมองไปที่มิลล่า ด้วยเข้าใจว่านางหมายถึงเธอ ทว่าเจ้าตัวกลับเริ่มสงสัยว่าคนที่นางพูดถึงคงไม่ใช่ตนแน่ และเมื่อฟังนางพูดต่อจนจบ เฮนริคงงไปชั่วครู่
“คุณจะคุยกับคุณหมอก่อนก็ได้นะคะ”
“คุณหมอ?”
“ค่ะ คุณหมอมธุริน หลานสาวของคุณ ฉันหวังว่าเราสองครอบครัวจะได้แนบแน่นกว่านี้นะคะ”
บรรยากาศภายในห้องเงียบไปอึดใจ มิลล่าไม่สามารถกรี๊ดออกมาตรงๆ ได้ เธอจึงเดินหนีออกไปโดยไม่พูดอะไร ก่อนกลับขึ้นไปบนห้อง ปล่อยเสียงกรี๊ดอย่างเต็มที่ นางมาร์ธายังนั่งอยู่ที่เดิมเพื่อรักษามารยาท ใจนางนั้นนึกเคืองนางลูซินดาอยู่เงียบๆ นั่นเพราะก่อนหน้านางแสดงออกว่าพอใจมิลล่า ทว่าพอมาวันนี้กลับเปลี่ยนเป็นอีกคนแทน เท่ากับไม่ไว้หน้าตนเลย
“เรื่องนี้ ผมขอคุยกับเจ้าตัวก่อนแล้วกัน” เพราะการแต่งงานครั้งนี้มันมีนัยยะอย่างอื่นแฝงอยู่ นายเฮนริคจึงไม่ปฏิเสธ โรงพยาบาลที่เขาสร้างมาด้วยน้ำพักน้ำแรงกำลังเข้าสู่วิกฤต และรู้ว่าอีกฝ่ายช่วยเขาได้ มันก็เป็นเรื่องยากเช่นกันที่จะขอความช่วยเหลือจากหลานสาวที่ตนตัดขาดไปนานแล้ว
หมอมธุรินนั่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เธอแปลกใจไม่น้อยที่จู่ๆ นายเฮนริคก็เรียกเข้ามาพบ เธอเข้ามาทำงานระยะหนึ่งแล้ว แต่นายเฮนริคก็ยังทำเหมือนเธอเป็นแค่พนักงานธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น พอถูกนายเฮนริคเรียกมา จึงเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดมาก่อน
“คุณท่านเรียกฉันเข้ามาพบด้วยเรื่องอะไรคะ” หญิงสาวถามขึ้นก่อน
“เธอคบอยู่กับหลานชายคุณลูซินดาหรือ” คนสูงอายุกว่าเอ่ยถามเรียบๆ
“คะ...เอ่อ เรื่องนั้น” หมอสาวพูดอึกอัก นั่นเพราะมันเป็นการคบกันหลอกๆ เท่านั้นเอง
“เมื่อวานคุณลูซินดาเข้ามาพูดกับฉันเรื่องแต่งงาน”
“แต่งงาน!” หมอมธุรินถามเสียงดังอย่างลืมตัว เธอไม่เคยคิดว่ามันจะไปไกลขนาดนี้
“ใช่” นายเฮนริคมีอาการแปลกใจกับท่าทางที่ดูตกใจของหมอสาว เขาคิดว่าเธอน่าจะคุยกับลุกซ์มาก่อนแล้ว
คราแรกที่ได้ยิน หมอสาวรู้สึกโกรธ นี่คงเป็นความคิดของลุกซ์แน่ๆ แต่มันก็ทำให้เธอคิดบางอย่างได้ คนอย่างนายเฮนริคจะไม่ยอมขอความช่วยเหลือจากใครก่อน แต่เขายอมเรียกเธอเข้าพบ แปลว่าเขาอาจจะหวังให้เธอช่วย แม้เธอจะมีสถานะเป็นคนนอก แต่สำหรับหมอไมเคิลไม่ได้คิดแบบนั้นกับเธอ เขาจึงเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้เธอฟัง การแต่งงานครั้งนี้มันอาจมีจุดประสงค์อย่างอื่นร่วมด้วยแน่
“เรื่องนี้ ฉันขอปรึกษาคุณพ่อก่อนได้ไหมคะ คุณพ่อเป็นห่วงอาการป่วยของคุณท่านมาก ท่านอยากมาเยี่ยมคุณท่าน” หมอสาวเปรยขึ้น เธอไม่แน่ใจว่านายเฮนริคจะอนุญาตรึเปล่า ก็อีกฝ่ายจงเกลียดจงชังพ่อเธอ ขนาดว่าเจอกันโดยบังเอิญยังไม่ยอมทักทายเลย
“ไม่จำเป็น ฉันไม่ได้ป่วยหนักขนาดนั้น” นายเฮนริคปฏิเสธเสียงแข็ง
“แต่ท่านก็เป็นห่วง อีกอย่าง ตอนคุณแม่เสียก็สั่งเอาไว้ด้วย” พอเธอพูดถึงแม่ที่เสียไป นายเฮนริคหน้าบึ้งขึ้นกว่าเดิม
“แล้วไง ฉันไปเกี่ยวอะไรกับการสั่งเสียของแม่เธอด้วย” น้ำเสียงเย็บเยียบไม่ยีหระต่อสิ่งที่เธอพูด
“แต่คุณแม่ก็เป็นลูกสาวของคุณท่านคนหนึ่งเหมือนกัน”
“เราไม่เกี่ยวข้องอะไรกันแล้ว ฉันคิดว่าเธอน่าจะรู้นะ ฉันไม่จำเป็นต้องให้ใครมาเป็นห่วง ฉันสบายดี” คนแก่มีสีหน้าดื้อดึง ยิ่งทำให้หญิงสาวขุ่นเคืองใจนัก นายเฮนริคปฏิเสธแม้แต่ความห่วงใย ถ้าไม่ใช่เพราะคำสั่งเสียของแม่ เธอก็ไม่อยากยุ่งกับครอบครัวนี้หรอก เมลานีมีจิตใจที่อ่อนโยน แม้ถูกคนพวกนี้ผลักไสไล่ส่ง ก็ยังเป็นห่วงจนวินาทีสุดท้าย ถึงพวกเขาจะปฏิเสธการมีตัวตนของนาง สักวันเธอจะทำให้นายเฮนริคยอมรับแม่ของเธออีกครั้งให้ได้
“คุณอยากให้ฉันแต่งงานกับคุณลุกซ์รึเปล่าคะ”
“จะมาถามฉันทำไม มันเป็นเรื่องของเธอที่จะต้องตัดสินใจเอง ไม่ใช่เรื่องของฉัน หมดธุระของฉันแล้ว เธอกลับไปซะ”
จนแล้วจนรอดนายเฮนริคก็ยังไม่พูดอยู่ดีว่าอยากให้เธอช่วย ทั้งที่ตอนนี้ก็อยู่กันในสถานะที่ลำบากมากแล้ว สิ่งที่กั้นกลางระหว่างเธอกับนายเฮนริค คือทิฐิที่ไม่ยอมลด เธอเองก็มีศักดิ์เป็นหลานสาวคนหนึ่ง เหมือนกับไมเคิลและมิลล่า ถ้าเพียงนายเฮนริคแสดงความอารีย์ต่อเธอบ้าง เธอรู้สึกสงสารแม่ของเธอเหลือเกิน ที่ถูกผู้เป็นพ่อไม่ใยดีแบบนี้
หญิงสาวเดินหน้าเศร้าออกมาจากห้อง เธอไม่ได้ตัดสินใจในทันทีว่าควรจะทำอย่างไร ทว่าหมอสาวออกมาเจอนางมาร์ธาพอดี
“สำเร็จจนได้สิ เก่งนี่ ที่จับลุกซ์เสียอยู่หมัด”
“ค่ะ” เธอตอบสั้นๆ เพราะขี้เกียจต่อความให้ยืดยาว หมอมธุรินเดินผ่านมา ได้ยินนางพูดตามหลังว่า
“เสียดายนะ กระถางนั่นน่าจะร่วงใส่หัวเธอ ระวังตัวเอาไว้ให้ดีก็แล้วกัน”
หมอมธุรินสะดุดกับคำพูดของนาง แววตาเหมือนหมายมาดอาฆาตอยู่ในที ความเกลียดที่นางมี ถูกส่งต่อมาหาเธอ แต่เธอไม่สนใจหรอก
หมอสาวกลับมาทำงานต่อ ตั้งสมาธิอยู่กับงานจนกระทั่งตรวจคนไข้รายสุดท้ายเสร็จ ระหว่างเปลี่ยนชุด เตรียมตัวจะกลับบ้าน เธอยู่ในอาการใจลอย ประมวลเหตุผลต่างๆ นาๆ ว่าจะเอายังไงกับเรื่องนี้ดี มันเป็นเรื่องใหญ่ที่เธอไม่สามารถตัดสินใจเองคนเดียวได้ เลยคิดว่าจะกลับไปเยี่ยมพ่อ และจะไปปรึกษาหารือกับอีกฝ่ายด้วย เธอยืนเหม่อ จนพยาบาลสาวเรียกอยู่สองหนจึงรู้ตัว
“คุณหมอ”
“คะ คุณว่าอะไรนะคะ”
“ฉันถามว่า ออกเวรแล้วหรือคะ”
“อ๋อค่ะ กำลังจะกลับ”
“เหนื่อยแย่นะคะวันนี้ คนไข้เยอะ” พยาบาลสาวชวนคุยอย่างยิ้มแย้ม ก่อนจะบอกเธอต่อว่า “อ่อ เกือบลืม คุณคนนั้นมารอคุณหมออยู่ด้านหน้าน่ะค่ะ”
“ใครคะ”
“ก็คนที่มาหาคุณหมอบ่อยๆ ไงคะ เพื่อนคุณหมอคนที่หล่อๆ คนนั้นน่ะ”
หมอมธุรินรู้เลยว่าใคร เธอกำลังอยากพบเขาพอดี พอเปลี่ยนชุดเสร็จ เธอรีบออกไปหาเพื่อเอาเรื่องเขา โดยลุกซ์ที่ยืนถือช่อดอกไม้รออยู่ ยิ้มกว้างเมื่อเห็นหมอสาวเดินออกมา
“คุณไปพูดเรื่องเรากับคุณท่านทำไม” น้ำเสียงเอาเรื่อง แสดงความไม่พอใจเป็นอย่างมาก ที่ลุกซ์ล้ำเส้นความสัมพันธ์ที่เธอขีดไว้
“ผมเปล่านะ คุณย่าผมไปพูดต่างหากล่ะ” ปฏิเสธด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ แน่ล่ะ ถ้าไม่ใช่เขาเป็นคนพูดก่อน เรื่องนี้คงไม่เกิดขึ้น
“ฉันรู้นะว่าเป็นความคิดของคุณ ฉันไม่ตกลง” หมอมธุรินปฏิเสธด้วยอารมณ์โกรธ
“คุณหมอ ช่วยเห็นความหวังดีของผมหน่อยสิ ผมช่วยคุณอยู่นะ”
“ฉันไม่ต้องการให้คุณช่วย อย่ามายุ่งกับฉันได้ไหม”
“ไม่ได้”
“คุณลุกซ์!” หมอสาวเขม่นมองด้วยความโมโห ท่าทางที่เขาตอบ ดูแล้วกวนอารมณ์คนมองมาก แต่ก่อนที่เธอจะอารมณ์ขึ้นไปมากกว่านี้ พยาบาลสาวก็เดินเข้ามาหาหน้าตาตื่น
“คุณหมอคะ คือว่า...รถของคุณหมอ”
ลุกซ์กับหมอมธุรินออกมายังบริเวณลานจอดรถ ซึ่งมีคนมุงอยู่รอบรถของหมอสาวเต็มไปหมด พอทั้งสองได้เห็นก็ตกใจมาก รถของหมอมธุรินเละไม่มีชิ้นดี กระจกทั้งสี่ด้านถูกทุบจนแตก และยังมีรอยกรีดจากของมีคมรอบรถจนเหวอะหวะน่ากลัว รถของเธอมีสภาพยับเยินจนไม่สามารถใช้งานได้เลย
“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย ฝีมือใคร” ลุกซ์เอ่ยถามคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ซึ่งต่างก็พากันส่ายหน้า ไม่มีใครรู้เห็นเหตุการณ์เลยสักคน พอไปขอดูกล้องวงจรปิด มันกลับเสียพอดี ลุกซ์คิดในใจว่า มันบังเอิญไปรึเปล่านะ
ความคิดเห็น