ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : คนผีทะเล!
    ผ่านมาได้ 1 วันกับการพักผ่อนที่ชายหาดแห่งนี้ อะไรๆก็ดีนะ เสียอย่างเดียว เพื่อนใหม่ของผมดูแล้วไม่ค่อยจะญาติดีกับผมซักเท่าไหร่เลย
    แต่เอาเถอะ ไม่ว่าเธอจะคิดหรือรู้สึกกับผมยังไงในตอนนี้ก็ตาม ผมมั่นใจว่า สุดท้ายแล้ว เธอก็จะต้องประทับใจ และยอมรับผมได้ในที่สุดอยู่ดี หลักฐานก็คือไม่ว่าใครก็ตามที่รู้จักผม มักจะตามติดผมและคอยขอคำช่วยเหลือรวมไปถึงคำปรึกษา อีกทั้งยังชอบที่จะชวนผมไปร่วมงานกับพวกเขาอีกต่างหาก (บางคนก็ขอแค่ให้ได้ไปอวดตัวซะหน่อยก็ยังดี) ไม่ว่าผมจะหลบหลีกพวกเขายังไงก็ตาม เป็นจะต้องควานหาตัวผมจนพบทุกที
    นี่ไงล่ะ เหตุผลที่ผมต้องหลบเลี่ยงผู้คนเหล่านั้นมาถึงที่นี่ ก็ใครจะไปคิดถึงล่ะ ว่าคนที่เพียบพร้อมทุกอย่างอย่างผม ไม่ว่าจะด้านหน้าตา บุคลิก ฐานะ ทรัพย์สมบัติ สมอง นิสัยใจคอ เพื่อนพ้อง หรือบริวารทั้งหลายแหล่ อยากได้อะไรก็ได้ มีทุกอย่างที่ต้องการจริงๆ คนอย่างนี้น่ะนะ จะมาพักอยู่ในที่ที่ห่างไกลความเจริญได้ถึงขนาดนี้
    นึกถึงคำกล่าวที่ผมเคยได้ยินขึ้นมาเลยว่า “ความสงบเป็นมิตรที่ดีของชีวิต”  ผมชักจะเชื่อขึ้นมาซะแล้วสิ
    จนกระทั่งเวลาประมาณเที่ยง ผมจึงได้ออกมาทักทายหาดทรายเนื้อนุ่มละเอียดสีขาวที่ซัดสาดด้วยคลื่นเบาๆของทะเลสีครามซึ่งทอแสงระยิบระยับด้วยแสงจากดวงตะวันท่ามกลางฟากฟ้าโปร่งสบาย
    ผมสามารถเดาเวลาได้เลย โดยไม่ต้องดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือของผมด้วยซ้ำไป เพราะว่าคนท้องถิ่นแถวนี้ ที่มักจะทำงานกับทะเลเริ่มที่จะหยุดงานที่ทำไว้ชั่วคราว แล้วเดินเข้าร้านอาหารที่เรียงรายอยู่มากมายตามริมชายหาด ไว้ต้อนรับคณะนักท่องเที่ยวต่างๆ
    ความจริงท้องผมก็ร้องขึ้นมาแล้วเหมือนกันนะ แต่ยังหรอก ผมยังไม่กินข้าวตอนนี้หรอก ก็คนเยอะจะตายไป แล้วผมก็ไม่ชอบความวุ่นวายมากนัก อีกอย่างถึงท้องของผมจะร้องแล้ว แต่ผมเชื่อว่ากระเพาะอาหารของผม ทนทายาด น้ำย่อยแค่นี้ไม่เท่าไหร่หรอก
    ผมจึงตัดสินใจที่จะเดินเล่น เพื่อสำรวจบริเวณรอบๆเกาะนี้ไปพลางๆ เพื่อคร่าเวลากับอากาศบริสุทธิ์ และสายลมสดชื่น นั่นทำให้ผมสังเกตเห็นว่า ชาวบ้านแถวนี้เค้าอยู่กันโดยพึ่งพาธรรมชาติจริงๆ สิ่งของ เครื่องใช้ต่างๆ ล้วนแล้วแต่เป็นวัสดุจากธรรมชาติทั้งสิ้น
    หลังจากเดินดูไปได้สักพัก น้ำย่อยในกระเพาะของผมก็เริ่มจะร้องเตือนแล้วว่า จะไม่รอเวลาทำหน้าที่อีกต่อไป ผมดูนาฬิกาเห็นว่าใกล้จะบ่ายโมงแล้ว จึงมองหาร้านอาหารที่ดูสะอาดน่าเข้าที่สุดในบริเวณนั้น
    นั่นไง ผมเจอแล้ว มีพนักงานต้อนรับประมาณ 2-3 คนที่ประตูของร้าน ใส่เครื่องแบบคล้ายๆกัน ยืนกล่าวทักทายลูกค้าที่มาเข้าร้านด้วยรอยยิ้มหวานๆ และคำพูดที่ท่องจนขึ้นใจว่า
    “ยินดีต้อนรับค่ะ ได้จองไว้รึเปล่าคะ กี่ที่ดีคะ?” และกล่าวลาลูกค้าว่า “ขอบคุณค่ะ โอกาสหน้าเชิญใหม่นะคะ”
    จะว่าไปแล้ว ก็ไม่ต่างจากพนักงาน 7-eleven เลยแฮะ
    “ขอบคุณที่มาใช้บริการค่ะ จะรับขนมจีบซาลาเปาเพิ่มมั้ยคะ?”
    ไม่ว่าคุณจะซื้ออะไรกลับไปก็ตามทีเถอะ ผมเคยสงสัยนะ ว่าถ้าหากผมซื้อถุงยางซักกล่องนึง แค่กล่องเดียวเท่านั้นนะ แล้วพนักงานขายจะถามผมมั้ยเนี่ย
    “จะรับขนมจีบ ซาลาเปา เพิ่มมั้ยคะ”
    ยิ่งถ้าเป็นพนักงานสาวสวยล่ะก็ หึหึหึ
    “ครับ แน่นอน”
    ผมคงจะตอบอย่างนั้นล่ะนะ แต่ต้องเป็นความหมายโดยนัยเท่านั้น ก็ถุงยาง กับ ขนมจีบ ซาลาเปา จากสาวๆเนี่ย มันน่าคิดใช่ย่อยซะที่ไหนล่ะ เว้นเสียแต่ว่า เจ้าหล่อนจะแถมท้ายด้วยสโมกี้ไบท์ นั่นล่ะ ผมถึงจะปฏิเสธ ผมเลือกนั่งโต๊ะที่อยู่ตรงมุมมืดด้านใน ไม่นานนักก็มีพนักงานสาวที่ผมบอกได้อย่างเต็มปากเลยว่า เธอแทบจะวิ่งเข้ามาขอให้ผมสั่งอาหารกับเธอเลยทีเดียวเชียว นี่ผมไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองนะ ร้อยเปอร์เซ็นต์เลย พอผมสั่งอาหารเสร็จ ผมก็ได้ยินเสียงหวานๆดังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนักจากโต๊ะที่ผมนั่งอยู่
    ‘...เสียงคุ้นๆแฮะ...’
    ด้วยความสงสัย ผมจึงหันไปมองทางต้นเสียง
    อ้อ! สาวน้อยหน้าใสคนนั้นนั่นเอง
    ผมเดินเข้าไปทางด้านหลังเจ้าหล่อนอย่างเงียบๆ แล้วน้อมตัวลงเอ่ยถามเบาๆราวกับเสียงกระซิบที่ข้างๆหูข้างหนึ่ง
    “ขอผมนั่งด้วยคนได้ไหมครับ”
    หล่อนสะดุ้งเล็กน้อย แล้วหันหลังมามอง พร้อมกับทำสีหน้าที่บ่งบอกถึงความแปลกใจ
    “นี่อย่าบอกนะ ว่าคุณตามฉันมาน่ะ”
    \'...หืม? อะไรกัน เจอหน้าปุ๊บก็ตั้งข้อหากันเลยแฮะ ...\'
    “ขอโทษนะครับ ผมน่ะไม่ใช่พวกโรคจิตชอบตามติดใครหรอก ผมเข้าร้านนี้ก่อนคุณซะอีกนะ การที่เรามาพบกันที่นี่น่ะ บังเอิญชัดๆ เอ หรือว่าจะไม่ใช่ คุณแอบตามผมมารึเปล่าเนี่ย”
    “ฉัน... ”
    “แหม! คุณเรครับ อยากจะกินข้าวกับผมน่ะ บอกตรงๆก็ได้ เราเป็นเพื่อนกันนะครับ เรื่องกินข้าวด้วยกันน่ะ ธรรมดาจะตาย”
    “ใครกันจะ...”
    “เอ๊ะ! หรือว่าคุณเรจะไม่อยากเป็นแค่เพื่อน อยากเป็นมากกว่านั้นเหรอ? อืม ก็ได้นะ ตอนนี้ผมว่างอยู่แล้ว ว่าแต่ตำแหน่งไหนดีล่ะ? แค่มากกว่าเพื่อน จะพอมั้ย?”
    “! ..!”
    ‘...หึหึ พูดไม่ออก เถียงไม่ทันล่ะสิ...’
    “หรือว่าอยากเป็นมากกว่านั้นอีก! ก็ได้นะ แต่เกณฑ์การพิจารณาของผมน่ะ สูงอยู่นะ ต้องใช้เวลาคิดนานหน่อย อย่างเรนี่ก็น่าจะซัก 2 คืนเป็นไง อย่างเร็วแล้วนะนี่”
    ‘...เป็นไงล่ะ คนอย่างผม ถ้าไม่แก้แค้นบ้างก็ให้มันรู้ไป...’
    “ไม่แน่นะ ถ้าหากว่าเรทำให้ผมถูกใจได้ ผมอาจจะมีโปรโมชั่นแถมพิเศษให้คุณอีกก็ได้”
    หน้าสีขาวนวลของหล่อนเริ่มจะขึ้นสีแดงเหมือนซอสมะเขือเทศ มากขึ้นทุกที สงสัยแกล้งเธอแค่นี้ก็คงจะพอแล้วล่ะมั้ง
    ผมนั่งลงที่เก้าอี้ด้านตรงข้ามกับหล่อน แต่ทันทีที่ผมนั่ง เธอก็ลุกขึ้นทำท่าว่าจะเปลี่ยนที่นั่งหรือย้ายร้านไป ผมจึงต้องวิ่งไปดักเธอไว้
    “ฮ่าๆๆ คุณเรนี่ ทำเป็นคิดมากไปได้ ผมล้อเล่นน่ะ เห็นเจอหน้ากันทีไร ต้องตั้งข้อหาให้ผมซะทุกที ผมก็แค่อยากให้คุณญาติดีกับผมหน่อยก็เท่านั้นเอง เรามาดีกันเถอะนะ”
    แต่เธอก็ยังคงทำท่าจะเดินหนีไป ผมจึงต้องใช้ไม้ตายสุดท้าย
    “หากคุณยังจะหนีผมล่ะก็ เห็นทีผมคงจะต้องทำเรื่องล้อเล่นให้เป็นเรื่องจริงซะล่ะมั้งนี่”
    เท่านั้นแหละ เธอหยุดทำท่าทางว่าจะหนีทันที รอยยิ้มบางๆแต้มอยู่ที่มุมปากของผม เข้าทางผมล่ะ
    “เชิญครับ คุณผู้หญิง”
    ไม่ว่าเปล่า ผมลากเก้าอี้เชื้อเชิญเธอให้นั่งร่วมโต๊ะด้วย
    “มื้อนี้ ผมเป็นเจ้ามือเอง”
    “ ” ไม่มีเสียงตอบจากผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าผม
    “เงียบจัง พูดอะไรสักหน่อยสิครับ”
    “ขอบคุณค่ะ” เธอพูดสะบัดเสียงทั้งๆที่ยังคงก้มหน้านิ่ง
    ‘...หืม? นี่โกรธหรืออายอยู่กันแน่ล่ะเนี่ย...’
    ‘...แต่จะว่าไปสีหน้าอย่างนี้ ก็ทำให้เธอก็ดูดีเหมือนกันแฮะ น่ารักดี...’
*************************************************************** To Be Continue ...
    แต่เอาเถอะ ไม่ว่าเธอจะคิดหรือรู้สึกกับผมยังไงในตอนนี้ก็ตาม ผมมั่นใจว่า สุดท้ายแล้ว เธอก็จะต้องประทับใจ และยอมรับผมได้ในที่สุดอยู่ดี หลักฐานก็คือไม่ว่าใครก็ตามที่รู้จักผม มักจะตามติดผมและคอยขอคำช่วยเหลือรวมไปถึงคำปรึกษา อีกทั้งยังชอบที่จะชวนผมไปร่วมงานกับพวกเขาอีกต่างหาก (บางคนก็ขอแค่ให้ได้ไปอวดตัวซะหน่อยก็ยังดี) ไม่ว่าผมจะหลบหลีกพวกเขายังไงก็ตาม เป็นจะต้องควานหาตัวผมจนพบทุกที
    นี่ไงล่ะ เหตุผลที่ผมต้องหลบเลี่ยงผู้คนเหล่านั้นมาถึงที่นี่ ก็ใครจะไปคิดถึงล่ะ ว่าคนที่เพียบพร้อมทุกอย่างอย่างผม ไม่ว่าจะด้านหน้าตา บุคลิก ฐานะ ทรัพย์สมบัติ สมอง นิสัยใจคอ เพื่อนพ้อง หรือบริวารทั้งหลายแหล่ อยากได้อะไรก็ได้ มีทุกอย่างที่ต้องการจริงๆ คนอย่างนี้น่ะนะ จะมาพักอยู่ในที่ที่ห่างไกลความเจริญได้ถึงขนาดนี้
    นึกถึงคำกล่าวที่ผมเคยได้ยินขึ้นมาเลยว่า “ความสงบเป็นมิตรที่ดีของชีวิต”  ผมชักจะเชื่อขึ้นมาซะแล้วสิ
    จนกระทั่งเวลาประมาณเที่ยง ผมจึงได้ออกมาทักทายหาดทรายเนื้อนุ่มละเอียดสีขาวที่ซัดสาดด้วยคลื่นเบาๆของทะเลสีครามซึ่งทอแสงระยิบระยับด้วยแสงจากดวงตะวันท่ามกลางฟากฟ้าโปร่งสบาย
    ผมสามารถเดาเวลาได้เลย โดยไม่ต้องดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือของผมด้วยซ้ำไป เพราะว่าคนท้องถิ่นแถวนี้ ที่มักจะทำงานกับทะเลเริ่มที่จะหยุดงานที่ทำไว้ชั่วคราว แล้วเดินเข้าร้านอาหารที่เรียงรายอยู่มากมายตามริมชายหาด ไว้ต้อนรับคณะนักท่องเที่ยวต่างๆ
    ความจริงท้องผมก็ร้องขึ้นมาแล้วเหมือนกันนะ แต่ยังหรอก ผมยังไม่กินข้าวตอนนี้หรอก ก็คนเยอะจะตายไป แล้วผมก็ไม่ชอบความวุ่นวายมากนัก อีกอย่างถึงท้องของผมจะร้องแล้ว แต่ผมเชื่อว่ากระเพาะอาหารของผม ทนทายาด น้ำย่อยแค่นี้ไม่เท่าไหร่หรอก
    ผมจึงตัดสินใจที่จะเดินเล่น เพื่อสำรวจบริเวณรอบๆเกาะนี้ไปพลางๆ เพื่อคร่าเวลากับอากาศบริสุทธิ์ และสายลมสดชื่น นั่นทำให้ผมสังเกตเห็นว่า ชาวบ้านแถวนี้เค้าอยู่กันโดยพึ่งพาธรรมชาติจริงๆ สิ่งของ เครื่องใช้ต่างๆ ล้วนแล้วแต่เป็นวัสดุจากธรรมชาติทั้งสิ้น
    หลังจากเดินดูไปได้สักพัก น้ำย่อยในกระเพาะของผมก็เริ่มจะร้องเตือนแล้วว่า จะไม่รอเวลาทำหน้าที่อีกต่อไป ผมดูนาฬิกาเห็นว่าใกล้จะบ่ายโมงแล้ว จึงมองหาร้านอาหารที่ดูสะอาดน่าเข้าที่สุดในบริเวณนั้น
    นั่นไง ผมเจอแล้ว มีพนักงานต้อนรับประมาณ 2-3 คนที่ประตูของร้าน ใส่เครื่องแบบคล้ายๆกัน ยืนกล่าวทักทายลูกค้าที่มาเข้าร้านด้วยรอยยิ้มหวานๆ และคำพูดที่ท่องจนขึ้นใจว่า
    “ยินดีต้อนรับค่ะ ได้จองไว้รึเปล่าคะ กี่ที่ดีคะ?” และกล่าวลาลูกค้าว่า “ขอบคุณค่ะ โอกาสหน้าเชิญใหม่นะคะ”
    จะว่าไปแล้ว ก็ไม่ต่างจากพนักงาน 7-eleven เลยแฮะ
    “ขอบคุณที่มาใช้บริการค่ะ จะรับขนมจีบซาลาเปาเพิ่มมั้ยคะ?”
    ไม่ว่าคุณจะซื้ออะไรกลับไปก็ตามทีเถอะ ผมเคยสงสัยนะ ว่าถ้าหากผมซื้อถุงยางซักกล่องนึง แค่กล่องเดียวเท่านั้นนะ แล้วพนักงานขายจะถามผมมั้ยเนี่ย
    “จะรับขนมจีบ ซาลาเปา เพิ่มมั้ยคะ”
    ยิ่งถ้าเป็นพนักงานสาวสวยล่ะก็ หึหึหึ
    “ครับ แน่นอน”
    ผมคงจะตอบอย่างนั้นล่ะนะ แต่ต้องเป็นความหมายโดยนัยเท่านั้น ก็ถุงยาง กับ ขนมจีบ ซาลาเปา จากสาวๆเนี่ย มันน่าคิดใช่ย่อยซะที่ไหนล่ะ เว้นเสียแต่ว่า เจ้าหล่อนจะแถมท้ายด้วยสโมกี้ไบท์ นั่นล่ะ ผมถึงจะปฏิเสธ ผมเลือกนั่งโต๊ะที่อยู่ตรงมุมมืดด้านใน ไม่นานนักก็มีพนักงานสาวที่ผมบอกได้อย่างเต็มปากเลยว่า เธอแทบจะวิ่งเข้ามาขอให้ผมสั่งอาหารกับเธอเลยทีเดียวเชียว นี่ผมไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองนะ ร้อยเปอร์เซ็นต์เลย พอผมสั่งอาหารเสร็จ ผมก็ได้ยินเสียงหวานๆดังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนักจากโต๊ะที่ผมนั่งอยู่
    ‘...เสียงคุ้นๆแฮะ...’
    ด้วยความสงสัย ผมจึงหันไปมองทางต้นเสียง
    อ้อ! สาวน้อยหน้าใสคนนั้นนั่นเอง
    ผมเดินเข้าไปทางด้านหลังเจ้าหล่อนอย่างเงียบๆ แล้วน้อมตัวลงเอ่ยถามเบาๆราวกับเสียงกระซิบที่ข้างๆหูข้างหนึ่ง
    “ขอผมนั่งด้วยคนได้ไหมครับ”
    หล่อนสะดุ้งเล็กน้อย แล้วหันหลังมามอง พร้อมกับทำสีหน้าที่บ่งบอกถึงความแปลกใจ
    “นี่อย่าบอกนะ ว่าคุณตามฉันมาน่ะ”
    \'...หืม? อะไรกัน เจอหน้าปุ๊บก็ตั้งข้อหากันเลยแฮะ ...\'
    “ขอโทษนะครับ ผมน่ะไม่ใช่พวกโรคจิตชอบตามติดใครหรอก ผมเข้าร้านนี้ก่อนคุณซะอีกนะ การที่เรามาพบกันที่นี่น่ะ บังเอิญชัดๆ เอ หรือว่าจะไม่ใช่ คุณแอบตามผมมารึเปล่าเนี่ย”
    “ฉัน... ”
    “แหม! คุณเรครับ อยากจะกินข้าวกับผมน่ะ บอกตรงๆก็ได้ เราเป็นเพื่อนกันนะครับ เรื่องกินข้าวด้วยกันน่ะ ธรรมดาจะตาย”
    “ใครกันจะ...”
    “เอ๊ะ! หรือว่าคุณเรจะไม่อยากเป็นแค่เพื่อน อยากเป็นมากกว่านั้นเหรอ? อืม ก็ได้นะ ตอนนี้ผมว่างอยู่แล้ว ว่าแต่ตำแหน่งไหนดีล่ะ? แค่มากกว่าเพื่อน จะพอมั้ย?”
    “! ..!”
    ‘...หึหึ พูดไม่ออก เถียงไม่ทันล่ะสิ...’
    “หรือว่าอยากเป็นมากกว่านั้นอีก! ก็ได้นะ แต่เกณฑ์การพิจารณาของผมน่ะ สูงอยู่นะ ต้องใช้เวลาคิดนานหน่อย อย่างเรนี่ก็น่าจะซัก 2 คืนเป็นไง อย่างเร็วแล้วนะนี่”
    ‘...เป็นไงล่ะ คนอย่างผม ถ้าไม่แก้แค้นบ้างก็ให้มันรู้ไป...’
    “ไม่แน่นะ ถ้าหากว่าเรทำให้ผมถูกใจได้ ผมอาจจะมีโปรโมชั่นแถมพิเศษให้คุณอีกก็ได้”
    หน้าสีขาวนวลของหล่อนเริ่มจะขึ้นสีแดงเหมือนซอสมะเขือเทศ มากขึ้นทุกที สงสัยแกล้งเธอแค่นี้ก็คงจะพอแล้วล่ะมั้ง
    ผมนั่งลงที่เก้าอี้ด้านตรงข้ามกับหล่อน แต่ทันทีที่ผมนั่ง เธอก็ลุกขึ้นทำท่าว่าจะเปลี่ยนที่นั่งหรือย้ายร้านไป ผมจึงต้องวิ่งไปดักเธอไว้
    “ฮ่าๆๆ คุณเรนี่ ทำเป็นคิดมากไปได้ ผมล้อเล่นน่ะ เห็นเจอหน้ากันทีไร ต้องตั้งข้อหาให้ผมซะทุกที ผมก็แค่อยากให้คุณญาติดีกับผมหน่อยก็เท่านั้นเอง เรามาดีกันเถอะนะ”
    แต่เธอก็ยังคงทำท่าจะเดินหนีไป ผมจึงต้องใช้ไม้ตายสุดท้าย
    “หากคุณยังจะหนีผมล่ะก็ เห็นทีผมคงจะต้องทำเรื่องล้อเล่นให้เป็นเรื่องจริงซะล่ะมั้งนี่”
    เท่านั้นแหละ เธอหยุดทำท่าทางว่าจะหนีทันที รอยยิ้มบางๆแต้มอยู่ที่มุมปากของผม เข้าทางผมล่ะ
    “เชิญครับ คุณผู้หญิง”
    ไม่ว่าเปล่า ผมลากเก้าอี้เชื้อเชิญเธอให้นั่งร่วมโต๊ะด้วย
    “มื้อนี้ ผมเป็นเจ้ามือเอง”
    “ ” ไม่มีเสียงตอบจากผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าผม
    “เงียบจัง พูดอะไรสักหน่อยสิครับ”
    “ขอบคุณค่ะ” เธอพูดสะบัดเสียงทั้งๆที่ยังคงก้มหน้านิ่ง
    ‘...หืม? นี่โกรธหรืออายอยู่กันแน่ล่ะเนี่ย...’
    ‘...แต่จะว่าไปสีหน้าอย่างนี้ ก็ทำให้เธอก็ดูดีเหมือนกันแฮะ น่ารักดี...’
*************************************************************** To Be Continue ...
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น