ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    revenna and the heart of the equilibrium | หัวใจแห่งความสมดุล

    ลำดับตอนที่ #8 : เที่ยว(2)

    • อัปเดตล่าสุด 9 ก.ย. 66


    “อืมมม เล่มนี้ก็น่าสนใจดี” หลังจากที่มาถึงหอสมุดแล้ว คนชอบหนังสือก็ดูจะหายปวดท้องเร็ว แล้วรีบตรงดิ่งมายังชั้นหนังสือโซนประวัติศาสตร์ที่ไม่รู้ทำไมดูจะมีชั้นหนังสือน้อยกว่าโซนอื่นอยู่มากโข แถมยังไม่ค่อยจะมีคนมานั่งหรือหาอ่านหนังสือในโซนนี้ด้วย

    “เอ๊ะ!” ไม่นานนักหางตาก็สะดุดกับหนังสือเล่มหนึ่งที่ดูจะเก่ากว่าเล่มไหนๆ แถมสภาพยังดูเหมือนเป็นของดึกดำบรรพ์อย่างไรอย่างนั้น มือเรียวเอือมมือไปหยิบมันมาสำรวจดู

    “การขึ้นครองราชของกษัตริย์องค์ที่สิบสามแห่งลีอันดรอส ลีอันดรอสอะไรกัน มีอาณาจักรไหนที่ใช้ชื่อนี้ด้วยหรอ หรือเป็นแค่นิทาน แต่นี่มันโซนประวัติศาสตร์นี่ งงแฮะ” เมื่อลองหมุนหาแล้วว่าหนังสือนี้เป็นหนังสือนิทานใช่หรือไม่แต่ก็ไม่ปรากฎข้อความตรงไหนเลยว่าเป็นหนังสือนิทานหรืออะไรทำนองนั้น ยืนงงงวยอยู่สักพักร่างงามที่ทนต่อความสงสัยของตนเองไม่ไหวก็หยิบหนังสือเล่มนั้นและอีกสองสามเล่มใกล้ๆกันมาหาโต๊ะนั่งอ่านเงียบๆในจุดที่ไม่มีใครเดินผ่านมามากเท่าไหร่

    “แปลก มันดูเหมือนกับสมุดบันทึกมากกว่านะ” เมื่อลองเปิดดูแบบคร่าวๆแล้วกระดาษข้างในก็มีสภาพไม่ต่างจากปกข้างนอกเลย กระดาษมีสีเกือบจะน้ำตาลทั้งแผ่นแล้ว ข้อความข้างในเขียนด้วยหมึกปากกาแทนที่จะเป็นหมึกพิมพ์เหมือนหนังสือทั่วไป แถมตัวหนังสือแทบจะเลือนหายไปอยู่แล้ว อย่างกับเขียนมาเป็นร้อยปี

    “ไหนลองอ่านดูหน่อยสิ” มือเรียวของเรเวนน่าพลิกเปิดกระดาษอย่างเบามือด้วยความที่สภาพมันเหมือนจะขาดได้ตลอดเวลาถ้าเกิดเธอเผลอเปิดแรง

    ‘วันแรกของการขึ้นครองราชหลังจากเกิดเหตุการณ์การนองเลือด ท้องฟ้ามืดมัวเต็มไปด้วยปีศาจชั้นต่ำบินว่อน ภัยพิบัติใหญ่ในรอบหลายร้อยปีเกิดขึ้น ผู้คนอพยพหนีตายจนบ้านเมืองวุ่นวายไปหมด’  คำพูดที่ในบันทึกนี้มาจากไหนกันนะ อย่างกับเกิดขึ้นจริงแหนะ

    ‘ผ่านมาหลายอาทิตย์แล้ว มีภัยพิบัติเกิดอยู่ทุกที่ ผู้คนล้มตาย จนป่าแทบไม่มีที่จะฝัง เสบียงของเมืองเกือบหมดเกลี้ยง ท้องฟ้ามืดมัวแม้ในเวลากลางวัน แทบไม่มีแสงสว่างตกลงมาถึงพื้นหญ้า ต้นไม้เหี่ยวเฉาเพราะไม่มีน้ำ ตัวข้าเองก็แถบจะขาดน้ำตายอยู่แล้ว’ มันบันทึกจริงๆด้วย เมื่อเด็กสาวคิดได้อย่างนั้นก็ไม่รีรอ แต่เมื่อกำลังจะเปิดอ่านหน้าถัดไป แรงลมที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน ก็พัดจนหน้ากระดาษพลิกไปจนอยู่กลางๆเล่ม เรเวนน่าจับกระดาษเพื่่อจะพลิกกลับไปอ่านหน้าเดิม แต่ตาดันไปสะดุดกับตัวอักษรแปลกๆ และข้อความหลังจากนั้นก่อน

    ‘ข้ากำลังจะไปหาเขา มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่จะหยุดสิ่งนี้ได้ หวังว่าเขาจะยอมคืนมณีเพื่อให้คำสาปคลายลง เราทุกคนจะได้กลับมาใช้ชีวิตกันเสียที’ คำบางคำในประโยคนั้นที่ดูเหมือนจะไปสะกิดอะไรบางอย่างในใจของเด็กสาว คำว่า ‘มณี’ เพียงวูบเดียวที่คิดถึงคำว่ามณีนั้น เจ้าตัวเองที่มีความทรงจำเกียวกับอัญมณีอยู่ไม่น้อย ดวงตาก็เกิดไหววูบและอารมณ์ที่เริ่มสั่นไหวเพียงเพราะคำบางคำว่าสะกิดแผลใจ หนังสือในมือเธอก็เริ่มรุกเป็นไฟด้วยเพลิงสีแดง เรเวนน่าตกใจและตอนที่พยายามจะดับไฟนั้นก็จับสังเกตบางอย่างได้ ดูเหมือนไฟนี้มันจะไม่ได้มาจากเธอ แต่ก่อนที่สมุดเล่มนั้นจะไหม้ไปจนหมด มันก็พลิกไปหน้าสุดท้าย 

     

    ‘เขาเลือกแล้วที่จะล้างแค้น’

     

    ข้อความสุดท้ายเพียงประโยคเดียวที่เหลืออยู่หลังจากส่วนที่เหลือไหม้หมด ทำให้เรเวนน่าคิดได้ว่านี่คงจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ คงมีใครสักคนจงใจให้เธอรับรู้การมีอยู่ของบันทึกนี้และเรื่องราวในบันทึก แต่เสียดายที่มันดันโดนใครสักคนทำลายไปเสียก่อน หรือไม่ก็จงใจให้เธอรับรู้เรื่องในบันทึกนั่นแค่นี้

    “อะไรกันเนี่ย” ร่างบางที่ยังงงอยู่ไม่น้อยยืนช็อคอยู่กับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในเวลาที่กะทันหัน เพียงแค่แปปเดียวที่ยังตั้งสติไม่ได้ จิตสังหารและไอพลังที่ทำให้เธอเสียววาบจากข้างหลังทำให้เจ้าตัวต้องหันกลับไปมอง

    “ใคร!” แต่ทันทีที่หันกลับไปเมื่อหางตาได้ทันเห็นเงาดำๆแวบหายไป จากมุมมืดมุมหนึ่งที่อยู่ข้างหลังของเธอในตอนแรก ทำให้มั่นใจว่าก่อนหน้านี้มีใครอยู่แน่นอน เรเวนน่าค่อยๆก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างระวังไปยังจุดที่ใครสักคนน่าอยู่ก่อนหน้านี้แล้วมองซ้ายมองขวา

    “ก็ไม่มีอะไรนี่” เรเวนน่าถอนหายไปออกมา โล่งอกไปได้เปราะหนึ่งที่อย่างน้อยคนปริศนาก็ไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว แต่โล่งใจได้ไม่นาน

    ฟึบ!

    “ทำอะไร”

    “ว้ายแม่ร่วง!” เรเวนน่าที่ไม่ทันได้ตั้งตัว ตกใจกับแรงดึงเบาๆที่ข้อมือ และเสียงที่ไม่ค่อยจะคุ้นหูเท่าไหร่ จนเผลออุทานออกมาเสียงดัง เมื่อหันไปก็เจอเจ้าชายผู้เงียบขรึม เอเดนมายืนอยู่ข้างหลังตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ พร้อมกับนัยน์ตาสีแซฟไฟร์คู่คมที่มองมาอย่างสงสัย

    “ตกใจทำไม” มือหนาปล่อยออกจากแขนเสื้อของอีกคน แล้วเอ่ยถาม

    “เปล่า นายมาทำไม” คนที่ตกใจเพราะการปรากฎตัวแบบกะทันหันของเพื่อนใหม่เลือกที่จะไม่เล่าว่าเกิดอะไรขึ้น

    “พวกนั้นจะไปกันแล้ว” คำสั้น ๆที่เจ้าตัวไม่ได้ขยายความ แต่คงหมายถึงว่ามาตามไปรวมกับเพื่อนๆนั่นแหละ 

    “โอเค ฉันขอเก็บหนังสือก่อน แล้วเดี๋ยวจะตามไป” พูดจบพอเสร็จภารกิจของตัวเองแล้ว เอเดนก็ตวัดสายตามองไปทางข้างหลังอีกฝ่ายแล้วหันหลังเดินหายไปทางชั้นหนังสือด้านหลังทันที คิดว่าน่าจะกลับไปรวมกลุ่มกัน เรเวนน่าหันกลับไปมองโต๊ะไม้ตัวที่ตนเคยนั่งอ่านสมุดบันทึก บนโต๊ะไม่ได้มีคราบไฟที่ไหม้หรือขี้เถ้าหลงเหลืออยู่แต่อย่างใด เพราะเป็นการใช้เวทย์และผู้ใช้คงจะควบคุมมันได้ดีทีเดียว

     

    “ช้าจริงนะแม่คุณ” เอเซอร์เด็กหนุ่มผมทองญาติคนสนิทของเรเวนน่าที่เมื่อเห็นหน้าของเธอปั๊บก็เอ่ยปากกวนก่อนเลย แต่คนที่มัวกำลังคิดอยู่ว่าเมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ไม่ได้สนใจมากนัก เดินไม่ดูทางจนเกือบจะชนเข้ากับเก้าอี้แล้ว ถ้าแกลแลนท์ไม่คว้าเอาไว้ก่อน

    “เหม่ออะไรขนาดนั้น ไปเจอแมงมุมในชั้นหนังสือมาหรือไง” แกลแลนท์พูดแซวทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าคงมีเรื่องอะไรแน่ๆแต่ก็ไม่เอ่ยปากถาม เพราะที่นี่ยังไม่คนที่ไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังของเรเวนน่าอีกตั้งสองคน ขืนพูดอะไรเกินความจำเป็นไปคงต้องอธิบายยุ่งยากแน่ๆ

    “อะอ๋อ อืม ใช่ เมื่อกี้ไม่ทันระวัง เกือบโดนกระโดดเกาะใส่หน้าแหนะ ฮะๆ” คำตอบที่ดูไม่หน้าเชื่อและเสียงหัวเราะกับรอยยิ้มเจื่อนๆทำให้ดูเป็นคำตอบที่ไม่น่าเชื่อเอาเสียเลย แต่ก็ไม่มีใครนึกสงสัยอะไร

    “เธอนี่นะ อยู่เฉยๆไม่สร้างเรื่องสักชั่วโมงไม่ได้หรือไง” พี่เลี้ยงจำเป็นก็ยังคงความสามารถพิเศษในการบ่นได้ไม่่อ่อนลงเลยแม้แต่น้อย 

    “ช่างฉันเถอะน่า ไปกันได้แล้ว” เรเวนน่าเลือกที่จะปัดๆเรื่องนี้ให้จบไป ไปเที่ยวกันก่อนดีกว่าเรื่องพวกนี้คิดไปก็ปวดหัวซะเปล่า แถมคงยังหาคำตอบอะไรไม่ได้ตอนนี้แน่อยู่แล้ว สี่หนุ่มหนึ่งสาวลงความเห็นว่าจะไปที่ไหนกันต่อและเริ่มออกเดินทาง

     

    “โอ้โหหห คนเยอะมากเลย” เรเวนน่ายืนตื่นตาตื่นใจกับสวนสาธารณะที่ไม่ค่อยจะสงบเท่าไหร่ตรงหน้า ร้านเกมและร้านขายของเล่นมากมายตั้งอยู่เต็มไปหมดในโซนหน้าทางเข้า ผู้คนมากมายตั้งแต่เด็กเล็ก จนถึงวัยของพวกเธอและพวกผู้ใหญ่เดินเต็มกันไปหมดจนแทบจะลายตา บรรยากาศที่นี่ร่มรื่นดีสมกับที่ยังมีชื่อว่าสวนสาธารณะอยู่ ต้นไม้น้อยใหญ่ที่ส่วนใหญ่แล้วน่าจะถูกปลูกขึ้นมานานมีให้เห็นเยอะแยะ นี่ถ้าไม่มีคนเดินให้เห็นคงติดว่าป่าดีๆนี่เอง

    “คนเยอะมากเลยครับ แต่เห็นเขาบอกว่าข้างในมีโซนที่ไม่ค่อยมีคนเข้าไปอยู่เป็นบริเวณสำหรับพักผ่อน”แกเร็ธอธิบาย

    “ทำไมล่ะ ถ้าเป็นสวนสาธารณะบริเวณที่พักผ่อนคนก็น่าจะเยอะด้วยไม่ใช่เหรอ” เรเวนน่าถามด้วยความสงสัย สวนสาธารณะที่ไหนบริเวณพักผ่อนคนจะน้อยกันเล่า

    “ที่นี่คนส่วนมากจะมาเพื่อเล่นพวกเกมกันมากกว่าน่ะครับ ถึงจะชื่อเป็นสวนสาธารณะแต่จริงๆแล้วออกจะเหมือนสวนสนุกมากกว่า” แกเร็ธใช้ความรู้รอบตัวที่ตัวเองมีตอบคำถามของคนขี้สงสัย

    “อ๋อ อย่างนี้นี่เอง” เรเวนน่ามองไปรอบๆตามบูธเกมต่าง ๆเพื่อหาสิ่งที่ตนสนใจ และแล้วก็ไปสะดุดตากับเกมเกมหนึ่ง ที่ดูน่าสนใจมากสำหรับเธอแต่บริเวณบูธนั้นกลับไม่มีคนเล่นอยู่เลย ความหลังเมื่อยังเด็กตอนนี้ได้เล่นสิ่งคล้ายๆกันนี้ทำให้สองเท้าของเธอก้าวไปทางร้านนั้นอย่างรวดเร็ว

    “เอเซอร์ไปเร็ว ฉันว่าฉันจะได้แก้แค้นนายจากเมื่อตอนสิบขวบแล้ว” เรเวนน่าพูดแล้วเดินนำไปอย่างไม่รอใคร ส่วนคนที่กำลังจะโดนแก้แค้นก็ทำหน้างงพลางคิดในใจว่าเขาไปทำอะไรไว้อีกหว่า 

    “นี่อย่าเดินเร็วนักสิ เดี๋ยวก็หลงกันพอดี” เด็กสาวไม่มีท่าทีจะหยุดรอเขาและเพื่อนๆสักนิด แต่สุดท้ายเอเซอร์ก็ต้องรีบเดินตามหลังร่างบางไปติดๆเพื่อไม่ให้คนที่ชอบสร้างเรื่องคลาดสายตากันไปเพราะฝูงชน

     

    “ทำไมคนไม่มีเลยเนี่ย พลาดแล้วเกมนี้น่าสนุกจะตาย” เรเวนน่าเดินมายังบูธเกมบูธหนึ่งซึ่งข้างหน้ามีที่กั้นและธนูวางเรียงอยู่หลายคัน 

    “ไม่ค่อยมีใครอยากเล่นอะไรที่ใช้กำลังมากในสถานที่นี้หรอกแม่หนู แถมธนูถึงจะเป็นอาวุธค่อนข้างพื้นฐานแต่ว่่าก็ยังใช้ให้เก่งยากอีก”คุณลุงเจ้าของบูธรีีบเดินมาเหมือนกับเพิ่งได้เห็นลูกค้าคนแรกของวัน แล้วอธิบายว่าเหตุใดบูธเกมของเขาจึงมีคนสนใจน้อย

    “งั้นหรอคะ ถึงว่าคนถึงน้อยได้ขนาดนี้” เรเวนน่าพูดพลางหยิบธนูที่ดูจะจับเข้ามือมาหนึ่งคันแล้วพลิกซ้ายขวาดูเพื่อสำรวจตัวคันธนู

    “โอ้ย! เดินเร็วชะมัดเลย จะรีบทำไมหนักหนาเนี่ย” เอเซอร์ที่คิดว่าเดินตามมาเร็วแล้วแต่ก็ยังช้ากว่าคนที่กำลังยืนง้างธนูอยู่มาก เมื่อมาถึงจุดที่ร่างบางหยุดอยู่ก็ได้แต่ยืนหอบ พร้อมกับคนที่เหลือที่เดินตามมาถึง แกลแลนท์ที่เมื่อเห็นว่าสิ่งที่เพื่อนสาวสนใจจนต้องรีบมาขนาดนั้นคืออะไรก็ยิ้มกึ่งจะหัวเราะ

    “อย่ามัวแต่บ่นสิ มาแข่งกันเถอะ” เรเวนน่าไม่แม้แต่จะหันมาสนใจคนที่ยืนหอบ แล้วยังเร่งให้รีบไปแข่งกับตน

    “อ๋อ ที่เร่งมาเพราะอย่างนี้เองนะเหรอ” นัยน์ตาสีเขียวอ่อนเมื่อหันไปเห็นกับสาเหตุที่ทำให้เขาต้องเหนื่อยวิ่งก็ฉายแววขบขัน คงเพราะเขากับเธอถึงจะโตมาด้วยกันอย่างสนิทสนมก็ยังมีเรื่องนึงที่แข่งกันมาหลายปี นั่นคือการใช้อาวุธนั่นเอง

    “ฉันจะไม่แพ้แล้วบอกไว้เลย” เรเวนน่าพูดเพราะที่ผ่านมาเธอซ้อมหนักขึ้นเพื่อหวังจะล้มเพื่อนที่ใช้ธนูแสนจะเทพได้สักวัน

    “งั้นก็ลองดู” เอเซอร์เองก็เดินไปเลือกคันธนูของตัวเองบ้าง ทั้งสองที่กำลังมีไฟในการแข่งขันไม่แม้จะหันมาสนใจเพื่อนร่วมเดินทางอีกสามคนที่โดนทิ้งให้เป็นเหมือนฝุ่นอากาศสักนิด ส่วนอีกสองคนที่ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ก็ได้แต่ยืนงงว่าเพื่อนใหม่ทั้งสองคนจะจริงจังอะไรกันขนาดนั้น 

    “สองคนนั้นเขาแข่งกันมาตั้งแต่เด็กแล้วล่ะ ยอมกันไม่ได้เลยเรื่องแบบนี้” แกลแลนท์อธิบายให้กับอีกสองหนุ่มได้เข้าใจ

    “สองคนนั้นยิงธนูเก่งกันมากหรอครับ” แกเร็ธถามด้วยความสงสัย ซึ่งคนอีกคนที่เงียบมาตลอดการเดินทางก็หันมาสนใจกับคำตอบเหมือนกัน

    “จะเรียกว่าเก่งมากก็ได้ แต่เรื่องนี้เอเซอร์มักจะนำเรเวนน่าอยู่เสมอ”แกลแลนท์พูดอธิบาย

    “แปลว่าแข่งกันตลอดเลยงั้นสิ” เอเดนพูดแล้วตวัดนัยน์ตาสีแซฟไฟร์ไปมองเด็กสาวคนที่กำลังง่วนอยู่กับการจดจ่อกับการเล็งลูกธนู

    “ใช่ แต่ถึงเรื่องธนูจะแพ้ ถ้าเป็นเรื่องดาบแล้วล่ะก็รายนั้นเค้าแข่งไม่แพ้หรอกนะ” แกลแลนท์เองก็ไม่ยอมให้เพื่อนสาวดูเป็นคนไร้น้ำยาต่อไปอีก พูดอวดเหมือนพ่อได้ดูผลการเรียนลูกครั้งแรกแล้วเห่ออะไรแบบนั้น

     

    ฟิ้ว! ปึก!

    "10แต้ม!!" ทันทีที่ลูกธนูไปปักเข้าที่กลางเป้าอย่างจังเสียงของคนนับคะแนนก็ดังขึ้นบอกผลลัพธ์การยิงธนูลูกสุดท้ายของเจ้าชายแห่งอเนโมนี่ นัยน์ตาสีเขียวอ่อนสวยดุจอัญมณีหันมามองคู่ต่อสู้ขาประจำ แล้วยักคิ้วให้หนึ่งทีเพื่อยั่วยวนอีกฝ่าย

    "ทำไมนายถึงได้ชนะตลอดเลยเนี่ย!" ตามคาดเสียงบ่นของเด็กสาวเมื่อรู้ผลแพ้ชนะก็ดังขึ้นทันทีที่รู้ผล

    "ช่วยไม่ได้เธอพลาดเอง อีกแค่คะแนนเดียวก็เสมอแล้วแท้ๆ" เอเซอร์พูดโดนเน้นคำว่าเสมอเหมือนจะย้ำว่ายังไงอีกฝ่ายก็ไม่มีทางชนะตนได้ 

    "ไว้คราวหน้าก่อนเถอะ นายโดนล้มแน่" เหมือนการแข่งขันที่มีมาแทบจะตั้งแต่ครั้งแรกที่ทั้งสองจับคันธนูจะไม่จบง่ายๆเสียแล้ว ทั้งสองวางคันธนูลงแล้วเตรียมจะหันหลังออกจากบูธยิงธนู แต่ก็ดันไปเห็นฝีมือการยิงธนูของใครบางคนที่ไม่รู้ว่ามาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่ตอนไหนเข้า

     "ว้าา คลาดไปนิดเดียวเอง" ชายหนุ่มผมสีทองที่ผมข้างหน้าถูกมัดเป็นจุกไว้หลวมๆ นัยน์ตาสีฟ้าใสจ้องมองไปยังเป้ายิงธนูอย่างมาดมั่น รอยยิ้มทะเล้นๆที่มีให้เห็นอยู่บนดวงหน้าหล่อทำให้เขาดูมีเสน่ห์อยู่ไม่น้อย ลูกธนูลูกสุดท้ายของการเก็บคะแนนถูกปล่อยไป สิ่งที่ทำให้คนที่ยืนดูอยู่อึ้งกันเป็นแถบ คือลูกธนูทุกดอกไปปักอยู่ที่ปลายลูกธนูทั้งหมดในตำแหน่งเดิม ทั้งที่เขาปล่อยลุกธนูไปเหมือนไม่ได้คิดอะไรมาก แต่กลับเหมือนกับควบคุมทิศทางมันได้ทั้งหมดอย่างไงอย่างงั้น

    "โหห นาย สุดยอดเลยอะ" เรเวนน่าเดินเข้าไปหาแล้วพูดชมผู้มาใหม่ ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มให้และแนะนำตัว

    "ฉันดันแคน ซูวาเนซ ยินดีที่ได้รู้จัก" เขาแนะนำตัวแล้วยื่นมืออกมาข้างหน้าหวังจะจับมือทักทายตามมารยา

    "เช่นกัน ฉันเรเวนน่า" เมื่อทั้งคู่เกือบจะจับมือกันอยู่แล้ว มือขาวเนียนของใครที่ไหนไม่รู้ก็ยื่นเข้ามาชิงจับมือของดันแคนไปเสียก่อน

    "ยินดีที่ได้รู้จัก แกลแลนท์ เอลลินทีส" เป็นพี่เลี้ยงจำเป็นนั่นเองที่เข้ามาชิงทักทายผู้มาใหม่เสียก่อนที่เพื่อนสาวของเขาจะได้จับมือกับชายแปลกหน้า

    "วิ้ว สาวน้อยคนนี้มีคนมาคอยคุมแล้วเสียด้วย" เขาดูเหมือนจะตกใจหน่อยๆเมื่อรู้นามสกุลพ่วงท้ายชื่อที่บ่งบอกตระกูลของอีกฝ่าย แต่ก็ไม่วายส่งเสียงผิวปาก มุมปากของเขายกยิ้มขึ้นพร้อมกับนัยน์ตาสีฟ้าใสที่มีแววเจ้าเล่ห์เผยออกมาให้เห็น 

    "อ้อ นี่เพื่อนฉันเอง แล้วก็ข้างหลังนั่นก็ด้วย" เรเวนน่าไม่ยอมให้เขาเข้าใจผิด เอ่ยบอกสถานะของตนกับองค์ครักษ์ไป พร้อมกับชี้ไปทางด้านหลังของเธอที่มีหนุ่มๆอีกสามคนยืนอยู่

    "ไหนๆก็รู้จักกันแล้ว วันนี้ฉันขอร่วมเดินทางด้วยสักวันจะได้ไหม" ดันแคนพูดแล้วส่งสายตาอ้อนวอน ซึ่งคนถูกถามก็คิดว่าตนไม่อาจตัดสินใจเรื่องนี้แทนเพื่อนๆคนอื่นได้จึงหันไปถามความคิดเห็น และเมื่อคนอื่นไม่ได้ติดใจอะไรก็ตอบตกลง

    "เอาสิ คนเยอะๆจะได้สนุก " 

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×