ตอนที่ 33 : ใจแค้น แสนรัก : ตอนที่ 11 --- 70%
“ลูกมีปัญหาอะไรกับหนูลลิสหรือเปล่า” ธิติเงียบ
“ไปป์” คนเป็นแม่จับแขนลูกชายอย่างเป็นกังวล “ไหนเล่าให้แม่ฟังสิ มีเรื่องอะไรกัน”
“เปล่าครับแม่ ไม่มีอะไร” เขาบอกปัด ก่อนย้ำ “แต่ผมอยากให้แม่ช่วยเลือกชุดหน่อย ได้ไหมครับ”
“ได้น่ะได้จ้ะ แต่ลูกจะไม่ถามหนูลลิสหน่อยหรือว่าอยากได้ชุดแบบไหน”
“เขายุ่งครับ คงใส่ชุดอะไรก็ได้” เขาตอบแล้วก็เจ็บจี๊ดในอก ยามนึกถึงความไม่ใส่ใจของลลิสา เพราะแม้แต่ชุดแต่งงาน หญิงสาวยังไม่กระตือรือร้นเลือกสรร เหมือนมันไม่มีค่าอย่างไรอย่างนั้น
“ตอบแบบนี้ เหมือนมีปัญหากันเลยนะ”
“ไม่มีอะไรจริงๆ ครับ” เขาบอกยิ้มๆ ด้วยสีหน้าปกติ พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกในใจ ด้วยเพราะไม่อยากให้คนเป็นมารดากังวลใจ
“ถ้าไปป์ยืนยันแบบนั้น แม่ก็จะเชื่อละกันจ้ะ พรุ่งนี้แม่ว่าง เดี๋ยวจะชวนป้าสาไปด้วยกัน”
“ขอบคุณครับแม่” ชายหนุ่มตอบ แล้วก้มลงแตะจมูกลงบนซีกแก้มของมารดาฟอดใหญ่ ก่อนถูกขัดจังหวะด้วยเสียงทุ้มห้าวที่ดังขึ้นตรงหน้าประตู
“เอ้า แม่ลูกคู่นี้มายืนหอมแก้มกันอยู่ได้ เมื่อไหร่จะตั้งโต๊ะสักที พ่อหิวแล้วนะ” คุณเดชาเอ่ยว่า พลางเดินอาดๆ ตรงเข้ามาภายในห้องครัว แล้วชะเง้อมองเมนูอาหารที่ถูกตักใส่ชามและจานจัดเรียงไว้อย่างเรียบร้อย
“ไหนดูสิ มีอะไรกินบ้าง”
“เยอะเลยค่ะ มีแต่ของชอบคุณทั้งนั้น”
“แหม รู้ใจจริง” คุณเดชาเอ่ยชมภรรยาเสียงหวาน ทำเอาลูกชายอย่างธิติที่ยืนมองอยู่ยิ้มตามไปกับกิริยาของพ่อและแม่ ขณะที่คุณวิยะดาหลุดหัวเราะพร้อมกับตีเพียะลงเบาๆ บนท่อนแขนของสามี
“คุณนี่ก็... มาปากหวานอะไรต่อหน้าลูกก็ไม่รู้ สองพ่อลูก ช่วยกันยกกับข้าวไปตั้งโต๊ะเลยไป” คุณวิยะดาได้ทีไล่กลบความอาย ขณะที่ธิติรับคำแล้วเดินเข้าไปยกชามต้มยำมาถือไว้ ก่อนเดินตามบิดาที่หัวเราะน้อยๆ อย่างชอบอกชอบใจออกไป ภาพรอยยิ้มของบิดาและมารดาทำเขานึกสะท้อนในอก หากเขามีครอบครัว ก็ขอแค่อบอุ่นเหมือนคู่ของพ่อกับแม่ก็พอแล้ว
ธิติกลับมาถึงเพนต์เฮาส์ส่วนตัวในตอนเกือบเก้าโมงครึ่ง หลังจากทานข้าวที่บ้านของตัวเองเสร็จเรียบร้อย ก็นอนเตร่อยู่ที่ห้องนั่งเล่น ฟังบิดากับมารดาคุยกันด้วยเรื่องสัพเพเหระอยู่พักใหญ่ จึงขอตัวกลับ เพื่อมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เพราะมีนัดรับประทานอาหารกลางวันร่วมกับครอบครัวอัครวรา
ร่างสูงใหญ่หยุดยืนที่หน้าห้องชุดหรูของตัวเอง พร้อมกับกดรหัสเพื่อเปิดประตูเข้าไปด้านในอย่างเช่นทุกวัน แต่ทำเอาร่างบางที่กำลังนั่งอยู่บนโซฟากลางห้องหันขวับมามองอย่างตกใจ ธิติชะงัก แล้วเหลือบตามองสีหน้าตื่นๆ ของลลิสานิ่ง ก่อนความทรงจำเมื่อวานจะแล่นกลับเข้ามาในความคิด
ลลิสาเบี้ยวนัดสำคัญ!
“กะ กินแซนวิชด้วยกันไหม” หญิงสาวร้องถามอย่างเก้อๆ เมื่อธิติเอาแต่ยืนนิ่งเป็นหุ่นอยู่กลางห้อง โดยไม่พูดไม่จา เธอจึงชูแซนวิชในมือขึ้นอย่างเชิญชวน ด้วยเพราะทำตัวไม่ถูก “ฉันทำไว้หลายชิ้นเลย กินด้วยกันสิ”
“ไม่เป็นไร ผมทานมาแล้ว” ธิติตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบกว่าที่เคย แล้วทำท่าจะผละเข้าห้อง แล้วเอ่ยขึ้นเมื่อนึกขึ้นได้
“นัดกินข้าวกับพ่อแม่คุณวันนี้ ผมอยากให้เราไปพร้อมกัน”
“อ๋อ ได้สิ”
“หวังว่าคุณจะไม่เบี้ยวนัดโดยการหนีไปก่อนอีกนะ” เขาดักคอ ก่อนเดินผ่านอีกฝ่ายตรงไปยังห้องนอนของตัวเองอย่างเงียบเชียบ โดยไม่รื้อฟื้นหรือถามไถ่ถึงเหตุผลการเบี้ยวนัดเมื่อวาน เพราะรู้ว่าลลิสาสามารถชักแม่น้ำทั้งห้ามาเป็นเหตุผลได้ และเขาไม่อยากรับฟังให้เสียความรู้สึกมากไปกว่านี้
ธิติกดปิดประตูห้องนอนดังกริ๊ก แล้วเดินตรงไปยังโต๊ะเครื่องแป้งแนวโมเดิร์น ที่ถูกจัดคุมโทนด้วยสีขาวดำ ก่อนปลดเสื้อยืดออกจากลำตัว เผยให้เห็นแผงอกกว้างที่แน่นหนั่นไปด้วยกล้ามเนื้ออย่างคนออกกำลังกาย ซึ่งแตกต่างจากหุ่นบางๆ ของเด็กหนุ่มวัยมหาวิทยาลัยคนนั้นลิบลับ สาเหตุมาจากที่เขาพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองให้แข็งแรงและดูภูมิฐานมากพอที่จะปกป้องดูแลลลิสาได้ เพื่อกันไม่ให้อีกฝ่ายสามารถยกเรื่องอายุที่น้อยกว่ามาอ้างได้ว่าเขาไม่คู่ควร แต่ดูเหมือนหญิงสาวจะมองไม่เห็นสิ่งที่เขาตั้งใจทำสักเท่าไหร่นัก หรืออีกนัยก็อาจจะมองเมิน
มือใหญ่คว้าผ้าขนหนูสีขาวผืนใหญ่ที่วางอยู่บนเก้าอี้แบบสตูลตัวเล็กมาพันรอบเอว ก่อนปลดกางเกงยีนออกจากตัว แล้ววางมันลงในตะกร้าหวายสำหรับใส่ผ้าอย่างเรียบร้อย แล้วจึงเดินตรงไปยังห้องน้ำเพื่ออาบน้ำชำระร่างกาย โดยวาดหวังให้สายน้ำเย็นๆ จากฝักบัวบรรเทาความรู้สึกตึงๆ ทั้งจากความคิดวุ่นวายและฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ในหัวให้เบาบางลง
ฟากลลิสายังคงนั่งนิ่งอยู่บนโซฟา โดยมีจุดโฟกัสสายตาเป็นบานประตูห้องนอนของธิติที่ถูกปิดลงด้วยกิริยาห่างเหินด้วยความรู้สึกปลาบแปลบในใจ ก่อนวางแซนวิชที่ถูกกัดพร่องไปสองคำในมือลง ด้วยเพราะรู้สึกไม่อยากอาหารขึ้นมากะทันหัน
แม้ลลิสาจะย้ำกับตัวเองเสมอว่าไม่ควรรู้สึกอะไรไปกับการกระทำของเขา แต่ภาพเมื่อวานยังคงตามมาบาดตายามนึกถึง ซ้ำธิติที่เพิ่งกลับเข้าบ้านยังวางท่าทีเฉยเมย โดยไม่อธิบายอะไรสักคำ ปล่อยให้เธอที่เพียรเดินลงมาชั้นล่างตลอดทั้งคืนเพราะอดห่วงไม่ได้นั่งเก้ออยู่อย่างนั้น ซึ่งความรู้สึกดีที่แวบเข้ามาเป็นระยะๆ เป็นสัญญาณเตือนที่บ่งบอกว่าเธอเริ่มใจอ่อนกับธิติลงไปทุกทีๆ ดังนั้นเธอจึงต้องตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลมก่อนที่ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย ด้วยเพราะความเสียใจในอดีตไม่ยอมให้เธอเชื่อว่าเขาจะจริงใจ
ประตูรั้วอัลลอยด์ดัดลายสวยของบ้านอัครวราถูกเปิดออกด้วยฝีมือของลุงยามคนเดิม ที่กุลีกุจอรีบมาเปิดให้อย่างรวดเร็วทันทีที่เห็นรถยนต์ของธิติ ซึ่งลดกระจกลงเพื่อพูดคุยถามไถ่กับอีกฝ่ายเหมือนอย่างเคยทุกครั้งที่มาเยือนบ้านอัครวรา ในขณะที่ลลิสาซึ่งนั่งเงียบมาตลอดทางนั่งตัวแข็งทื่อ ไม่เอ่ยทักทายคนรับใช้เก่าแก่ของบ้านสักคำ ซึ่งก็ดูเหมือนว่าลุงชมก็ไม่ได้สนใจเธอนัก เพราะเอาแต่พูดคุยกับเขาอย่างสนุกสนาน
ธิติพูดคุยกับลุงชมอยู่ชั่วครู่ ก่อนเคลื่อนรถยนต์เข้าไปจอดสนิทภายในโรงจอดรถของบ้านอัครา ลลิสาจึงปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากตัวเตรียมเปิดประตูลงไป แต่ถูกรั้งไว้ด้วยน้ำเสียงเข้มๆ ที่เอ่ยดักไว้ก่อน
“เดินเข้าไปพร้อมกัน” ธิติบอกแกมสั่ง ลลิสาจึงรับคำในลำคอเบาๆ อย่างไม่อิดออด ก่อนเปิดประตูลงไปยืนรอเขา จนกระทั่งธิติจัดการกับรถยนต์เสร็จ แล้วเปิดประตูรถตามลงมาจึงได้ก้าวเดินขึ้นไปด้านบนบ้านอัครวราพร้อมกัน
สองหนุ่มสาวเดินตรงไปยังห้องอาหารตามการเชื้อเชิญของเด็กรับใช้ที่ออกมาต้อนรับตามคำสั่งของคุณอริสาที่กำลังจัดเตรียมโต๊ะอาหารอยู่ในนั้น
“อ้าว มากันแล้วเหรอ” คุณอธิปที่นั่งอยู่หัวโต๊ะเอ่ยขึ้น ยามเห็นบุตรสาวและว่าที่ลูกเขยเดินเข้ามาพร้อมกัน เรียกให้คุณอริสาหันไปมอง ก่อนที่ทั้งคู่จะยกมือขึ้นไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองพร้อมกัน
“ไหว้พระเถอะลูก” คุณอริสาพยักหน้ายิ้มๆพร้อมกับทรุดนั่งลงตรงมุมโต๊ะข้างสามี ขณะที่ธิติแตะข้อศอกลลิสาให้เดินอ้อมไปนั่งอีกฟากด้วยกัน ซึ่งภาพความสนิทสนมยามที่ชายหนุ่มเลื่อนเก้าอี้ให้บุตรสาว ทำคุณอริสาใจชื้นและยกยิ้มอย่างชอบใจ
“เดี๋ยวเรากินไปคุยกันไปกันดีกว่านะจ้ะ แม่กลัวว่ากับข้าวจะเย็นเสียก่อน”
“เอาสิ” คุณอธิปพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย คุณอริสาจึงหันไปบอกให้เด็กรับใช้ที่ยืนรออยู่ตักข้าวใส่จานจนครบทุกคน
“ลลิสกับไปป์ ลองชิมปลาช่อนลุยสวนดูสิจ๊ะ แม่ลงครัวเองเลยนะวันนี้” คุณอริสาเริ่มต้นมื้ออาหารด้วยการตักกับข้าวใส่จานให้ทั้งสองอย่างภูมิใจนำเสนอ โดยไม่ลืมตักใส่จานของสามีด้วย
“ขอบคุณค่ะแม่” ลลิสาบอกเสียงเบา ก่อนตักอาหารเข้าปากแล้วเคี้ยวเนิบๆ อย่างไร้ชีวิตชีวา จนธิติที่นั่งอยู่ข้างๆ ต้องกระซิบเตือน ด้วยเกรงว่าผู้ใหญ่ทั้งสองจะจับความรู้สึกอึมครึมระหว่างเขาและเธอได้
“ทำหน้าให้มันดีหน่อยได้ไหม คุณทำท่าทำทางเหมือนโดนบังคับ”
“ฉันก็ไม่ได้เต็มใจเท่าไหร่นี่” ลลิสาตอบ โดยไม่หันไปมองหน้าธิติสักนิด พร้อมกับเอื้อมมือไปตักอาหารใส่จานด้วยท่าทีปกติ แต่ก็ดูอ้อยสร้อยเสียจนคุณอริสาที่มองอยู่อย่างสังเกตเอ่ยถาม
“สองคนนี้มีอะไรกันหรือเปล่าลูก ทำไมหน้าตาคร่ำเคร่งเชียว”
“ไม่มีครับ”
“มีค่ะ” ลลิสาหันขวับไปมองหน้าธิติเมื่อตอบไม่ตรงกัน ทำเอาคุณอธิปและคุณอริสาต้องเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจ
“มีอะไรกันงั้นหรือจ๊ะ”
----------------------------------------------
อัพจ้า
อย่าลืมคอมเมนต์ โหวตเป็นกำลังใจให้ลานีนด้วยนะคะ ^^
ฝากเรื่องรักละมุนหวานๆ สวนส้มนี้มีรัก ไว้ด้วยนะคะ
![]() |
|
![]() |
|
![]() |
|
![]() |
|
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

น่าจะเปิดใจคุยกันตรง ๆ ไปเลย ดีกว่าต่างคนต่างคิด ทำมึนตึงใส่กันแบบนี้
เอ้อเมือไรจะดีกันหน่วงๆจังสงสารอิไปป์อ่ะต่ออีกนิดจิไรท์