คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : เที่ยว
แสงรุ่งอรุณสาดส่องเข้ามาผ่านทางหน้าต่างหลังที่มีผ้าม่านสีทึบที่ปิดอยู่เพื่อบังแสงในตอนเช้าถูกเปิดออกอย่างรวดเร็ว ร่างบางที่กำลังหลับฝันดีอยู่ในตอนแรก เมื่อแสงอาทิตย์ส่องมากระทบหน้าก็งัวเงียตื่นขึ้น เด็กสาวค่อยๆ ยันตัวขึ้นแล้วเอามือขยี้ที่ดวงตาเบาๆ เพื่อไล่ความง่วง ปากก็หาวหวอดๆ อย่างไม่นึกอาย เส้นผมสีทองพันกันยุ่ง แต่กระนั้นก็ยังดูน่ามอง
"สายแล้วเรเวนน่า วันนี้เราต้องไปเดินสำรวจเมือง ถ้ามัวช้าอาจจะเดินได้ไม่ทั่ว" องค์ครักษ์ที่ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ภายในวังแต่ก็ยังทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยม ออกจะเกินหน้าที่ไปหน่อย นับวันเขาแทบจะคล้ายพวกนางรับใช้ในวังไปแล้ว ดูแลเธอทุกอย่างอย่างกับว่าทำแบบนี้แล้วจะได้เงินเดือนเพิ่ม
เรเวนน่าหันหน้าไปมองทางนาฬิกาที่แขวนอยู่ข้างบนโต๊ะทำงาน เพราะเพิ่งขยี้ตาไปเมื่อกี้ทำให้มองเห็นตัวเลขไม่ชัด
"แปดโมงเช้าแล้วหรอ" เรเวนน่าถามแกลแลนท์ด้วยเสียงงัวเงียอย่างคนเพิ่งตื่น โชคดีนะที่ยังไม่สาย เพราะเเพลนวันนี้ว่าจะเดินดูให้ทั่วทั้งเมืองสักหน่อย
"สิบเอ็ดโมงแล้วต่างหาก" เขาพูดแล้วเดินมายืนข้างๆ เตียงเพื่อนสาว
"ห้ะ! แล้วทำไมไม่ปลุกฉันเล่า แล้วอย่างนี้มันจะทันได้ทำอะไรมั้ยล่ะเนี่ย" ร่างเล็กรีบวิ่งลงจากเตียงทันทีที่รู้เวลา เป็นไงล่ะมัวแต่นอนจนได้เรื่อง
ขาเรียวยาวก้าวฉับๆ เตรียมอุปกรณ์เพื่อที่จะอาบน้ำ โดยคราวนี้ไม่ลืมที่จะหยิบเสื้อผ้าและผ้าขนหนูเข้าไปในห้องน้ำด้วย
.
15 นาทีต่อมา
.
"สายแล้วๆๆๆๆ " เจ้าของเรือนผมทองที่ตอนนี้พลิ้วไหวไปตามแรงสั่นจากความเร่งรีบเตรียมสัมภาระสำหรับการเดินสำรวจทั้งวันในวันนี้ พร้อมกับพึมพำๆ คำว่าสายแล้วไปด้วยตลอดเวลา เรเวนน่าตื่นเต้นมากที่จะได้ออกไปสำรวจเมือง เพราะเธอยังไม่เคยมาที่เซนเทรียเลยน่ะสิ
"เธอจะรีบไปไหน" แกลแลนท์ที่กำลังนั่งจิบกาแฟอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่ห้องนั่งเล่นถามขึ้น
"ก็มันสายแล้ว! แล้วนี่นายไม่คิดจะมาช่วยกันเตรียมบ้างหรือไง" ร่างบางหันไปโวยใส่องค์ครักษ์หนุ่ม น่าหมั่นไส้นัก ทั้งที่เป็นคนปลุกเธอแถมยังบอกว่าสายแล้ว แล้วทีนี้ดันมาทำเป็นถามว่ารีบไปไหน นี่เขาสมองปลาทองหรอ เธอต้องรีบไปเดินเที่ยวเพราะวันนี้เป็นวันที่ว่างหนึ่งวันก่อนจะสอบในพรุ่งนี้
"นี่เพิ่งจะเจ็ดโมงครึ่งเองนะ" เขาพูดพร้อมกับทำเสียงเหมือนกำลังกลั้นขำ เรเวนน่าหันไปมองนาฬิกาขวับ “เพิ่งจะเจ็ดโมงครึ่งจริงๆ ด้วย” พอรู้อย่างงั้นเสียงหัวเราะอันเย็นยะเยือกก็หลุดออกมาจากปากเด็กสาวทันที ทำเอาคนที่นั่งหัวเราะอยู่ก่อนในตอนแรกขนลุกซู่ เธอค่อยๆ เอียงคอหันไปมองแกลแลนท์อย่างช้าๆ ภาพที่เห็นคือแกลแลนท์นั่งจ้องหน้าซีดเพราะรู้ตัวว่าตัวเองดันไปกระตุกหนวดเสือเข้าซะแล้ว
"สนุกมากไหม หื้ม" เรเวนน่าถามแล้วยิ้มกว้างให้เขา ถึงจะเรียกว่ายิ้ม แต่ตามันดันไม่ยิ้มด้วยเลยนี่สิ แววตาอย่างกับจะฆ่าเขาอย่างนั้นแหละ
"เอ่อ... ฉันเห็นเธอนอนหลับฝันดีอยู่เลยนี่ เลยอยากแกล้งนิดหน่อย ฉันอยากเห็นหน้าเธอตอนลุกลี้ลุกลนอะ" เขาแถตอบพร้อมกับลงไปนั่งคุกเข่าสำนึกผิดอยู่ที่พื้นเรียบร้อยแล้ว
"เตรียมที่จะได้รับบทลงโทษแล้วสินะ แกตาย!!! " พูดจบร่างบางก็พุ่งเข้าไปหาแกลแลนท์ทันที
.
.
ขอข้ามฉากฆาตกรรม
.
.
"แกเร็ธ เบาๆ สิ อูยยย" ตอนนี้เรเวนน่ากำลังยืนกอดอกดูไอ้เจ้าองค์ครักษ์ตัวดีนั่งทำแผลอยู่ หลังจากโดนเธอลงโทษไปตุ้บสองตุ้บ
"คุณนี่ไม่เบาเลยนะครับ ถึงขนาดทำแกลแลนท์ช้ำไปทั้งตัวได้ขนาดนี้เนี่ย " คำมีหน้าที่ทำแผลเอ่ยโดยไม่หันมามองหน้าเจ้าของผลงานยังคงตั้งหน้าตั้งตาทายาให้แกลแลนท์อยู่
"ก็มันน่ามั้ยล่ะ" เรเวนน่าตอบแล้วหันไปถลึงตาใส่แกลแลนท์ แล้วเดินมานั่งข้างๆ เอเดนซอว์ที่กำลังนั่งเงียบอ่านหนังสืออยู่ ตอนนี้เขาใส่แว่นสายตากรอบทองทรงที่เข้ากับหน้าเขาเอามากๆ แต่พอใส่เเว่นแบบนี้มันดันไปบดบังดวงตาสีน้ำเงินอย่างกับก้นทะเลลึกของเขา แอบเสียดายที่รอบนี้ไม่ได้เห็นมันชัดๆ แต่ถึงอย่างนั้นการใส่แว่นตาไม่ได้ทำให้เขาหล่อน้อยลงเลย เส้นผมสีดำตรงมันวาวยังคงน่าสัมผัส ผิวขาวซีดของเขาพอตัดกับเส้นผมสีดำแล้วยิ่งทำให้ดูขาวเข้าไปอีก และด้วยบุคลิกที่เป็นคนนิ่งๆ ของเขาพร้อมกับการวางมาด ทำให้ดูสมกับการเป็นเจ้าชายรัชทายาทของเมืองเมราเนล เมืองแห่งน้ำและเวทมนตร์
"จ้องทำไม" ร่างบางสะดุ้ง เพราะจู่ๆ คนถูกจ้องก็พูดออกมาทั้งที่ไม่แม้แต่จะหันมามอง นี่เธอว่าเธอเนียนแล้วนะ จ้องอยู่ห่างๆ แบบนี้ยังจะเห็นอีกหรอ แต่จะว่าไป ห่างๆ ที่ว่าก็ข้างๆ เขานี่
"เพิ่งเคยเห็นนายใส่เเว่น ดูดีเหมือนกันนะเนี่ย" เรเวนน่าตอบไปตามความจริง
"ขอบคุณ" เขาพูดขอบคุณกับเธอแต่ก็ยังไม่ละสายตาจากหนังสือ ดวงตาของเขายังขยับไล่อ่านตัวหนังสืออยู่อย่างรวดเร็ว นี่เขาแยกประสาทได้ยังไง เรเวนน่่าที่นั่งมองเอเดนอยู่ไม่นานก็สัมผัสหนักๆที่วางลงมาบนไหล่อย่างแรง ซึ่งเจ้าตัวก็กำลังจะหันไปดูว่าใครมันกล้ามาทำรุนแรงกับเธอ
“เอเซอร์!” ทันทีที่มองเห็นใบหน้าของคนที่มาวางแปะมือหนักๆ คนไม่ได้เจอหน้าเพื่อนนานก็โผเข้ากอดทันที ซึ่งนัยน์ตาสีเขียวเพอริดอตงามดุจอัญมณีของอีกฝ่ายก็มองมาเหมือนเจอครอบครัวที่ไม่ได้เจอกันนาน พร้อมกับเจ้าตัวอ้าแขนรออยู่แล้วก็กอดตอบแน่น เส้นผมสีทองของชายหนุ่มผู้มาใหม่พริ้วไหวไปตามแรงของอีกคนที่กระโดดเข้ามา ดวงหน้าที่มีกระแสของความอบอุ่นยิ้มอย่างยินดีที่ได้พบเพื่อนเก่า
“ไง ยัยแสบ” หลังจากนั้นเอเซอร์ ผู้มีตำแหน่งเป็นถึงเจ้าชายลำดับสองจากอเนโมนี่ ก็ต้องรับแรงกระแทกจากฝ่ามือของเรเวนน่าที่กระแทกลงมาเต็มแรงหวังจะเอาคืน จากที่เขาใส่แรงเต็มฝ่ามือตอนทักเธอ จนต้องร้องโอดโอย
“สมน้ำหน้า!” หลังจากสับขาหลอกโดยการแกล้งเป็นดีใจอกดีใจที่ได้เจออีกฝ่าย จนสามารถแก้แค้นได้สำเร็จเจ้าตัวก็หัวเราะร่า
“สะใจใหญ่เลยนะ” เอเซอร์เองก็ยิ้มไปด้วยและไม่ได้คิดจะเอาคืนอะไรอีก เพราะเขาเองก็เป็นคนเริ่มแกล้งเธอก่อนด้วย เอาคืนกันไปกันมาคงได้หลังเขียวกันพอดี สองคนที่มีผมสีเดียวกันต่างเพียงแค่สีของดวงตายืนหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน
“นายมันไม่ระวังตัวเองนี่” เรเวนน่าพูดแล้วตบไหล่เอเซอร์เบาๆเป็นการปลอบใจ เอเซอร์ขำอยู่สักพักแล้วก็หันไปทักทายกับคนอื่น ๆ เขาหันไปจับมือกับเอเดนก่อนเป็นคนแรกเหมือนกับว่ารู้จักกันมาก่อนแล้ว
“พวกนายรู้จักกันเหรอ” เรเวนน่าเอ่ยปากถามไปเพื่อต้องการคำตอบคลายความสงสัย
“อาณาจักรอยู่ใกล้กันนี่ รู้จักกันไว้ก็ไม่เสียหาย” เป็นเอเซอร์ที่เป็นฝ่ายตอบกลับมา เรื่องที่อาณาจักรอเนโมนี่และเมลาเนลอยู่ติดกันนั้นเป็นเรื่องจริง ต่างจากเอนเดลลิออนที่แม้จะห่างจากสองอาณาจักรนั้นขั้นเพียงหนึ่งอาณาจักรแต่ก็ยังไกลพอสมควร
“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง” ฉันร้องอ๋อ เพราะอาณาจักรแต่ละอาณาจักรต้องมีการติดต่อกับอาณาจักรข้างๆอยู่แล้วเพื่อแสดงออกว่าเป็นมิตร คิดภาพว่าเป็นศัตรูกับคนข้างบ้านก็คงอยู่ไม่สุขเท่าไหร่
“ไง แกลแลนท์ มาส่งลูกลิงหรือมาเรียนด้วยกันล่ะ” คำพูดกล่าวทักทายเพื่อนสมัยเด็กของเจ้าชายจากอเนโมนี่ทำเอาคนที่คิดว่ามีชื่อฉายาที่เป็นของตัวเองอยู่ในบทสนทนาด้วยถึงกับหันไปมองค้อน
“มาส่งเฉยๆนั่นแหละ จะได้ห่างกันบ้าง เบื่อหน้าจะตายแล้ว” แกลแลนท์ตอบแล้วหันไปขำคิกคักกับเอเซอร์ คนรอบตัวเธอนี่มันจะกวนประสาทกันหมดเลยหรือไงเนี่ย
“อย่าให้เห็นล่ะว่าแอบไปนั่งน้ำตาตกที่ไหน” เรเวนน่าพูดแล้วเดินเร่งความเร็วไปทันที
ณ ตลาดคอสโม่
ตอนนี้เรากลับมาอยู่ที่ตลาดกันอีกครั้ง รอบนี้มีเอเดนกับแกเร็ธจะมาร่วมเดินสำรวจด้วย ตอนแรกจากกำหนดการก่อนหน้านี้ก็มีแค่เธอกับแกลแลนท์สองคน ไม่รู้ไปตกลงกันตอนไหน แล้วไหนจะเอเซอร์ที่มาเจอกันโดยบังเอิญอีก
ขออธิบายใหม่ว่าตลาดนี้ตั้งอยู่บริเวณตรงกลางของเมืองเซนเทรียกินพื้นที่ยาวหลายร้อยเมตร นับว่ากว้างมากๆ เป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่หมู่บ้านนึงได้เลย ตลาดนี้ก่อตั้งมาราวๆ 300 - 400 ปีแล้ว นับตั้งแต่ที่กษัตริย์แต่ละดินแดนในยุคนั้นเริ่มตกลงกันที่จะยกพื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่ส่วนกลาง ตลาดก็เริ่มมีมาตั้งแต่ช่วงนั้น โดยจะแบ่งเป็นโซนๆ ไป เช่น โซนเฟอร์นิเจอร์ โซนเครื่องครัว โซนเสื้อผ้า โซนอุปกรณ์การเรียน โซนเครื่องสำอาง โซนสัตว์เลี้ยง โซนพืชพันธ์ุ โซนอุปกรณ์การปรุงยา โซนอาวุธแล้วก็โซนอาหารที่เราไปกันมาเมื่อวาน จริงๆยังมีอีกเยอะ แต่ให้พูดหมดวันนี้ก็คงไม่ได้ไปเดินสำรวจกันพอดี
พวกเราสี่คนเดินสำรวจตลาดยักษ์นี่กันอยู่สักพักใหญ่ๆ จนดวงอาทิตย์เอนไปทางทิศตะวันตกบอกว่าตอนนี้เป็นช่วงบ่ายแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นอากาศก็ไม่ได้ร้อนเพราะยังอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ลมพัดเบาบางแต่ก็ยังให้ความรู้สึกเย็นสบายอยู่ตลอดเวลา ทำให้การเดินสำรวจเมืองครั้งนี้ไม่น่าอึดอัดเพราะอากาศร้อนแต่อย่างใด
"หิวอะ พวกนายหิวหรือเปล่า แวะกินอะไรกันหน่อยมั้ย" ร่างเล็กมุ่ยหน้าพลางเอามือลูบหน้าท้อง แล้วหันไปถามพวกผู้ชายที่เดินเกาะกันอยู่ด้านหลัง สององค์ครักษ์ก็คุยกันไม่หยุด ส่วนอีกสองเจ้าชายก็มองสำรวจรอบๆ ไปเรื่อย
"แวะหาอะไรกินกันก่อนก็ได้ครับ เดินมานานแล้วด้วย นี่ก็บ่ายแล้ว" แกเร็ธพูดก่อนจะมองหาร้านอาหารที่พอจะเข้าไปนั่งทานได้
ยังดีที่เรายังไม่ทันได้ออกจากตลาดและอยู่ในโซนอาหารพอดี เพราะจากทางเข้ามาโซนอาหารจะอยู่เป็นโซนแรก ตลาดนี้มีทางออกหลายทางแต่เราเดินออกมาทางที่เดินเข้ามาพอดี
เรามองหาร้านอาหารกันอยู่สักพักแต่ก็เลือกไม่ได้สักทีเพราะทุกอย่างดูน่ากินไปหมด ไม่นานนักหลังจากเลือกกันได้เพราะเถียงกันอยู่นานว่าจะกินอะไรดี ก็สุ่มๆร้านเอา
“บอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่ากินเยอะเกินไป เป็นไงล่ะปวดท้องเลย” เสียงบ่นนี้คงจะไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากพี่เลี้ยงเด็กจำเป็นอย่างแกลแลนท์ นัยน์ตาสีทองอร่ามมองคนที่ตนกำลังใช้สองมือประคองอยู่อย่าหงุดหงิดแต่ก็แฝงแววตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง
“อย่าบ่นได้มั้ย ก็มันน่ากินหมดเลยนี่ พลาดสักอย่างไปคงน่าเสียดายนีนา” คำแก้ตัวที่ดูไม่มีน้ำหนักสุดๆสำหรับทุกคนที่ยืนฟังอยู่หลุดออกมาจากปากคนที่ยืนบิดไปบิดมาเพราะปวดท้อง แต่คงเป็นคำพูดที่ฟังจนชินหูสำหรับอีกสองคนที่โตมาด้วยกัน
“เมื่อไหร่จะเลิกพูดอะไรที่มันไร้สาระเนี่ย ไปหาที่นั่งพักได้แล้ว” เอเซอร์ที่คงไม่อยากทนเห็นคนยืนบิดตัวเป็นเลขแปดอีกต่อไปจนต้องบอกให้ไปนั่งพักได้สักที
“ข้างหน้ามีหอสมุดอยู่ครับ เราไปนั่งพักที่นั่นก่อนก็ได้” แกเร็ธที่ยืนมองหาที่สำหรับนั่งพักให้อยู่ก่อนแล้วเมื่อเจอสถานที่ที่น่าจะเหมาะกับการนั่งพักรออาหารย่อยก็พูดขึ้น ก่่อนที่จะเดินนำคนทั้งหมดและคนที่กำลังหน้าซีดเป็นไก่ต้มไป
ความคิดเห็น