ตอนที่ 8 : ใจแค้น แสนรัก : ตอนที่ 3 --- 35%
ตอนที่ 3
ร่างสูงในชุดสูทสีน้ำเงินเข้ม ก้าวลงมาจากรถสปอร์ตคันหรูซึ่งเลี้ยวเข้าจอดตรงที่ประจำบนลานจอดรถชั้นห้าของโรงแรมเดอะแกรนด์วรรักษ์ด้วยท่วงท่ามาดมั่น ใบหน้าคมสันที่เคยเคร่งเครียดเพราะมีงานล้นมือดูผ่อนคลายกว่าเคย ขณะเดินตรงไปที่ลิฟต์เพื่อโดยสารไปยังชั้นสี่สิบ ซึ่งเป็นสถานที่ใช้ทำงานประจำโรงแรมเดอะแกรนด์วรรักษ์
วันนี้เป็นวันศุกร์ ธิติยังคงต้องเข้าบริษัทเพื่อตรวจเอกสารและเซ็นฯ อนุมัติมอบหมายงานที่แต่ละแผนกยื่นเสนอ รวมไปถึงการตรวจดูความคืบหน้าของโปรเจ็คงานชิ้นสำคัญที่มีแพลนก่อสร้างรีสอร์ตสไตล์โมเดิร์นบนที่ดินราคาแพงลิบลิ่วย่านเศรษฐกิจใจกลางเมือง โดยมีโรงแรมวราเรสซิเดนซ์ซึ่งมีลลิสานั่งเก้าอี้ผู้บริหารเป็นผู้ร่วมลงทุน
ติ๊ง!
เสียงลิฟต์ตัวใหญ่ดังขึ้นส่งสัญญาณ เมื่อเคลื่อนมาถึงชั้นที่ต้องการ ชายหนุ่มก้าวออกจากลิฟต์โดยสาร แล้วเดินดุ่มตรงไปยังห้องทำงานที่อยู่ด้านในสุด ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอารมณ์ดี ทำเอาเหล่าพนักงานใต้บังคับบัญชาหลายต่อหลายคนที่เดินผ่านเหลียวมองตามแผ่นหลังกว้างของเจ้านายอย่างแปลกใจ โดยเฉพาะพนักงานคนล่าสุดที่ถึงกับหยุดชะงักกึกแล้วหันขวับมาหรี่ตามอง ขณะที่ธิติก็หยุดเอ่ยทัก
“อรุณสวัสดิ์ครับคุณศจี วันนี้ชุดสวยดีนะครับ”
“คะ” อีกฝ่ายอุทานเสียงหลงอย่างตกใจพลางเหลียวมองรอบตัวเลิ่กลั่ก พอเห็นว่าไม่มีใครนอกจากตัวเองก็จิ้มนิ้วเข้าหาอก แล้วร้องถามกลับอย่างงุนงง
“ท่านประธาน...ทักศจีหรือคะ”
“ครับ” ธิติรับคำเสียงกลั้วหัวเราะ มองหน้าเลขานุการสาวใหญ่ที่ทำงานให้เดอะแกรนด์วรรักษ์มานาน ตั้งแต่ตอนที่เขาเข้ามาฝึกงานเป็นพนักงานเข็นกระเป๋าช่วงมัธยมปลาย รวมๆ ก็เป็นเวลาสิบกว่าปีแล้ว
“วันนี้ท่านประธานมาแปลก ดูอารมณ์ดีพิกลนะคะ” ชายหนุ่มหัวเราะ ขบขันกับคำเปรียบเปรยที่อีกฝ่ายใช้อธิบายอาการของเขา ‘พิกล’ ดูเหมือนจะไม่ได้เอาไว้ใช้กับคนปกติเท่าไหร่
“เพิ่งรู้นะครับว่าการที่ผมอารมณ์ดีนี่ไม่ใช่เรื่องปกติ”
“แหม แกล้งถามหรือไงคะ” คนเป็นลูกน้องค่อนขอด พลางทำตาปะหลับปะเหลือกมองเจ้านายที่ดูเหมือนจะไม่รู้ตัวเอาเสียเลย ขณะธิติหลุดหัวเราะ
“ทำไมครับ ผมดูอารมณ์เสียตลอดเลยเหรอ”
“ก็ไม่เชิงหรอกค่ะ ส่วนใหญ่ท่านประธานชอบทำหน้านิ่งๆ มันเลยทำให้ท่านประธานดูเหมือนจะอารมณ์ไม่ดีตลอดเวลา แต่วันนี้กลับเดินยิ้มมาแต่ไกล จนสามารถมองเห็นได้ในระยะสิบเมตร ศจีก็เลยแปลกใจนิดหน่อย”
“นี่หน้าตาผมดูออกว่าอารมณ์ดีขนาดนั้นเลยหรือครับ” ธิติซักถามด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ไม่ถือสากับการซักไซ้จากอีกฝ่าย
“ก็ใช่น่ะสิคะ ไม่อย่างนั้นศจีไม่ตกใจขนาดนี้หรอกค่ะ แถมท่านประธานยังเอ่ยทักศจีก่อนอีกด้วย ทั้งที่ปกติแค่พยักหน้ารับเพียงอย่างเดียว แบบนี้แปลว่าต้องมีเรื่องดีแน่ๆ เลย”
“ผมก็ว่าตัวเองปกตินะ” เขายิ้มบางๆ ก่อนเอ่ยบอก
“งั้นถ้าหากว่าคุณศจีหายตกใจเมื่อไหร่ ผมขอกาแฟใส่น้ำตาลสองช้อนแก้วหนึ่งนะครับ”
“คะ? น้ำตาลสองช้อนหรือคะ” เลขานุการสาวใหญ่แต่ยังโสดสนิทยกมือขึ้นทาบอกด้วยท่าทีตกใจ “ยิ่งท่านประธานสั่งแบบนี้ ศจีก็ยิ่งอยากรู้ว่าเรื่องอะไรถึงได้ทำให้ท่านประธานเป็นแบบนี้ ปกติศจีเห็นดื่มแต่กาแฟดำขมๆ”
“เอ้า ร่างกายผมจะต้องการความหวานบ้างไม่ได้เหรอครับ”
“ได้ค่า แต่มันแปลกๆ” ธิติหัวเราะอารมณ์ดีเมื่อเห็นท่าทีของเลขานุการสาวที่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด อยากรู้เรื่องราวของเขาเสียมากมาย เขาจึงเฉไฉไปเรื่องอื่น
“ผมไปเซ็นฯ เอกสารก่อนดีกว่าครับ เห็นว่ากองรออยู่หลายแฟ้มเลย”
“แหม พอถูกศจีซักเข้าหน่อยก็เปลี่ยนเรื่องเลยนะคะ” หญิงสาวเอ่ยกระแหนะกระแหนพร้อมกับทำตาค้อนขวับอย่างไม่จริงจังนัก
“ท่านประธานอย่าลืมตรวจแฟ้มโครงการวรวรารีสอร์ตบนโต๊ะด้วยนะคะ ศจีวางไว้ให้แล้ว”
“ครับ ขอบคุณมาก” ธิติรับคำ ก่อนหันไปเอ่ยกำชับเลขานุการส่วนตัวอีกครั้ง
“คุณศจีอย่าลืมกาแฟดำ น้ำตาลสองช้อนของผมด้วยนะครับ”
“ได้ค่า” อีกฝ่ายรับคำเสียงแข็งขัน แต่ก็ไม่วายพึมพำตั้งข้อสังเกต “แหม ศจีล่ะอยากรู้จังเล้ยว่าท่านประธานอารมณ์แบบนี้ได้เพราะใคร”
ธิติยิ้มให้กับคำคาดเดาของลูกน้องสาว ก่อนเดินออกมาโดยไม่ได้พูดอะไร พลันเรื่องราวที่เขาคาดว่าเป็นสาเหตุทำให้เขาอารมณ์ดีก็แวบกลับเข้ามาในความคิด
‘พ่อจะไม่ถามแกหรอกนะว่านี่มันเรื่องอะไร แต่พ่ออยากรู้ว่าแกจะแก้ปัญหานี้อย่างไรมากกว่า’ เสียงเข้มๆ ของคุณเดชาเอ่ยถามหลังดูภาพรูปถ่ายของเขากับลลิสาในสมาร์ตโฟนที่คุณวิยะดายื่นส่งให้ ก่อนธิติซึ่งแสร้งยืนทำหน้าสลดจะรีบตกปากรับคำด้วยกิริยาคล้ายจำยอม
‘ผมยินดีรับผิดชอบครับพ่อ’
‘รับผิดชอบ!’ คนเป็นมารดาอุทานเสียงดังลั่น ‘รับผิดชอบอดีตคู่หมั้นที่ลูกไม่เคยไยดีแถมยังคอยแต่ผลักไส จนหนูลลิสต้องถอนหมั้นน่ะเหรอ มันไม่ดูแปลกๆ ไปหน่อยหรือไง’ คุณวิยะค้านข้อเสนอของเขาแบบหัวชนฝา ดูได้จากใบหน้านิ่งจัดที่หากจับเขาฟาดก้นได้แบบเด็กๆ คงทำไปแล้ว แต่ธิติก็เอาน้ำเย็นเข้าลูบโดยการยืนยันจะรับผิดชอบแบบหัวชนฝาเช่นเดียวกัน
‘ผมยอมรับผิดทุกอย่างครับแม่’
‘แต่แม่ว่ามันดูจะสายไปหน่อย หนูลลิสเขามีคนที่คบหาพูดคุยกันอยู่แล้ว’ คุณวิยะดายังคงไม่เห็นด้วย เนื่องจากพอได้ยินข่าวคราวของลลิสาแว่วเข้าหูอยู่บ้างว่าหญิงสาวกำลังคบกับทายาทเจ้าของร้านเพชรแห่งหนึ่ง
‘ผมรู้ครับ แต่ถ้าแม่อยากให้ผมเฉยๆ กับเหตุการณ์ครั้งนี้ ก็ได้นะครับ’
‘ได้ยังไงกัน เรามีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับหนูลลิสไปแล้ว’ คุณวิยะดาโวยวาย ขณะที่ธิตินึกขันในใจ เขาถนัดเรื่องปั่นให้มารดาสับสนในความคิดตัวเองนักล่ะ
‘อ้าว แล้วคุณจะให้ลูกทำยังไง มันจะรับผิดชอบก็ไม่เอา พอมันจะทำเป็นไม่สนใจ คุณก็ไม่เอาอีก’ คุณเดชาเอ่ยถามคนเป็นภรรยาเสียงเรียบเรื่อย พลางมองหน้าลูกชายอย่างรู้ทันเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว จนเห็นแววตาคมกล้าคล้ายดวงตาของตัวเองกล่าวขอบคุณอยู่ในใจ เพราะถ้าขืนพูดออกมาโต้งๆ คงได้ถูกคุณวิยะดาวีนอีกรอบแน่
‘ผมพร้อมจะทำทุกอย่างตามที่แม่ต้องการ ถ้าแม่อยากให้ผมรับผิดชอบ ผมก็ยินดี แต่ถ้าแม่ไม่อยากให้ผมไปยุ่งเกี่ยวกับลลิส ผมก็ทำให้ได้ครับ’
‘แล้วแบบนั้นจะมองหน้ากันติดได้ยังไง ไปป์ก็รู้ว่าครอบครัวของเราสนิทกัน ขืนไปป์ไม่รับผิดชอบ แม่คงมองหน้าคุณอริสาไม่สนิทใจ โอ้ย แม่ล่ะปวดหัวกับเราจริงๆ เลย’
‘ผมขอโทษครับแม่’ ธิติกระพุ่มมือขึ้นไหว้มารดา ดวงตาคมหม่นแสงลงอย่างสำนึกผิด ในขณะที่คุณเดชาจับตามองการกระทำของลูกชายอย่างนึกหมันไส้ เพราะรู้ดีว่านั่นเป็นเพียงมารยาชายที่อีกฝ่ายสร้างขึ้นเท่านั้น!
--------------------------------------------------------------------------
อย่าลืมคอมเม้น โหวตเป็นกำลังใจให้ลานีนด้วยนะค้าาา
ไรท์จะได้มีแรงปั่นเด้อออ มาๆๆๆ ส่งกำลังใจมารัวๆ
สำหรับเรื่องนี้ ช่วงแรกๆ หลายคนอาจจะงงๆ ว่าธิตินี่พระเอกหรือตัวร้าย 555
บอกอีกทีว่า พระเอกนะค้าาา อิอิ ฝากติดตามด้วยค่า ^^
![]() |
|
![]() |
|
![]() |
|
![]() |
|
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

พ่อย่อมรู้ทันลูกชายอยู่แล้ว
มาต่อไวๆนะคะ