คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ
“ปล่อยข้านะ มันไม่ใช่ของของข้า ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น.... ปล่อยสิ บอกให้ปล่อยไงเล่า”
เสียงตะโกนดังมาจากหญิงสาวร่างบางที่กำลังฉุดรั้งให้ทหารเมืองปล่อยแขนหล่อนอยู่ตรงประตูด้านหน้าของอาคารแห่งหนึ่งในตลาดที่คับคั่งไปด้วยผู้คนมากมายทุกชนชั้น ตั้งแต่ขอทาน รวมไปจนกระทั่ง ขุนนางผู้ใหญ่ เพราะตลาดแห่งนี้ เป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในเมือง เป็นแหล่งรวมสินค้าหลากชนิดที่ผู้คนจะสามารถหาซื้อได้ กล่าวกันว่า หากท่านไม่สามารถพบสินค้าชนิดใดก็ตามในตลาดนี้แล้ว ท่านก็อย่าหวังเลยว่า จะได้พบมันวางขายที่ไหนอีก เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นของส่วนตัวที่ประดิษฐ์ขึ้นเอง และมีเพียงไม่กี่ชิ้นในโลก ซึ่งแน่นอนว่า ผู้เป็นเจ้าของย่อมไม่ต้องการขายทอดตลาดเป็นแน่
“ถ้ามันไม่ใช่ของของเจ้า แล้วมันจะมาอยู่ในถุงย่ามของเจ้าได้อย่างไรล่ะ” เสียงห้วนติดจะหยาบกระด้างที่ฟังแล้วชวนให้ตัวแข็งด้วยความหวาดกลัวตวาดลั่น
“ก็ข้าบอกแล้วไง ว่ามันเป็นถุงของเพื่อนข้า เจ้าอยากรู้อะไรก็ไปถามเพื่อนข้าเองสิ ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้นล่ะ”
“แล้วไหนล่ะ เพื่อนเจ้าที่อ้างถึง เป็นเด็กเป็นเล็กริอ่านโกหกทหารเมืองอย่างข้ารึ มันจะมากไปแล้ว”
ไม่ว่าเปล่า ครั้นจบเสียงพูดนายทหารเมืองก็เงื้อมือขึ้น หมายจะตบหน้าหญิงสาวให้หมอบและยอมแพ้ แต่เมื่อมือนั้นโดนตัวหญิงสาว นายทหารก็ต้องร้องโอดโอยด้วยความปวดแสบปวดร้อนราวกับโดนไฟลวกมาก็ไม่ปาน และเพราะเสียงของนายทหารจึงทำให้ชาวบ้านที่อยู่แถบนั้น ซึ่งหูผึ่งฟังสถานการณ์อยู่แล้ว ต้องหันขวับมามองด้วยความสนใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่สิ่งที่ทุกคนคาดว่าเห็นนั้น กลับว่างเปล่าเหมือนไม่มีอะไรเลย ฉับพลันนั้นเอง เสียงพูดคุยเซ็งแซ่ก็ดังมากยิ่งขึ้น ทุกเสียงนั้นต่างก็ซุบซิบและวิเคราะห์ถึงเรื่องของทหารเมืองผู้นั้น กับหญิงสาวที่ยังคงยืนงงอยู่ว่า เกิดอะไรขึ้น
“เจ้า.... เจ้าเล่นตลกอะไรกับข้าเนี่ย” เสียงนายทารเมืองผู้นั้นโวยวาย เป็นเหตุให้ชาวบ้านพากันล้อมดูอีกครั้งและดูเหมือนจะให้ความสนใจมากยิ่งขึ้น
“ข้า?... ข.. ข้า ข้าเปล่านะ ข้ายังไม่ทันได้ทำอะไรเลย ท่านต่างหากล่ะที่ทำ เมื่อกี้นี้ท่านเงื้อมือหมายจะตบหน้าข้า”
“ข้ามีสิทธิ์ที่จะทำอย่างนั้น...” ทหารเมืองโวยกลับ
“ท่านใช่สิทธิ์ของนายทหารเมืองข้อใดไม่ทราบ...” เสียงทุ้มแต่หนักแน่นดังขึ้นท่ามกลางฝูงชนที่ยืนล้อมรอบ
“เท่าที่ข้ารู้มา แม้แต่ขุนนางชั้นผู้ใหญ่เอง ก็ยังไม่มีสิทธิ์ที่จะทำร้ายใครโดยปราศจากคำอนุญาตจากศาลชั้นสูง หรือกฎหมายบ้านเมือง”
เจ้าของเสียงเป็นชายหนุ่มร่างสูง ผิวขาวเนียนละเอียด ใบหน้าคมเข้ม ผมสีดำยาวถูกมัดรวบไว้ด้านหลังอย่างพอที่จะไม่ให้รกหูรกตา เมื่อฝูงชนแหวกทางออกแล้ว เขาจึงเดินเข้ามาขนาบข้างหญิงสาว เรียกเสียงกรี๊ดกร๊าดจากสาวน้อยสาวใหญ่ได้มากโข
“เจ้าเป็นใคร” ทหารเมืองตะคอกถาม
ชายหนุ่มทำเสียงจึ้กจั้กในลำคอ แล้วเอ่ยออกมาอย่างไม่สนใจว่า คนตรงหน้ากำลังอารมณ์เสียอย่างไร
“เจ้านี่ไม่มีมารยาทเอาเสียเลย ไม่มีใครเคยสอนเจ้ารึ ว่าไม่ควรตะคอกคำถามใส่คนที่ท่านไม่รู้จัก”
ทหารเมืองหน้าแดงก่ำไปด้วยความโกรธและความอาย
“เจ้า!...” ทันทีที่ทหารเมืองเอ่ยปาก ก็กลับต้องกลืนคำพูดลงคอ เพราะสายตาที่คมเฉียบแฝงแววเหี้ยมเกรียมนั้นถูกส่งตรงมาจากชายหนุ่มร่างสูงคนนั้น
เมื่อชายหนุ่มเห็นว่าทหารเมืองเงียบแล้ว จึงค่อยๆคว้าแขนหญิงสาวขึ้นมาดูแล้วพบว่า มีรอยนิ้วมือรัดอยู่ที่รอบข้อมือบอบบางนั้น จากนั้นจึงเอ่ยคำต่อ
“และเจ้าก็ไม่ควรทำร้ายเด็กและสตรี”
“แต่นังนี่มันสมควร มันค้าสิ่งผิดกฎหมาย และแอบยักยอกของต้องห้ามอีกด้วย” นายทหารเมืองพูดพลางจ้องหญิงสาวตาเขม็งและดุดัน
“ข้าไม่ได้ค้าสิ่งผิดกฎหมายซะหน่อย และข้าก็ไม่ได้ยักยอกของอะไรของใครด้วย” หญิงสาวโต้กลับ
“ถ้าท่านไม่เชื่อ ท่านก็ลองค้นถุงย่ามของนังเด็กนั่นดูก็ได้” นายทหารเมืองเสริม
“ข้าบอกแล้วไง ว่ามันไม่ใช่ของข้า มันเป็นของเพื่อนข้า” หญิงสาวร้องกลับ
“งั้นเจ้าก็ยืนยันออกมาสิ ชี้ตัวซิ ว่าคนไหนกันที่เป็นเพื่อนเจ้า... เจ้าของถุงย่ามใบนี้”
หญิงสาวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงหันไปมองรอบตัว ด้วยแววตาแห่งความหวัง เธอกวาดสายตามองกลุ่มฝูงชน เพื่อหาเพื่อน.... เจ้าของถุงย่ามต้นเหตุใบนั้น แต่จนแล้วจนรอด เธอก็ต้องหลุบตาลงต่ำลง เมื่อไม่พบตัวเพื่อนคนนั้น
“ว่าไงล่ะ คนไหน เพื่อนของเจ้า?” นายทหารเมืองถามเร่งเร้า
“เค้าไม่อยู่....” หญิงสาวตอบเสียงแผ่ว
“เจ้าว่าไงนะ?” เสียงนายทหารเมืองถามอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง
“ข้าบอกว่า เพื่อนข้าไม่อยู่ที่นี่ เค้าหายไปไหนไม่รู้” หญิงสาวตะโกนตอบเสียงสั่น ในน้ำเสียงเจือแววเสียใจ ระคนผิดหวัง
“หึ ปั้นแต่ง” นายทหารเมืองกล่าวด้วยน้ำเสียงเจือหัวเราะแกมเยาะหยัน
“ข้าเปล่านะ” หยาดน้ำตาเริ่มรื้นเอ่อขึ้นในดวงตาของหญิงสาว
“ไหน เจ้าลองอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้ข้าฟังหน่อย ว่ามันไปยังไงมายังไง” ชายหนุ่มเอ่ยถามหญิงสาวด้วยน้ำเสียงกึ่งปลอบโยน
“ก็เพื่อนข้า ชวนข้ามาที่นี่ แล้วพอมาถึง เค้าก็ฝากถุงย่ามไว้ที่ข้า แล้วบอกว่า จะไปทำธุระแป็บเดียว เดี๋ยวมา แล้วไม่นานนัก ทหารเมืองคนนี้ก็เข้ามาแล้วก็กล่าวหาข้า” สิ้นคำพูดน้ำตาที่เอ่ออยู่ในดวงตาก็เริ่มล้นและรินไหลอาบสองแก้มขาวนวลใส
“ขอข้าดูถุงย่ามใบนั้นหน่อยได้มั้ย?” ชายหนุ่มเอ่ยถามอย่างนุ่มนวล
“แต่มันไม่ใช่ของข้า”
“แต่ถ้าเจ้ายังคงยืนหยัดที่จะถือมันไว้ เรื่องก็จะไม่จบนะ” ชายหนุ่มเปรย
“งั้น...” หญิงสาวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงส่งถุงย่ามให้ชายหนุ่มแต่โดยดี
ชายหนุ่มรับถุงย่ามจากหญิงสาวแล้วก็เปิดดู จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นบอกนายทหารเมืองอย่างอารมณ์ดี
“ข้าก็ไม่เห็นว่าจะมีสิ่งของอะไรเป็นพิรุธเลยนี่ท่าน”
“ไม่จริง! ก็เมื่อกี้มีคนมาบอกข้า...” สิ้นคำ ทหารเมืองก็หันขวับมองหน้าชายหนุ่มแล้วออกคำสั่ง
“ส่งถุงย่ามใบนั้นมา! อย่าเล่นตุกติกเชียวนะ”
“เจ้าไม่มีสิทธิ์มาสั่งข้า” แม้ใบหน้าของชายหนุ่มจะแย้มยิ้ม แต่ก็เย็นเยือก ชวนให้หนาวไปจนสุดขั้ว เสียงที่ชายหนุ่มกล่าวออกมานั้น เฉียบขาด แต่ไม่กระชาก ทว่ากลับน่ากลัวยิ่งนัก ส่งผลให้นายทหารเมืองผู้นั้นชะงักไปครู่หนึ่ง
“เอาเถอะ... ถ้าเจ้าอยากพิสูจน์นัก ก็เชิญ” ว่าพลาง ชายหนุ่มก็ส่งถุงย่ามใบนั้นให้นายทหารเมืองตรวจสอบ
หลังจากทหารเมืองตรวจดูจนพอใจแล้ว จึงส่งถุงย่ามคืนให้หญิงสาวพลางกล่าวคำขอโทษแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบที่ลอยมากับสายลม เมื่อนายทหารเมืองจากไปแล้ว หญิงสาวจึงกล่าวขอบคุณชายหนุ่มที่เข้ามาช่วยเหลือ
“ขอบคุณท่านมาก ที่ช่วยเหลือข้า แต่ข้า... ไม่รู้ว่าจะตอบแทนท่านอย่างไรดี”
ชายหนุ่มยิ้มรับ แต่เป็นยิ้มที่มีเลศนัย ประกายตาแพรวพราวไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมที่หญิงสาวตามไม่ทัน
“เจ้าไม่เอะใจสักหน่อยรึ ว่าทำไมในกลุ่มผู้คนที่รายล้อมขนาดนี้ เพื่อนเจ้ากลับหายตัวไป ไม่ออกมาให้ความช่วยเหลือเจ้าเลย”
หญิงสาวก้มหน้าหลุบตาลงมองพื้นดิน พลางตอบด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความไม่แน่ใจ
“ข้า... ข้าเองก็ไม่ทราบ.... บางที เพื่อนข้าอาจจะเข้าใจว่าข้ากลัวเลยกลับบ้านไปแล้วก็เป็นได้”
ชายหนุ่มหัวเราะลงคอเบาๆครั้งหนึ่ง แล้วจึงพึมพำเบาๆให้พอได้ยินกันสองคน
“เจ้านี่มองโลกในแง่ดีเกินไปแล้วล่ะ”
“เจ้าหมายความว่ายังไง” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นถามด้วยสีหน้างุนงง
“ข้าก็หมายความอย่างที่พูดน่ะล่ะ... เจ้ารู้มั้ยว่าเพื่อนเจ้านั่นแหละ เป็นคนที่วิ่งไปบอกให้นายทหารเมืองผู้นั้นมาจับเจ้า” ชายหนุ่มกล่าวพร้อมกระตุกรอยยิ้มที่มุมปาก
“ไม่จริงน่ะ...” หญิงสาวอุทาน พร้อมมองรอบตัวเพื่อจะหาเพื่อนของตนให้ออกมายืนยัน
“จริงที่สุดเลยล่ะ ข้าน่ะ ยืนดูพวกเจ้าอยู่นานแล้ว เห็นว่าเพื่อนเจ้ามีพิรุธ เลยจับตาดู แล้วก็เป็นจริงอย่างที่ข้าสังหรณ์”
“ถ้าอย่างนั้น ข้าก็ขอบใจท่านมากๆ แต่ข้าว่า ท่านอาจจะจำคนผิดก็ได้” หญิงสาวยังคงยืนยันด้วยสีหน้าที่เชื่อมั่นในความคิดของตนเอง
“ก็แล้วแต่เจ้าจะเชื่อก็แล้วกัน ว่าแต่เจ้าไม่สงสัยเลยรึว่าทำไมทหารเมืองผู้นั้นจึงร้องโอดโอยยามที่เขาแตะต้องตัวเจ้า แต่ข้ากลับไม่เป็นอะไรเลย”
“เอ๊ะ!? ข้านึกว่าเขาอุปาทานไปเองเสียอีก”
ได้ยินดังนั้น ชายหนุ่มจึงหัวเราะขึ้นมาพลางถามว่า
“เจ้าเชื่อคนง่ายเสมอเลยใช่มั้ยเนี่ย”
“ก็...ก็ข้าไม่เห็นว่าใครจะโกหกข้าไปเพื่ออะไรนี่” หญิงสาวตอบเสียงเก้อๆ
ชายหนุ่มระเบิดหัวเราะอีกครั้ง แล้วจึงถามหญิงสาวว่า
“เจ้าชื่ออะไร?”
“ข้า? ข้าชื่อ เมธิส”
“เอาล่ะ เมธิส ข้าชื่อ นิมบ์ ข้าชักจะรู้สึกถูกชะตากับเจ้าขึ้นมาซะแล้วสิ” แล้วชายหนุ่มก็ยื่นถุงย่ามส่งคืนให้หญิงสาว เมื่อหญิงสาวยื่นมือออกมารับ ชายหนุ่มก็แกล้งทำเป็นยื่นมือออกไปอีกหน่อย จังหวะนั้นเอง ที่หลังมือของชายหนุ่มแตะเข้าที่เอวของหญิงสาวอย่างไม่บังเอิญนัก
และโดยที่หญิงสาวไม่ทันรู้ตัว นิมบ์ก็ถือวิสาสะพลิกตัวไปยืนที่ข้างตัวหล่อนแล้วโอบแขนไว้บนไหล่บาง...
ความคิดเห็น