ตอนที่ 6 : ดวงใจศิขรินทร์ : ตอนที่ 2 --- 70%
"มองหาใครวะ" ร่างสูงในชุดลำลองของร้อยโทอคิน หัวหน้าตำรวจตระเวนชายแดนในพื้นที่ขยับเข้าไปกระซิบถามเพื่อนสนิทที่ตัวสูงมากไม่แพ้กันอย่างสงสัย เมื่อยืนสังเกตการณ์มาได้สักพัก แล้วพบว่าเพื่อนกำลังมองหาใครบางคน
"เด็กนั่นไม่ได้อยู่ตรงนี้" ศิขรินทร์กระซิบตอบเพื่อนเสียงเข้ม มีร่องรอยกังวลอยู่ในน้ำเสียงเด่นชัด หลังกวาดตามองสมาชิกชาวค่ายอาสา แล้วพบว่ามีใครคนหนึ่งหายไป ซึ่งเป็นคนเดียวกันกับคนที่แอบมองเขาอยู่เมื่อครู่
"เด็กคนไหนวะ ที่มาทั้งหมดนี่ ก็เด็กกว่าพวกเราทั้งนั้น" อคินถามซ้ำพลางกวาดตามองไปรอบๆ อย่างสำรวจ ก่อนศิขรินทร์จะพยักเพยิดหน้าไปยังร่างแบบบางในชุดเสื้อยืด กางเกงยีนดูทะมัดทะแมงก้าวเร็วๆ เข้ามาในระยะสายตาด้วยท่าทีเร่งรีบ
"เด็กนั่นไง" เขาตอบพร้อมกับเพ่งสายตามองตรงไปที่ร่างหญิงสาวอย่างไม่ปิดบัง ทำเอาคนที่รีบร้อนเดินกลับมาถึงกับชะงักไป เมื่อเงยหน้าขึ้น แล้วพบว่ากำลังถูกเขามองอย่างตำหนิ ก่อนจะก้มศีรษะลงเล็กน้อยเป็นเชิงขอลุแก่โทษ แล้วทรุดนั่งลงบนพื้นดินร่วมกับคนอื่นๆ อย่างไม่มีพิธีรีตอง
"พี่มีน คนอะไรชื่อพี่มีน" ร้อยโทอคินอ่านป้ายชื่อตรงอกหญิงสาว แล้วเอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจ "หรือว่าน้องเขาจะแก่กว่าคนอื่น"
"ถ้าเป็นอย่างที่แกว่าจริง เขาก็ควรมีความรับผิดชอบมากกว่านี้" ศิขรินทร์ตำหนิ ด้วยเพราะหญิงสาวมาเข้าร่วมประชุมเพื่อฟังคำชี้แจงต่างๆ สายร่วมยี่สิบนาทีเห็นจะได้ ไม่รู้ว่าไปเดินยุ่งแถวไหนมา
"เอาน่า แกอย่าเขี้ยวนักเลย น้องเขาอาจไปเดินชมวิวมาก็ได้"
"ถ้าเดินชมแถวๆ นี้ ฉันจะไม่ว่าอะไรเลย" เสียงห้าวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเจือแววกังวลเล็กน้อย ด้วยกลัวว่าหญิงสาวจะเผลอเดินเข้าไปในเขตพื้นที่ต้องห้าม ซึ่งเป็นอดีตพื้นที่สีแดง ติดกับชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน
"แกอย่าคิดมากน่า มะปินไม่ได้อันตรายเหมือนเมื่อก่อนเสียหน่อย อีกอย่างน้องเขาก็ไม่รู้ทาง คงไม่เดินไปในที่อันตรายหรอกน่า"
"ยิ่งไม่รู้ทาง เขาก็ยิ่งไม่ควรเดินไปไหนสะเปะสะปะ" ศิขรินทร์ยังตำหนิไม่เลิก นึกไม่พอใจอีกฝ่ายอยู่ลึกๆ ที่ทำอะไรตามอำเภอใจ ทั้งที่เพิ่งจะมาถึงแท้ๆ
"เอาน่า น้องเขาไม่รู้" ร้อยโทอคินบอกเพื่อนที่ยังคงมองหญิงสาวคนเดิมไม่วางตา "แกก็แจ้งคนอื่นๆ ไว้ก่อนเลยดีกว่า กันไว้ดีกว่าแก้"
"มันก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้วล่ะ เกิดผิดพลาดอะไรขึ้นมา จะรับผิดชอบไม่ไหวเอา"
"เออ เดี๋ยวยังไงฉันกับพวกจะแวะมาลาดตระเวนให้บ่อยๆ ละกัน"
"ขอบใจแกมาก" ร่างสูงเอ่ยบอกพร้อมกับเพ่งสายตาไปยังตัวต้นเหตุที่ทำให้เขารู้สึกวุ่นวายใจแต่หัววัน
ศิขรินทร์ ปถคีรีเป็นทายาทสืบทอดตระกูลของผู้นำหมู่บ้านมะปินรุ่นปัจจุบัน หลังบิดาในวัยหกสิบแปดปีเสียชีวิตลงจากพิษของไข้ป่า ทำให้เขาที่ในตอนนั้นกำลังศึกษาต่ออยู่ในระดับปริญญาเอกของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในรัฐเวอร์จีเนีย ควบกับการทำงานเป็นอาจารย์ประจำคณะ เขาต้องหยุดทุกอย่างและกลับมารับตำแหน่งที่หมู่บ้านมะปิน ท่ามกลางการรอคอยของชาวบ้าน เพราะที่นี่เขาคือความหวังของทุกคน เพื่อการสืบทอดสายเลือดและคงไว้ซึ่งขนบธรรมเนียมประเพณีที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาอย่างยาวนาน
ศิขรินทร์ยินดี และพร้อมจะนำความรู้ที่ตัวเองได้ร่ำเรียน มาพัฒนาหมู่บ้านมะปิน เขาจึงทุ่มเททุกอย่างเพื่อทำให้การเป็นอยู่ของชาวบ้านดีขึ้น แต่มันกลับมานำมาซึ่งความร้าวฉานของชีวิตคู่ เมื่อหญิงสาวที่เขาเลือกเป็นภรรยากลับไม่ได้ยินดีกับการใช้ชีวิตชีวิตที่มะปินนัก
'เราเลิกกันเถอะค่ะคาม โรสทนอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว'
'คุณหมายความว่ายังไง…'
'โรสขอหย่า โรสไม่อยากเดินเหยียบดินที่นี่อีกต่อไป กันดารสิ้นดี ไม่มีอะไรเจริญหูเจริญตาสักอย่าง คามห้ามรั้งโรสด้วย'
'แล้วหนูดี…'
'โรสยกลูกให้คามค่ะ แกยังเด็ก ยังจำหน้าโรสไม่ได้หรอก'
ศิขรินทร์จำได้ว่าตัวเองตอบรับไปอย่างงุนงง ยามที่ภรรยาคนสวยเอ่ยตัดความสัมพันธ์ยาวนานนับสี่ปีอย่างไร้เยื่อใย เพียงเพราะทนใช้ชีวิตท่ามกลางหุบเขาต่อไปไม่ได้อีก ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเธอบอกว่าพร้อมจะเผชิญหน้ากับทุกอย่าง ขอเพียงแค่มีเขาเคียงข้าง แต่พอวันเวลาผันผ่าน คำพูดที่เป็นดังคำมั่นสัญญากลับเลือนหาย กลายเป็นลมปากที่ไม่มีความหมายใดๆ
เขาจึงไม่รู้ว่าจะรั้งคนที่หมดใจต่อไปอีกทำไมกัน
"ที่นี่มีประชากรราว 132 ครัวเรือน จำนวน 360 คน มีโรงเรียนขนาดเล็ก และเรือนอนามัยที่จะมีแพทย์จากในเมืองมาประจำทุกเสาร์ อาทิตย์ และสำหรับที่พัก เราจะจับฉลากเลือกที่พักคนละหลัง เราจะใช้ชีวิตแบบโฮมสเตย์เพื่อเรียนรู้วิถีชีวิตกับพวกชาวบ้าน กินนอน ทำอาหารร่วมกัน" เสียงฮือฮาดังขึ้นเบาๆ อย่างตื่นเต้น ยามได้ฟังคำชี้แจงจากประธานค่ายร่างใหญ่
"และถึงแม้ที่นี่จะดูพร้อม แต่เรายังมีอีกหลายสิ่งที่ขาดและรอให้พวกเรามาร่วมลงมือพัฒนาที่นี่ด้วยกัน ตลอดระยะเวลาสองเดือนต่อจากที่นี่ พี่หวังว่าที่นี่จะทำให้พวกเรารักไม่ต่างจากทุกคนที่นี่เหมือนกัน"
เสียงปรบมือดังกึกก้อง เมื่อดินพูดจบการนำเสนอได้อย่างสวยงาม ก่อนชายหนุ่มจะคลายท่าทีเป็นทางการลงเล็กน้อย เพื่อแนะนำคนสำคัญของหมู่บ้าน
"พี่มีน…" มีนมีนาละสายตาจากกลุ่มคนตรงหน้าหันไปมองน้ำฝนที่ยื่นหน้ามาร้องเรียก
"พี่มีนหายไปไหนมาคะ"
"พี่เดินไปดูอะไรมานิดหน่อยน่ะ" หญิงสาวตอบเบาๆ ก่อนจะขยับนั่งตัวตรง เมื่อดินหันไปแนะนำกลุ่มชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหน้า คนแรกเป็นผู้ช่วยผู้นำหมู่บ้าน นามว่าพล เขาเอ่ยทักทายทุกคนด้วยท่าทีเป็นกันเองบวกกับรอยยิ้มสดใส เรียกคะแนนนิยมจากสาวๆ ต่างถิ่นได้เป็นอย่างดี ต่อมาเป็นร้อยโทอคิน ตำรวจหนุ่มผู้ดูแลพื้นที่ในแถบหมู่บ้านติดชายแดน นั่นรวมไปถึงหมู่บ้านมะปินด้วย อคินมีท่าทีขี้เล่นไม่แพ้พล ทำให้เขาได้รับความนิยมจากสาวๆ ไม่ต่างกัน และคนสุดท้ายคือชายหนุ่มหน้าตาดี ผู้มีใบหน้าหล่อเหลา แต่ติดจะเรียบเฉย จนทำให้ความน่ามองลงลดกว่าครึ่ง เขาขยับก้าวออกมายืนด้านหน้า ขณะที่ชาวบ้านทุกคนพร้อมใจกันนั่งเงียบ
"นี่นายคาม ผู้นำของหมู่บ้านมะปินครับ" ดินเอ่ยแนะนำอีกฝ่ายด้วยท่าทีนอบน้อม ก่อให้เกิดเสียงฮือฮา ด้วยเพราะสิ่งที่เพิ่งรู้ไม่ผิดไปจากที่ใครหลายคนคาดคิดไว้นัก เขาเป็นทายาทของตระกูลปถคีรี ผู้ก่อตั้งหมู่บ้านมะปินขึ้นมา หากเปรียบให้เข้าใจง่ายๆ ก็น่าจะเหมือนพวกผู้ใหญ่บ้านอะไรทำนองนั้น
"มะปินมีข้อปฏิบัติที่ค่อนข้างเคร่งครัด นั่นคือการเคารพเทิดทูนผู้นำ หากใครเห็นพี่หรือพวกชาวบ้านนอบน้อมต่อนายคามมาก ก็ไม่ต้องแปลกใจไปนะครับ นี่เป็นขนบธรรมเนียมของพวกเรา" ดินอธิบายเพิ่มเติม ก่อนจะผายมือเชิญร่างสูงใหญ่ให้ขยับก้าวไปยืนต่อหน้าบรรดาชาวค่ายที่เงียบเสียงพูดคุยลงโดยอัตโนมัติรวมไปถึงมีนมีนาที่นั่งนิ่งตัวแข็งทื่อด้วย เธอแค่ไม่ชอบแววตาตำหนิแบบผู้ใหญ่ดุเด็กจากเขาก็เท่านั้น
"สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับทุกคนสู่บ้านมะปิน" ศิขรินทร์เอ่ยขึ้น ก่อนที่สมาชิกชาวค่ายจะพนมมือขึ้นไหว้พร้อมกับส่งเสียงกล่าวทักทายสวัสดีครับและสวัสดีค่ะอย่างพร้อมเพรียงกัน ขณะที่มีนมีนาซึ่งห่างจากชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยมานานหลายปียกมือขึ้นไหว้ทำความเคารพตามรุ่นน้องอย่างเก้กังเล็กน้อย
"ในฐานะที่ผมเป็นคนดูแลที่นี่และต้องรับผิดชอบชีวิตของพวกคุณทุกคนตลอดระยะเวลาของการอยู่ค่ายอาสา ที่บ้านมะปิน ผมอยากจะขอชี้แจงเกี่ยวกับข้อปฏิบัติสักเล็กน้อย" ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น โดยมีบรรดาชาวค่ายนั่งฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ
"มะปินเป็นหมู่บ้านติดชายแดน อดีตเคยเป็นพื้นที่สีแดงอย่างที่หลายๆ คนทราบและพอรู้มาบ้าง ดังนั้นที่นี่จะมีตำรวจตระเวนชายแดนเข้าออกเสมอเพื่อลาดตระเวน ผมเลยแจ้งไว้ก่อน ทุกคนจะได้ไม่ตกใจ แต่อีกเรื่องที่อยากขอความร่วมมือ นั่นคือการขอให้ทุกคนไม่เดินไปไหนมาไหนตามลำพัง" มีนมีนานั่งนิ่ง เมื่อรู้สึกว่าร่างสูงที่กำลังกล่าวคำชี้แจงนั้นจงใจปรายตามองเธอแวบหนึ่ง นี่เขาคิดว่าเธอหนีไปเดินเล่นมาหรืออย่างไร
"ที่นี่มีแหล่งธรรมชาติเยอะ ทั้งน้ำตกและหน้าผาสูงชัน มีจุดชมวิวและลำธารเล็กๆ หากพวกคุณคนไหนอยากไปเยี่ยมชม ให้แจ้งกับพลโดยตรง หรือดินก็ได้ พวกเขาจะเป็นคนพาพวกคุณไปเอง แต่ไม่ควรถือวิสาสะเดินไปไหนมาไหนตามลำพัง ควรถามพวกชาวบ้านก่อน ว่าทางที่จะไปสามารถเดินไปได้ตามลำพังไหม แต่ผมแนะนำให้ไปเป็นคู่หรือกลุ่มมากกว่า เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่นี่เป็นป่า หากหลงไป อาจจะไปโผล่ประเทศเพื่อนบ้านได้" เขาเอ่ยเสียงฉะฉาน แต่แฝงไปด้วยความเข้มงวดอยู่ในที สมาชิกชาวค่ายจึงนั่งรับฟังอยู่เงียบๆ ไม่มีข้อโต้แย้งอะไร
"อีกเรื่องหนึ่ง คือ ถ้าใครมีปัญหาอะไร ติดขัดตรงไหน สามารถแจ้งกับผมได้โดยตรง หรือที่ทั้งพลและดินก็ได้" เขาเว้นวรรคแวบหนึ่งพร้อมกับกวาดสายตามองสมาชิกชาวค่าย แล้วจึงเอ่ยอีกครั้ง
"มีใครมีคำถามไหมครับ"
คนถูกถามหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ก่อนจะตอบปฏิเสธเป็นเสียงเดียวกัน ศิขรินทร์จึงขยับตัวเป็นอันจบการชี้แจ้ง
"งั้นฝากไว้แค่นี้ครับ อย่าไปดื้อไปซนกันก็พอ"
"ไม่ดื้อค่า" เสียงขานรับจากบรรดาชาวค่ายซึ่งส่วนใหญ่เป็นสาวๆ ดังก้อง ตามมาด้วยเสียงหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ แต่ไม่ใช่กับมีนมีนาที่นั่งนิ่งอย่างนึกสงสัย ว่าทำไมดวงตาคมดุคู่นั้นถึงได้วกมาที่เธออยู่เรื่อยเลย นี่เขาคงไม่ได้กล่าวหาว่าเธอดื้อ เธอซนหรอกนะ
มาอัพแล้วจ้าาาา
อย่าลืมคอมเมนต์ ส่งกำลังใจให้กันคนละดวงสองดวงนะคะ
พระนางอุตส่าห์ได้เจอหน้ากันซะที ^^
ฝากอุดหนุนติดตาม ผลงานของลานีนด้วยนะคะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

มาต่อไวๆนะคะ
นะคะ