คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : จุดเริ่มต้น
เมื่อวานก็ซวยเจอตัวประหลาดแล้ว วันนี้ยังต้องมาคอยปั้นหน้าเป็นเจ้าหญิงชอบเข้าสังคมอีก นี่คืออีกกิจกรรมที่เธอไม่ชอบเอาเสียเลย การที่ต้องเดินคุยกับคนนู้นคนนี้ที่มีแต่จะหวังประโยชน์จากเรานี่มันสนุกตรงไหน เธอไม่ค่อยได้เข้าร่วมงานอะไรพวกนี้เท่าไหร่ เพราะท่านพ่อมักจะไม่ชอบให้ออกมาเจอพวกขุนนาง เพราะพวกเขามักจะคิิดว่าองค์หญิงเป็นคนใสซื่อหลอกง่าย การเข้าหาประโยชน์จากเธอคงจะง่ายที่สุดนั่นแหละ แต่เนื่องจากงานนี้มันเกี่ยวกับเธอโดยตรง เลยต้องฝืนใจกันหน่อย
เบื่อจะตายแล้ว เมื่อไหร่จะได้กลับเนี่ย เมื่อยปากจะแย่แล้ว เดินไปไหนก็โดนถามตลอดทางเลย นี่ถ้าแกลแลนท์ไม่เดินทำหน้าดุตามตลอดเวลา คงโดนฉุดเข้าไปในวงล้อมแล้วมั้งนั่น น่ากลัวชะมัด
"อรุณสวัสดิ์พ่ะย่ะค่ะองค์หญิง" เสียงชายปริศนาพูดขึ้น ทางด้านหลังในขณะที่ร่างสวยกำลังจะเดินไปที่อื่นต่อ
"หือ" ร่างบางส่งเสียงเบาๆ พร้อมกับหันหลังกลับไปมอง เอ่อ.... ใครกันเนี่ย นัยน์ตาสวยดุจอัญณีโกเมนจ้องมองบุคคลตรงหน้าอย่างพินิจพิจารณา ซึ่งนัยน์ตาสีสกาน์เล็ทอีกคู่ก็กำลังจ้องเธออยู่เหมือนกัน เส้นผมสีเทาอ่อนถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบด้วยมาดคุณชาย ที่รูปร่างหน้าตาดูเหมือนคนมีถานะพอสมควร ดูแล้วอายุน่าจะเท่าๆ กันแฮะ
"อรุณสวัสดิ์" เรเวนน่าพูดพร้อมกับยิ้มเบาๆ ให้เขา
"ได้ข่าวว่าองค์หญิงทร-..."
"เห้อ ฉันเบื่อเรื่องนี้แล้วจริงๆ นะเนี่ย" ร่างบางเผลอคิดังไปเสียหน่อย พลางยกมือขึ้นวางบนหน้าผากอย่างหน่ายใจ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเสียมารยาทเข้าซะแล้ว
"เอ่อ... ขอโทษทีนะพอดีฉันพูดเรื่องนี้มาจะร้อยรอบแล้วน่ะ เลยเบื่อนิดหน่อย" เธอพูดพลางยิ้มแห้งๆ ส่งให้เขา เป็นการขอโทษ
"กระหม่อมว่าคงไม่นิดแล้วล่ะ" เขาพูดแล้วกลั้วหัวเราะเล็กน้อย
"ฉันก็ว่างั้น วันนี้มันน่าเบื่อจริงๆ เลย" เธอพูดแล้วมองไปทางท่านพ่อที่กำลังคุยอย่างสนุกสนาน ชิ! สนุกจริงๆ เลยนะ ไม่รู้หรือไงว่าเธอไม่สนุกด้วยเลยเนี่ย
"งั้นเราไปเดินเล่นกันหน่อยมั้ยพ่ะย่ะค่ะ" เขาเอ่ยชวน เรเวนน่ามองเขาอย่างอึ้งๆ ไม่นึกเลยว่าจะมีคนกล้าชวนเธอไปเดินเล่น
"เอ่อ คงไม่ได้ กระหม่อมขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ" เจ้าตัวรีบโค้งเพื่อเป็นการขอโทษ
"ไม่ๆ เราแค่ ตกใจนิดหน่อย ไม่คิดว่านายจะชวนเราเดินเล่นในบ้านเราเอง ฮ่าๆๆ" ร่างบางหัวเราะเล็กๆ
"กระหม่อมอยากคุยกับพระองค์น่ะพ่ะย่ะค่ะ" เขายกมื้อขึ้นลูบท้ายทอยเบาๆ ท่าทางของเขาช่างน่ารักเสียจริง แต่การออกไปเดินเล่นกับคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จะไว้ใจได้หรือเปล่าหลังจากเหตุการณ์เมื่อวานมันออกจะแปลกๆ ไปหน่อย แต่เขาก็ดูเป็นคนสุภาพดี คงไม่คิดจะลอบสังหารเธอหรอกมั้ง แต่ถึงยังไงแกลแลนท์ก็ไปด้วยอยู่แล้วนี่คงไม่เป็นไรหรอก
เรเวนน่าและฮอร์รัสที่สวนดอกไม้หลังวัง โดยมีแกลแลนท์เดินตามมาข้างหลัง เรเวนน่าสูดอากาศเข้าเต็มปอดทีนึงหลังจากต้องอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายมานาน อากาศที่นี่ดีมากๆ มีลมพัดให้อากาศเย็นสบายอยู่ตลอดเวลา แถมยังมีกลิ่นดอกไม้พวกนี้อบอวลอยู่ตลอด สดชื่นไม่แพ้กับป่าที่เธอไปมาก่อนหน้านี้เลย เด็กสาวหันไปมองคนที่ยืนอยู่ข้างกาย เขาก็ดูจะชอบที่นี่อยู่เหมือนกัน
"นายชอบที่นี่ไหม" เรเวนน่าถาม เรียกให้คนข้างๆ หันมามอง เขามองหน้าเธอแล้วยิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนจะค่อยๆ มองไปรอบๆ อีกที
"กระหม่อมชอบที่นี่มากเลยพ่ะย่ะค่ะ"
"ที่นี่เสด็จพ่อทรงสั่งให้สร้างให้ฉันตั้งแต่เรายังเล็กๆ น่ะ เพราะชอบเดินออกมาเล่นนอกวัง แล้วก็ชอบดอกไม้เอามากๆ ดอกวอร์เร็นน่ะ มันจะเปลี่ยนสีไปตามฤดู หวังว่านายคงจะรู้จักมันนะ" เขาดูจะสนใจที่นี่มาก น่าจะเป็นเพราะดอกวอร์เร็นมันค่อนข้างที่จะหายาก ปลูกยากและดูแลยากด้วยเช่นกัน การที่จะเห็นมันอยู่เป็นทุ่งอย่างสวยงามนี้คงหาดูยาก เพราะต้องใช้การดูแลและใส่ใจที่ดีมากๆ
"ถ้าเป็นวอร์เร็น กระหม่อมรู้จักดีเลยพ่ะย่ะค่ะ ดอกนี้นอกจากจะสวยงามมากแล้ว ยังหายากและมีสรรพคุณที่น่าสนใจอีกด้วย กระหม่อมเป็นครอบครัวของขุนนางที่มีความสามารถด้านการแพทย์อันดับต้นๆเลยพอจะได้เรียนรู้มาบ้าง" เขาพูดอย่างภูมิใจ
"อย่างงั้นหรอ จะว่าไปฉันยังไม่รู้จักชื่อนายเลย" เธอถาม นั่นสิคุยกันมาตั้งนานเขายังไม่แนะนำตัวเลย
"ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง กระหม่อมมีนามว่า ฮอร์รัส มาเควนเทียร์" เขาพูดก่อนจะโค้งนิดๆ เป็นการแนะนำตัว เรเวนน่าก้มหัวนิดๆ เป็นมารยาท ถ้าจะให้พูดถึงตระกูลมาเควนเทียร์ ก็เป็นหนึ่งในตระกูลเก่าแก่ที่อยู่ข้างราชวงศ์เอนเดลลิออนมานาน แถมหัวหน้าตระกูลยังเป็นหนึ่งในเจ้าเมืองอีกด้วย
"พูดปกติกับเราเถอะเราไม่ค่อยชอบ ราชาศัพท์เท่าไหร่ "
"แต่...." เขาดูลำบากใจนะ แต่เธอไม่ชอบนี่
"เอาน่า ตรงนี้ไม่มีคนอื่นหรอก มีแค่เรากับองค์ครักษ์เท่านั้นแหละ ถ้ากลัวว่ามันจะไม่เหมาะสมก็ไม่เป็นไร เราอนุญาต" เธอบอกเขาเพราะคิดว่าเขาคงกำลังกังวลเรื่องนี้ล่ะนะ ใครมาได้ยินเข้ามันอาจจะทำให้เขาดูไม่ดีก็จริง แต่ได้รับการอนุญาตจากเธอแล้วคงไม่เป็นอะไรหรอก
"ก็ได้ครับ" เขาตอบเบาๆ
"เอาล่ะเข้าเรื่องเถอะ นายมีเรื่องอะไรจะคุยกับฉันงั้นหรอ" เรเวนน่าไปถามฮอร์รัส เขาเงียบไป มีสีหน้าเคร่งเครียดและจริงจังขึ้นอย่างทันที
" ว่าไง มีเรื่องอะไร" เธอถามย้ำ สีหน้าเขาดูเครียดมาก จนเธอเริ่มจะขมวดคิ้วตามแล้วนะ
"เรื่องเมื่อวาน ฉันได้มีโอกาสตามท่านพ่อเข้ามาดูงานในวัง แต่ระหว่างนั้นก็ออกมาเดินเล่นที่ป่า ก่อนจะพบกับเธอที่ยืนอยู่ริมหน้าผา ตอนแรกฉันกะจะเข้าไปทักทายเธอแล้ว แต่เธอดูเหมือนจะทะเลาะกับท่านองค์ครักษ์อยู่ เลยไม่กล้าเข้าไปขัด" ฉันยิ้มแห้งๆ ไอที่เมื่อวานน่ะ ฉันกับแกลแลนท์เราไม่ได้ทะเลาะกันสักหน่อย หรือเปล่านะ?
"เหมือนเธอกำลังจะกลับฉันเลยทำลังจะไปเข้าไปทักทาย แต่ว่ามันดันมีอะไรไม่รู้ตกลงมาก่อน......"
"!" แกลแลนท์ทำสีหน้าตกใจทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น เขานึกว่าจะไม่มีใครเห็นเหตุารณ์แล้วเสียอีก ซึ่งถ้ามีคนนอกรู้เรื่องนี้ไม่ดีแน่
"นายเห็นเหตุการณ์ด้วยงั้นหรอ" เรเวนน่าถามอย่างตกใจ ถ้าเขาเป็นพวกชอบหาผลประโยชน์จากการล่วงรู้ความลับของคนอื่นล่ะก็ การที่เขารู้เรื่องนี้ไม่ดีต่อราชวงศ์อย่างมาก
"ใช่ ฉันเห็นทั้งหมด ที่มาที่นี่ก็เพื่ออยากจะคุยเรื่องนี้กับเธอ" เขาพูดพลางเริ่มมีสีหน้าเคร่งเครียดอีกครั้ง
"แล้วนายมีอะไร" สงสัยนักว่าเขาจะคุยเรื่องอะไร ถ้าเกิดเขาอยากจะเผยแพร่เรื่องอสูรที่ปรากฎตัวขึ้นในรอบหลายพันปีขึ้นมา จะทำอย่างไรดีล่ะ
"เรื่องอสูรนั่น ฉันเคยเห็นมัน........" ฮอร์รัสพูดก่อนจะหันมาสบกับนัยน์ตาสีแดงของอีกฝ่ายด้วยแววตาจริงจัง คำพูดของเขาทำให้เรเวนน่าเลิกสนใจว่าเขาจะสนใจหาผลประโยชน์อะไรจากเธอหรือไม่ เธอต้องการรู้เรื่องของอสูรมากกว่านี้
"เล่ามาให้หมด" เธอบอกเชิงออกคำสั่งก่อนจะเดินนำไปยังศาลาที่ตั้งอยู่กลางทุ่งดอกวอร์เร็น
เรเวนน่าเดินนำฮอร์รัสมาที่ ศาลาไม้สีเข้มที่ตั้งอยู่ท่ามกลางหมู่มวลดอกไม้มากมาย ตัวศาลาทำจากไม้จากต้นดาร์คโอ๊ค มีลวดลายประณีตทำจากทองคำอยู่รอบๆ ศาลา ด้านบนหลังคามีไม้เลื้อยที่มีดอกไม้ดอกเล็กๆ ที่อยู่รวมกันเป็นช่อใหญ่สีม่วงอเมทิสสวยงามอยู่รอบๆ มีลมพัดเบาๆ ให้ความรู้สึกเย็นสดชื่นตลอดเวลา
เรวนน่ากับฮอร์รัสเดินเข้ามานั่งข้างในศาลาโดยที่ ฮอร์รัสนั่งตรงข้ามเธอ แล้วก็มีแกลแลนด์ที่คอยยืนทำหน้าที่อยู่ข้างนอก ฮอร์รัสเงียบไปสักพักก่อนเขาจะเริ่มเอ่ยบทสนทนาเป็นคนเเรก
"ฉันเคยเจอมัน" เขาพูดเสียงเรียบๆ
"ได้ยังไง" เธอถามด้วยสีหน้าสงสัยเต็มที ถ้าการที่เขาเคยเจอมันก่อนหน้านี้แปลว่า ที่มันมาหาเธอไม่ใช่การปรากฎตัวขึ้นครั้งแรกในรอบหลายพันปี
"ฉันก็ไม่รู้ วันนั้นเป็นคืนเดือนดับ ราวๆ สักห้าปีที่แล้ว ฉันเห็นมัน น่าจะตัวเดียวกันกับที่เห็นนั่นแหละ" เขาเล่าโดยมีสีหน้าเศร้าลงอย่างทันตาเห็น เรียกแววตาสงสัยจากเรเวนน่าและแกลแลนท์ที่จับความผิดปกติอยู่
"แล้วเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น" คนขี้สงสัยเอ่ยถามอย่างรวดเร็วอย่างไม่อยากรอช้า ถ้าเป็นห้าปีก่อน แปลว่ามันอยู่ที่นี่มาตลอดเลยงั้นเหรอ
"ท่านแม่ของฉันโดนมันฆ่า ฉันเห็นทั้งหมดนั่นกับตาตัวเอง" คนที่เข้าใจความรู้สึกนี้ดีคงไม่พ้นเจ้าของดวงตาโกเมนคู่สวยที่ฉายแววทั้งเข้าใจและสงสารอย่างเป็นที่สุด บรรยากาศที่เงียบลงอย่างทันทีแต่ก็ไม่ได้สร้างความอึดอัดแต่อย่างใด "ฉันรอดมาได้เพราะตัวเองมัวแต่ไปซ่อนเพราะกลัว" ความเศร้าสุดหัวใจที่อีกสองคนสัมผัสได้ เรเวนน่าเองก็รู้ว่าเขาก็คงจะโทษตัวเองเป็นร้อยเป็นพันครั้งแน่ๆ
เสียแม่ไปงั้นหรอ เหมือนกับเธอเลยนะ ร่างบางยิ้มอ่อนๆ โดยนัยน์ตามีแววเศร้าโศกเสียใจอยู่เหลือล้น
"เรเวนน่า...." แกลแลนท์ที่ยืนฟังอยู่ด้วย เมื่อเห็นดังนั้นจึงเข้ามาจับใหล่ของเด็กสาวไว้เบาๆ และมองด้วยสายตาเป็นห่วง เรียกสติของเธอได้ทันที
"เอ่อ.... ขอโทษที ต่อเลยนะ" ร่างบางพูดปัดเหมือนอยากให้ลืมๆ อาการเมื่อครู่ของตัวเอง พอนึกถึงเรื่องนั้นที่ไร พาลให้ใจมันเจ็บจี๊ดขึ้นมาตลอดเลย
"ตอนที่ฉันจ้องมองการกระทำของมัน ให้ความรู้สึกเหมือน....." เขาเว้นไว้และทำท่าทางเหมือนกำลังคิดบางอย่างอยู่"กำลังตามหาบางอย่าง " เรเวนน่าตกใจเพราะกับคำบอกเล่าของเขา เพราะในยามที่เธอเจอกับมันเมื่อหลายปีก่อนเธอก็สัมผัสถึงความต้องการได้เช่นกัน
"งั้นอะไรคือสิ่งที่มันกำลังตามหา" แกลแลนท์ที่นั่งเงียบมานานถามขึ้น เขาก็คงอยากรู้อยู่เมื่อกัน ว่าเหตุผลอะไรถึงได้มีอสูรที่เค้าว่ากันว่าสูญพันธุ์ไปแล้วปรากฏตัวขึ้น
"ฉันก็ไม่แน่ใจ แต่เท่าที่ฉันได้ยินก่อนมันจะฆ่าแม่ของฉัน มันถามหาของสิ่งหนึ่ง" เสียงของฮอร์รัสเงียบลง
"มันถามหาอะไร?" เรเวนน่าถามอย่างสงสัย
"สร้อยสปิเนล เท่าที่ฉันหาข้อมูลมามันหายไปเมื่อแปดร้อยกว่าปีก่อน และเพิ่งจะปรากฎมาอีกครั้งเมื่อไม่กี่ปีนี้ เป็นสร้อยที่ทำจากอัญมณีที่เก่าแก่มาก และมีความสำคัญมากเหมือนกัน " เธอเองคอด้วยความสงสัย ชื่อสร้อยนั่นมันคุ้นๆยังไงชอบกล
"นายหมายถึงสร้อยเส้นนี้หรือเปล่า" มือเรียวจับสร้อยที่อยู่ตรงคอที่มีสีเดียวกับสีตาของเจ้าตัวขึ้นมาให้ฮอร์รัสดู
ตัวสร้อยทำจากเงินเป็นกรอบรูปวงรีอยู่รอบนอก มีอัญมณีโกเมนสีแดงสดราวกับถูกย้อมด้วยเลือดที่เป็นหนึ่งในห้าอัญมณีศักสิทธิ์ ในลักษณะครึ่งวงกลมอยู่ที่ครึ่งล่างของกรอบเงิน ส่วนครึ่งบนนั้นว่างเปล่า
"ใช่ สร้อยเส้นนั้นตระกูลของฉันส่งมอบคืนให้เธอเมื่อห้าปีที่แล้ว" เขาพูด
"คืนงั้นหรอ" เธอถามเขาอย่างสงสัย หมายความว่ายังไงว่าคืน มันเคยเป็นของเธอมันก่อนงั้นหรอ
"ใช่ พ่อของฉันนำไปคืน บรรพบุรุษของเธอได้ฝากสิ่งนั้นไว้เรา โดยสั่งให้นำคืนเหลนสาวคนต่อไปของท่าน เธอน่าจะรู้ว่าราชวงศ์เอนเดลลิออนไม่มีผู้หญิงเกิดมานานแล้ว ล้วนมีแต่ชายมาตั้งหลายพันปีแล้ว เธอไม่เคยหาข้อมูลเกี่ยวกับมันเลยหรอ" ใช่เธอคือองค์หญิงคนแรกที่เกิดในราชวงศ์เอนเดลลิออนหลังจากที่ไม่ได้มีองค์หญิงมานาน
"ก็เคย จริงๆก็มีคนบอกฉันแล้วว่ามันคืออะไร" เรเวนน่าพูดพลางยกมือขึ้นมาสัมผัสสร้อยเบาๆ
"อีกชื่อก็คือหัวใจศักสิทธิ์เธอรู้ใช่มั้ย" เธอได้แต่ทำหน้าเครียด คุ้นๆ เหมือนกันแฮะ
"อ่า นึกออกแล้ว หัวใจศักสิทธิ์ อัญมณีที่เขาล่ำลือกันว่า เป็นได้ทั้งจุดเกิดและดับของแต่ละเมืองนั่นใช่มั้ย แล้วทำไมของสำคัญแบบนั้นถึงได้มาอยู่กับฉันล่ะ" ของแบบนั้นไม่น่ามีอยู่จนถึงปัจจุบันได้แล้ว เพราะจากที่รู้มามันถูกสร้างเมื่อหลายพันปีก่อนเชียวล่ะ
"ใช่ ที่ว่าทำไมมันถึงได้มาอยู่กับเธอก็เพราะว่าของสำคัญก็ต้องอยู่กับคนสำคัญไง แต่ที่เธอเห็นนี่มันไม่ได้เป็นทั้งหมดของอัญมณีหรอก เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น รู้ใช่มั้ยว่าทำไม" ฮอร์รัสพยายามถามย้ำๆ เพื่อให้เธอนึกเรื่องราวปะติดปะต่อตามได้
"อืม….. หรือเพราะสงครามเมื่อสองพันปีก่อนหรอ" เธอเว้นวรรคแล้วเงยหน้าขึ้นไปถามฮอว์รัส เขาพยักหน้าเล็กน้อย และปล่อยให้เธอพูดต่อ "ฉันคิดว่ามันเป็นแค่เรื่องเล่าเสียอีก แต่ตามที่เคยอ่านมา สงครามเกิดขึ้น จากการที่อสูรตนนึงที่อยู่ๆ ก็ขึ้นมาเป็นใหญ่ได้จากการโค่นอำนาจของราชาอสูรในยุคนั้นลง สิ่งที่เขาต้องการหลังจากการยึดอำนาจคือสงคราม เขาอยากจะเป็นใหญ่ในโลกนี้ สิ่งที่สำคัญ คืออัญมณีที่เป็นหัวใจศักสิทธิ์ทั้งห้าชิ้นหรือห้าสมดุลเพราะเป็นจุดกำเนิดพลังของทุกสิ่ง วารี วาโย อัคคี แสง และพสุธา เมื่อธาตุทั้งหมดมารวมกัน คือการสร้างโลกใหม่ เขาสามารถรวบรวมของทั้งห้าอย่างได้ แต่เขาก็ทำมันไม่สำเร็จ บรรพบุรุษของตระกูลทั้งห้าร่วมมือกันกำจัดเขาเพื่อไม่ให้โลกนี้ต้องล่มสลาย หนังสือบางเล่มก็บอกว่าอสูรถูกฆ่าโดยมีท่านโจเซเฟอร์ องค์ปฐมกษัตริย์ของเอนเดลลิออน ที่เป็นผู้ลงดาบสุดท้ายและปลิดชีพเขาไปแล้ว แต่บางเล่มกลับบอกว่าเขาไม่ได้ถูกฆ่าแต่ฆ่าตัวเองต่างหาก บอกว่าเขาระเบิดตัวเองไปพร้อมกับอัญมณี นี่คือจุดที่บอกว่าทำไมอัญมณีถึงเหลืออยู่แค่บางส่วนเท่านั้นหรือเปล่า" เธอจัดการเล่าเรื่องที่เคยอ่านมาเรียบร้อย เท่าที่คิดได้การที่อสูรมาปรากฏตัวนั้น เป็นเพราะว่ามันยังไม่ได้ตายตั้งแต่แรกหรือเปล่านะ
"ใช่ แต่คิดว่าอย่างหลังมีสิทธิจะเป็นไปได้มากกว่า เพราะหลังจากตอนนั้นอัญมณีก็ถูกระเบิดไปด้วย แต่ก็ไม่ได้แหลกละเอียดเพราะเป็นถึงหัวใจศักสิทธิ์คงไม่ได้แตกละเอียดง่ายเพราะเเรงระเบิดหรอกใช่ไหมล่ะ อัญมณีทั้งห้า ถูกแบ่งเป็นหลายส่วน บางส่วนถูกเก็บเอาไว้ได้ แต่บางส่วนก็สูญหายจนถึงทุกวันนี้ แต่ส่วนใหญ่แล้วยังเก็บรักษาไว้ได้เกินเจ็ดสิบเปอร์เซ็น มีแต่ของอาณาจักรนี้ที่เหลืออยู่แค่ครึ่งเดียว" เขาพูดอธิบายเพิ่มเติม
"อย่างนั้นถ้ามันเป็นจุดเกิดของพลังทำไมพอมันหายไป โลกนี้ถึงไม่ขาดสมดุลล่ะ ในเมื่อไม่มีตัวกำเนิดพลังแล้ว" เธอถามขึ้นอย่างสงสัย
"เธอคิดว่ามันหายไปจริงๆ เหรอ มันแค่หายไปจากที่เก็บรักษาต่างหาก ความจริงแล้วมันก็ยังอยู่ อยู่ที่ไหนสักที่ในโลกนี้ ไม่ได้หายไปไหน นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมสมดุลถึงยังอยู่" ฮอร์รัสพูดเสร็จก็ยกมือขึ้นมาเท้าไว้บนโต๊ะ บ่งบอกได้ดีว่าเจ้าตัวเริ่มจะเครียดขึ้นมาแล้ว
"แล้วอัญมณีชิ้นอื่นล่ะ จะอยู่กับใครสักคนเหมือนกับฉันหรือเปล่า" เรเวนน่าถามพลาง ก็คิดถึงเรื่องน่าปวดหัวที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ หลังจากพอปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ที่เธอเจออสูร การที่เธอได้อัญมณีมากับเรื่องที่เขามาเล่าให้ฟังวันนี้ ทำให้เธอรู้ความเป็นมาของอัญมณีอยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมอสูรถึงตามล่าเธอคนเดียว ทำไมคนอื่นครอบครัวเธอถึงไม่โดน ตัวเธอมีอะไรพิเศษน่าสนใจกว่าคนอื่นหรือย่างไร
"ไม่รู้หรอก หลังจากการสูญหายครั้งนั้นข้อมูลของอัญมณีแต่ละชิ้นก็ไม่มีอีกเลย ไม่รู้ว่าอยู่ที่ใคร หรือหายไปแล้วหรือเปล่า คงมีแต่คนในเท่านั้นแหละที่รู้ แต่คร่าวๆ ก็อยู่กับราชวงศ์ของแต่ละอาณาจักร นี่คือสิ่งที่เขาบอกล่าสุดน่ะ แต่ความจริงอาจจะหายไปแล้วก็ได้ใครจะรู้"
"ถ้ามันต้องการสร้อยนี่ แล้วมันจะเอาไปทำอะไร" เธอก้มหน้ามองสร้อย แล้วถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
"ไม่มีใครรู้ แต่ฉันเชื่อว่าเธอจะได้รู้เมื่อเวลามาถึงแน่นอน" เขาพูดเป้นประโยคสุดท้าย แล้วหลังจากนั้นบทสนทนาของเราก็จบลงทั้งอย่างนั้น
นี่เป็นเวลาบ่ายแก่ๆ แล้ว ระหว่างทางเดินไปสนามฝึกอาวุธ ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะครั้งไหนๆ เมื่อยามที่เด็กสาวเดินผ่านมักจะมีเสียงหัวเราะและรอยยิ้มของเธอเปื้อนใบหน้าสวยอยู่ตลอดทาง พลางทำให้พวกทหารที่เฝ้ายามบริเวณนั้นมีความสุขไปด้วยที่เห็นองค์หญิงของพวกเค้าสดใสได้ขนาดนี้แต่ในตอนนี้เส้นทางกลับเต็มไปด้วยความเงียบ และความรู้สึกตึงเครียด รอยยิ้มที่เคยมีบัดนี้หายไป มีเพียงดวงตาที่เหม่อลอยอย่างที่ไม่เคยเป็นทำเอาคนที่เดินตามหลังมาเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย เรื่องที่ทำให้เธอกังวลได้ขนาดนี้ คงไม่พ้นเรื่องเดิมที่คอยกวนใจเธอมาตลอดแน่่ๆ
"ปวดหัวชะมัด ใครมันเป็นคนสร้างปัญหานี้ขึ้นมาเนี่ย แล้วพอตัวเองแก้ไม่ได้ก็มาโยนให้ฉันเนี่ยนะ" เรเวนน่าหันไปพูดกับกำแพงด้านข้าง ตอนนี้เธอกำลังจะเปลี่ยนชุดเผื่อไปฝึก ถึงจะเป็นวันที่ต้องออกงานแต่เธอก็ต้องเรียน มีตารางเรียนแม้กระทั่งในวันที่วุ่นวายแบบนี้ จริงๆ วันนี้ต้องฝึกอาวุธทั้งวัน แต่ก็ดันเกิดเรื่องเมื่อวานจนเมื่อเช้าต้องไปยืนโชว์ตัวแบบนั่นแหละ จนกว่าจะได้ฝึกของวันนี้ก็ล่อไปซะบ่ายแล้ว สงสัยต้องอยู่ดึกสักหน่อย
"เอาเถอะ ยังไงมันก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเธออยู่ดี ว่าจะยอมรับหน้าที่นี้มั้ย" แกลแลนท์พูดทิ้งท้ายแล้วเดินออกไป
ตอนนี้เดินมาถึงหน้าสนามฝึกแล้ว ตัวสนามเป็นลานกว้าง มีแสตนที่นั่งล้อมรอบ ขอบผนังของลานด้านล่างมีที่แขวนอาวุธอยู่ มันกว้างพอที่จะเเขวนอาวุธทุกชนิด ร่างบางเดินเข้าไปหยิบดาบเล่มที่ใช้ฝึกประจำ ก่อนจะหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดฝุ่นบางๆที่เกาะอยู่บนตัวดาบ
"เอาล่ะ วันนี้จะเล่นอะไรกันดีล่ะ" แกลแลนท์เสกดาบตัวเองออกมาก่อนจะเดินไปอีกฝากของสนาม
"แกลแลนท์..... " เรเวนน่าหันไปมองหน้าแกลแลนท์ด้วยสีหน้ากังวลอย่างหนัก นั่นทำให้เขาแสดงสีหน้าเป็นกังวลออกมาด้วย เพราะว่าเมื่อไหร่ต่อให้เจอเรื่องหนักขนาดไหน เธอจะยิ้มอยู่เสมอ
"ว่าไง" เขาตอบก่อนจะเดินกลับมาหาเธอที่ยืนก้มหน้าอยู่นาน
"เหลือเวลาอีกแค่สองปี ฉันจะทำยังไงดี" เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยๆ พลางยกมือขึ้นมาลูบหน้า ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองหน้าเขา ด้วยใบหน้าที่กังวลอย่างหนักเขามีสีหน้าตกใจเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจพร้อมส่งแววตาที่มีแต่ความเป็นห่วงและแลดูอบอุ่นมาให้
"ไม่เอาน่า อย่าคิดมากสิ เธอเก่งซะขนาดนี้ ยังไงก็ต้องผ่านไปได้อยู่แล้ว" สีหน้าเขาดูตกใจแล้วก็ดูกังวลไปพร้อมกัน
"ฉันจะทำยังไงดีแกลแลนท์ ต้องเริ่มยังไง ต้องไปทางไหน" เธอกำลังจิตตก กลัวว่าเหตุการณ์ในคืนนั้นมันจะซ้ำรอย กลัวว่าจะมีคนเอาชีวิตเข้ามาแลกเพื่อปกป้องเธออีก ความรู้สึกผิดที่มีอยู่เต็มอกนี้ ความรู้สึกผิดที่มันทำให้เธอต้องทรมาณอยู่ภายใต้หน้ากากยิ้มนี่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา
"ทุกอย่างจะต้องโอเค เชื่อฉัน มันต้องไม่เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นอีกแน่ๆ " เขาพูดพลางลูบหัวเธอเบาๆ เป็นการปลอบ เรายื่นกันอยู่อย่างนั้นหลายนาที จนเธอรู้สึกดีขึ้น
"ถ้าสบายใจขึ้นแล้วก็ไปซ้อมกันเถอะ ไม่ชินเลยเวลาเธอเศร้า" พูดจบองค์ครักษ์หนุ่มก็ผละมือจากเรือนผมสีทองนุ่ม
"เฮ้อ ช่างมัน อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดแล้ว" ร่างบางพูดกับตัวเองก่อนจะแยกกันเดินไปคนละฝากของสนาม
ร่างสมส่วนสองร่างกำลังยืนประจันหน้ากันอยู่คนละฝากของสนาม จากประสบการณ์ที่สู้กันมาเกือบสิบปี แกลแลนท์ไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่ายๆ เลย และแน่นอนเรเวนน่าก็เก่งไม่แพ้หมอนี่ถึงได้พลัดกันแพ้ผลัดกันชนะมาตลอด
เรเวนน่าจับดาบให้มั่นแล้วตั้งท่าเตรียมตั้งรับ เพราะคิดว่ายังไงก็เป็นองค์ครักษ์ของเธอแน่นอนที่จะเปิดก่อน
แกลแลนท์พุ่งเข้ามาจนเกือบจะประชิดตัวแล้วหายตัวไป 'ข้างบน! ' ทันทีที่รู้ตัว เธอก็เงยหน้าขึ้นไปและตั้งรับไว้ได้ทัน ก่อนที่เขาจะหายตัวมาแล้วพยายามจะฟันเข้าที่สีข้างของเธอ แต่ร่างบางรู้ทันก็กระโดดตีลังกาข้ามหัวของเขาไปหยุดอยู่ด้านหลังได้ก่อน เขาหันหลังกลับมาแล้วตั้งรับคมดาบที่พุ่งไปหาเขาโดยฝีมือของคนที่เขาต้องคอยอารักขาไว้ได้ทัน ขาเรียวถีบเข้าไปที่ท้องของแกลแลนท์ ทำให้เขาถลาเซไปข้างหลังประมาณนึง ก่อนที่เรเวนน่าจะใช้จังหวะที่เด็กหนุ่มเสียหลักพุ่งเข้าไปหวังจะฟันเข้าที่คอ แต่แกลแลนท์ที่ตั้งตัวได้พอดีเอี้ยวหัวหลบทัน
"เดี๋ยวนี้หัดยอมกันแล้วเหรอ แรงฟาดดาบเบาขึ้นเยอะเลยนะ" ถึงร่างเล็กจะพยายามพูดยั่วให้อีกฝ่ายเสียสมาธิ แต่ก็ไม่เป็นผล ถึงเธอจะพูดว่าเขาใช้แรงน้อยไป แต่หมอนี่หลบได้ตลอดจนน่ารำคาญ
"หึ วันนี้ฉันไม่อยากให้เธอรีบแพ้ต่างหาก!" เขาพูดก่อนจะฟันดาบมาที่เอวบางของเรเวนน่า รอบนี้เธอหลบไม่ทันทำให้เกิดเป็นเป็นรอยแผลยาวตั้งแต่ช่วงเอวจนเกือบถึงสะโพก
"โอ้ย!" ร่างบางร้องออกมาเพราะความเจ็บที่เเล่นแปล๊บอยู่ที่เอว จริงๆ ก็ไม่ได้เจ็บอะไรมาก เพราะซ้อมกันทีไรก็โชกเลือดกันบ่อย ความต้านทานต่อความเจ็บเธอเลยมีอยู่มากกว่าคนปกติรวมถึงคนที่ไม่ได้ซ้อมกันโหดแบบเลือดสาดแบบนี้หลายเท่า แต่ร้องไห้ดังเข้าไว้เผื่อฝ่ายตรงข้ามจะเสียสมาธิ
"อย่ามาเวอร์หน่อยเลย แผลแค่นั้นเอง อย่ามาหลอกให้ฉันเสียสมาธิ ฉันไม่มีทางหลงกลเธอหรอก" นี่เธอว่าเธอเนียนแล้วนะ ดันหลอกเขาไม่ได้ซะนี่ นี่ล่ะนะสู้กับคนที่รู้จักกันมานานก็มักจะเป็นแบบนี้แหละ
ร่างเล็กยืนอยู่เฉยๆ สักพัก ก่อนจะหายตัวไปด้านหลังของเขาแล้วเตรียมฟาดดาบใส่เต็มแรง ร่างสูงหันมาแล้วตั้งรับ แต่เธอกลับลำดาบอย่างรวดเร็วแล้วฟันฟันเข้าที่เอวของเขา เพื่อให้เขขาได้แผลแบบเดียวกันกับเธอ แล้วมองด้วยสีหน้าสะใจ
"อ๊าก! นี่เธอเอาคืนฉันเรอะ" เขาร้องโอดครวญ แหม ทำเป็นว่าเธอ แกมันก็แสดงเหมือนกันแหละ แกลแลนท์น่ะเวลาเขาสู้จะเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลย
"เจ็บมั้ยล่ะ นายนี่ว่าแต่ฉัน ดูตัวเองสิ ฮ่าๆๆ " ร่างบางหัวเราะพลางกระโดดหลบ มีดสั้นที่แกลแลนท์โยนมา โหยงเหยง เขาหวงร่างกายอย่างกับอะไรดี เกลียดที่สุดคือไอการมีแผลเนี่ยแหละ มันล่ะชอบเวอร์ทุกที เพราะยังไงสู้เสร็จก็ต้องใช้เวทย์รักษาอยู่แล้ว
ร่างบางหยุดหัวเราะแล้วฝ่ามีดสั้นที่แกลแลนท์โยนมาเข้าไปประชิดตัวแล้วเอาดาบจ่อที่คอแต่แกลแลนท์ก็ยังคงหลบได้ เขาเบี่ยงตัวไปทางขวาก่อนจะฟันคมดาบไปที่หน้าท้องของเรเวนน่า ถึงเจ้าตัวจะยังคงหลบได้แต่เพียงเสี้ยววิที่พลาดไปทำให้ เสื้อผ้าบริเวณนั้นขาดเป็นทางยาว
"วันนี้ฝีมือตกรึไง" แกลแลนท์ที่ถอยห่างออกไปตั้งหลักใหม่เรียบร้อยแล้วพูดเย้าะเย้ยร่างบางทีี่ดูจะสติไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว จนตนเกือบจะฝากรอยแผลไว้เมื่อครู่ ถ้าเป็นปกติแล้วเพื่อนของเขาคงจะสู้ได้อย่างมีสติมากกว่านี้
"อะไรกัน อย่ารีบตัดสินกันสิ ยังไม่ทันได้เอาจริงเลย" เรเวนน่าพูดก่อนจะหักนิ้วตัวเองสองสามที พลางมองหาจุดบอดไปด้วย แต่การที่เป็นคู่มือกันมาเกือบสิบปีทำให้รู้ทันกันหมด ทำให้การหาจัดหวะโจมตีค่อนข้างยากมาก
หอกเหล็กที่ปลายแหลมห่อหุ่มด้วยเหลิงสีขาวละมุนพุ่งโผล่จากอากาศไปทางองค์ครักษ์หนุ่ม แต่เจ้าตัวนั้นไหวตัวทันวิ่งหลบได้อย่างง่ายดาย ก่อนจะร่ายเวทย์ไฟสีขาวเช่นกันเป็นลูกกลมๆ ขนาดไม่ใหญ่มากไปทางที่เรเวนน่ายืนอยู่ แต่เธอก็หลบลูกไฟนั้นพ้นตลอด
"อย่ามัวหลบกันสิ มาสู้กันตรงๆ ดีกว่า" พอเห็นว่าวิธีร่ายเวทย์นั้นไม่เวิร์ค เรเวนน่าจึงตะโกนบอกอีกฝ่ายให้กลับมาใช้อาวุธกันเหมือนเดิม เพราะพลังเวทย์ของพวกเธอเหมือนกันจนเกินไปทำให้ข่มกันไม่ลง สู้ไปก็เลยเหมือนสาดน้ำใส่กัน ไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้นแม้ว่าไฟของอีกฝ่ายจะห่อหุ้มตัว
แต่ต่างจากเดิมตรงที่ครั้งนี้ทั้งคู่เลือกที่จะใส่พลังเวทย์ของตัวเองเข้าไปในอาวุธ เพลิงขาวที่บอกถึงระดับพลังของเวทย์ไฟของผู้ใช้ไม่ธรรมดา ลุกโชนและเคลือบอยุ่รอบๆดาบ แต่ด้วยดาบธรรมดาของเรเวนน่านั้นเมื่อรับพลังที่มหาศาลมาก็ทนไม่ไหว แตกออกเป็นเสี่ยงๆ เรเวนน่าทำเสียงจิ๊จ๊ะนิดหน่อยเพราะว่ากว่าจะหาดาบธรรมดาพอดีมือและฝึกจนคุ้นกับมันนั้นใช้เวลานาน
เรเวนน่าเสกดาบประจำตัวขึ้นมา รูปดาบนั้นเป็นดาบสองคมมันวาวมีอัญมณีสีแดงสดคล้ายสีโลหิตทรงกลมประดับอยู่ที่ด้ามจับของดาบ ด้ามดาบนั้นทำจากทองคำขาวผสมกับทองคำเป็นลวดลายสวยงาม
เมื่อถ่ายพลังเวทย์ไปยังดาบแล้ว ทำให้ตัวดาบนั้นมีแสงสีทองที่เกิดจากพลังบริสุทธิ์เรืองแสงออกมา ตัวหนังสือโบราณสีแดง โผล่ขึ้นเป็นทางยาวกลางตัวดาบ
แกลแลนท์เมื่อเห็นดังนั้นจากที่ตอนแรกใช้ดาบองค์ครักษ์ปกติ เขาก็เสกดาบประจำตัวของเขาขึ้นมาบ้าง ตัวดาบนั้นมีสีเงินวาว ด้ามดาบนั้นทำจากทองคำอย่างสวยงามมีอัญมณีประดับอยู่พองาม
หลังจากนั้นก็สู้กันอยู่สักพักใหญ่ๆ จนเรเวนน่า ที่อยู่ๆ ก็ได้เปรียบขึ้นมา แกลแลนท์เสียหลักกระเด็นไปไกลหลายเมตร เรเวนน่ารีบพุ่งไปเพื่อหมายปิดฉากการต่อสู้ เมื่อประชิดตัวแกลแลนท์ที่พยายามจะลุกขึ้นแต่ก็ไม่ทันความเร็วของเด็กสาว เรเวนน่าเอาดาบจ่อที่คอขององครักษ์เป็นอันว่าการต่อสู้นี้จบลงโดยเธอเป็นฝ่ายชนะ
"ฉันชนะ" ฉันมองแกลแลนท์ด้วยสายตาที่ภูมิใจของผู้ชนะ เขายกมือเชิงบอกว่ายอมแพ้ แล้วเก็บดาบที่วางอยู่บนพื้นขึ้นมา
"อย่าดีใจไปหน่อยเลย อาทิตย์นี้เธอแพ้ฉันมาสองครั้งติดแล้ว" เขาพูดพลางร่ายเวทย์เก็บดาบ
"แหมๆ แต่อาทิตย์ที่แล้วนายแพ้ฉันทั้งอาทิตย์เลยนะ นายน่ะสิเหลิง ชนะฉันแค่สองครั้งติดดีใจเกินไปหน่อยมั้ง" เรเววน่าพูดแล้วส่งสีหน้าล้อเลียนปนกลั้นขำ ไปให้อีกฝ่าย ทำเอาเขาคิ้วกระตุก แต่อยู่ๆ ก็แอบยิ้มออกมา ก็คงมีแต่ตอนที่อยู่กับคนคนนี้แหละมั้งที่เค้าเป็นตัวของตัวเองได้ เพราะเขาไม่มีเพื่อนคนอื่น กับผู้เป็นพ่อก็ไม่ได้ทำท่าทีสนิทแบบนี้ ภายนอกผู้อื่นอาจจะคิดว่าเขา สุภาพ อ่อนน้อม แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่สักนิด มันแค่เรียกว่ามารยาททางสังคมน่ะนะ เป็นแค่เปลือกนอกที่ไว้แสดงต่อหน้าผู้หลักผู้ใหญ่เฉยๆ
เราซ้อมกันจนตอนนี้ราวๆ สองทุ่มได้แล้ว เราทั้งคู่ทรุดลงไปนอนกับพื้นเพราะความเหนื่อยจากการซ้อมเป็นเวลานาน เรเวนน่านอนหอบหายใจโกยอากาศเข้าปอดอยู่สักพัก จนอยู่ๆ ก็มีกระบอกน้ำเย็นๆ ยื่นมาให้ตรงหน้า
"อะ น้ำ" นัยน์ตาสีสวยพยายามปรับสายตาให้โฟกัสกับใบหน้าที่อยู่ตรงหน้า พอเธอเริ่มจะปรับสายตาที่พล่ามัวในตอนแรกได้ ภาพของคนที่เพิ่งจะยื่นน้ำมาให้ก็ชัดขึ้น บุคคลตรงหน้ามีเส้นผมสีดำหยักศก นัยน์ตาสีโกเมนคล้ายอัญมณีหายากเหมือนกับเธอ ขี้แมลงวันจุดเล็กๆ ใต้ตาซ้ายเสริมเสน่ห์ให้เจ้าตัวได้เป็นอย่างดี โครงหน้าคมชัดอย่างบุรุษรูปงาม ผิวขาวอมชมพูเรียบเนียนบ่งบอกได้ดีว่าอยู่ในตระกูลที่สูงส่ง ทุกอย่างนี้พอรวมกันแล้วก็มีแค่คนเดียวเท่านั้น ทันทีทีี่รู้ว่าคนตรงหน้าเป็นใคร ร่างบางที่นอนหอบอยู่ก็ยิ้มกว้างออกมาทันที
"ขอบใจนะ" พอรับมาปุ๊บก็รีบเปิดแล้วกระดกอย่างกับคนกระหายน้ำมาหลายสิบวัน
"พี่หักโหมเกินไปแล้วนะ วันนี้ก็ไม่ยอมไปกินข้าวเย็นอีก" เด็กชายอายุสิบสามย่างสิบสี่ปี พูดด้วยท่าทีไม่พอใจนิดๆ ที่เธอไม่ยอมกินข้าวเย็น เรเวนน่ามองใบหน้านั้นอย่างเอ็นดู ใบหน้าของวาเลนไทน์ น้องชายของเธอ ทายาทคนสุดท้องของกษัตริย์แห่งเอนเดลลิออนองค์ปัจจุบัน จริงๆแล้วถ้าเป็นคนนอกอาจจะดูน่ากลัว เพราะด้วยความเป็นน้องเล็กบวกกับใบหน้าหยิ่งๆแลดูเป็นคนเอาแต่ใจ ทำให้ต่อให้เป็นลูกคนสุดท้องแต่ก็ได้รับความสนใจจากเหล่าขุนนางไม่น้อยเลย
"พี่ก็เป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้วนี่ ไม่เห็นจะเป็นไร" ร่างบางตอบ วาเลนไทน์ เดอ เจเวล เอนเดลลิออน ผู้ที่มีศักดิ์เป็นน้องชายของเธอด้วยท่าทีไม่สนใจ
"ก็เป็นซะแบบนี้ ถ้าผมไม่อยู่ด้วยผมว่าพี่คงได้อดตายแน่ๆ " วาเลนหรือวาเลนไทน์ยืนกอดอกแล้วส่ายหน้าให้กับการบ้าซ้อมการต่อสู้ของพี่สาวตัวเองด้วยสีหน้าเอือมสุดขีด
"เอาน่า แค่มีแกอยู่พี่ก็ไม่อดตายแล้ว ใช่มะ" เรเวนน่าพูดก่อนจะลุกยืนขึ้นประจันหน้ากับไอน้องชายขี้ห่วง ก่อนจะเอือมมือไปลูบขยี้หัวเบาๆ อย่างที่ทำประจำโดยวาเลนก็ยอมให้ลูบแต่โดยดี บอกเลยว่าถ้าไม่ใช่เธอมันไม่ยอมหรอกนะ หวงผมอย่างกับอะไรดี
"ไอลูกหมา นี่เราสูงขี้นหรือเปล่า อะไรกันเนี่ยเผลอแปปเดียวน้องชายฉันโตขนาดนี้แล้วหรอ" เรเวนน่าพูดแล้วมองไปที่เขาด้วยสายตาที่สุดแสนจะภูมิใจ ตอนแรกเขาเตี้ยกว่าเธอเสียด้วยซ้ำแต่นี่ผ่านมาแค่ปีกว่าๆ เขาสูงเลยเธอไปนิดๆแล้ว
"เพิ่งรู้หรือไง ใช่สิ พี่ก็ไม่เคยจะสังเกตุอะไรผมหรอก พี่จะมาสนใจผมทำไม" จะว่ามันงี่เง่าก็ไม่ใช่เรื่องหรอกใช่มั้ย แต่ก็เป็นความผิดเธอจริงๆ นั่นแหละปีสองปีมานี้เธอเริ่มฝึกดาบและเรียนหนักขึ้นจะแทบไม่มีเวลาจะนอน บางวันเลยทั้งเรียนตอนกลางคืนแล้วก็ฝึกดาบตอนกลางวันก็มี จากตอนแรกที่เธอจะเล่นอยู่กับวาเลนบ่อยๆ พอยุ่งมากๆเธอก็แทบจะไม่ได้สนใจเขาเลย พูดแล้วมันก็รู้สึกผิดแฮะ
"โอ๋ๆ ขอโทษที เอาเป็นว่าพรุ่งนี้เราไปเที่ยวกันดีมั้ย เดี๋ยวพี่จะอยู่กับแกทั้งวันเลย" เธอยื่นข้อเสนอที่น่าจะพอสมเหตุสมผลให้เขาหายงอนได้ ที่ผ่านมาเธอจะปฏิเสธการไปไหนมาไหนกับน้องชายตลอดโดยให้เหตุผลว่าไม่ว่าง ครั้งนี้เลยเอาใจสักหน่อย ถึงมันจะแทนกันไม่ได้ก็เถอะ
"ก็ได้ แต่พี่เลี้ยงนะ" เขาพูดด้วยใบหน้าที่เริ่มจะมีรอยยิ้มขึ้นมาบ้าง นานแล้วที่เธอไม่ได้ทำหน้าที่เป็นพี่สาวของเขาให้ดี มีน้องน่ารักนาดนี้ มัวทำอย่างอื่นจนไม่สนใจเขาได้ไงเนี่ย
"ได้สิ นานๆ จะได้ไปเที่ยวด้วยกันทั้งที" เรเวนน่าตอบตกลงแล้วเอื้อมมือไปหยิกแก้มเขา พอเธอตอบตกลงเขาก็ยิ้มฉีกยิ้มกว้าง โอ้ยน้องชายฉัน ทำไมถึงได้น่ารักน่าหยิกขนาดนี้
"ไปกันเถอะ เดี๋ยวต้องไปอ่านหนังสือต่ออีก" ร่างบางบอกวาเลนกับแกลแลนท์ พอพูดแบบนั้นวาเลนก็ทำหน้ามุ่ยทันที
"ไม่เอา ยังจะอ่านอีกหรอ วันนี้พักได้แล้ว" เขาทำเสียงอ้อนๆ โถ่ ลูกอ้อนเขานี่ยังใช้ได้ผลกับเธอไม่เคยเปลี่ยนเลย
"ก็ได้ๆ เดี๋ยวกลับห้องอาบน้ำนอนเลยดีมั้ยเพคะ เจ้าชายวาเลนไทน์" เธอพูดกวนๆ วาเลนหัวเราะ แล้วเดินนำหน้ากลับเข้าวัง เรเวนน่าหันไปมองแกลแลนท์ที่ตอนนี้กำลังยืนยิ้มอยู่คนเดียว
"เป็นบ้าไปแล้วหรือไง ถึงได้ยินยิ้มคนเดียวอยู่น่ะ จะกลับมั้ยบ้าน" เรเวนน่าที่ตอนนี้เดินไปถึงประตูทางเข้าสนามแล้ว หันมาก็เห็นคนที่มีตำแหน่งเป็นองค์ครักษ์ส่วนพระองค์ของตัวเอง ยืนยิ้มอยู่คนเดียว หมอนี่เป็นบ้าหรือไง
"พอดีคิดอะไรเรื่อยเปื่อย" เขาตอบก่อนจะหันไปมองหน้าเรเวนน่า แต่ก็ต้องงงเพราะหันไปเจอเจ้าตัวกำลังทำสีหน้าล้อเลียนแล้วก็ยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่
"อะไร? " แล้วก็อดที่จะถามไม่ได้ ยัยนี่เป็นบ้าไปแล้วหรอ เมื่อกี้ยังว่าเขาบ้าอยู่เลยเป็นบ้าเองซะแล้ว
"ไอที่ยืนยิ้มคนเดียวเหมือนคนบ้าเมื่อกี้นี่หมายความว่าไง หื้มมม เดี๋ยวนี้นายแอบมีความลับไม่บอกฉันหรอ แอบไปปิ๊งสาวที่ไหนเข้าล่ะ" ได้แกล้งไอคนเจ้าระเบียบนี่แล้วสนุกดี
"เพ้อเจ้อน่า" เขาพูดก่อนจะเดินนำหน้าไป แหมๆ เขินแล้วหนีด้วย
"นี่! รอฉันด้วย" เธอตะโกนบอกแกลแลนท์ก่อนจะวิ่งตาม
ความคิดเห็น