คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ 5 ทวดของทวดได้เลย
ตอนที่ 5 ทวดของทวดได้เลย
เช้ารุ่งขึ้น
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูจากเจียเอ๋อร์แต่ไร้เสียงตอบรับกลับมา ทุกครั้งที่เขาเคาะเรียกมักจะได้เสียงตอบรับกลับมา อาทิเช่น รู้แล้วขอรับ ข้าตื่นแล้ว เว้นแต่วันนี้กลับเงียบผิดปกติจนน่าเป็นห่วง ร่างกำยำของเจียเอ๋อร์เริ่มร้อนรนก่อนจะเคาะเรียกพร้อมเรียกชื่ออีกครั้งเมื่อไม่ได้เสียงตอบรับเช่นเดิมร่างกำยำก็รีบผลักประตูเข้าไป เดินตรงไปที่เตียงของน้องชายตัวเองอย่างเร็ว
“ คร่อกก ”
ทันทีที่ไปถึงก็กลับถอนหายใจกลับมาอย่างโล่งใจ พรางมองคนตัวเล็กที่นอนเผยอปากเล็กน้อยแต่ขาและตัวกลับไปคนละทิศคนละทางไหนจะเสียงลมหายใจนั่นอีก แต่ก็สื่อถึงว่าไม่มีอะไรผิดปกติบางทีเขาอาจจะเก็บเรื่องที่พึ่งจะสนทนากับพ่อหมอมาคิดจนกระโตกกระตากไปเองเสียมากกว่า
“ ปันเอ๋อร์ ฟ้าสางแล้ว ตื่นได้แล้วหน่า ”
เจียเอ๋อร์นั่งลงตรงขอบเตียงก่อนจะเอื้อมมือไปสกิดไหล่บางเบาๆ แต่กลับได้เสียงอื้ออึงตอบมา ชั่งขี้เซาเหลืือเกิน แต่ทำไมถึงเอาขามาไว้ตรงหัวนอนเช่นนี้เล่า!
“ ปันเอ๋อร์ เจ้าจะขี้เซามากเกินไปแล้ว ตื่นได้แล้วว ”
“ อื้ออ ”
คนตัวเล็กใช้มือเรียวปัดป่ายไปมาอย่างรำคาญก่อนจะนอนนิ่งเช่นเดิม จนเจียเอ๋อร์ทนความขี้เซาของคนตัวเล็กไม่ไหวเลยดึงแขนเรียวอีกฝ่ายขึ้นมา
“ ตื่นนนนนน จะไม่กินข้าวเช้าหรืออย่างไร ”
“ หาววว ”
คนตัวเล็กพยุงตัวอันหนักอึ้งลุกขึ้นมานั่งก่อนจะยกมือขึ้นมาป้องปากทันทีที่หาวออกมาพรางขยี้ตาไปมาอย่างเคยชิน จนเจียเอ๋อร์เอ่ยห้ามปรามกลัวเดี๋ยวตาจะแดงเอา
“ กว่าจะตื่นได้ ทำเอาพี่เหนื่อยแต่ฟ้าสางเลยหรือ ”
“ แหะ น้องรู้สึกง่วงมากเลย แถมคั่นเนื้อคั่นตัวด้วย ” แบมแบมเอ่ยบอกอย่างสัตย์จริง พรางบีบนวดไปตามเนื้อตามตัวตัวเอง ไหนจะสีหน้าที่อ่อนแรงเหมือนจะนอนไม่ต็มอิ่มนั่นอีก
“ เจ้าจะไม่สบายหรือเปล่า ไหนดูซิ ” เจียเอ๋อร์เอื้อมมือไปแตะที่หน้าผากมนของคนตัวเล็กก่อนจะพูดออกมา
“ ก็ไม่ร้อนนี่หน่า….นั่นคืออะไรหรือปันเอ๋อร์ ”
เจียเอ๋อร์ที่ร้อนรนทันทีที่คนตัวเล็กบอกว่าตนรู้สึกคั่นเนื้อคั่นตัว จึงรีบวัดอุณหภูมิทันที แต่คนตรงหน้ากลับตัวไม่ร้อนเลยซักนิด ไหนคนตรงหน้าบอกเขาว่ารู้สึกนอนไม่พอ ทั้งๆที่เขาเห็นอีกคนเข้าห้องนอนตั้งแต่เขากลับมา แต่ต้องเก็บความสงสัยเอาไว้ก่อน เพราะเจียเอ๋อร์สังเกตุเห็นดอกไม้แปลกประหลาดที่อยู่บนเตียงของคนตรงหน้าแล้วเอ่ยถามอย่างสงสัย
“ เอ๊ะ…” แบมแบมหันมาทางที่เจียเอ๋อร์ชี้ถาม มีดอกไม้สีขาวดอกเล็กสามดอกที่หัวเตียงของเขา นึกสงสัยว่าดอกไม้พวกนี้มาได้ยังไง ก่อนจะจับขึ้นมาดูใกล้
“ มันคืออะไรหรือ ดอกมันชั่งแปลกประหลาดนัก ”
เจียเอ๋อร์ถามอย่างสงสัยตั้งแต่เกิดยังไม่เคยเห็นดอกไม้รูปร่างเช่นนี้มาก่อน
“ ดอกคัตเตอร์….. ” ทันทีที่แบมแบมหยิบขึ้นมาก็มองดูแล้วสูดดมจนเจียเอ๋อร์ห้ามปรามกลัวว่ามันจะเป็นดอกไม้อันตราย แต่แบมแบมก็ยังสูดดมอยู่อย่างนั้นแล้วพูดออกมาอย่างนิ่งๆจนเจียเอ๋อร์ขมวดคิ้วงุนงง
“ อะไรหรือ คัด คัด อะไรนะปันเอ๋อร์ ”
คนตัวเล็กไม่ได้กล่าวอะไรออกไปคิ้วสวยขมวดเข้าหากันก่อนจะนึกสงสัยว่าดอกคัตเตอร์สามดอกนี้เข้ามาในห้องเขาได้ยังไง ยิ่งรอบจวนของเขาไม่มีดอกพวกนี้อยู่เลยด้วยซ้ำ แต่หากคิดในแง่บวก มันอาจจะลอยตามลมเข้ามาทางหน้าต่างที่เขาเปิดไว้ แต่กลิ่นมันกลับหอมแบบอ่อนโยน รู้สึกปลอดภัยเมื่อสูดดม รู้สึกหลากหลายอย่างไม่น่าเชื่อ พรางคิดถึงความหมายของมัน ‘ ความงามของมันคงอยู่ที่ว่า มันเป็นดอกไม้ที่มีน้ำใจ ตัวเองไม่ได้เด่น ไม่ได้งดงาม แต่ก็ทำให้คนอื่นดูงามขึ้นได้ ความหมายลึกๆหมายถึง แม้คุณจะมองไม่เห็นฉัน แต่ฉันก็จะยังอยู่ข้างๆคุณเสมอ ’
ณ วังต้วน
“ องค์ชาย กระหม่อมว่าพอแค่นี้ก่อนดีกว่านะพ่ะย่ะค่ะ ” ไจ้ฟ่าน องครักษ์ของเจ้าชายอี้เอินพูดด้วยน้ำเสียงกังวล
“ นิ่งๆหน่าไจ้ฟ่าน ” ร่างสูงโปร่งกล่าวตอบแล้วเพ่งสายตาไปที่องครักษ์
“ องค์ชายจะให้กระหม่อมนิ่งได้ยังไงพ่ะย่ะค่ะ หากมันโดนเหมือนคราก่อนละพ่ะย่ะค่ะ ” ไจ้ฟ่านอยากจะตะโกนดังๆ ให้ได้ยินกันไปทั่วลานประลอง
“ ข้าแม่นจะตายไป เจ้าจะกลัวไปไย ”
เจ้าชายอี้เอินยกคันธนูที่เครือบไปด้วยสีหยกมรกต แล้วยกขึ้นมาอยู่ตรงระดับคางก่อนจะก้มลงไปหยิบลูกศรขึ้นมาเสียบใส่ข้างคันธนูและสายธนู ร่างสูงกะระยะและความแรงในการปล่อยสายธนูไม่แรงมากจนเกินไปและไม่น้อยจนเกินไปเช่นกัน พอกะได้แล้วก็เพ่งสายตาไปที่ลูกแอปเปิ้ลลูกสีแดงที่อยู่ข้างบนหัวของไจ้ฟ่าน
“ คราที่แล้ว องค์ชายก็ตรัสเช่นนี้! ” ไจ้ฟ่านตะโกนบอก คราวที่แล้วก็เฉี่ยวแก้มเขาไป องค์ชายก็ตรัสเช่นนี้ตลอด มีกระดานทำไมองค์ชายไม่ใช้! ถึงเขาจะเป็นองครักษ์ที่โดนฝึกมาตั้งแต่เด็กแต่ไม่ได้หมายความว่าเขาอยากจะเป็นเป้านิ่งให้องค์ชายเช่นนี้!
เจ้าชายไม่สนใจเสียงครวญครางขององครักษ์ก่อนจะออกแรงดึงสายธนูที่มีลูกศรเสียบอยู่พอตั้งเป้าหมายชัดเจนก็ปล่อยสายธนู ลูกศรเเหลมก็พุ่งตัวออกไป
ฟิ้วว จึก
ไจ้ฟ่านสดุ้งโหยง ทันทีที่ลูกศรโดนปล่อยออกจากคันธนูมันพุ่งมาทางเขาโดยไม่ได้ตั้งตัว อีกทั้งความเร็วของหัวลูกศรแหลมเล่งเป้าไปที่แอปเปิ้ลสีแดงที่อยู่เหนือหัวของไจ้ฟ่าน มันเสียบลงตรงกลางแอปเปิ้ลพอดีก่อนจะตกลงพื้นข้างหลังของไจ้ฟ่าน ทำให้คนที่เป็นเป้านิ่งยืนตัวแข็งทื่อจนคนในลานอดจะหลุดขำออกมาไม่ได้
“ อะไรกัน เป็นถึงองครักษ์เชียวนะไยยืนแข็งทื่อปานต้นไม้เช่นนั้นด้วยเล่า ”
“ เงียบไปเถอะเจินหรง ” คนที่พึ่งมาอย่างเจินหรงหัวเราะกร๊ากจนไจ้ฟ่านเอ่ยออกไปอย่างตำหนิ
“ ฮ่าๆๆ ก็หน้าเจ้ามันตลก สำรวจตัวดูสิเผื่อเจ้ากลัวจนฉี่ราดเอา ” เจินหรงพูดไปขำไปจนไจ้ฟ่านหมั่นไส้แล้วก้มลงหยิบหินก้อนเล็กโยนไปใส่เจินหรงจนร้องโอ้ยออกมา เจินหรงจ้องเขม็งกลับมา ไจ้ฟ่านกลับทำลอยหน้าลอยตากลับไป
“ ทะเลาะกันเป็นเด็กๆไปได้ ”
เจ้าชายอี้เอินที่เห็นคนสนิททั้งสองคนทะเลาะกันไปมาจนเอื่อมระอาก็เอ่ยห้ามปรามจนเจินหรงที่จ้องเขม็งไจ้ฟ่านอยู่ก็ละสายตามาทางร่างสูงแทน แล้วทำความเคารพโค้งตัวลงตรงหน้าองค์ชาย
“ ถวายพระพรองค์ชาย ”
“ตามสบาย มานี่มีอะไรงั้นหรือท่านแม่ทัพเจินหรง ”
องค์ชายตรัสถามร่างสูงบางของเจินหรง พรางโยนคันธนูให้กับองครักษ์ ไจ้ฟ่านที่ยังยืนหมั่นไส้เจินหรงก็รีบรับคันธนูขององค์ชายก่อนจะโค้งตัวเคารพแล้วเดินเอาไปเก็บ
“ มีสารมาจากเมืองจิ๋นพ่ะย่ะค่ะ ”
เจินหรงจากที่น้ำเสียงเชิงล้อเลือนที่ส่งให้ไจ้ฟ่านเมื่อครู่ก็กลับมาด้วยน้ำเสียงจริงจังจนน่าแปลกใจ สีหน้าของเจินหรงก็ดูกังวลมากขึ้น จนองค์ชายอย่างอี้เอินคิดว่าต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นกับเมืองจิ๋นที่อยู่ในการปกครองของอาณาจักรต้วนเป็นแน่
“ ไปคุยที่ห้องหนังสือ ”
สิ้นสุดเสียงของคนมีอำนาจเจินหรงพยักหน้าตอบก่อนจะเดินตามร่างสูงโปร่งขององค์ชายไปที่ห้องหนังสือของร่างสูง ส่วนไจ้ฟ่านก็ได้รับคำสั่งจากองค์ชายอี้เอินให้ไปลาดตระเวนที่เมืองจิ๋นแล้วหาแหล่งข่าวว่าตอนนี้ในเมืองจิ๋นเกิดอะไรขึ้น แล้วนำมารายงานตนเองในวันรุ่งขึ้นทันทีที่ฟ้าสาง
หมู่บ้าน ซิงเยียน
ณ จวนตระกูลหวัง
“ ……. ”
แบมแบมนิ่งเงียบบนเก้าอี้ไม้ แล้วมองไปที่โต๊ะอาหารที่ตอนนี้มีทั้ง ผัก ผัก ผัก ผลไม้ และก็ผัก…. ให้ตายเถอะ ในโต๊ะอาหารไม่มีเนื้อสัตว์เลยหรือไงกัน
“ เป็นอะไรไปปันเอ๋อร์ ” เจียเอ๋อร์ถามด้วยความเป็นห่วงที่คนตัวเล็กอย่างน้องชายนั่งจ้องอาหารบนโต๊ะนิ่ง
ซูเลี่ยงน้องสาวที่ก้มหน้าก้มตากินข้าวอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมาพี่ชายทั้งสองของนางอย่างงุนงงตามประสาเด็ก
“ นั่นสิเจ้าคะ พี่รองเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ ” ซูเลี่ยงเอียงคอถามอีกคน
“ ป เปล่า ” ใครมันจะกล้าบอกมีหวังได้ความแตกแน่ๆ
เจียเอ๋อร์ที่เห็นน้องทำสีหน้ากลืนไม่ได้คายไม่ออกก็นึกสงสัยแต่ก็พรางคิดว่าน่าจะเป็นเพราะพึ่งฟื้นมาไม่กี่วันเองจะเอาอะไรกับปันปันมาก พรางจะอึดอัดเอา เจียเอ๋อร์เอื้อมมือไปหยิบผลสือหลิว*ลูกแดงฉ่ำแล้วยื่นใส่จานให้แบมแบม แล้วยกยิ้มให้ คนตัวเล็กที่เห็นร่างกำยำส่งผลทับทิมให้ก็รับอย่างไม่ปฏิเสธแล้วยิ้มขอบคุณตอบ
“ นี่ผลสือหลิว* ของโปรดเจ้าเลยนะปันเอ๋อร์ ” เจียเอ๋อร์บอกแล้วเอื้อมมือไปตักผัดผักใส่จานน้องสาวต่อ
แบมแบมมองเจียเอ๋อร์ในใจก็มีคำถามากมายอยากจถามแต่ก็กลัวจะมีพิรุธ ก็ได้แต่กินไปเงียบๆ เจียเอ๋อร์ที่เห็นคนตัวเล็กอ้าปากงับไปงับมาเหมือนจะพูดอะไรซักอย่าง ก็เอ่ยถามออกไป
“ สงสัยอะไรหรือ ”
“ !! ” จะฉลาดเกินไปแล้วนะ ฉลาดกว่าเฮียแจ็คอีกถึงจะหน้าเหมือนกันก็เถอะ
“ เปล่าเสียหน่อย ” คนตัวเล็กรีบตอบปฏิเสธทันทีแต่ตากลมโตกลับล่อกแล่กไปมา ไม่เนียนเอาเสียเลยนะปันอ๋อร์
“ แน่ใจ พี่เปิดโอกาศให้ถามแล้วนะ ”
“ นั่นสิเจ้าคะพี่รอง สายตาท่านล่อกแล่กจนน่าสงสัยนะเจ้าคะ ” น๊านนน ขนาดเด็กแปดขวบยังรู้ว่าเขาล่อกแล่ก สงสัยเขาแสดงไม่เนียน อย่างนี้ต้องขอให้ครูเงาะสอนแล้วละ
“ ขนาดนั้นเลยเหรอ แหะ ” แบมแบมยิ้มแห้งตอบสองพี่น้องพยักหน้าตอบแล้วพูดต่อ “ คือหลังจากที่ข้าจมน้ำครั้งก่อน ความจำบางเรื่องก็เลือนลางจนจำแทบไม่ได้ บางทีก็อาจเกิดผลข้างเคียงจากที่นอนนาน ข้าเลยขอความกรุณาให้ท่านพี่กับซูเลี่ยงช่วยชี้แนะเรื่องบางเรื่องที่ข้าจำไม่ได้น่ะขอรับ ”
ทันทีที่ฟังคนตัวเล็กอธิบายอันยาวเยียดทั้งสองก็ร้องโอดโอ้ยให้กับความขี้เกรงอกเกรงใจของคนตรงหน้า ทำไมเรื่องแค่นี้เขากับซูเลี่ยงจะช่วยชี้แนะให้ไม่ได้
“ ไม่เป็นไรเจ้าค่ะพี่รอง ซูเลี่ยงจะช่วยชี้แนะให้พี่รองเยอะๆเลยเจ้าค่ะ ” ซูเลี่ยงยิ้มกว้างให้จนแบมแบมอดจะยกมือลูบหัวอีกฝ่ายไม่ได้ มีน้องสาวน่ารักก็ดีอย่างนี้สินะ
“ นั่นสิ เรื่องแค่นี้เอง พี่เข้าใจ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน หากไม่เข้าใจอะไรก็ถามพี่ได้เลยไม่ต้องกังวล ” เจียเอ๋อร์พูดพรางเอื้อมมือไปลูบหัวคนตัวเล็กเบาๆ
แบมแบมยิ้มตอบให้ทั้งสองคนแล้วเอ่ยขอบคุณ ความกังวลก็ถูกยกออกจนเกือบหมด แล้วความชั่งพูดชั่งสงสัยก็เข้ามาแทนที
“ ทำไมในโต๊ะไม่มีเนื้อสัตย์เลย หรือบ้านเรากินมังสวิรัติ ” แบมแบมเอ่ยถาม
“ ไม่หรอก นานๆกินที แต่ช่วงนี้เราเข้าช่วงจำศีล ”
“ จำศีล ? ” แบมแบมเงยหน้ามองอย่างงุนงง เจียเอ๋อร์พยักตอบว่าใช่
“ น้องรู้ๆๆๆ ” น้องสาววัยแปดขวบเงยหน้าจากผลไม้ก็รีบยกไม้ยกมือไปมาเมื่อได้ยินคำว่า จำศีล อย่างน่าเอ็นดู ริมฝีปากเล็กน่ารักก็รีบอธิบายให้พี่ชายคนกลางฟังในสิ่งที่นางรู้
ปีศาจหรืออมนุษย์และอสูร จัดอยู่ในเผ่าพันธุ์ตนละเผ่าพันธุ์ มีการแบ่งชนชั้นชัดเจน การกินก็แตกต่างกัน แต่การใช้ชีวิตก็แล้วแต่หัวหน้าเผ่าพันธุ์นั้นๆ
ปีศาจ จัดอยู่ในจำพวกคล้ายคลึงมนุษย์มากที่สุด มีพลัง มีการใช้ชีวิตคล้ายมนุษย์ จนบางทีก็แยกไม่ออกระหว่างมนุษย์กับปีศาจ ปีศาจบางตนก็สามารถกลายร่างได้ตามพันธุกรรม เช่น ครอบครัวมีเผ่าพันธุ์เป็นจิ้งจอก ก็กลายร่างเป็นจิ้งจอกได้เท่านั้นจะไม่สามารถแปลงเป็นสัตว์หรือมนุษย์รูปร่างอื่นได้ ยกเว้นปีศาจที่มีชนชั้นสูง บางตนก็กินเนื้อเป็นหลัก บางตนก็กินมังสวิรัติเป็นหลัก แล้วแต่เผ่าพันธุ์ มีทั้งดี และไม่ดี
อสูร จัดอยู่ในจำพวก ที่มีร่างกายเป็นสัตว์ บางตัวก็มีรูปร่างเหมือนสัตว์ธรรมดา บางตัวก็มีรูปร่างที่น่ากลัวน่าขยะแขยง อาทิเช่น มีหัวเป็นแมว มีแขนขาเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ลำตัวเป็นสุขนัข ฯลฯ พวกมันเกิดขึ้นมาจากความชั่วของพวกมนุษย์ เมื่อไหร่ที่ความต้องการความกลัวและความชั่วครอบงำเขามากเท่าไหร่ พวกมันจะสูบพลังเหล่านั้นมาก็ยิ่งมีพลังมากขึ้นเท่านั้น จะกล่าวว่ามันอยู่ได้ถึงทุกวันนี้ก็เพราะมีความกลัวความชั่วและแรงปรารถนามากที่ช่วยหล่อเลี้ยงมันมาถึงตอนนี้ เมื่อเกิดสิ่งเหล่านั้นขึ้น มันจะสูบกระทั่งวิญญาณ สูบจนร่างกายของมนุษย์ผู้นั้นเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกและตายไปในที่สุด หากพูดถึงพลังของมัน พลังของมันอยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่าพวกปีศาจหรือสัตว์เทพ แต่ถ้ามันสูบพลังได้มากมันก็สามารถตีตนเทียบสัตว์เทพได้เลยทีเดียว
สัตว์เทพ จัดอยู่ในจำพวกที่เทพเจ้าสร้างขึ้นมา จะมีร่างกายเป็นมนุษย์หรือสัตว์ก็ได้ มีพลังที่มากกว่าปีศาจและอสูร แต่ก็ย่อมมีจำกัดเสมอ พลังของปีศาจก็เช่นกัน ส่วนมากเป็นสัตว์ในตำนานที่หายาก อาทิเช่น นกฟีนิกซ์ มังกร เหยี่ยว ฯลฯ
จำศีลที่ว่าของเจียเอ๋อร์คือ ปีศาจส่วนใหญ่ในหมู่บ้านจะทำการจำศีล ไม่ฆ่าสิ่งมีชีวิตใดๆทั้งสิ้น จากที่กินเนื้อก็เปลี่ยนมากินผัก ผลไม้ เป็นเวลา 10 ปี ก่อนถึงวันพระจันทร์เต็มดวงสีเลือด เมื่อถึงวันพระจันทร์เต็มดวงเมื่อไหร่มักเกิดเรื่องล้างเผ่าพันธุ์ จึงมีการจัดพิธีกรรมขอพรจากพระเจ้าเพื่อลบล้างคำทำนายของชายเร่ร่อนเมื่อหลายร้อยปีก่อน ที่ทำนายว่าในทุกๆ50 ปี จะเกิดพระจันทร์เต็มดวงสีเลือดมันจะนำหายนะ และเกิดการล้างเผ่าพันธุ์ขึ้น เมื่อผ่านวันพระจันทร์เต็มดวงสีเลือดไปเมื่อไหร่ก็สามารถใช้ชีวิตปกติได้ แต่ส่วนมากวันพระจันทร์เต็มดวงสีเลือดจะเกิดนานครั้ง บางครั้งครบ50ปี ก็ไม่เกิดขึ้นก็มี บางตนก็เชื่อบางตนก็ไม่เชื่อ แต่ตระกูลหวังส่วนมากกินมังสวิรัติมากกว่าเนื้อสัตว์ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ
“ ห๊๊ะ 50ปี แต่ข้าพึ่งอายุสิบห้าเองนะ ” แบมแบมอ้าปากค้างเมื่อซูเลี่ยงอธิบายยาวเยียดให้ฟัง
“ นั่นอายุในโลกมนุษย์ต่างหาก ” เจียเอ๋อร์บอกพรางกัดผลเหลียนอู้* ซูเลี่ยงพยักขึ้นลงหงึกๆเป็นพยานว่าที่เจียเอ๋อร์พูดเป็นเรื่องจริง
“ ล แล้วตอนนี้ข้าอายุเท่าไหร่ ”
“ ถ้านับอีกสองเดือนก่อนพระจันทร์เต็มดวงสีเลือดมาถึงตอนนี้ก็ประมาณ… ” เจียเอ๋อร์ยกนิ้วขึ้นมานับแต่ก็อดจะชำเลืองมองคนตัวเล็กที่จ้องเขม็งมองที่ตนเองอย่างตั้งใจไม่ได้ ซูเลี่ยงที่เห็นพี่รองตั้งอกตั้งใจฟังก็อดขำคิกคักออกมาไม่ได้
“ ประมาณ….. 249 ปี ได้มั้ง ” เจียเอ๋อร์หยักไหล่ขึ้นเล็กน้อย คนตัวเล็กที่ได้รู้อายุจริงๆของตัวเองก็ถึงกับตกใจจนหงายหลังตกเก้าอี้ลงไป แล้วไปนั่งแหมะที่พื้นแทน เจียเอ๋อร์กับซูเลี่ยงที่ตอนแรกสดุ้งตกใจก็เปลี่ยนมาหัวเราะกร๊ากขำใหญ่ บวกกับสีหน้าซีดเผือดปิดไม่มิดของแบมแบมยิ่งแล้วใหญ่เลย
“ งั้นท่านพี่กับซูเลี่ยงก็….. ” แบมแบมยกนิ้วเรียวขึ้นไปชี้เจียเอ๋อร์สลับกับซูเลี่ยงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างสั่นๆ
“ ข้า 320 ปี แล้วละ ” เจียเอ๋อร์ตอบ
“ น้อง 158 ปี แล้วเจ้าค่ะ ” ซูเลี่ยงยิ้มกว้างตอบ
ทำไมในนิทานที่คุณยายชอบอ่านให้ฟัง บอกว่า เจียเอ๋อร์อายุสิบเก้า ซูเลี่ยงอายุแปดขวบ ส่วนเขาอายุสิบห้าไงละ แล้วเรื่องไอ้พระจันทร์เต็มดวงบ้าบอนี้มาจากไหน หรือว่าคุณยายอ่านข้ามข้อมูลที่สำคัญขนาดนี้ไป….นี่มันต้มตุ๋นกันชัดๆ 249 ปี นี่มันรุ่นทวดของทวดของทวดอีกทีได้เลยนะเนี่ย!!!
Enjoyyyyyyyyyy
รอแก้คำผิด
__________________________________
ผลสือหลิว* คือผลทับทิม
ผลเหลียนอู้* คือผลชมพู่
ปล. น้องแบมลูกกกกกกก ไม่ใช่ว่าคุณยายอ่านข้ามหรอกนะคะ แต่คุณยายอ่านนิทานเรื่องนี้ให้ฟังตั้งแต่เราไม่กี่ขวบเองลูกกก อย่าไปโทษคุณยายยย
ปริศนาต่างๆก็เริ่มปรากฎขึ้นมาเรื่อยๆ ส่วนเจินหรง - จินยองออมม่าเองงงงง
ที่จริงแบมแบมเกิดก่อนเจ้าชายเป็นร้อยๆปีนะคะ แต่แค่น้องไม่รู้ว่าตัวเองอายุเยอะ ตอนคุณยายอ่านให้ฟังหนูแบมๆชอบหลับก่อนตลอด 5555
วันนี้มายาวหน่อยนะคะ อย่าเบื่อกันน้าาา คอมเม้นท์เป็นกำลังใจให้เค้าด้วยน้าา
ความคิดเห็น