ตอนที่ 25 : ใจแค้น แสนรัก : ตอนที่ 8---100%
“การตกแต่งภายในห้องพักของวรวรารีสอร์ต ทางเราเน้นการออกแบบภายใต้ธีมยูโรเปี่ยนคันทรี่...”
ราเชนทร์ : ผมมีไอเดียเด็ดๆ มาเสนอคุณลลิสเยอะเลย มีเวลาว่างไปทานข้าวกับผมสักมื้อไหมครับ
ลลิสารัวนิ้วกดลงบนแป้นพิมพ์ ขณะที่เงี่ยหูฟังเสียงการนำเสนอของทีมสถาปนิกไปด้วย แม้ว่าจะไม่ได้ตั้งใจฟังเท่าไหร่นักเพราะถือว่าตัวเองศึกษาตัวเนื้องานในส่วนรับผิดชอบมามากแล้ว และสามารถตอบได้ทุกคำถาม หากคนของเดอะแกรนด์วรรักษ์มีข้อสงสัย
...วีคนี้ลลิสไม่ว่างเลยค่ะ ถ้าคุณเชนจะกรุณา เดี๋ยวลลิสโทรกลับได้ไหมคะ…
หญิงสาวพิมพ์ตอบกลับไป ก่อนหัวคิ้วสวยจะขมวดยุ่ง เมื่อกล่องข้อความปกติเด้งแทรกเข้ามา ปลายนิ้วเรียวจึงเลื่อนไปกดดู พบเป็นข้อความจากธิติที่เธอบันทึกรายชื่อเข้าไว้ว่า ‘คนบ้า’
คนบ้า : ทำตัวให้สมกับเป็นผู้บริหารหน่อยสิ นั่งเล่นมือถืออยู่ได้
ลลิสาตวัดสายตาขึ้นมองหน้าคนตำหนิ ซึ่งนั่งอยู่อีกฟากหนึ่งของโต๊ะประชุมอย่างไม่พอใจ รู้สึกเหมือนเลือดร้อนๆ พุ่งสูงขึ้นมากองรวมกันอยู่ที่ใบหน้า นึกโกรธเขาจับใจ แต่ดูเหมือนว่าธิติจะไม่รับรู้ถึงความขุ่นเคืองใจของเธอเลยสักนิด เพราะอีกฝ่ายยังคงนั่งเฉย หนำซ้ำยังหันไปพูดคุยกับผู้ช่วยเลขานุการสาวที่นั่งอยู่เคียงข้างด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ยิ่งทำให้ลลิสานึกโกรธ เขามีสิทธิ์อะไรมาตำหนิเธอ!
แต่ถึงแม้ว่าเธอจะไม่พอใจกับคำตำหนิของธิติสักเท่าไหร่นัก แต่หญิงสาวก็ยอมวางมือถือลง แล้วฟังทีมของตัวเองนำเสนองานจนจบ แม้ว่าข้อความจากราเชนทร์จะเด้งเข้ามาอีกหลายครั้ง
“ไม่ทราบว่าทางเดอะแกรนด์วรรักษ์มีข้อเสนอแนะอะไรไหมคะ” ลลิสาคว้าไมค์ที่ตั้งอยู่ตรงหน้ามากรอกเสียงถามอย่างเป็นการเป็นงาน หลังหัวหน้าทีมสถาปนิกออกแบบภายในของตัวเองนำเสนองานจบ
“ถ้ามีข้อแนะนำอะไรเสนอได้เลยนะคะ ทางเราพร้อมจะนำไปแก้ไขปรับปรุง” หญิงสาวเอ่ยย้ำอีกครั้ง แต่ภายในห้องประชุมกว้างขวางนั้นก็ยังคงเงียบกริบ เป็นการตอบรับกลายๆ ว่าทุกคนยอมรับผลงานการออกแบบของทีมเธอ
“ถ้าไม่มีอะไร งั้นแปลว่าเราจะใช้แบบแปลนนี้ในการก่อสร้างนะคะ เดี๋ยวทางสถาปนิกจะส่งแปลนงานทั้งหมดให้กับทีมวิศวกรของเดอะแกรนด์วรรักษ์ภายในอาทิตย์หน้าค่ะ ทางเราขอจบการนำเสนองานเท่านี้ ขอบคุณค่ะ” ลลิสาบอก แล้วเอนหลังน้อยๆ พิงพนักเก้าอี้ ขณะที่ธิติและวิศกวกรจากเมธตระกูลทวีลุกขึ้นมาดูแปลนงานและเอ่ยซักถามกับทางสถาปนิกด้วยศัพท์ทางเทคนิคที่ลลิสาฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ทำเอาคนที่ทำงานหนักมาตลอดทั้งสัปดาห์ตาจะปิดเสียให้ได้ จนต้องหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างๆ มาเปิด แล้วเลื่อนนิ้วดูความเคลื่อนไหวของคนนู้นคนนี้ในเฟซบุกไปมาเพื่อผ่อนคลายอย่างอดใจไม่ไหว สลับกับเงยหน้ามองดูธิติคุยงานกับวิศวกรและสถาปนิกไปด้วย โดยไม่รู้เลยว่าถูกคนเอ่ยเตือนแต่แรกอย่างธิติ ซึ่งกำลังคุยงานกับรุ่นพี่ลอบมองด้วยสายตาตำหนิและไม่ชอบใจ
ลลิสาเดินแยกออกมาจากทีมสถาปนิกของตัวเอง เมื่อการประชุมหาแบบสรุปการก่อสร้างโครงการวรวรารีสอร์ตเสร็จสิ้นลงอย่างไร้ปัญหา หลังใช้เวลาร่วมสองชั่วโมงในนำเสนอและพูดคุยกับทีมวิศวกร จนสามารถกำหนดเวลาดำเนินโครงการก่อสร้างได้ในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า ภายใต้การออกแบบโครงสร้างและควบคุมการก่อสร้างโดยบริษัทเมธตระกูลทวีกรุ๊ป
หญิงสาวซึ่งหยัดยืนอยู่บนรองเท้าส้นสองกว่าสี่นิ้วเดินลิ่วตรงไปยังลิฟท์ เพื่อจะลงไปยังลานจอดรถ แต่ก่อนที่ปลายนิ้วเรียวจะได้แตะปุ่มตรงหน้าลิฟต์โดยสารตัวใหญ่ ต้นแขนกลมกลึงกลับถูกรั้งไว้ด้วยเจ้าของมือที่ก้าวเร็วๆ ตรงเข้ามาหา
“เอ๊ะ!” ลลิสาชักสีหน้า แล้วหันขวับไปมองหน้าคนกระทำอย่างไม่พอใจ มือของธิติจับแขนเธอแรงจนเจ็บ
“ผมจะไปส่ง” ธิติออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย พอๆ กับใบหน้าที่ติดจะบึ้งตึง ซ้ำยังออกแรงดึงแขนเธอให้เดินตามเบาๆ แต่ลลิสาขืนตัวไว้ ก่อนบอกเสียงเขียว เกือบเป็นตวาด
“ฉันเอารถมาและกลับเองได้”
“ผมจะไปส่ง” ร่างสูงในชุดสูทเอ่ยย้ำคำเดิม ก่อนเลื่อนมือลงไปกุมข้อมือเธอไว้ แล้วบังคับให้เดินตามเข้าไปในลิฟต์ที่เขากดเปิดรอไว้
“อย่ามาออกคำสั่งกับฉันได้ไหม” ลลิสาขืนตัวไว้อีกครั้ง ไม่ยอมก้าวตามธิติเข้าไปในลิฟต์ จึงเกิดเป็นการยื้อยุดอย่างไม่มีใครยอมใคร เพราะเขาเองก็ไม่ยอมปล่อยมือ
“ปล่อย!” ธิติมองสบตาวะวับของลลิสาที่ขึงตามองมาอย่างเอาเรื่อง แล้วกระชับข้อมืออีกฝ่ายแน่นกว่าเดิม พร้อมกับออกแรงฉุดรั้งหญิงสาวเบาๆ ให้ขยับเข้ามาใกล้ ก่อนปล่อยมือที่กดปุ่มลิฟต์ค้างไว้ ทำให้ประตูลิฟต์เลื่อนปิดจนเกือบกระแทกกับร่างบางที่ยืนละล้าละลังคาทางเข้า ทำเอาลลิสาหน้าเสีย อุทานลั่นอย่างตกใจ เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ธิติยื่นมือไปกดปุ่มลิฟต์อีกครั้งอย่างทันท่วงที ก่อนที่มันจะปิดงับร่างบาง
“เข้ามาซะทีหรือจะรอให้ลิฟต์หนีบ” เขาถามเสียงถอนฉุน นึกโมโหท่าทีรังเกียจรังงอนที่ลลิสาแสดงออกนัก
“คุณแกล้งฉัน!”
ธิติไม่สนใจเสียงบริภาษแข็งๆ ของหญิงสาวพร้อมกับสายตาที่คล้ายมีดวงไฟเล็กๆ ลุกโชนในอยู่ในนั้น เขาออกแรงกระตุกข้อมืออีกฝ่ายอีกครั้งให้เข้ามาในตัวลิฟต์ ก่อนกดเลขหมายของลานจอดรถโดยไม่พูดอะไร ทำเพียงยืนฟังเสียงฮึดฮัดของหญิงสาวที่ฉากตัวไปยืนอยู่อีกฟากของลิฟต์เงียบๆ ไปอย่างนั้นตลอดทาง
รถยนต์คันหรูของธิติแล่นไปบนถนนด้วยความเร็วสูง เห็นได้จากเข็มไมล์ที่กระดิกพรวดๆ เพื่อมุ่งหน้าสู่บ้านอัครวรา หลังบังคับลลิสาให้ขึ้นรถมาด้วยกันได้ในที่สุด ท่ามกลางความเงียบงันภายในห้องโดยสาร ที่มีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศดังหึ่งๆ เพราะทั้งคนขับและผู้โดยสารต่างนั่งปิดปากเงียบ ไม่มีใครปริปากพูดอะไรสักคำ เนื่องมาจากอารมณ์ที่ไม่ปกติด้วยกันทั้งคู่
ธิติไม่พอใจลลิสาที่ไม่ให้ความสำคัญกับงานในส่วนรับผิดชอบเท่าที่ควร ผนวกกับอารมณ์ขุ่นๆ ที่ถูกหญิงสาวหักหน้าต่อหน้าราเชนทร์ก็ยังไม่เลือนหายไป กลายเป็นยิ่งเพิ่มตะกอนความขุ่นมัวในอารมณ์ให้ขุ่นคลั่ก ไม่ต่างกันกับผู้บริหารสาวที่ทั้งโกรธและไม่พอใจที่ธิติชอบออกคำสั่งกับเธอ ซ้ำยังเอาแต่ใจ ไม่คิดฟังคำพูดหรือความคิดเห็นของเธอเลยสักนิดเดียว จึงเกิดเป็นความมึนตึงและแสนอึดอัดใจระหว่างทั้งคู่
ครืด
ลลิสาละสายตาจากภาพบ้านเรือนสองข้างทางก้มมองโทรศัพท์ที่สั่นครืนในกระเป๋าถือ ก่อนหยิบมันขึ้นมากดรับอย่างไม่รีรอเมื่อพบว่าเป็นสายจากราเชนทร์
“สวัสดีค่ะคุณเชน” ลลิสากรอกเสียงลงไป และนั่นทำให้ร่างสูง ซึ่งนั่งนิ่งอยู่หลังพวงมาลัยรถหรู เบือนหน้าหันมามองแวบหนึ่งด้วยสายตาตำหนิ ก่อนหันกลับไปสนใจกับท้องถนนเบื้องหน้าตามเดิม คล้ายไม่สนใจ
“ไหนคุณลลิสว่าจะโทรมาไงครับ ยังประชุมไม่เสร็จเหรอ” เสียงตัดพ้อต่อว่าดังลอดมาตามสาย เมื่อลลิสาไม่โทรกลับสักทีตามที่บอก
“พอดีลลิสยังไม่ถึงบ้านน่ะค่ะ เลยยังไม่ได้โทรไป”
“กำลังขับรถอยู่หรือครับ”
“ค่ะ” ลลิสาปดสั้นๆ โดยไม่อธิบายอะไรเพิ่มเติม ไม่ได้บอกเขาหรอกว่าเธอกำลังนั่งหน้าตูมอย่างอึดอัดอยู่บนรถของธิติ
“งั้นถ้าผมชวนออกไปกินข้าวด้วยกันตอนนี้ทันไหม”
“พอดีลลิสจะถึงบ้านแล้วน่ะค่ะ เป็นครั้งหน้าละกันนะคะ” หญิงสาวตอบปัด เนื่องด้วยอารมณ์ที่ไม่เป็นปกติ กลัวว่าถ้าหากรับนัดเขาไป เธออาจจะไปแสดงกิริยาไม่ดีใส่เขาได้ ซึ่งราเชนทร์ก็ตอบรับอย่างเข้าใจ
“ได้ครับ เป็นครั้งหน้าก็ได้”
“ต้องขอโทษด้วยนะคะ” ลลิสาบอกอีกครั้งอย่างลุแก่โทษ ทั้งที่เขาอุตส่าห์เป็นเดือดเป็นร้อนช่วยเหลือเธอ
“ไม่เป็นไรครับ แต่ครั้งหน้า ผมขอนัดสถานที่เป็นที่โรงแรมของผมได้ไหม”
“ได้สิคะ” หญิงสาวเอ่ยบอกอย่างยินดี “ลลิสอยากไปดูงานที่โรงแรมคุณเชนอยู่เหมือนกัน”
“พอดีเลย ผมเพิ่งปรับปรุงห้องอาหารกลางแจ้งใหม่ อยากให้คุณลลิสมาชม”
“ได้เลยค่ะ แต่ลลิสไม่ดูอย่างเดียวนะคะ จะไปกินซีฟู้ดให้พุงกางเลย” ลลิสาบอกด้วยน้ำเสียงดีขึ้น ทำเอาธิตินึกหยันอยู่ในอก ทีกับเขาล่ะเถียงจนทะเลาะกันทุกครั้ง ไม่มีการยอมอ่อนข้อให้สักนิด ดื้อได้เป็นดื้อเสียทุกครั้งไป
“ยินดีครับผม แต่ครั้งหน้า ผมขอไปรับคุณลลิสที่บ้านนะครับ”
“ลลิสไปเองได้ค่ะ ลำบากคุณเชนเปล่าๆ”
“ไม่ลำบากเลยครับ ผมยินดี”
“เอางั้นหรือคะ” หญิงสาวถามอย่างลังเล ขณะที่ปลายสายตอบรับเสียงหนักแน่น
“ครับ ผมอยากไปรับ”
“ถ้างั้นก็ดะ…” ลลิสายังพูดไม่ทันจบ มือใหญ่ของคนนั่งเคียงข้างก็คว้าหมับเข้าที่โทรศัพท์มือถือของเธอไปกดวางสายพร้อมกับปิดเครื่องอย่างถือวิสาสะ แล้วโยนมันทิ้งส่งๆ ลงไปตรงคอนโทรลรถด้านหน้าอย่างแรง โดยไม่คำนึงถึงราคาที่ค่อนข้างแพงลิบของมันเลยสักนิดเดียว
“นี่มันจะมากเกินไปแล้วนะคุณ!” หญิงสาวแหวเสียงเขียว นึกโกรธเสียจนอยากกระโจนเข้าบีบคอเขา เขย่าแรงๆ แล้วกัดให้จมเขี้ยว ขณะที่ภายในใจร่ำร้องเสียงดังว่า ‘มากเกินไปๆ’ อยู่ซ้ำๆ คล้ายเรียกร้องไม่ให้เธอยอมอ่อนข้อให้กับการกระทำครั้งนี้ของธิติง่ายๆ
“น้อยเกินไปด้วยซ้ำ ผมบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้ยุ่งกับหมอนั่นอีก”
“เขาเป็นเพื่อนของฉัน” ลลิสาเถียงเสียงขุ่น ในขณะที่ธิติก็เอ่ยหยันเสียงขุ่นไม่แพ้กัน ด้วยแรงอารมณ์ที่ไม่ต่างจากไฟด้วยกันทั้งคู่
“เพื่อนที่จ้องคุณตาเป็นมันแล้วจ้องจะงาบคุณล่ะสิ”
“อย่ามาใส่ร้ายคนอื่น ทั้งที่ตัวคุณเองก็ไม่ได้ดีเด่อะไรนัก” หญิงสาวต่อว่า แล้วมองเสี้ยวหน้าคมของคนขับตาขวาง เธอไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าทำไมธิติต้องตั้งแง่คอยใส่รายราเชนทร์อยู่เรื่อย เขาอาจจะเจ้าชู้ก็จริง แต่ก็ไม่ได้มีนิสัยร้ายกาจอย่างที่คนนั่งข้างเธอพยายามยัดเยียดให้สักนิด ธิติคิดอคติเสียมากกว่า “ฉันละเกลียดนิสัยวุ่นวายแบบนี้ของคุณที่สุด”
“งั้นคุณก็คงต้องเกลียดผมต่อไป เพราะผมจะอยู่กับคุณแบบนี้ไปตลอดชีวิต” เขาบอกเสียงเรียบ กรุ่นด้วยอารมณ์ ไม่เกรงกลัวต่อสายตาวับวาวด้วยความรู้สึกโกรธของหญิงสาวเลย
“อย่ามั่นใจไปหน่อยเลย คุณเองก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร”
“คืออะไร” ธิติย้อนถามอย่างยียวน เขาทำขนาดนี้แล้ว เธอยังไม่เชื่ออีกเหรอว่าเขาต้องการแค่เธอเพียงคนเดียว
“อย่ามาเฉไฉ คุณก็รู้ว่าระหว่างเราเป็นยังไง”
“แล้วมันเป็นยังไง”
“ไปป์!” ลลิสาเรียกชื่อเขาเสียงเข้ม แต่กลับทำให้ธิติอารมณ์ดีขึ้นอย่างประหลาด เหตุผลเป็นเพราะคำพูดที่หลุดออกมาจากปากของหญิงสาว
‘ไปป์’ เขาไม่เคยได้ยินมันจากปากลลิสานานมากแล้ว
“นึกว่าลืมชื่อผมไปแล้วเสียอีก เห็นเรียกแต่คุณๆ อยู่นั่น” ธิติว่าแดกดัน แต่มุมปากขึ้นสันหยักเต็มกลับยกยิ้ม ขัดแย้งกับสถานการณ์ตรงหน้าอย่างสิ้นเชิง ก่อนบอกอย่างทะเล้น
“เรียกบ่อยๆ ก็ได้นะครับ ผมชอบ”
หญิงสาวเม้มปากอย่างขัดใจ เมื่อจู่ๆ เขาก็เบี่ยงประเด็น เปลี่ยนหัวข้อสนทนาเสียเฉยๆ จนเธอตั้งรับไม่ทันกับอารมณ์มากมายที่เหวี่ยงไปมา จึงสะบัดหน้าพรืด หันหนีมองออกไปนอกหน้าต่างรถเหมือนเดิม ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับธิติให้เปลืองน้ำลายและเสียอารมณ์ ด้วยเพราะรู้ว่าตัวเองไม่มีวันชนะเขาได้
รถยนต์คันหรูแล่นไปบนถนนคอนกรีตภายในโครงการบ้านจัดสรรโครงการใหญ่ด้วยความเร็วคงที่ ก่อนจะค่อยๆ ผ่อนลง เมื่อใกล้ถึงจุดหมาย และนั่นทำให้ลลิสาขยับตัว แล้วรีบเอ่ยบอก
“คุณส่งฉันแค่ตรงประตูนี่แหละ ฉันเดินเข้าไปเองได้”
“ผมมีธุระกับคุณลุง”
“พ่ออาจจะไม่อยู่” ธิติไม่ฟังเสียงคัดค้านของเธอ เขาเลี้ยวรถผ่านประตูรั้วอัลลอยด์ที่เปิดต้อนรับไปตามถนนสั้นๆ ปูด้วยหินอ่อนที่ทอดตัวสู่ประตูบ้านอัครวราพร้อมกับลดกระจกลง แล้วเอ่ยถามยามวัยกลางคนที่รีบยกมือตะเบ๊ะใส่เขาอย่างคุ้นเคย ขณะที่ธิติยกมือไหว้อีกฝ่ายอย่างไม่ถือตัว
“คุณลุงอธิปอยู่ไหมลุงชม”
“อยู่ครับคุณไปป์ เพิ่งเข้ามาเมื่อสักครู่นี่เอง” อีกฝ่ายรายงานเสียงสดใส ผิดกับอารมณ์ของลลิสาที่นั่งหน้าตูมหน้างอลิบลับ
“ขอบคุณมากครับ” ธิติเอ่ย ก่อนบังคับรถยนต์ของตัวเองตรงเข้าไปจอดหน้าบ้านอัครวรา ชายหนุ่มดับเครื่องยนต์ แล้วปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากตัว ก่อนก้าวลงไป โดยไม่รอให้เจ้าบ้านอย่างลลิสาออกปากเชิญ
“คุณมีธุระอะไรกับคุณพ่อ” หญิงสาวร้องถาม หลังรีบซอยเท้าขึ้นมาเดินเสมอเขา ขณะกำลังเดินเข้าไปภายในห้องรับแขกซึ่งบิดาของเธอนั่งอ่านเอกสารอยู่ในนั้น แต่ยังไม่ธิจิจะได้ตอบ คุณอธิปก็เงยหน้าขึ้นมาเห็นเข้าเสียก่อน
“อ้าว ไปป์” คุณอธิปร้องทัก เมื่อเห็นร่างสูงของว่าที่ลูกเขยเดินเข้ามา พร้อมกับยกมือไหว้อย่างมีมารยาท
“สวัสดีครับคุณลุง”
“สวัสดี นั่งก่อนสิ”
“ขอบคุณครับ” ธิติตอบรับ พร้อมกับทรุดนั่งลงบนโซฟาชุดสีน้ำตาลตัวนุ่ม ขณะที่ลลิสาทรุดนั่งลงข้างบิดาด้วยใบหน้าหงิกงอ บ่งบอกอารมณ์ขุ่นมัว
“มาส่งลลิสเหรอ”
“ครับ แล้วผมก็มีธุระกับคุณลุงนิดหน่อย” ชายหนุ่มแจ้งความประสงค์ของตัวเอง คนฟังจึงวางเอกสารในมือลงอย่างให้ความสนใจ
“เรื่องงานเหรอ”
“ไม่เชิงครับ” เขาตอบกลางๆ แล้วมองสบตาลลิสานิดหนึ่ง ก่อนบอกอย่างไม่ลังเล
“ผมอยากให้ลลิสย้ายไปอยู่ที่เพนต์เฮ้าส์ของผมด้วยกันครับ”
“อะไรนะ!” ลลิสาอุทานอย่างประหลาดใจ ก่อนตวัดเสียงถาม “ทำไมฉันต้องย้ายไปอยู่กับคุณด้วย”
“นั่นสิ” คุณอธิปเห็นด้วยกับบุตรสาว ก่อนตาถามถึงเหตุผล เนื่องจากการที่ทั้งคู่ไปอยู่ด้วยกันก่อนแต่งงานเป็นการกระทำที่ดูไม่งามนัก “ไปป์มีเหตุผลอะไรงั้นหรือ ทำไมต้องให้ลลิสไปอยู่ด้วย”
“ผมรู้สึกว่าลลิสไม่สนใจงานเท่าที่ควรครับ หากย้ายไปอยู่ด้วยกันคงทำให้มีเวลาคุยและปรึกษากันมากกว่านี้”
คุณอธิปเลิกคิ้วสูงอย่างแปลกใจกับเหตุผลนั่น ก่อนปรายตามองลูกสาว
“ไปป์หมายความว่าลลิสไม่สนใจงานงั้นหรือ”
“ครับ”
“ลลิสเปล่านะคะคุณพ่อ” ลลิสาแย้งเสียงแหว แล้วหันไปขึงตาใส่ธิติ “อย่ามากล่าวหากันนะ”
“ผมไม่ได้กล่าวหา”
“แล้วอะไรทำให้ไปป์คิดแบบนั้นล่ะ งานที่ลลิสทำออกมาไม่ดีหรือว่ามีข้อบกพร่อง” หัวเรือใหญ่แห่งวราเรสซิเดนซ์ถามหาเหตุผล เมื่อคู่หมั้นของลูกสาวยังคงยืนยันคำเดิม ซึ่งอาจหมายความว่าลลิสาเกงานจริงๆ
“วันนี้มีประชุมสำคัญทีมสถาปนิกของลลิสนำแปลนมาเสนอ ซึ่งมีรายละเอียดปลีกย่อยมากมาย แต่ลลิสกลับหยิบโทรศัพท์มือถือมากดเล่นขณะที่ทีมสถาปนิกนำเสนองาน ผมมองว่าไม่เหมาะสม”
คำตอบของธิติ ทำเอาคุณอธิปถึงกันหันไปมองหน้าลูกสาวด้วยสายตาตั้งคำถาม
“จริงเหรอลลิส ลูกทำอย่างนั้นจริงๆ เหรอ”
“ค่ะ ลลิสคุยงานกับคุณราเชนทร์ แต่ก็ไม่ได้เกเรนะคะ แค่หยิบมาเลื่อนดูเป็นบางครั้ง”
“แต่มันทำให้ภาพลักษณ์คุณดูไม่ดี” ธิติเอ่ยแทรกอย่างหวังดี “คนอื่นอาจทำตาม โดยยกคุณมาอ้างได้”
“มันเป็นแค่เรื่องธรรมดาๆ แต่คุณกำลังทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่นะ” หญิงสาวตวัดสายตาขุ่นขวางมองเขาอย่างไม่พอใจ “แล้วอีกอย่างฉันก็ศึกษางานนั่นดีแล้ว ถ้าฟังบ้างไม่ฟังบ้างก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร”
“เป็นสิลูก”
“คะ” ลลิสาหน้าเสีย มองบิดาที่ค้านขึ้นอย่างไม่เข้าใจ
“พ่อเห็นด้วยกับไปป์นะ มันดูไม่เหมาะสมเท่าไหร่ มันทำให้ลลิสดูไม่มีความใส่ใจ”
“แต่ลลิสก็ไม่ได้ก้มหน้าก้มตาเล่นจริงจังเสียเมื่อไหร่ละคะพ่อ”
“มันก็ไม่ควรอยู่ดีนะลูก” คุณอธิปแย้ง ทำเอาลลิสาหน้าตูม และก่อนที่จะได้พูดอะไรกันต่อ คุณอริสาก็เดินนำเด็กรับใช้ที่ถือถาดใส่เครื่องดื่มและขนมทานเล่นออกมาเสิร์ฟ ทันเห็นสถานการณ์คุกรุ่นตรงหน้า จึงทรุดนั่งลงแล้วเอ่ยถาม
“คุยอะไรกันจ๊ะ หน้านิ่วคิ้วขมวดเชียว”
“ตำหนิผู้บริหารอัครวราอยู่น่ะสิ เล่นมือถือตอนเข้าประชุม”
“หือ ลลิสน่ะเหรอค่ะ” คุณอริสาหันไปมองใบหน้ายับยุ่งของลูกสาว “ลูกทำแบบนั้นจริงๆ หรือลลิส”
“หนูแค่หยิบดูเฉยๆ ค่ะแม่ ไม่ได้นั่งเล่นเป็นจริงเป็นจังเสียหน่อย”
“น่าตีจริงลูกคนนี้นี่”คนเป็นมารดาบอก พลางตีมือเบาๆ ลงบนแขนของลูกสาวที่นั่งหน้ายุ่งอยู่ข้างๆ
“ลลิสขอโทษค่ะ” ลลิสาเอ่ยบอก เพราะดูเหมือนว่าทั้งบิดาและมารดาจะคิดเหมือนกันกับเขา เรื่องที่เธอทำตัวไม่เหมาะสม พลางเข่นเขี้ยวธิติในใจ ขี้ฟ้อง! “ลลิสจะปรับปรุงตัวเองและไม่ทำอีกค่ะ หนูจะตั้งใจทำงาน ทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี แต่หนูไม่ย้ายออกจากบ้านนะคะ”
“ย้ายออก? ย้ายออกไปไหนกันลูก” คนเพิ่งมาใหม่อย่างคุณอริสาร้องถามอย่างแปลกใจกับคำบอกเล่าของลูกสาว คนเป็นสามีจึงอธิบายให้
“พอดีไปป์มาขออนุญาตให้ลลิสย้ายไปอยู่ที่เพนต์เฮ้าส์ด้วยกันน่ะ”
“ลลิสสัญญาว่าจะตั้งใจทำงานให้มากขึ้นแล้ว ดังนั้นลลิสไม่ไป” ลลิสาแย้งหัวชนฝา เรื่องอะไรเธอต้องย้ายไปอยู่กับเขาก่อนแต่งงานด้วย ขณะที่ธิติก็อธิบายเสียงอ่อนอย่างใจเย็น ไม่ว่าอย่างไรงานนี้เขาก็ต้องพาเอไปอยู่ด้วยให้ได้
“มันไม่ใช่แค่เรื่องงาน”
“ไม่ใช่แค่เรื่องงาน แล้วเรื่องอะไรอีกละจ๊ะ” คุณอริสาร้องถามหาเหตุผล เพราะยังแอบตกใจกับคำขอร้องของชายหนุ่ม
“เรื่องงานแต่งครับ ผมอยากให้ลลิสย้ายไปอยู่ด้วย เผื่อจะได้มีเวลาให้กันมากขึ้น เพราะพักหลังมานี้ลลิสไม่มีเวลาให้ผมเลย แถมเบี้ยวนัดดูของชำร่วยกับผมไปสองครั้งแล้ว”
“ตายจริง นี่มันใกล้วันงานแล้วนะลูก” คนเป็นมารดาอุทาน แล้วหันไปมองหน้าลูกสาวตาเขียว
“ผมกลัวไม่ทัน เลยอยากให้ย้ายไปอยู่ด้วยกันน่ะครับ อีกอย่างจะได้ปรึกษาหารือกันเรื่องโครงการวรวราได้สะดวกขึ้น” ธิติอธิบายเสียงเรียบด้วยเหตุผล ซึ่งคุณอธิปที่นั่งฟังอยู่เงียบๆ พยักอย่างเห็นด้วย ทำเอาบุตรสาวหน้ายับยุ่งยิ่งกว่าเดิม
“ก็ดีเหมือนกัน จะได้ช่วยกันเตรียมงาน อีกอย่างจะได้ลองปรับตัวกันก่อนด้วย หรือคุณว่าไง” เอ่ยบอก ก่อนหันไปถามคนเป็นภรรยาที่ทำหน้าครุ่นคิด
“ก็ถ้าลลิสไม่มีเวลาให้ไปป์อย่างที่บอกจริง แม่ก็เห็นด้วยนะ เพราะนี่เวลางานก็กระชั้นเข้ามาแล้ว เดี๋ยวจะเตรียมงานไม่ทันเอานะจ๊ะ”
“ที่หนูไม่มีเวลาให้เขา ก็เพราะว่าหนูทำงานนะคะ” ลลิสายังคงเอ่ยแย้ง หวังจะให้บิดาหรือมารดาสักคนอยู่ข้างเธอบ้าง แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มี ยามได้ยินคำพูดต่อมาของมารดา
“ก็เพลาๆ ลงบ้างสิลูก จัดเวลาให้ดี เพราะต่อไปนี้หนูจะมามัวทำแต่งานไม่ได้แล้วนะ”
“นี่สรุปพ่อกับแม่จะให้หนูย้ายไปอยู่กับเขาใช่ไหมคะ แบบนี้มันเรียกว่าอยู่ก่อนแต่งเลยนะ” หญิงสาวทำเสียงขุ่น ขณะที่ธิตินั่งรอคำตอบอยู่เงียบๆ ปล่อยให้ครอบครัวอัครวราพูดคุยกันเอง
“ไหนๆ ก็ต้องแต่งกันอยู่แล้ว ไปอยู่ศึกษากันก่อน พ่อไม่ถือ” คุณอธิปบอกอย่างมีเหตุผลในใจ และคุณอริสาก็เห็นดีด้วย
“ใช่ๆ จะได้ค่อยๆ ปรับตัวเข้าหากันยังไงละจ๊ะ”
ลลิสาแอบกลอกตาหลังได้ยินประโยคเออออของมารดา สุดท้ายก็เป็นเธอที่ต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ให้แก่ความต้องการที่แสนเอาแต่ใจของธิติซึ่งมีพ่อและแม่ของเธอเป็นกองหนุน นับวันหญิงสาวก็ยิ่งรู้สึกว่าครอบครัวเธอเข้าข้างเขามากเกินไป ทั้งที่เขาชิงสุกก่อนห่ามและเคยทำให้เธอเสียใจมาก่อนแท้ๆ แต่ดูเหมือนว่าพ่อกับแม่จะให้อภัยเขาได้อย่าง่ายดายเหลือเกิน
“ลลิสว่าไงละลูก”
“พ่อกับแม่พูดแบบนี้แล้ว ลลิสจะไปพูดอะไรได้ละคะ” หญิงสาวตอบเสียงสะบัด ก่อนผุดลุกขึ้นยืน เพราะทนต่อไปไม่ไหว ด้วยกลัวว่าจะเสียน้ำตาให้สถานการณ์บังคับตรงหน้า
“งั้นหนูขอตัวเลยนะคะ มีงานต้องทำ” เอ่ยบอกก่อนหมุนตัวเดินออกไป โดยหยุดชะงักมองหน้าธิติแวบหนึ่ง แล้วอาศัยจังหวะที่มารดาหันไปคุยกับบิดา ออกแรงเตะเข้าที่หน้าแข้งในกางเกงสแลคเนื้อดีของอีกฝ่ายเต็มแรงอย่างหมันไส้ ทำเอาธิติถึงกับหน้าเบ้เพราะว่าความเจ็บ ก่อนเดินออกมาอย่างไม่สำนึกผิด นึกแปลกใจว่าธิติใช้นามสกุลอะไรกันแน่ระหว่าง วรรักษ์ธิกุล และ อัครวรา เพราะดูเหมือนบิดาและมารดาของเธอจะเอ็นดูเขาเป็นพิเศษยิ่งกว่าลูกในไส้อย่างเธอเสียเหลือเกิน
------------------------------------------
อัพคุณไปป์ค่าา
อย่าลืมคอมเมนต์ โหวต เป็นกำลังใจให้กันด้วยนะคะ ^^
ฝากผลงานเรื่องอื่นๆ ด้วยนะคะ
![]() |
|
![]() |
|
![]() |
|
![]() |
|
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ลลิสก็ยังคงตามไม่ทันไปป์อยู่ดีน่ะละ
ขวางคลองเต็มที่เลยนะ นายไปป์ หุๆ
ยกนี้อิไปป์ชนะคร่าาาา
ไปป์น่ารักกกก
รอต่อนะไรท์
เอิ่มมมมมม
คุณพ่อ คุณแม่ ของว่าที่เจ้าสาว
ช่างหัวทันสมัยเหลือเกินนะคะ
สนับสนุนให้อยู่ก่อนแต่งซะด้วย หุหุ
รอกันอีกนิด