ตอนที่ 4 : ใจแค้น แสนรัก : ตอนที่ 1 --- 100%
ธิติละสายตาจากภาพร่างบางที่เดินหายเข้าไปให้ห้องน้ำ พลางดึงบุหรี่ออกจากปาก ขณะทอดสายตาคมมองไปยังยอดตึกสูงใหญ่ที่ตั้งเรียงรายห้อมล้อมอยู่ตรงหน้าด้วยแววตาครุ่นคิด พลันเหตุการณ์ที่ทำให้เขาตัดสินใจเดินหน้าเต็มตัวเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาก็แวบกลับเข้ามาในความคิด
‘นี่ใคร’ เสียงอู้อี้ร้องถาม ยามที่ธิติวางร่างแบบบางลงบนเตียงนอนนุ่ม หลังจากรับอีกฝ่ายมาจากมือผู้ว่าจ้าง แล้วพาตรงมายังเพนท์เฮ้าส์ส่วนตัวบนชั้นที่สี่สิบห้าของโรงแรมเดอะแกรนด์วรรักษ์ของตัวเอง
‘ผมเอง’ เสียงห้าวเอ่ยตอบ มือใหญ่ยุ่งวุ่นวายอยู่กับการปลดซิปด้านหลังของชุดเดรสสีแดงเพลิงที่ลลิสาสวมใส่
‘ไปป์เหรอ’
‘อืม’ เขารับคำ ก่อนที่หญิงสาวจะยกมือออกมาแตะใบหน้าของเขาเบาๆ พร้อมกับหยาดน้ำตาที่เอ่อคลอนัยน์ตาสวยอย่างกะทันหัน พร้อมด้วยแววตาฉายความรวดร้าวลึกๆ ในใจ
‘คนใจร้าย’
‘หืม ใครใจร้าย’
‘ไปป์ไง ไปป์ใจร้าย ไปป์ไม่รักลลิส’
‘ผมขอโทษที่เคยไม่รัก...ได้ไหม’ ธิติตอบ สายตาคมจดจ้องอยู่ที่ใบหน้าสวยของร่างบาง ที่นอนเม้มปากแน่นอย่างดื้อดึง คล้ายจะไม่ยอมให้อภัยง่ายๆ
‘ผมจะไม่ทำให้ลลิสเสียใจอีก ยกโทษให้ผมเถอะนะ’
‘จริงนะ จะไม่ทำให้ลลิสเสียใจอีกนะ’ หญิงสาวร้องถาม ดวงตาสวยฉ่ำปรือเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์วาวขึ้นอย่างยินดี
‘ครับ จะไม่ทำให้เสียใจอีก’
‘จะไม่ทิ้งลลิสอีกใช่ไหมคะ จะไม่ใจร้ายอีกใช่ไหม’
‘ครับ ไม่ทิ้ง จะไม่ทิ้งอีก’ เขาตอบ แล้วก็แทบกลั้นหายใจ ยามที่ปลดชุดเดรสสั้นออกจากลาดไหล่บอบบางได้สำเร็จจนเหลือเพียงชั้นในไร้สายสีเนื้อที่ปกปิดโนมเนื้ออิ่มเต็มเอาไว้
ร่างแบบบางราวกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบตรงหน้าทำเอาธิติอดใจไม่ไหว จนต้องหยัดตัวขึ้นจูบหัวไหล่มนเพื่อลดความรู้สึกปรารถนาของตัวเอง แล้วกดแช่นิ่งนานอยู่อย่างนั้น ก่อนผละออกอย่างอ้อยอิ่ง
‘ลลิสยังรักผมอยู่ไหม ยังรักกันอยู่หรือเปล่า’
ชายหนุ่มร้องถาม แล้วจ้องเข้าไปในดวงตาสวยของหญิงสาวที่มีสติเหลือน้อยเต็มทีอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ อยากรู้ว่าหญิงสาวจะตอบว่าอย่างไร เพราะเขาว่ากันว่าคนเมามักจะพูดความจริงเสมอ
‘ว่าไง ยังรักผมอยู่หรือเปล่า ตอบให้ผมชื่นใจหน่อยได้ไหม’ ชายหนุ่มกระซิบถามเสียงพร่าพร้อมกับก้มหน้าต่ำลงหาคนตัวเล็ก แล้วเกลี่ยปลายจมูกโด่งลงเคลียคลอไปทั่วกรอบหน้าสวย ก่อนหยุดสายตาอยู่ที่ดวงตากลมโตของคนใต้ร่าง
‘รัก ลลิสรักไปป์’
‘ดีจัง’ ธิติพึมพำอย่างพึงพอใจ ก่อนจับร่างบางพลิกขึ้นนั่งเหนือหน้าท้องแกร่งของตัวเองที่ทอดตัวนอนแทนที่หญิงสาว จนคนเมาหวีดร้องเบาๆ อย่างตกใจ ขณะที่ชายหนุ่มหายใจหอบแรงยามพิศมองความขาวอวบละลานตาของร่างบางเหนือร่าง ธิติเอื้อมไปดึงมือเล็กของลลิสาให้วางแนบลงบนอกกว้างของตัวเอง แล้วเริ่มปฏิบัติการร้ายของผู้ล่าอย่างแท้จริง
‘ลลิสปลดกระดุมเสื้อให้ผมหน่อยสิครับ ร้อนจัง’ ธิติอ้อนเสียงหวาน ก่อนที่มือเล็กของคนเมาจะเริ่มไต่ยุกยิกไปบนอกกว้างของเขา แล้วช่วยปลดเม็ดกระดุมออกจากรังอย่างว่าง่าp
แกร็ก
เสียงลูกบิดประตูภายในห้องนอนดังขึ้น เรียกให้ร่างสูงที่ยืนเปลือยแผ่นอกอยู่ริมระเบียงขยับตัว แล้วกดบุหรี่ที่สูบไปได้เพียงนิดเดียวลงบนถาดรองที่วางอยู่ใกล้มือ ก่อนเบนสายตาหันกลับไปจ้องมองร่างแบบบางในชุดเสื้อผ้าตัวหลวมโพรกที่เดินไปมาภายในห้องนอนกว้างขวางด้วยแววตาหมายมั่น
กวางน้อยอย่างลลิสา จะไม่มีวันหลุดรอดไปจากเงื้อมมือของเขาได้อีกเป็นครั้งที่สองแน่นอน!
เพนท์เฮ้าส์หรูหราของธิติตั้งอยู่ที่ชั้นบนสุดของโรงแรมเดอะแกรนด์วรรักษ์ มีขนาดใหญ่และค่อนข้างกว้างขวาง เพราะใช้พื้นด้านบนสุดทั้งหมดกว่าสามร้อยห้าสิบตารางเมตรในการก่อสร้างพื้นที่ส่วนตัว ซึ่งภายในตกแต่งพร้อมสรรพไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันทั้งห้องนอนกว้างขวาง ห้องน้ำหรูหรา ห้องครัวแบบ pantry ห้องรับแขก ห้องทำงานเล็กๆ แบบเทควิวบนชั้นสองของห้องและสระว่ายน้ำแบบเปิดที่สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของยอดตึกสูงระฟ้ากลางกรุงได้แบบกว้างขวางเหมือนที่ลลิสากำลังนั่งมองอยู่ในขณะนี้
ดวงตากลมโตหลังม่านขนตายาวจดจ้องอยู่ที่ผืนน้ำสีฟ้าภายในสระนิ่งด้วยอาการคิดไม่ตกกับท่าทีสุภาพบุรุษจ๋าของธิติที่รีบยืดอกขอรับผิดชอบในเวลาที่เธอไม่ต้องการมันอีกแล้วอย่างนึกแปลกใจ
เขาเคยทิ้งขว้าง ไม่สนใจไยดีเธอมาก่อน แล้วอะไรทำให้เขาดึงดันอยากรับผิดชอบเธอนัก
...แปลก...
“ดื่มนี่หน่อยสิ” ลลิสาสะดุ้ง เมื่อจู่ๆ คนเป็นเจ้าของบ้านก็เดินเข้ามาอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง เรียกให้เธอหันไปมองแก้วกระเบื้องลายสวยที่ถูกยื่นมาตรงหน้า แล้วก็ต้องขมวดคิ้วมุ่นอย่างแปลกใจ
“ดื่มเสียหน่อย มันจะทำให้อาการปวดหัวของคุณดีขึ้น” ธิติที่อาบน้ำแต่งตัวใหม่แล้วเอ่ยบอก พร้อมกับวางแก้ว ลงบนโต๊ะไม้หวายถักตัวเล็ก
“แต่ฉันไม่ได้ปวดหัวสักหน่อยนี่” ลลิสาทำปากแข็ง ไม่ยอมรับน้ำใจจากเขาง่ายๆ
“ปวดหรือไม่ปวดก็ต้องดื่ม ผมทำมาให้แล้ว อย่าดูถูกน้ำใจกันหน่อยเลย” ธิติบอก แล้วเลื่อนแก้วกระเบื้องเข้าไปใกล้หญิงสาวอีกนิด ขณะที่ลลิสาถอนหายใจ แล้วชะโงกหน้าไปมอง
“อะไรเหรอ” ลลิสาเอ่ยถาม มองกลุ่มควันสีขาวที่ลอยวนอยู่เหนือแก้วอย่างไม่ไว้ใจ เพราะยังติดใจกับคำพูดของธิติที่บอกว่าเธอเป็นคนรุกเขาก่อน แต่เธอที่ถูกกล่าวหากลับจำอะไรไม่ได้เลยสักนิด นั่นจึงทำให้เธอสรุปว่าเหตุการณ์เมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาต้องมีบางอย่างไม่ชอบมาพากลแน่ๆ
“ทำไม กลัวว่าผมจะวางยาคุณหรือไง”
ลลิสาเม้มปากเมื่อถูกรู้ทัน แต่ไม่ได้เอ่ยตอบอะไร ขณะที่ธิติขยับเลื่อนแก้วอีกนิดพร้อมกับอธิบายสั้นๆ
“น้ำขิงร้อนๆ น่ะ แก้แฮงก์ เมื่อคืนคุณดื่มไปตั้งเยอะ”
“ขอบคุณ” หญิงสาวพึมพำขอบคุณสั้นๆ ก่อนเอื้อมมือไปหยิบแก้วลายสวยที่บรรจุน้ำขิงสีจางๆ มีควันลอยฉุยขึ้นจิบ ความอุ่นร้อนที่แล่นผ่านลำคอทำให้ลลิสารู้สึกดีขึ้นทันทีจนต้องจิบซ้ำอย่างพอใจ พลางมองตามหลังธิติที่เดินกลับเข้าไปในห้องครัว ก่อนที่เขาจะกลับออกมาพร้อมกับจานเปลใบใหญ่และแก้วมักในมืออีกครั้ง
“ดีขึ้นไหม” เสียงห้าวเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าหญิงสาวกำลังใช้สองมือประคองแก้วน้ำขิงร้อนๆ เอาไว้ พร้อมกับทรุดนั่งลงบนเก้าอี้นอนตัวยาวที่ถูกถักด้วยหวายเนื้อดีข้างๆ กัน แล้ววางจานบรรจุอาหารแบบอเมริกันร้อนๆ ลงบนโต๊ะที่ตั้งอยู่ตรงกลาง
“อืม” ลลิสาตอบเสียงอุบอิบ วางแก้วเปล่าในมือลง ขณะที่ชายหนุ่มรีบเลื่อนจานเปลมาให้ทันที แล้วบอก
“กินนี่ก่อนสิ”
ตากลมๆ ก้มมองอาหารในจาน ทั้งไส้กรอกร้อนๆ ไข่ดาวสีสวย เบคอน พร้อมด้วยสลัดผักสดกรอบตรงหน้าด้วยแววตาอาวรณ์อยู่แวบหนึ่งให้กับความน่าทานจนน้ำลายสอ ก่อนจะตัดใจเอ่ยปฏิเสธ เพราะไม่อยากอยู่ใกล้ชิดธิติเกินจำเป็น หลังจากเพิ่งผ่านพ้นเหตุการณ์หวามไหวมาหมาดๆ ภายนอกเธออาจจะดูเหมือนไม่ใสใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว แต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าภายในใจนั้นค่อนข้างอ่อนไหวเหลือเกิน
“ขอบคุณมาก แต่ฉันยังไม่หิว”
“กินให้หมดก่อน ผมถึงจะไปส่ง” ธิติบอกแกมสั่ง ก่อนยกแก้วกาแฟในมือขึ้นดื่ม พร้อมกับหันไปทอดสายตามองยอดตึกสูงตรงหน้า ทำเป็นไม่สนใจท่าทีพยศของลลิสา
“ฉันอยากกลับแล้ว”
“นี่มันสิบโมงครึ่งแล้ว กินรองท้องเสียหน่อย เดี๋ยวก็เป็นโรคกระเพาะไปหรอก”
“แต่นี่มันไม่ใช่เวลาที่เราจะมานั่งทานข้าวด้วยกันแบบนี้นะคะ”
“แล้วมันต้องเป็นยังไงล่ะ”
ลลิสาเงียบ แล้วเอ่ยตอบเขาในใจ เธอต้องกลับบ้านทันทีที่ตื่นนอนและไม่มาเจอหน้าเขาอีก ไม่ใช่มานั่งพูดคุยเหมือนเหตุการณ์ลึกซึ้งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องปรกติแบบนี้ ทั้งที่เธอเพิ่งจะเสียความบริสุทธิ์ให้เขาไป
“มันผิดตั้งแต่ตอนที่คุณตื่นมาแล้วไม่ร้องไห้โวยวายแล้วลลิส” ลลิสาขมวดคิ้วยุ่ง เมื่อจู่ๆ ก็ถูกโบ้ยความผิดมาให้เสียเฉยๆ
“ถ้าคุณร้องไห้โวยวายออกมาบ้างสักนิดเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ ผมอาจจะรำคาญจนไม่อยากจะรับผิดชอบคุณก็ได้ แต่นี่คุณกลับเงียบ ซ้ำยังบอกให้ผมลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นง่ายๆ อีก ในเมื่อคุณไม่ปกติ ผมก็จะไม่ปกติบ้าง” ธิติพูดยาวพลางลอบมองสีหน้าจืดเจื่อนของหญิงสาวอย่างสมใจ ขณะที่ความคิดมากมายวิ่งวุ่นในหัวเล็กๆ ของลลิสาปนเปกันไปหมด นี่เธอทำผิดขั้นตอนไปงั้นเหรอ พอคิดได้ดังนั้นหญิงสาวก็พลันรีบกลับคำที่เคยพูดไปทันที เพราะวาดหวังให้ทุกอย่างเป็นไปตามปากของธิติที่พูดปาวๆ โดยที่ไม่รู้ว่ามันเป็นไปตามแผนของคนขี้แกล้งซึ่งนึกกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ
“ถ้าเป็นอย่างนั้นคุณก็ต้องรับผิดชอบฉันสิ เพราะฉันเป็นของคุณแล้วนี่ เราจะต้องแต่งงานและอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต”
“ใช่ มันต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว”
“เอ๊ะ!” หญิงสาวชักสีหน้าอย่างงุนงง ขณะที่ธิติมองหญิงสาวด้วยแววตาระอากึ่งขบขัน
“ผมแค่พูดให้ฟัง ไม่ได้หมายความว่าให้คุณทำตามแล้วจะได้ผลสักหน่อย”
“นี่คุณ!” ธิติยักไหล่อย่างไม่ยี่หระกับท่าทีกรุ่นโกรธของร่างแบบบาง พลางเหลือบมองอีกฝ่ายด้วยแววตาอ่อนแสงลง นี่ลลิสาอายุมากกว่าเขาจริงๆ งั้นเหรอ ทำไมถึงตามไม่ทันเขาสักอย่าง
“ตกลงว่าคุณจะไม่ไปส่งฉันจริงๆ ใช่ไหม”
“ไป แต่คุณต้องกินอาหารเช้าก่อน”
“งั้นฉันนั่งแท็กซี่กลับเองก็ได้” ลลิสาผุดลุกขึ้นอย่างดื้อดึง ก่อนถูกธิติคว้าข้อมือไว้ ดึงรั้งจะให้นั่งลงตามเดิม แต่หญิงสาวขืนตัวไว้ แล้วชักสีหน้าใส่อย่างไม่ชอบใจ
“ปล่อย!”
“กินก่อน ถ้าไม่อยากให้ใครต่อใครรู้ว่าคุณพักอยู่ที่นี่กับผม...ทั้งคืน”
“ก็ฉันบอกแล้วไงว่าไม่หิว” หญิงสาวบอก ก่อนที่เสียงร้องเล็กๆ จะดังขึ้นประจานตัวเองให้ได้ขายขี้หน้า โอ้ย! ทำไมกระเพาะเจ้ากรรมถึงต้องมาร้องตอนนี้ด้วยนะ
“ไหนว่าไม่หิว แล้วนั่นเสียงอะไร”
“...”
“นั่งลง แล้วกินให้หมด” ธิติบอกแกมบังคับ พร้อมกับดึงข้อมือหญิงสาวให้ทรุดนั่งลงตามเดิม ก่อนมือใหญ่จะเลื่อนจานอาหารไปให้อีกครั้ง
“กินเองได้ไหมหรือจะต้องให้ป้อน”
“...” ลลิสาเม้มปากแน่น เพราะรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะพ่ายแพ้ให้กับท่าทีบงการของธิติเต็มที ขณะที่เขาย้ำอีกครั้ง
“ว่าไงล่ะ” หญิงสาวถอนหายใจพรืด ก่อนบอกเสียงเบา
“มันเยอะไป ฉันกินไม่หมดหรอก”
“กินน้อย ถึงได้ผอมแห้งแบบนี้ไง กินให้หมด กินหมดเมื่อไหร่ ผมจะไปส่ง” หญิงสาวมองปริมาณอาหารตรงหน้าอย่างหนักใจ แล้วบ่นอุบ
“ขืนกินหมดนี่คงได้ท้องแตกตายกันพอดี ฉันกินไม่หมดหรอก”
“งั้นก็กินด้วยกัน กินให้หมดก่อนถึงจะได้กลับบ้าน อยากกลับนักไม่ใช่เหรอ” เขาบอกแกมบังคับพร้อมกับขยับตัวหันหน้าเข้าหาเธอ ก่อนหยิบมีดและส้อมไปถือไว้ แล้วยื่นช้อนให้ลลิสาที่เอื้อมมือมารับอย่างเสียไม่ได้
“ลองชิมสลัดสิ ผมทำอร่อยนะ” พ่อครัวหนุ่มคะยั้นคะยอ พร้อมกับใช้มีดหั่นไส้กรอกเป็นชิ้นพอดีคำไว้ให้ ขณะที่หญิงสาวตักสลัดสีสวยเข้าปากเคี้ยวตามคำชวนของเขา ก่อนตักซ้ำ จนพ่อครัวกิตติมศักดิ์อดเอ่ยปากแซ็วไม่ได้
“อร่อยล่ะสิ”
ลลิสาไม่ตอบให้เสียฟอร์ม หญิงสาวตีสีหน้านิ่งนั่งกินอาหารที่ธิติตักมาให้อยู่เงียบๆ ริมสระว่ายน้ำ ที่มองเห็นวิวเป็นยอดตึกสูงระฟ้าภายในเพนท์เฮาส์หรูหราบนโรงแรมเดอะแกรนด์วรรักษ์ของธิติไปอย่างนั้นจนอาหารหมดจาน
สุดท้ายแล้วเหตุการณ์ระหว่างเขาและเธอก็ผิดแผน ผิดขั้นตอนไปหมด
รถยนต์สปอร์ตบีเอ็มดับเบิลยูสีดำสนิทแล่นฉิวออกจากโรงแรมเดอะแกรนด์วรรักษ์ในตอนเกือบบ่ายโมง แล้วเคลื่อนตัวไปบนท้องถนนท่ามกลางแสงแดดร้อนเปรี้ยง มุ่งหน้าตรงไปยังบ้านอัครวราซึ่งตั้งอยู่ภายในโครงการบ้านจัดสรรคีตะแลนด์ หนึ่งในธุรกิจของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่อย่าง เมธตระกูลทวีกรุ๊ป ที่มีคีริน ผู้บริหารหนุ่มไฟแรง ผู้ซึ่งเป็นรุ่นพี่ปีแก่ตอนเรียนมหาวิทยาลัยนั่งเก้าอี้บริหารงานทั้งหมด
มือใหญ่ของธิติเอื้อมไปกดเครื่องเล่น ก่อนท่วงทำนองเพลงแว่วหวานแบบสากลจะดังขึ้นกลบความเงียบงันภายในห้องโดยสารที่ดำเนินมาได้ร่วมยี่สิบนาทีแล้ว ตั้งแต่ล้อรถยนต์คันหรูเคลื่อนออกจากลานจอดบนชั้นที่ห้า
“คุณจะบอกพ่อแม่คุณว่าอย่างไรกับเรื่องของเรา ให้ผมลงไปกราบเรียนท่านให้ไหม”
“ไม่ต้อง” ลลิสาที่นั่งเฉยมาตลอดปฏิเสธทันควัน “ฉันไม่อยากให้ท่านรับรู้เรื่องนี้ และอีกอย่างฉันก็แจ้งความประสงค์กับคุณไปแล้วอย่างชัดเจนว่าไม่ต้องการความรับผิดชอบใดๆ ทั้งนั้น ซึ่งฉันก็ยังยืนยันแบบนั้น”
“ครับ ผมเองก็บอกคุณไปแล้วเหมือนกันว่าจะรับผิดชอบทุกอย่างให้สมศักดิ์ศรี”
“ทั้งที่ฉันไม่ได้ต้องการเนี่ยนะ” ลลิสาแหวเสียงสูงอย่างไม่พอใจกับท่าทีพูดไม่รู้เรื่องของธิติ ซึ่งไม่เป็นไปตามเหตุการณ์ที่คาดไว้ เขาควรจะผลักไสเธอสิ ไม่ใช่พยายามยืดอกรับผิดชอบแบบนี้
“คุณควรจะลืมมันแล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นจะดีกว่านะคะ เก็บความเป็นสุภาพบุรุษของคุณไปใช้กับผู้หญิงคนอื่นในสต็อกของคุณดีกว่า อย่ามาใช้มันกับฉันเลย”
ธิติซึ่งนั่งอยู่ด้านหลังพวงมาลัยคิ้วกระตุก หันขวับไปมองสีหน้าเอาเรื่องของลลิสาเต็มตาตอนที่รถยนต์จอดรอสัญญาณไฟที่สี่แยกแห่งหนึ่ง
“ผมไม่ชอบประโยคที่ดูเหมือนไม่แคร์เรื่องพรหมจรรย์ของคุณเลยจริงๆ นะลลิสา อย่าทำเหมือนเป็นคนเจนจัดเรื่องเสรีภาพทางเซ็กส์จนไม่นึกแคร์อะไรทั้งที่ยังเวอร์จิ้นไปหน่อยเลย อย่าทำให้ผมโมโห”
“งั้นฉันคงต้องมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับผู้ชายคนที่สอง สามและสี่สินะ ถึงจะพูดแบบนี้ได้”
“พูดแบบนี้ นี่อยากตายคาอกผมเหรอ” ธิติย้อนถามกึ่งข่มขู่ทื่อๆ ทำเอาลลิสาหุบปากฉับแล้วนึกบริภาษเขาในใจว่าปากร้าย ก่อนจะเชิดหน้านิ่ง นั่งเงียบไปตลอดทาง จนกระทั่งบีเอ็มดับเบิลยูคันงามจอดเทียบหน้าบ้านกึ่งคฤหาสน์หลังงามของตระกูลอัครวรา
ลลิสาที่หน้าตาบึ้งจัดรีบปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากตัวอย่างรวดเร็ว ก่อนหันไปมองหน้าสารถีหนุ่ม แล้วบอกย้ำความประสงค์เดิม
“ฉันขอย้ำอีกครั้งนะคะคุณธิติ ว่าอย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ อย่าเอาชีวิตคุณมาผูกติดกับฉันกะอีแค่คำว่ารับผิดชอบ ถือว่าฉันขอล่ะ เลิกแล้วต่อกันเถอะนะ” ลลิสาพูดจบ แล้วก็เปิดประตูรถลงไปอย่างไม่แยแส โดยไม่รอฟังคำตอบรับหรือดูปฏิกิริยาจากธิติเลยสักนิด และทันทีที่หญิงสาวยืนหยัดบนพื้นได้ รถสปอร์ตคันหรูก็กระชากตัวออกไปอย่างแรงตามอารมณ์ของคนเป็นเจ้าของ ทำเอาลลิสาได้แต่ทอดมองตามท้ายรถคันหรูไปอย่างหนักใจ
เธอจะทำยังไงกับเหตุการณ์นี้ดี
----------------------------------------------
อัพครบ จบตอนที่ 1
เวลาอัพช่วงนี้ ก็จะอัพตามอารมณ์ของคนเขียนไปก่อนนะคะ
ถ้าเนื้อหามีมากพอ จะกำหนดวันอัพแน่นอนให้ค้าาา
อย่าลืมเม้น โหวตเป็นกำลังใจให้ลานีนด้วยนะคะ
ชอบแนวนี้อย่าลืมกดเฟฟกันไว้นะค้าาา
ฝากเพจและผลงานด้วยจ้าาา
![]() |
|
![]() |
|
![]() |
|
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ลลิสไปพูดแบบนั้น พี่ไปป์แกโมโหไม่ต้องไปจาห้องกันล่ะ