คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : การพบกันอีกครั้ง
ในยามที่แสงจันทร์ส่องสว่างกว่าดวงตะวัน ณ หอดนตรีหลวงภายในพระราชวังของอาณาจักรแห่งเปลวเพลิง ที่ตอนนี้คงกำลังจะกลายเป็นที่ๆผู้คน 'เคย' มีความสุขกัน และมันคงเป็นเพราะโศกนาฏกรรมที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าเด็กสาวตัวน้อย ภายในหอดนตรีที่สวยงามโอ่อ่าปรากฎเด็กหญิงตัวเล็กๆที่กำลังยืนนิ่งไม่ไหวติ่งและดูโดดเดี่ยว ไหล่เล็กๆนั่นถ้าไม่สังเกตุก็คงไม่เห็นว่ากำลังสั่นเทิ้มเพราะแรงสะอื้น มือน้อยๆกำแผ่นโน้ตดนตรีที่กลายเป็นสีแดงเพราะอาบโลหิตไว้แน่น ดวงหน้าสวยจิ้มลิ้มสมวัยก้มลงมองบางอย่างที่พื้น นัยน์ตาสีโกเมนสวยกำลังสั่นไหวและเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา สายลมที่พัดผ่านเข้ามาทำให้เส้นผมที่เคยเป็นสีทองเพียงแต่ตอนนี้ถูกย้อมไปด้วยโลหิตสีแดงปลิวไสวไปตามลมและเครื่องดนตรีบางชนิดเมื่อถูกสายลมผ่านกระทบก็เกิดเสียงเพลงขึ้น ไม่รู้ว่าในเวลานี้มันจะยังคงไพเราะสำหรับคนฟังอยู่หรือเปล่า เพราะตอนนี้เด็กสาวไม่ได้รับรู้ถึงอะไรก็ตามที่อยู่รอบข้างเสียแล้ว
ราวกับประสาททั้งห้าหยุดการทำงานไปชั่วขณะ เธอเพียงแค่ยืนร้องไห้ และร้องไห้อยู่อย่างนั้น แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่รู้อีกว่าทำไมใบหน้าที่ตอนนี้เปรอะไปด้วยน้ำตานั้น ยังฉีกยิ้มราวกับกำลังมีความสุขอยู่ แม้ว่าปากบางนั้นจะสั่นเพราะการพยายามกลั้นน้ำตาให้ไม่ไหลไปมากกว่านี้ และถึงจะไม่เป็นผลก็ตาม
‘ไหนยิ้มหน่อยสิ คนสวยของแม่’
‘ไม่ว่าจะเจ็บปวดแค่ไหน ขอให้ลูกของแม่ยิ้มไว้เสมอนะลูก’
"หนูเข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว จะทำตามที่ท่านแม่บอก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็จะยิ้มอย่างมีความสุขให้ได้" ราวกับเข้าใจความหมายผิดไป แม่ของเธอต้องการอย่างนี้จริงๆนะหรือ หรือว่าเธอยังเด็กเกินไปกันนะ เธอยิ้มแบบนี้ถูกแล้วใช่หรือไม่ ถ้านี่ใช่สิ่งที่เธอต้องทำ มันถูกแล้วหรือเปล่า หรือมันผิดตั้งแต่ตรงไหน เธอทำมันผิดตั้งแต่ตรงไหน ทำไมมันถึงไม่มีความสุข ยิ้มแล้วก็ต้องมีความสุขสิ ใช่มั้ย…..
เฮือก!
"แฮ่กๆ บ้าจริง เอาอีกแล้วหรอเนี่ย" ร่างบางที่สะดุ้งตื่นขึ้นมา หอบหายใจอย่างหนัก มือเรียวสวยยกขึ้นปาดเหงื่อบริเวณใบหน้า ก่อนจะยันตัวเพื่อลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว สองมือที่สั่นระริกเอือมไปเปิดลิ้นชัก ก่อนจะคว้ากระปุกยาสีใสออกมา แล้วรีบนำยาใส่เข้าปาก หลังจากนั้นไม่นานอาการสั่นและหอบก็หายไป เมื่อสติเริ่มกลับคืนแล้ว ร่างบางจึงลุกขึ้นจากเตียงนอน มือเรียวยกขึ้นรวบผมสีทองอร่ามไว้แล้วเดินไปที่ห้องน้ำไปหยุดยืนอยู่ที่บริเวณอ่างล้างหน้า นัยน์ตาสีแดงสดสวยดุจอัญมณีล้ำค่าจ้องมองเข้าไปในกระจกที่แสดงภาพสะท้อนของตัวเองออกมา
"ดูไม่ได้เลยเรา" หญิงสาวเอ่ยออกมา เพราะเส้นผมสีทองที่สยายอยู่กลางหลังนั้นยุ่งเหยิง บวกกับเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นเต็มดวงหน้าสวย พร้อมกับแก้ม ปาก และจมูกแดงก่ำ เจ้าตัวเอือมมือไปเปิดก็อกน้ำแล้วล้างหน้าล้างตา
ความจริงเธอไม่ค่อยจะเป็นอย่างนี้บ่อยนัก แต่ช่วงนี้มักจะเป็นอยู่บ่อยๆ เธอมักจะฝันร้ายแล้วสะดุ้งตื่นกลางดึกพร้อมกับอาการหวาดกลัวที่กำเริบ เกือบเจ็ดปีมาแล้วหลังจากเหตุการณ์นั้น แต่เธอก็ยังคงลืมไม่ลง คิดสภาพเด็กแปดขวบที่เห็นภาพฆาตกรรมต่อหน้าต่อตาสิ และเหตุผลที่เกิดขึ้นยังเป็นเพราะตัวเองอีก ใครที่ไหนจะลืมลงบ้าง
ในยามบ่ายที่เเสนจะวุ่นวายวันหนึ่งในอาณาจักรเอนเดลลิออน
"อะไรนะ! องค์หญิงหนีไปอีกแล้วเหรอ! บอกกี่รอบแล้วว่าอย่าให้พระองค์หนีไปได้อีก! " หัวหน้าสาวใช้ตะโกนต่อว่าทหารเฝ้ายามอย่างโมโหสุดขีด
"ขอโทษครับ แต่กระผมไม่สามารถขัดพระทัยองค์หญิงได้จริงๆ แต่ถึงอย่างนั้ท่านแกลแลนท์ก็ไปด้วย คงไม่มีอะไรต้องห่วงหรอกครับ" ทหารหนุ่มกล่าวขอโทษขอโพยหัวหน้าแม่บ้านยกใหญ่
"เห้อ จริงๆ เลยนะ องค์หญิงนะองค์หญิงทำไมชอบไปไหนไม่บอกไม่กล่าวกันอยู่เรื่อย" หัวหน้าแม่บ้านกล่าวด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
"เอ่อ...ถ้าอย่างนั้นเขาจะเรียกหนีหรือครับ" ทหารหนุ่มถามอย่างงงๆ
"นี่! " หัวหน้าแม่ยกนิ้วชี้หน้าทหารอย่างโมโหที่ถูกกวนบาทาเข้าให้
"ขอโทษครับ กระผมขอลา" ทหารหนุ่มว่าก่อนจะรีบเผ่นหนีไปก่อนที่จะโดนหัวหน้าแม่บ้านระเบิดอารมณ์ใส่เสียก่อน
ณ ริมผาในป่าแห่งหนึ่งใน พระราชวังเอนเดลลิออน
สายลมบางเบาพัดผ่านร่างบางที่ยืนอยู่ริมหน้าผา ทำให้เส้นผมสีทองสุกสว่างที่ยาวถึงกลางหลังงามคล้ายผ้าแพรก็ไม่ปานปลิวพริ้วไหวไปตามแรงลม เจ้าตัวยกมือขึ้นมาทัดผมเบาๆ ดวงหน้ามนที่งดงามราวกับรูปสลัก ปากกระจับสีชมพูระเรื่อๆ ดวงตากลมโตได้รูปสีแดงสดคล้ายโลหิตดูสุกใสราวกับอัญมณีหายาก ที่ไม่ว่าใครเมื่อได้จ้องมองเมื่อใดก็จะรู้สึกหลงใหลอย่างบอกไม่ถูก เจ้าตัวกำลังแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่ยามนี้ปลอดโปร่งสบายตา แสงแดดอ่อนๆ ที่ส่องลงมาทำให้รู้สึกอุ่นกาย และแสงแดดที่สาดส่องผ่านช่องว่างของใบไม้และกิ่งไม้ลงมากระทบผิวที่อมชมพูอย่างคนสุขภาพดีของเด็กสาว ทำให้เจ้าตัวราวกับมีออร่าสีทองส่องแสงประกายอยู่รอบๆ ตลอดเวลา ร่างบางที่งดงามอย่างหาตัวจับยากกางแขนออกกว้างก่อนจะสูดหายใจเข้าแรงๆ
"ที่นี่หายใจได้โล่งดีจังนะว่ามั้ย" องค์หญิงเพียงพระองค์เดียวแห่งราชวงศ์เอนเดลลิออน ถามขึ้นพร้อมกับหันไปมองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของตน
"กระหม่อมก็คิดเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง" ชายหนุ่มร่างกายกำยำแต่ก็ยังดูเหมือนจะโตได้ไม่เต็มที่เอ่ยขึ้น ดวงตาสีอำพันขององครักษ์หนุ่มก้มลงมองร่างบางที่ตอนแรกยังฉีกยิ้มแฉ่งอยู่ แต่ตอนนี้กลับหน้าบึ้งเสียแล้ว
"นี่จะต้องให้ฉันบอกอีกกี่ครั้งว่าตอนอยู่กันสองคนให้นายพูดปกติกับฉันน่ะห้ะ" เรเวนน่าแอบบ่นองครักษ์ของตน ที่ต่อให้เธอบอกเขากี่ทีๆ เขาก็ยังทำตัวมีพิธีรีตองตลอดเวลาอยู่นั่นแหละ น่าเบื่อจริงๆ
"มันเป็นกฎพ่ะย่ะค่ะ" องครักษ์หนุ่มกล่าว
"โถ่แกลแลนท์ฉันอนุญาตนายแล้ว เลิกทำให้ฉันรู้สึกเหมือนฉันสนิทกับนายอยู่คนเดียวได้มั้ย" เรเวนน่าทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ รับรองว่าแกลแลนท์ทนเห็นเธอร้องไห้ไม่ได้หรอก เค้าต้องยอมแน่!
แกลแลนท์ เอลเลนทีสทำหน้าอึดอัดใจก่อนจะยอมพูด
"เห้อ โอเคๆ ยอมเธอแล้ว เมื่อไหร่จะเลิกใช้มุขนี้สักทีชักจะเบื่อแล้ว" องครักษ์หนุ่มบ่นอุบ
"แต่ก็เห็นว่าได้ผลทุกทีนี่ ถ้าไม่ทำแบบนี้นายจะยอมฉันหรอ เป็นองครักษ์ซะเปล่าไม่เห็นจะตามใจฉันเลย" เธอพูดเสียงงอนๆ
"แล้วทำไมฉันต้องทำแบบนั้น แค่นี้เธอก็เอาแต่ใจจะแย่แล้ว ขืนทำแบบนั้นมีหวังฉันได้ออกไปเก็บดาวเก็บเดือนนอกโลกมาให้เธอแน่" จะว่าไปมันก็จริงแค่นี้ก็แทบจะไม่มีใครขัดเธอแล้ว นอกจากแกลแลนท์คนเดียวนี้แหละที่ชอบห้ามเธอทำโน่นทำนี่อยู่บ่อยๆ
"นี่เวอร์ไปแล้ว แกเห็นฉันเป็นคนละโมบโลภมากขนาดนั้นเลยหรือไง" นายนี่พูดเวอร์เกินไปแล้วนะ
"หรือไม่จริง ดูของแต่ละอย่างที่เธออยากได้ทุกวันนี้สิ ขนนกฟีนิกซ์ น้ำตามังกร ไข่มุกเหมันต์ เธอคิดว่านี่มันยังไม่เวอร์อีกหรือไง"
"แหมก็มันต้องใช้นี่ แล้วถึงมันเป็นของหายากมันก็ไม่ได้เกินความสามารถนายเสียหน่อย" องครักษ์ของเธอซะอย่างมีหรือจะหามาไม่ได้
"มันก็จริงอยู่ที่ว่าฉันหามาให้เธอได้ ขอบคุณนะที่ชม งั้นเรากลับวังกันได้แล้วพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง ท่านออกมานานแล้ว กระหม่อมเกรงว่าข้างในน่ากำลังวุ่นวายตามหาพระองค์กันอยู่" นี่ไงเวลาจะกลับเข้าวังทีไรเค้าชอบเป็นแบบนี้ทุกที เธอล่ะเบื่อจริงๆ กับราชาศัพท์ของเขาเนี่ย พระเจ้าช่วยบอกทีว่ามีที่ไหนที่เธอจะไม่ได้ยินคำพวกนี้ไหม!
"เห้อ โอเคไปเถอะ" ร่างบางหันหลังเตรียมตัวกลับเข้าวัง
แต่ก่อนที่จะหันหลังกลับ หางตาก็เหมือนจะเห็นอะไรบางอย่างกำลังจะตกลงมา เรเวนน่าที่กำลังจะเอี้ยวตัวหันกลับไปดู ก็ต้องตกใจกับเสียงของแกลแลนท์ที่ตะโกนขึ้นมาเสียก่อน
"เรเวนน่า! ระวัง! "แกลแลนท์กระโดดมารวบตัวผู้ที่ตนต้องอารักขาก่อนจะอุ้มร่างบางให้ห่างจากอะไรบางอย่างที่ตกลงมาเมื่อกี้
"นั่นอะไรน่ะ" เรเวนน่าถามพลางพยายามมองสิ่งๆ นั้นที่ตกลงมา มีหลุมใหญ่เกิดขึ้นเพราะการกระแทกอยู่ห่างจากที่พวกเธอยืนอยู่ไม่ไกลมากนัก
"เธอรออยู่ตรงนี้ ฉันจะไปดูให้" พูดจบแกลแลนท์ก็ปล่อยมือออกจากตัวผู้ที่เป็นทั้งเพื่อนและเจ้านายแล้วเดินไปทางอะไรบางอย่างที่ตกลงมาเมื่อสักครู่
ร่างใหญ่ที่คล้ายๆว่าจะอายุราวๆวัยกลางคนค่อยๆยันตัวขึ้นยืนจากตำแหน่งที่ตกลงมาเมื้อสักครู่ เส้นผมสีดำยาวสลวย ผิวกายขาวเนียนดุจหิมะแรกในฤดูหนาว ดวงตาสีดำสนิท พอยันตัวลุกขึ้นได้เต็มความสูงปีกหนาคล้ายปีกของอีกาสีดำแต่ใหญ่กว่ามากที่ขลับเงาวาวสวยงามก็กระพือออก ดวงตาสีนิลนั่นจ้องมายังเรเวนน่าอย่างนิ่งงัน ใบหน้านั้นก็งดงามไม่ต่างจากทุกส่วนของร่างกาย แต่ความงดงามนั้นก็ไม่สามารถบดบังออร่าความอันตรายของเขาได้หมด คำอธิบายบุคคลตรงหน้าบอกได้เลยว่า สวยงามแต่อันตราย จนอะไรบางอย่างในตัวเธอร้องเตือนว่าควรวิ่งหนีไปให้ไกลเสียตอนนี้
แกลแลนท์ชักดาบออกมาทันทีที่เห็นมันยืนขึ้น พร้อมกับถอยออกมายืนบังเธอไว้
เหมือนมนุษย์เลย ต่างแค่ บนหัวมีเขาหนึ่งคู่ แถมยังมีปีกสีดำอีก อย่างกับ...อสูร!! บ้าหน่า! ในตำราบอกว่ามันสูญพันธุ์ไปแล้วนี่ ไม่มีทางเป็นไปได้ สิ้นเสียงความคิดในหัว ร่างบางแทนทีจะขยับถอยหนีหรือวิ่งหนีไปเสีย แต่กลับเดินเข้าไปหาเพื่อนหนุ่มที่ยืนสู้หน้าสิ่งมีชีวิตตนนั้นอยู่ แล้วพยายามดึงเขาให้ถอยออกมา ถึงจะยังไม่แน่ใจก็เถอะว่าที่อยู่ตรงหน้านั้นคืออสูรจริงๆ
เดี๋ยวนะ... คำทำนายบ้านั่น นี่มันเรื่องจริงหรอ! อยู่ๆเธอก็นึกถึงคำทำนายที่ทำเอาชีวิตเธอไม่เคยสงบสุขมาตั้งแค่เกิด ที่อยู่ๆ ก็ดันมาโยนภาระอันหนักหน่วงให้กับเด็กแรกเกิด ไม่สิ ยังไม่เกิดเสียด้วยซ้ำ ถ้าเป็นอย่างที่คำนายนั่นบอกจริงนี่มันถึงเวลาแล้วหรอ มันยังเหลืออีกตั้งสองปีนี่
พอนึกได้ภาพความทรงจำเมื่อในอดีตก็ซ้อนทับขึ้นมา นัยน์ตาดำสนิทไร้แววราวกับเพชฌฆาตฝีมือดีนั้นยังคงติดอยู่ในความทรงจำที่เธอไม่มีวันลืมแน่ ดวงตาสองคู่กันเผลอสบกันเข้า ฝ่ายนึงถึงจะมีสีหน้าสงบนิ่งราวกับไม่ตกใจเลยสักนิดกับสิ่งที่เกิดชึ้น แต่ความกังวลที่ฉายชัดอยู่ในแววตาก็ไม่อาจคลาดสายตาของผู้บักรุกไปได้ อีกฝ่ายถึงได้ยิ้มเย้าะออกมา
"ถอยออกไปเดี๋ยวนี้! ฉันเตือนแล้วนะ! " แกลแลนท์ตะโกนบอกสิ่งมีชีวิตตัวนั้น แต่มันไม่มีแม้แต่ถ้าทีจะหยุดเดินเลยสักนิด แกลแลนท์ถอยหลังมาเรื่อย ๆ
"แกลแลนท์ ฉันคิดว่ามันคืออสูร" เรเวนน่ากระซิบ เขาหันมามองเธอนิดหน่อย อสูรตัวจริงที่อยู่ตรงหน้านี้ มีรูปลักษณ์ที่แตกต่างจากในตำรานิดหน่อย อาจจะเพราะมันสูญพันธ์ไปได้นานมาก ข้อมูลที่แน่ชัดเลยค่อนข้างหาได้ยากมาก แต่ไม่ยากในการคาดเดาเท่าไหร่กับตัวเธอที่เคยเห็นมันมาเองแล้วกับตา
"อืม ก็พอเดาได้อยู่" แกลแลนท์หันมากระซิบบอกเรเวนน่า
"ระวังล่ะ มันน่าจะเเข็งแกร่งมาก" ร่างบางบอก เท่าที่รู้มา เผ่าอสูรเป็นเผ่าที่แข็งแกร่งมาก ครั้งนึงพวกมันพยายามจะครองโลกนี้ จนทุกเผ่าพันธุ์ต้องร่วมมือกันกำจัด และก็มันสำเร็จ ในการบันทึกช่วงเวลาสำคัญในประวัติศาสตร์บอกว่า เหล่าต้นตระกูลของราชวงศ์ในอาณาจักรทั้งห้าได้กำจัดเผ่าพันธุ์อสูรไปหมดแล้ว และเผ่าอสูรก็ศูนย์พันธุ์ไปตั้งแต่เมื่อเกือบสองพันปีที่แล้ว แต่สิ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอในตอนนี้คงเป็นสิ่งยืนยันว่าประวัติศาสตร์ได้ผิดพลาดเสียแล้วล่ะ
"ดูจากลักษณะแล้วคงเป็นอย่างอื่นไม่ได้จริงๆสินะ" ก็จริงเผ่าพันธุ์แต่ละเผ่าพันธุ์จะมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ในป่านอกเมืองมีแต่ละเผ่าพันธ์อาศัยอยู่แต่ก็ไม่มีเผ่าพันธุ์ไหนรูปร่างหน้าตาแบบนี้ งั้นก็คงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้อย่างที่แกลแลนท์ว่า ร่างสูงขยับเข้ามาบังเธอไว้
ตอนนี้เสียงเดินหยุดแล้ว บรรยากาศรอบกายเย็นลง ไม่มีแต่แต่เสียงลมที่เคยพัดผ่านเหมือนก่อนหน้านี้ เล่นเอาไม่กล้าหายใจไปด้วยซะเลย เธอไม่รู้ว่าตอนนี้มันอยู่ตรงไหน แกลแลนท์บังเธอไว้ซะมิด แต่ก็นะมีแกลแลนท์อยู่ด้วยก็ดีหน่อย อุ่นใจขึ้นเยอะ ถ้ามาเจอไอตัวนี้คนเดียวคงยากที่จะรอดกลับไปแบบครบสามสิบสอง
"ขอโทษที่ต้องทำให้ตกใจพ่ะย่ะค่ะ แต่ท่านช่างสวยงามสะกดตายิ่งนัก ท่านต้องเป็นคนที่ข้าตามหาไม่ผิดแน่ องค์หญิงเรเวนน่า เดอ เจเวล เอนเดลลิออน หวังว่าข้าคงจำไม่ผิด" หมอนั่นดูอันตรายยังไงชอบกล บุกมาในเขตวังหลวงเสียขนาดนี้ไม่มีทางที่จะมาดีอยู่แล้ว แต่ในคำทำนายมันบอกว่าจะเดินเกมเร็วขนาดนี้เลยหรอ เธออายุย่างเข้าสิบห้าอยู่เลยนะ
"ขอบคุณ แต่บอกมาว่าท่านต้องการอะไร" เธอตะโกนตอบมันไป
"ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง กระหม่อมเพียงต้องการจะมายลโฉมของคนที่ผู้คนต่างก็ลือกันว่าเป็นผู้ที่งดงามที่สุดในทวีปนี้ ซึ่งก็คงจะจริงอย่างที่เขาลือกัน พระองค์ช่างเหมาะที่จะเป็นวัตถุดิบของนายหัวข้าเหลือเกิน " มันพูดพลางยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ย์
"บังอาจนัก! กล้าดียังไงถึงมาพูดกับองค์หญิงเยี่ยงนี้" แกลแลนท์ฉุนหนัก
"ว้า นี่ข้าดันเสียมารยาทซะแล้วหรอเนี่ย ขอประทานอภัยอีกครั้งพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง วันนี้ข้าแค่มาทักทาย เอาไว้วันหลังเรามารู้จักกันให้ดีขึ้นสักหน่อยดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ"
"กล้าบุกมาขนาดนี้ มันหยามกันชัดๆ " รังสีพิฆาตแพร่ออกมาอย่างรวดเร็วและแรงกดดันที่มีมากมหาศาลทำให้มันนิ่งไปได้ชั่วขณะ สายตาที่ดูอ่อนโยนในตอนแรกกลับกันในตอนนี้กลับดูแข็งกร้าวและน่ากลัวราวเทพีที่ผู้คนต้องยอมก้มหัวให้ เรเวนน่าที่แสดงพลัง เพื่อเผื่อจะข่มมันได้บ้าง ก่อนจะค่อยๆ คลายพลังลง
"หึ ขอพระองค์ทรงจำชื่อกระหม่อมไว้ด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ ข้ามีนามว่ามาโก้ เป็นอสูร" มาโก้แนะนำตัวพร้อมกับโค้งตัวลงเล็กน้อย และเน้นคำว่าอสูรในตอนท้าย
"อสูรจริงๆ ด้วยสินะ ว่าแต่เดินเกมเร็วแบบนี้ไม่เอาเปรียบกันไปหน่อยหรอ" เธอถามเขา
"เกม? เข้าใจคิดนะแต่ข้าว่าถ้ามันเป็นเกม คงเป็นเกมที่ต้องเดิมพันด้วยชีวิตของท่านเลยล่ะ ข้าว่ามันไม่ใช่เกมหรอก แต่มันคือสงครามต่างหาก" มาโก้แสยะยิ้มราวกับมั่นใจหนักหนาว่าตนถือไพ่เหนือกว่าอีกฝ่าย
"เอาสิ ก็ดูเป็นการเดิมพันที่น่าสนุกดี" เธอพร้อมกับจ้องอีกฝ่ายด้วยสายตาที่จริงจังและเอาจริง
"ฮ่าๆๆ ข้าล่ะถูกใจท่านจริงๆ สมแล้วที่เป็นผู้ถูกเลือก หวังว่าสักวันเราจะได้พบกันอีก"
"แน่นอน ท่าทางดูเหมือนจะมั่นใจจังเลยนะว่าจะชนะได้ แล้วที่บุกมาถึงนี่ ดูถูกระบบความปลอดภัยของที่นี่เกินไปหรือเปล่า ถึงจะเข้าง่ายแต่ออกยากน้า" ร่างบางพูดแล้วหรี่ตามองหยั่งเชิงมันเล็กน้อย ถึงจริงๆแล้วค่อนข้างจะรู้สึกประหม่ามาก แต่หมอนี่ก็มั่นใจพอสมควรถึงได้กล้าเข้ามา ประมาทไม่ได้เด็ดขาด ไอพลังเวทย์ของมันไม่ใช่เล่นเลย
"ข้าเกรงว่าที่ท่านคิดอาจจะผิดไปหน่อย เพราะข้ามั่นใจถึงได้บุกมานี่ไงเล่า เอาเป็นว่าข้าตัวขอลาก่อน และนี่เป็นของขวัญเล็กๆน้อยๆที่นายข้าฝากมา" พูดจบเสียงลมก็แรงขึ้นฉับพลัน เสียงสายลมตวัดไปมาราวกับดาบคมอยู่รอบๆ สองร่างที่ยืนตัวชิดกันอยู่ แกลแลนท์พยายามหันซ้ายขวาหาตัวต้นตอ แต่กลับเห็นได้เพียงเงาลางๆ ที่เคลื่อนที่ไปมาด้วยความรวดเร็วอยู่รอบๆ ตัว ไม่นานเกินที่จะได้ทันตั้งตัว สายลมราวกับดาบคมที่วนอยู่รอบๆ พุ่งเข้ามาทางองค์หญิงเพียงหนึ่งเดียวแห่งอาณาจักรอันรุ่งเรื่อง แกลแลนท์รีบวิ่งมาบังตัวเรเวนน่าไว้ ทำให้เกิดรอยแผลบาดจากกระแสลมที่ควรจะอยู่บนตัวเธอมีเขาเข้ามารับไว้แทน
"แกลแลนท์!! จะวิ่งมาทำไมแค่นี้ฉันป้องกันตัวเองได้อยู่แล้ว อยากตายหรือไง!" เรเวนน่าตะโกนลั่น เลือดเริ่มจะหยดลงพื้น เขาจะไม่ไหวแล้ว ทำอย่างไรดี
"โอ๊ย" ยังไม่ทันได้คิดอะไร พอแกลแลนท์ล้มลงที่กำบังที่มีในตอนแรกก็หายไป ร่างบางที่ตอนแรกกางบาเรียไว้อยู่เเล้ว พอแกลแลนท์ล้มลงทำให้เธอหันไปสนใจเขาจนเผลอลดพลังลง ทำให้สายลมที่ราวกับกำลังพิโรธอยู่ตอนนี้ ทำลายโล่บางๆได้เรียบร้อยเเล้ว สายลมที่คมราวดับมีดบาดโดนฝากรอยแผลไปที่ใหล่ขวาให้กับเรเวนน่าไปสามสี่แผล รอยลมที่บาดลึกมากทำให้ถึงกับร้องออกมาเพราะความเจ็บ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เธอสนใจกับมันมากนัก เพราะตอนนี้สิ่งที่สำคัญคือชีวิตของเพื่อนรักของเธอ
"หยุดเดี๋ยวนี้! เจ้านี่มันช่างสามหาวยิ่งนัก! กล้าดียังไงถึงมาทำกับคนของข้าแบบนี้!" เรเวนน่าตวาดลั่น ดวงหน้าสวยที่เคยดูอ่อนโยนแต่นี้เต็มไปด้วยโทสะ
" ไสหัวไปซะ!!" นัยน์ตาโกเมนที่แข็งกร้าวขึ้นทันทีกับน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธาและความเกรี้ยวกราด เปรียบเสมือนสายฟ้าฟาดลงตรงหน้าผู้มาเยือน ฉับพลันท้องฟ้ามืดมัว ลมพายุพัดรุนแรงราวกับกำลังโกรธพร้อมที่จะกินเลือดเนื้อ มาโก้มองมาที่องค์หญิงอย่างพอใจ ก่อนจะปรับสีหน้าเป็นปกติแล้วกล่าว
"อำนาจของท่านมีมากเหลือล้นพ่ะย่ะค่ะ แต่ท่านยังอ่อนหัดนัก ขอให้พระองค์ทรงตั้งใจรอ เมื่อเวลามาถึง เราจะได้พบกันอีกแน่ กระหม่อมขอทูลลา แล้วก็..... ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งพ่ะย่ะค่ะ" มันพูดก่อนจะโค้งลงนิดๆ เหมือนกับตอนที่ทักทาย ก่อนจะค่อยๆ หายไป
อีกครั้งงั้นหรอ...... เหอะ
"แกลแลนท์! แกลแลนท์!!" เรเวนน่าเข้าไปพยุงตัวองครักษ์หนุ่ม ก่อนที่จะเขาจะล้มลงคุกเข่ากับพื้นแล้วกระอักเลือด ร่างบางเบิกตาโพลง เขาจะตายมั้ยเนี่ย เธอรีบเรียกทหารที่เริ่มจะวิ่งกรูกันเข้ามาทางนี้ ให้รีบพาเขาไปรักษา ถ้าเขาเสียเลือดมากกว่านี้อาจจะเป็นอะไรไปได้
แกลแลนท์ที่หันมาเห็นแผลจากพายุสายลมเมื่อสักครู่บนตัวของเพื่อนสาวก็พยายามจะเอื้อมมือมารักษาแผลให้ แต่ไม่ทันได้เอื้อมถึงเขาก็สลบไปก่อนจากการเสียเลือดมาก
"ว่ายังไงนะ! อสูร! นี่ล้อเล่นหรือไงเนี่ย!" เจ้าชายแซ็คมิส เดอ เจเวล เอนเดลลิออน ที่เพิ่งจะกลับมาจากการออกไปเยี่ยมราษฎรเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อ ดวงตาสีสดเหมือนกันกับเด็กสาวมองน้องสาวตัวเองแบบไม่อยากจะเชื่อสักเท่าไหร่ ก็แหม เจ้าตัวมันน่าเชื่อถือซะที่ไหนล่ะ
"น้องไม่ได้ล้อเล่นสักหน่อย เห็นจริงๆนะ ยืนคุยกันตั้งนาน ไม่เชื่อก็ดูแผลนี่สิ" เรเวนน่าโชว์ใหล่ขวาที่มีผ้าพันแผลให้พี่ชายดู
"ไอแผลนี่คงจะไปซนมาล่ะสิ พี่เชื่อน้องได้ที่ไหน หรือจะบอกว่าน้องไม่เคยโกหกพี่" แซ็คมิสทำหน้าล้อเลียน ดูมันสิเคยเชื่อกันซะที่ไหนเล่าเนี่ย ที่ว่าไม่เคยไม่โกหกมันก็จริงอยู่แต่รอบนี้เธอพูดจริงนะ แต่ถึงอย่างนั้น ก็จับเธอพลิกซ้ายพลิกขวาหาบาดแผลอื่น เป็นห่วงน้องก็พูดตรงๆ เถอะ
"น้องพูดจริงๆ นะท่านพี่ ไม่เชื่อก็ดูสภาพแกลแลนท์ซะก่อน มีใครทำให้เขาบาดเจ็บขนาดนี้ได้ซะที่ไหน หมอนี่อึดจะตาย! " เรเวนน่าหันไปขอความช่วยเหลือจากแกลแลนท์ถ้าหมอนี้ไม่พูดนะ อย่าหวังเลยว่าใครจะเชื่อฉัน
"จริงหรือแกลแลนท์" แซ็คมิสหันไปถามความจริงจากแกลแลนท์
"เป็นดั่งที่องค์หญิงกล่าวมาพะยะค่ะ" เยส! ครั้งแรกเลยนะเนี่ยที่ยอมให้ความร่วมมือดีๆ
"ถ้าเป็นอย่างที่น้องว่ามาจริงๆ พี่ว่าพอท่านพ่อกับท่านพี่กลับมา เราต้องคุยกันแล้วล่ะ" แซ็คมิสว่าพลางทำสีหน้าเครางเครียด มันกลับมาอีกแล้วงั้นหรอ
"น้องโอเคมั้ย" คราวนี้แซ็คมิสถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่าคืนนั้นเกิดอะไรขึ้น
"โอเคสิคะ เจ็บนิดเดียวเอง" เรเวนน่าพูดแล้วขยับแขนขยับขาเหมือนท่าวอร์มร่างกายให้พี่ชายดูพร้อมกับยิ้มสดใสไปด้วย
"โอเคก็ดีแล้ว พี่รักเรานะ" พูดจบก็ดึงน้องสาวคนเดียวของเขาเข้ามากอด ดูก็รู้ว่ากำลังฝืนยิ้ม สิ่งที่เขาทำได้แค่คอยอยู่ข้างๆเท่านั้น บางทีก็โมโหตัวเองที่ช่วยอะไรมากกว่านี้ไม่ได้เลย
"แหวะ เป็นอะไรของพี่เนี่ย ร้อยวันพันปีไม่คอยบอกรัก วันนี้อยู่ๆก็อยากรักน้องสาวขึ้นมาหรอคะ" หลังจากนั้นบทสนทนาก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ
ท่านพ่อกับท่านพี่ราเมเซสผู้เป็นองค์รัชทายาทว่าที่กษัตริย์รกลับมาทั้งสองคนก็รีบบึ่งมาหาเธอทันที่จับหมุนตัวดูทุกซอกทุกมุมว่ามีแผลหรือมีอะไรผิดปกติหรือเปล่า พอเห็นแผลที่แขนเธอปุ๊บก็โกรธจนเลือดขึ้นหน้าเลย หลังจากนั้นก็พาแพทย์หลวงมาตรวจแบบละเอียดอีกที ถึงเธอจะบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรไม่ต้องตรวจก็ได้ก็ไม่ยอม สุดท้ายก็ต้องยอม เอาเถอะ เพื่อความสบายใจของพวกเขาล่ะนะ
หลังจากนั้นทั้งวังก็วุ่นวายหนักเลย ท่านพ่อกับท่านพี่เรียกประชุมใหญ่ ส่วนที่ตรงที่ไอนั่นมันตกลงมาก็ถูกกั้นไม่ให้เข้าพร้อมเฝ้าเวรยามแน่นหนาเรียบร้อย ไม่นะ ที่ลี้ภัยของฉันน TT
เรื่องที่มีอสูรบุกมาหาเรเวนน่าถูกเก็บไว้เป็นความลับแค่ในวัง ส่วนข่าวที่แพร่ออกไปคงจะเป็นแค่เธฮได้รับบาดเจ็บจากผู้บุกรุก ทุกคนข้างนอกคงจะเห็นพายุที่เธอก่อขึ้นนั่นอะนะ ถ้าบอกว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นคงจะไม่มีใครเชื่อ
คิดๆดูแล้วภาระหน้าที่ที่เเธอต้องรับไว้อย่างไม่เต็มใจ ใกล้ได้เวลาที่จะสะสางแล้วล่ะ
ในยามที่แสงจันทร์ส่องสว่างกว่าดวงตะวัน ณ หอดนตรีหลวงภายในพระราชวังของอาณาจักรแห่งเปลวเพลิง ที่ตอนนี้คงกำลังจะกลายเป็นที่ๆผู้คน 'เคย' มีความสุขกัน และมันคงเป็นเพราะโศกนาฏกรรมที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าเด็กสาวตัวน้อย ภายในหอดนตรีที่สวยงามโอ่อ่าปรากฎเด็กหญิงตัวเล็กๆที่กำลังยืนนิ่งไม่ไหวติ่งและดูโดดเดี่ยว ไหล่เล็กๆนั่นถ้าไม่สังเกตุก็คงไม่เห็นว่ากำลังสั่นเทิ้มเพราะแรงสะอื้น มือน้อยๆกำแผ่นโน้ตดนตรีที่กลายเป็นสีแดงเพราะอาบโลหิตไว้แน่น ดวงหน้าสวยจิ้มลิ้มสมวัยก้มลงมองบางอย่างที่พื้น นัยน์ตาสีโกเมนสวยกำลังสั่นไหวและเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา สายลมที่พัดผ่านเข้ามาทำให้เส้นผมที่เคยเป็นสีทองเพียงแต่ตอนนี้ถูกย้อมไปด้วยโลหิตสีแดงปลิวไสวไปตามลมและเครื่องดนตรีบางชนิดเมื่อถูกสายลมผ่านกระทบก็เกิดเสียงเพลงขึ้น ไม่รู้ว่าในเวลานี้มันจะยังคงไพเราะสำหรับคนฟังอยู่หรือเปล่า เพราะตอนนี้เด็กสาวไม่ได้รับรู้ถึงอะไรก็ตามที่อยู่รอบข้างเสียแล้ว
ราวกับประสาททั้งห้าหยุดการทำงานไปชั่วขณะ เธอเพียงแค่ยืนร้องไห้ และร้องไห้อยู่อย่างนั้น แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่รู้อีกว่าทำไมใบหน้าที่ตอนนี้เปรอะไปด้วยน้ำตานั้น ยังฉีกยิ้มราวกับกำลังมีความสุขอยู่ แม้ว่าปากบางนั้นจะสั่นเพราะการพยายามกลั้นน้ำตาให้ไม่ไหลไปมากกว่านี้ และถึงจะไม่เป็นผลก็ตาม
‘ไหนยิ้มหน่อยสิ คนสวยของแม่’
‘ไม่ว่าจะเจ็บปวดแค่ไหน ขอให้ลูกของแม่ยิ้มไว้เสมอนะลูก’
"หนูเข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว จะทำตามที่ท่านแม่บอก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็จะยิ้มอย่างมีความสุขให้ได้" ราวกับเข้าใจความหมายผิดไป แม่ของเธอต้องการอย่างนี้จริงๆนะหรือ หรือว่าเธอยังเด็กเกินไปกันนะ เธอยิ้มแบบนี้ถูกแล้วใช่หรือไม่ ถ้านี่ใช่สิ่งที่เธอต้องทำ มันถูกแล้วหรือเปล่า หรือมันผิดตั้งแต่ตรงไหน เธอทำมันผิดตั้งแต่ตรงไหน ทำไมมันถึงไม่มีความสุข ยิ้มแล้วก็ต้องมีความสุขสิ ใช่มั้ย…..
เฮือก!
"แฮ่กๆ บ้าจริง เอาอีกแล้วหรอเนี่ย" ร่างบางที่สะดุ้งตื่นขึ้นมา หอบหายใจอย่างหนัก มือเรียวสวยยกขึ้นปาดเหงื่อบริเวณใบหน้า ก่อนจะยันตัวเพื่อลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว สองมือที่สั่นระริกเอือมไปเปิดลิ้นชัก ก่อนจะคว้ากระปุกยาสีใสออกมา แล้วรีบนำยาใส่เข้าปาก หลังจากนั้นไม่นานอาการสั่นและหอบก็หายไป เมื่อสติเริ่มกลับคืนแล้ว ร่างบางจึงลุกขึ้นจากเตียงนอน มือเรียวยกขึ้นรวบผมสีทองอร่ามไว้แล้วเดินไปที่ห้องน้ำไปหยุดยืนอยู่ที่บริเวณอ่างล้างหน้า นัยน์ตาสีแดงสดสวยดุจอัญมณีล้ำค่าจ้องมองเข้าไปในกระจกที่แสดงภาพสะท้อนของตัวเองออกมา
"ดูไม่ได้เลยเรา" หญิงสาวเอ่ยออกมา เพราะเส้นผมสีทองที่สยายอยู่กลางหลังนั้นยุ่งเหยิง บวกกับเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นเต็มดวงหน้าสวย พร้อมกับแก้ม ปาก และจมูกแดงก่ำ เจ้าตัวเอือมมือไปเปิดก็อกน้ำแล้วล้างหน้าล้างตา
ความจริงเธอไม่ค่อยจะเป็นอย่างนี้บ่อยนัก แต่ช่วงนี้มักจะเป็นอยู่บ่อยๆ เธอมักจะฝันร้ายแล้วสะดุ้งตื่นกลางดึกพร้อมกับอาการหวาดกลัวที่กำเริบ เกือบเจ็ดปีมาแล้วหลังจากเหตุการณ์นั้น แต่เธอก็ยังคงลืมไม่ลง คิดสภาพเด็กแปดขวบที่เห็นภาพฆาตกรรมต่อหน้าต่อตาสิ และเหตุผลที่เกิดขึ้นยังเป็นเพราะตัวเองอีก ใครที่ไหนจะลืมลงบ้าง
ในยามบ่ายที่เเสนจะวุ่นวายวันหนึ่งในอาณาจักรเอนเดลลิออน
"อะไรนะ! องค์หญิงหนีไปอีกแล้วเหรอ! บอกกี่รอบแล้วว่าอย่าให้พระองค์หนีไปได้อีก! " หัวหน้าสาวใช้ตะโกนต่อว่าทหารเฝ้ายามอย่างโมโหสุดขีด
"ขอโทษครับ แต่กระผมไม่สามารถขัดพระทัยองค์หญิงได้จริงๆ แต่ถึงอย่างนั้ท่านแกลแลนท์ก็ไปด้วย คงไม่มีอะไรต้องห่วงหรอกครับ" ทหารหนุ่มกล่าวขอโทษขอโพยหัวหน้าแม่บ้านยกใหญ่
"เห้อ จริงๆ เลยนะ องค์หญิงนะองค์หญิงทำไมชอบไปไหนไม่บอกไม่กล่าวกันอยู่เรื่อย" หัวหน้าแม่บ้านกล่าวด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
"เอ่อ...ถ้าอย่างนั้นเขาจะเรียกหนีหรือครับ" ทหารหนุ่มถามอย่างงงๆ
"นี่! " หัวหน้าแม่ยกนิ้วชี้หน้าทหารอย่างโมโหที่ถูกกวนบาทาเข้าให้
"ขอโทษครับ กระผมขอลา" ทหารหนุ่มว่าก่อนจะรีบเผ่นหนีไปก่อนที่จะโดนหัวหน้าแม่บ้านระเบิดอารมณ์ใส่เสียก่อน
ณ ริมผาในป่าแห่งหนึ่งใน พระราชวังเอนเดลลิออน
สายลมบางเบาพัดผ่านร่างบางที่ยืนอยู่ริมหน้าผา ทำให้เส้นผมสีทองสุกสว่างที่ยาวถึงกลางหลังงามคล้ายผ้าแพรก็ไม่ปานปลิวพริ้วไหวไปตามแรงลม เจ้าตัวยกมือขึ้นมาทัดผมเบาๆ ดวงหน้ามนที่งดงามราวกับรูปสลัก ปากกระจับสีชมพูระเรื่อๆ ดวงตากลมโตได้รูปสีแดงสดคล้ายโลหิตดูสุกใสราวกับอัญมณีหายาก ที่ไม่ว่าใครเมื่อได้จ้องมองเมื่อใดก็จะรู้สึกหลงใหลอย่างบอกไม่ถูก เจ้าตัวกำลังแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่ยามนี้ปลอดโปร่งสบายตา แสงแดดอ่อนๆ ที่ส่องลงมาทำให้รู้สึกอุ่นกาย และแสงแดดที่สาดส่องผ่านช่องว่างของใบไม้และกิ่งไม้ลงมากระทบผิวที่อมชมพูอย่างคนสุขภาพดีของเด็กสาว ทำให้เจ้าตัวราวกับมีออร่าสีทองส่องแสงประกายอยู่รอบๆ ตลอดเวลา ร่างบางที่งดงามอย่างหาตัวจับยากกางแขนออกกว้างก่อนจะสูดหายใจเข้าแรงๆ
"ที่นี่หายใจได้โล่งดีจังนะว่ามั้ย" องค์หญิงเพียงพระองค์เดียวแห่งราชวงศ์เอนเดลลิออน ถามขึ้นพร้อมกับหันไปมองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของตน
"กระหม่อมก็คิดเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง" ชายหนุ่มร่างกายกำยำแต่ก็ยังดูเหมือนจะโตได้ไม่เต็มที่เอ่ยขึ้น ดวงตาสีอำพันขององครักษ์หนุ่มก้มลงมองร่างบางที่ตอนแรกยังฉีกยิ้มแฉ่งอยู่ แต่ตอนนี้กลับหน้าบึ้งเสียแล้ว
"นี่จะต้องให้ฉันบอกอีกกี่ครั้งว่าตอนอยู่กันสองคนให้นายพูดปกติกับฉันน่ะห้ะ" เรเวนน่าแอบบ่นองครักษ์ของตน ที่ต่อให้เธอบอกเขากี่ทีๆ เขาก็ยังทำตัวมีพิธีรีตองตลอดเวลาอยู่นั่นแหละ น่าเบื่อจริงๆ
"มันเป็นกฎพ่ะย่ะค่ะ" องครักษ์หนุ่มกล่าว
"โถ่แกลแลนท์ฉันอนุญาตนายแล้ว เลิกทำให้ฉันรู้สึกเหมือนฉันสนิทกับนายอยู่คนเดียวได้มั้ย" เรเวนน่าทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ รับรองว่าแกลแลนท์ทนเห็นเธอร้องไห้ไม่ได้หรอก เค้าต้องยอมแน่!
แกลแลนท์ เอลเลนทีสทำหน้าอึดอัดใจก่อนจะยอมพูด
"เห้อ โอเคๆ ยอมเธอแล้ว เมื่อไหร่จะเลิกใช้มุขนี้สักทีชักจะเบื่อแล้ว" องครักษ์หนุ่มบ่นอุบ
"แต่ก็เห็นว่าได้ผลทุกทีนี่ ถ้าไม่ทำแบบนี้นายจะยอมฉันหรอ เป็นองครักษ์ซะเปล่าไม่เห็นจะตามใจฉันเลย" เธอพูดเสียงงอนๆ
"แล้วทำไมฉันต้องทำแบบนั้น แค่นี้เธอก็เอาแต่ใจจะแย่แล้ว ขืนทำแบบนั้นมีหวังฉันได้ออกไปเก็บดาวเก็บเดือนนอกโลกมาให้เธอแน่" จะว่าไปมันก็จริงแค่นี้ก็แทบจะไม่มีใครขัดเธอแล้ว นอกจากแกลแลนท์คนเดียวนี้แหละที่ชอบห้ามเธอทำโน่นทำนี่อยู่บ่อยๆ
"นี่เวอร์ไปแล้ว แกเห็นฉันเป็นคนละโมบโลภมากขนาดนั้นเลยหรือไง" นายนี่พูดเวอร์เกินไปแล้วนะ
"หรือไม่จริง ดูของแต่ละอย่างที่เธออยากได้ทุกวันนี้สิ ขนนกฟีนิกซ์ น้ำตามังกร ไข่มุกเหมันต์ เธอคิดว่านี่มันยังไม่เวอร์อีกหรือไง"
"แหมก็มันต้องใช้นี่ แล้วถึงมันเป็นของหายากมันก็ไม่ได้เกินความสามารถนายเสียหน่อย" องครักษ์ของเธอซะอย่างมีหรือจะหามาไม่ได้
"มันก็จริงอยู่ที่ว่าฉันหามาให้เธอได้ ขอบคุณนะที่ชม งั้นเรากลับวังกันได้แล้วพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง ท่านออกมานานแล้ว กระหม่อมเกรงว่าข้างในน่ากำลังวุ่นวายตามหาพระองค์กันอยู่" นี่ไงเวลาจะกลับเข้าวังทีไรเค้าชอบเป็นแบบนี้ทุกที เธอล่ะเบื่อจริงๆ กับราชาศัพท์ของเขาเนี่ย พระเจ้าช่วยบอกทีว่ามีที่ไหนที่เธอจะไม่ได้ยินคำพวกนี้ไหม!
"เห้อ โอเคไปเถอะ" ร่างบางหันหลังเตรียมตัวกลับเข้าวัง
แต่ก่อนที่จะหันหลังกลับ หางตาก็เหมือนจะเห็นอะไรบางอย่างกำลังจะตกลงมา เรเวนน่าที่กำลังจะเอี้ยวตัวหันกลับไปดู ก็ต้องตกใจกับเสียงของแกลแลนท์ที่ตะโกนขึ้นมาเสียก่อน
"เรเวนน่า! ระวัง! "แกลแลนท์กระโดดมารวบตัวผู้ที่ตนต้องอารักขาก่อนจะอุ้มร่างบางให้ห่างจากอะไรบางอย่างที่ตกลงมาเมื่อกี้
"นั่นอะไรน่ะ" เรเวนน่าถามพลางพยายามมองสิ่งๆ นั้นที่ตกลงมา มีหลุมใหญ่เกิดขึ้นเพราะการกระแทกอยู่ห่างจากที่พวกเธอยืนอยู่ไม่ไกลมากนัก
"เธอรออยู่ตรงนี้ ฉันจะไปดูให้" พูดจบแกลแลนท์ก็ปล่อยมือออกจากตัวผู้ที่เป็นทั้งเพื่อนและเจ้านายแล้วเดินไปทางอะไรบางอย่างที่ตกลงมาเมื่อสักครู่
ร่างใหญ่ที่คล้ายๆว่าจะอายุราวๆวัยกลางคนค่อยๆยันตัวขึ้นยืนจากตำแหน่งที่ตกลงมาเมื้อสักครู่ เส้นผมสีดำยาวสลวย ผิวกายขาวเนียนดุจหิมะแรกในฤดูหนาว ดวงตาสีดำสนิท พอยันตัวลุกขึ้นได้เต็มความสูงปีกหนาคล้ายปีกของอีกาสีดำแต่ใหญ่กว่ามากที่ขลับเงาวาวสวยงามก็กระพือออก ดวงตาสีนิลนั่นจ้องมายังเรเวนน่าอย่างนิ่งงัน ใบหน้านั้นก็งดงามไม่ต่างจากทุกส่วนของร่างกาย แต่ความงดงามนั้นก็ไม่สามารถบดบังออร่าความอันตรายของเขาได้หมด คำอธิบายบุคคลตรงหน้าบอกได้เลยว่า สวยงามแต่อันตราย จนอะไรบางอย่างในตัวเธอร้องเตือนว่าควรวิ่งหนีไปให้ไกลเสียตอนนี้
แกลแลนท์ชักดาบออกมาทันทีที่เห็นมันยืนขึ้น พร้อมกับถอยออกมายืนบังเธอไว้
เหมือนมนุษย์เลย ต่างแค่ บนหัวมีเขาหนึ่งคู่ แถมยังมีปีกสีดำอีก อย่างกับ...อสูร!! บ้าหน่า! ในตำราบอกว่ามันสูญพันธุ์ไปแล้วนี่ ไม่มีทางเป็นไปได้ สิ้นเสียงความคิดในหัว ร่างบางแทนทีจะขยับถอยหนีหรือวิ่งหนีไปเสีย แต่กลับเดินเข้าไปหาเพื่อนหนุ่มที่ยืนสู้หน้าสิ่งมีชีวิตตนนั้นอยู่ แล้วพยายามดึงเขาให้ถอยออกมา ถึงจะยังไม่แน่ใจก็เถอะว่าที่อยู่ตรงหน้านั้นคืออสูรจริงๆ
เดี๋ยวนะ... คำทำนายบ้านั่น นี่มันเรื่องจริงหรอ! อยู่ๆเธอก็นึกถึงคำทำนายที่ทำเอาชีวิตเธอไม่เคยสงบสุขมาตั้งแค่เกิด ที่อยู่ๆ ก็ดันมาโยนภาระอันหนักหน่วงให้กับเด็กแรกเกิด ไม่สิ ยังไม่เกิดเสียด้วยซ้ำ ถ้าเป็นอย่างที่คำนายนั่นบอกจริงนี่มันถึงเวลาแล้วหรอ มันยังเหลืออีกตั้งสองปีนี่
พอนึกได้ภาพความทรงจำเมื่อในอดีตก็ซ้อนทับขึ้นมา นัยน์ตาดำสนิทไร้แววราวกับเพชฌฆาตฝีมือดีนั้นยังคงติดอยู่ในความทรงจำที่เธอไม่มีวันลืมแน่ ดวงตาสองคู่กันเผลอสบกันเข้า ฝ่ายนึงถึงจะมีสีหน้าสงบนิ่งราวกับไม่ตกใจเลยสักนิดกับสิ่งที่เกิดชึ้น แต่ความกังวลที่ฉายชัดอยู่ในแววตาก็ไม่อาจคลาดสายตาของผู้บักรุกไปได้ อีกฝ่ายถึงได้ยิ้มเย้าะออกมา
"ถอยออกไปเดี๋ยวนี้! ฉันเตือนแล้วนะ! " แกลแลนท์ตะโกนบอกสิ่งมีชีวิตตัวนั้น แต่มันไม่มีแม้แต่ถ้าทีจะหยุดเดินเลยสักนิด แกลแลนท์ถอยหลังมาเรื่อย ๆ
"แกลแลนท์ ฉันคิดว่ามันคืออสูร" เรเวนน่ากระซิบ เขาหันมามองเธอนิดหน่อย อสูรตัวจริงที่อยู่ตรงหน้านี้ มีรูปลักษณ์ที่แตกต่างจากในตำรานิดหน่อย อาจจะเพราะมันสูญพันธ์ไปได้นานมาก ข้อมูลที่แน่ชัดเลยค่อนข้างหาได้ยากมาก แต่ไม่ยากในการคาดเดาเท่าไหร่กับตัวเธอที่เคยเห็นมันมาเองแล้วกับตา
"อืม ก็พอเดาได้อยู่" แกลแลนท์หันมากระซิบบอกเรเวนน่า
"ระวังล่ะ มันน่าจะเเข็งแกร่งมาก" ร่างบางบอก เท่าที่รู้มา เผ่าอสูรเป็นเผ่าที่แข็งแกร่งมาก ครั้งนึงพวกมันพยายามจะครองโลกนี้ จนทุกเผ่าพันธุ์ต้องร่วมมือกันกำจัด และก็มันสำเร็จ ในการบันทึกช่วงเวลาสำคัญในประวัติศาสตร์บอกว่า เหล่าต้นตระกูลของราชวงศ์ในอาณาจักรทั้งห้าได้กำจัดเผ่าพันธุ์อสูรไปหมดแล้ว และเผ่าอสูรก็ศูนย์พันธุ์ไปตั้งแต่เมื่อเกือบสองพันปีที่แล้ว แต่สิ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอในตอนนี้คงเป็นสิ่งยืนยันว่าประวัติศาสตร์ได้ผิดพลาดเสียแล้วล่ะ
"ดูจากลักษณะแล้วคงเป็นอย่างอื่นไม่ได้จริงๆสินะ" ก็จริงเผ่าพันธุ์แต่ละเผ่าพันธุ์จะมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ในป่านอกเมืองมีแต่ละเผ่าพันธ์อาศัยอยู่แต่ก็ไม่มีเผ่าพันธุ์ไหนรูปร่างหน้าตาแบบนี้ งั้นก็คงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้อย่างที่แกลแลนท์ว่า ร่างสูงขยับเข้ามาบังเธอไว้
ตอนนี้เสียงเดินหยุดแล้ว บรรยากาศรอบกายเย็นลง ไม่มีแต่แต่เสียงลมที่เคยพัดผ่านเหมือนก่อนหน้านี้ เล่นเอาไม่กล้าหายใจไปด้วยซะเลย เธอไม่รู้ว่าตอนนี้มันอยู่ตรงไหน แกลแลนท์บังเธอไว้ซะมิด แต่ก็นะมีแกลแลนท์อยู่ด้วยก็ดีหน่อย อุ่นใจขึ้นเยอะ ถ้ามาเจอไอตัวนี้คนเดียวคงยากที่จะรอดกลับไปแบบครบสามสิบสอง
"ขอโทษที่ต้องทำให้ตกใจพ่ะย่ะค่ะ แต่ท่านช่างสวยงามสะกดตายิ่งนัก ท่านต้องเป็นคนที่ข้าตามหาไม่ผิดแน่ องค์หญิงเรเวนน่า เดอ เจเวล เอนเดลลิออน หวังว่าข้าคงจำไม่ผิด" หมอนั่นดูอันตรายยังไงชอบกล บุกมาในเขตวังหลวงเสียขนาดนี้ไม่มีทางที่จะมาดีอยู่แล้ว แต่ในคำทำนายมันบอกว่าจะเดินเกมเร็วขนาดนี้เลยหรอ เธออายุย่างเข้าสิบห้าอยู่เลยนะ
"ขอบคุณ แต่บอกมาว่าท่านต้องการอะไร" เธอตะโกนตอบมันไป
"ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง กระหม่อมเพียงต้องการจะมายลโฉมของคนที่ผู้คนต่างก็ลือกันว่าเป็นผู้ที่งดงามที่สุดในทวีปนี้ ซึ่งก็คงจะจริงอย่างที่เขาลือกัน พระองค์ช่างเหมาะที่จะเป็นวัตถุดิบของนายหัวข้าเหลือเกิน " มันพูดพลางยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ย์
"บังอาจนัก! กล้าดียังไงถึงมาพูดกับองค์หญิงเยี่ยงนี้" แกลแลนท์ฉุนหนัก
"ว้า นี่ข้าดันเสียมารยาทซะแล้วหรอเนี่ย ขอประทานอภัยอีกครั้งพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง วันนี้ข้าแค่มาทักทาย เอาไว้วันหลังเรามารู้จักกันให้ดีขึ้นสักหน่อยดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ"
"กล้าบุกมาขนาดนี้ มันหยามกันชัดๆ " รังสีพิฆาตแพร่ออกมาอย่างรวดเร็วและแรงกดดันที่มีมากมหาศาลทำให้มันนิ่งไปได้ชั่วขณะ สายตาที่ดูอ่อนโยนในตอนแรกกลับกันในตอนนี้กลับดูแข็งกร้าวและน่ากลัวราวเทพีที่ผู้คนต้องยอมก้มหัวให้ เรเวนน่าที่แสดงพลัง เพื่อเผื่อจะข่มมันได้บ้าง ก่อนจะค่อยๆ คลายพลังลง
"หึ ขอพระองค์ทรงจำชื่อกระหม่อมไว้ด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ ข้ามีนามว่ามาโก้ เป็นอสูร" มาโก้แนะนำตัวพร้อมกับโค้งตัวลงเล็กน้อย และเน้นคำว่าอสูรในตอนท้าย
"อสูรจริงๆ ด้วยสินะ ว่าแต่เดินเกมเร็วแบบนี้ไม่เอาเปรียบกันไปหน่อยหรอ" เธอถามเขา
"เกม? เข้าใจคิดนะแต่ข้าว่าถ้ามันเป็นเกม คงเป็นเกมที่ต้องเดิมพันด้วยชีวิตของท่านเลยล่ะ ข้าว่ามันไม่ใช่เกมหรอก แต่มันคือสงครามต่างหาก" มาโก้แสยะยิ้มราวกับมั่นใจหนักหนาว่าตนถือไพ่เหนือกว่าอีกฝ่าย
"เอาสิ ก็ดูเป็นการเดิมพันที่น่าสนุกดี" เธอพร้อมกับจ้องอีกฝ่ายด้วยสายตาที่จริงจังและเอาจริง
"ฮ่าๆๆ ข้าล่ะถูกใจท่านจริงๆ สมแล้วที่เป็นผู้ถูกเลือก หวังว่าสักวันเราจะได้พบกันอีก"
"แน่นอน ท่าทางดูเหมือนจะมั่นใจจังเลยนะว่าจะชนะได้ แล้วที่บุกมาถึงนี่ ดูถูกระบบความปลอดภัยของที่นี่เกินไปหรือเปล่า ถึงจะเข้าง่ายแต่ออกยากน้า" ร่างบางพูดแล้วหรี่ตามองหยั่งเชิงมันเล็กน้อย ถึงจริงๆแล้วค่อนข้างจะรู้สึกประหม่ามาก แต่หมอนี่ก็มั่นใจพอสมควรถึงได้กล้าเข้ามา ประมาทไม่ได้เด็ดขาด ไอพลังเวทย์ของมันไม่ใช่เล่นเลย
"ข้าเกรงว่าที่ท่านคิดอาจจะผิดไปหน่อย เพราะข้ามั่นใจถึงได้บุกมานี่ไงเล่า เอาเป็นว่าข้าตัวขอลาก่อน และนี่เป็นของขวัญเล็กๆน้อยๆที่นายข้าฝากมา" พูดจบเสียงลมก็แรงขึ้นฉับพลัน เสียงสายลมตวัดไปมาราวกับดาบคมอยู่รอบๆ สองร่างที่ยืนตัวชิดกันอยู่ แกลแลนท์พยายามหันซ้ายขวาหาตัวต้นตอ แต่กลับเห็นได้เพียงเงาลางๆ ที่เคลื่อนที่ไปมาด้วยความรวดเร็วอยู่รอบๆ ตัว ไม่นานเกินที่จะได้ทันตั้งตัว สายลมราวกับดาบคมที่วนอยู่รอบๆ พุ่งเข้ามาทางองค์หญิงเพียงหนึ่งเดียวแห่งอาณาจักรอันรุ่งเรื่อง แกลแลนท์รีบวิ่งมาบังตัวเรเวนน่าไว้ ทำให้เกิดรอยแผลบาดจากกระแสลมที่ควรจะอยู่บนตัวเธอมีเขาเข้ามารับไว้แทน
"แกลแลนท์!! จะวิ่งมาทำไมแค่นี้ฉันป้องกันตัวเองได้อยู่แล้ว อยากตายหรือไง!" เรเวนน่าตะโกนลั่น เลือดเริ่มจะหยดลงพื้น เขาจะไม่ไหวแล้ว ทำอย่างไรดี
"โอ๊ย" ยังไม่ทันได้คิดอะไร พอแกลแลนท์ล้มลงที่กำบังที่มีในตอนแรกก็หายไป ร่างบางที่ตอนแรกกางบาเรียไว้อยู่เเล้ว พอแกลแลนท์ล้มลงทำให้เธอหันไปสนใจเขาจนเผลอลดพลังลง ทำให้สายลมที่ราวกับกำลังพิโรธอยู่ตอนนี้ ทำลายโล่บางๆได้เรียบร้อยเเล้ว สายลมที่คมราวดับมีดบาดโดนฝากรอยแผลไปที่ใหล่ขวาให้กับเรเวนน่าไปสามสี่แผล รอยลมที่บาดลึกมากทำให้ถึงกับร้องออกมาเพราะความเจ็บ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เธอสนใจกับมันมากนัก เพราะตอนนี้สิ่งที่สำคัญคือชีวิตของเพื่อนรักของเธอ
"หยุดเดี๋ยวนี้! เจ้านี่มันช่างสามหาวยิ่งนัก! กล้าดียังไงถึงมาทำกับคนของข้าแบบนี้!" เรเวนน่าตวาดลั่น ดวงหน้าสวยที่เคยดูอ่อนโยนแต่นี้เต็มไปด้วยโทสะ
" ไสหัวไปซะ!!" นัยน์ตาโกเมนที่แข็งกร้าวขึ้นทันทีกับน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธาและความเกรี้ยวกราด เปรียบเสมือนสายฟ้าฟาดลงตรงหน้าผู้มาเยือน ฉับพลันท้องฟ้ามืดมัว ลมพายุพัดรุนแรงราวกับกำลังโกรธพร้อมที่จะกินเลือดเนื้อ มาโก้มองมาที่องค์หญิงอย่างพอใจ ก่อนจะปรับสีหน้าเป็นปกติแล้วกล่าว
"อำนาจของท่านมีมากเหลือล้นพ่ะย่ะค่ะ แต่ท่านยังอ่อนหัดนัก ขอให้พระองค์ทรงตั้งใจรอ เมื่อเวลามาถึง เราจะได้พบกันอีกแน่ กระหม่อมขอทูลลา แล้วก็..... ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งพ่ะย่ะค่ะ" มันพูดก่อนจะโค้งลงนิดๆ เหมือนกับตอนที่ทักทาย ก่อนจะค่อยๆ หายไป
อีกครั้งงั้นหรอ...... เหอะ
"แกลแลนท์! แกลแลนท์!!" เรเวนน่าเข้าไปพยุงตัวองครักษ์หนุ่ม ก่อนที่จะเขาจะล้มลงคุกเข่ากับพื้นแล้วกระอักเลือด ร่างบางเบิกตาโพลง เขาจะตายมั้ยเนี่ย เธอรีบเรียกทหารที่เริ่มจะวิ่งกรูกันเข้ามาทางนี้ ให้รีบพาเขาไปรักษา ถ้าเขาเสียเลือดมากกว่านี้อาจจะเป็นอะไรไปได้
แกลแลนท์ที่หันมาเห็นแผลจากพายุสายลมเมื่อสักครู่บนตัวของเพื่อนสาวก็พยายามจะเอื้อมมือมารักษาแผลให้ แต่ไม่ทันได้เอื้อมถึงเขาก็สลบไปก่อนจากการเสียเลือดมาก
"ว่ายังไงนะ! อสูร! นี่ล้อเล่นหรือไงเนี่ย!" เจ้าชายแซ็คมิส เดอ เจเวล เอนเดลลิออน ที่เพิ่งจะกลับมาจากการออกไปเยี่ยมราษฎรเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อ ดวงตาสีสดเหมือนกันกับเด็กสาวมองน้องสาวตัวเองแบบไม่อยากจะเชื่อสักเท่าไหร่ ก็แหม เจ้าตัวมันน่าเชื่อถือซะที่ไหนล่ะ
"น้องไม่ได้ล้อเล่นสักหน่อย เห็นจริงๆนะ ยืนคุยกันตั้งนาน ไม่เชื่อก็ดูแผลนี่สิ" เรเวนน่าโชว์ใหล่ขวาที่มีผ้าพันแผลให้พี่ชายดู
"ไอแผลนี่คงจะไปซนมาล่ะสิ พี่เชื่อน้องได้ที่ไหน หรือจะบอกว่าน้องไม่เคยโกหกพี่" แซ็คมิสทำหน้าล้อเลียน ดูมันสิเคยเชื่อกันซะที่ไหนเล่าเนี่ย ที่ว่าไม่เคยไม่โกหกมันก็จริงอยู่แต่รอบนี้เธอพูดจริงนะ แต่ถึงอย่างนั้น ก็จับเธอพลิกซ้ายพลิกขวาหาบาดแผลอื่น เป็นห่วงน้องก็พูดตรงๆ เถอะ
"น้องพูดจริงๆ นะท่านพี่ ไม่เชื่อก็ดูสภาพแกลแลนท์ซะก่อน มีใครทำให้เขาบาดเจ็บขนาดนี้ได้ซะที่ไหน หมอนี่อึดจะตาย! " เรเวนน่าหันไปขอความช่วยเหลือจากแกลแลนท์ถ้าหมอนี้ไม่พูดนะ อย่าหวังเลยว่าใครจะเชื่อฉัน
"จริงหรือแกลแลนท์" แซ็คมิสหันไปถามความจริงจากแกลแลนท์
"เป็นดั่งที่องค์หญิงกล่าวมาพะยะค่ะ" เยส! ครั้งแรกเลยนะเนี่ยที่ยอมให้ความร่วมมือดีๆ
"ถ้าเป็นอย่างที่น้องว่ามาจริงๆ พี่ว่าพอท่านพ่อกับท่านพี่กลับมา เราต้องคุยกันแล้วล่ะ" แซ็คมิสว่าพลางทำสีหน้าเครางเครียด มันกลับมาอีกแล้วงั้นหรอ
"น้องโอเคมั้ย" คราวนี้แซ็คมิสถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่าคืนนั้นเกิดอะไรขึ้น
"โอเคสิคะ เจ็บนิดเดียวเอง" เรเวนน่าพูดแล้วขยับแขนขยับขาเหมือนท่าวอร์มร่างกายให้พี่ชายดูพร้อมกับยิ้มสดใสไปด้วย
"โอเคก็ดีแล้ว พี่รักเรานะ" พูดจบก็ดึงน้องสาวคนเดียวของเขาเข้ามากอด ดูก็รู้ว่ากำลังฝืนยิ้ม สิ่งที่เขาทำได้แค่คอยอยู่ข้างๆเท่านั้น บางทีก็โมโหตัวเองที่ช่วยอะไรมากกว่านี้ไม่ได้เลย
"แหวะ เป็นอะไรของพี่เนี่ย ร้อยวันพันปีไม่คอยบอกรัก วันนี้อยู่ๆก็อยากรักน้องสาวขึ้นมาหรอคะ" หลังจากนั้นบทสนทนาก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ
ท่านพ่อกับท่านพี่ราเมเซสผู้เป็นองค์รัชทายาทว่าที่กษัตริย์รกลับมาทั้งสองคนก็รีบบึ่งมาหาเธอทันที่จับหมุนตัวดูทุกซอกทุกมุมว่ามีแผลหรือมีอะไรผิดปกติหรือเปล่า พอเห็นแผลที่แขนเธอปุ๊บก็โกรธจนเลือดขึ้นหน้าเลย หลังจากนั้นก็พาแพทย์หลวงมาตรวจแบบละเอียดอีกที ถึงเธอจะบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรไม่ต้องตรวจก็ได้ก็ไม่ยอม สุดท้ายก็ต้องยอม เอาเถอะ เพื่อความสบายใจของพวกเขาล่ะนะ
หลังจากนั้นทั้งวังก็วุ่นวายหนักเลย ท่านพ่อกับท่านพี่เรียกประชุมใหญ่ ส่วนที่ตรงที่ไอนั่นมันตกลงมาก็ถูกกั้นไม่ให้เข้าพร้อมเฝ้าเวรยามแน่นหนาเรียบร้อย ไม่นะ ที่ลี้ภัยของฉันน TT
เรื่องที่มีอสูรบุกมาหาเรเวนน่าถูกเก็บไว้เป็นความลับแค่ในวัง ส่วนข่าวที่แพร่ออกไปคงจะเป็นแค่เธฮได้รับบาดเจ็บจากผู้บุกรุก ทุกคนข้างนอกคงจะเห็นพายุที่เธอก่อขึ้นนั่นอะนะ ถ้าบอกว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นคงจะไม่มีใครเชื่อ
คิดๆดูแล้วภาระหน้าที่ที่เเธอต้องรับไว้อย่างไม่เต็มใจ ใกล้ได้เวลาที่จะสะสางแล้วล่ะ
ความคิดเห็น