คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : อย่ามาเกี้ยวสามีข้า บทที่๘
บทที่ ๘
หลิ่งฮุ่ยเหมยและเป่ยจางจิ้งควบม้าด้วยความเร็วที่ไม่ได้เร็วมากเพื่อสังเกตรอยรถม้าบนพื้นดินที่มาหยุดลงตรงซากรถม้าที่พลิกคว่ำแม้จะทำให้ใจหายแต่ก็วางใจได้ว่าไม่มีใครได้รับบาดเจ็บจากรถม้าที่พลิกคว่ำแน่นอน พอรอยหายตรงซากฮุ่ยเหมยก็ไม่รู้จะทำเช่นไรดี พอนึกได้ว่าตนมีปีศาจนำทางที่สามารถดมกลิ่นได้ซึ่งเขากำลังจะเรียกใช้ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นเหมือนจะอยู่ห่างไกลไม่เท่าไรไหนจะเสียงระเบิดอะไรสักอย่างอีก ทั้งสองคนร่วมถึงเด็กสำนักที่ติดตามมาด้วยอีกสามคนเท่านั้นเพราะม้าวิ่งหายไปเลยพามาได้เพียงเท่านี้
เมื่อมาถึงจุดเกิดเสียงก็รู้ว่ามันคือแห่งกบดานหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่ารังโจร
ฮุ่ยเหมยรู้ดีว่าประมุขของสำนักเพ่ยเก่งแต่จำนวนกองกำลังโจรที่มากเกินไปอาจจะได้รับอันตราย
แต่ภาพที่เขาเห็นเมื่อมาถึงคือเหล่ากองโจรภูเขาลิงแดงพากันนั่งอยู่กับพื้นเว้นชายผิวเข้มผู้ที่ยืนอยู่โดยมีสภาพได้บาดเจ็บแม้จะไม่มากก็ตาม ข้างๆ มีชายคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บน เออ จะเรียกว่าบัลลังก์ก็ย่อยได้ แต่มองแล้วมันควรจะเป็นของหัวหน้าโจรนั่งไม่ได้หรือ
แล้วทำไมฮูหยิน ภรรยาประมุขสำนักเพ่ยถึงนั่งอยู่กันเล่า
แถมกองโจรภูเขาก็พากันนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าด้วย
ฮุ่ยเหมยหันไปสบตากับจางจิ้งที่ขี่ม้ามายืนอยู่ข้างๆ ด้วยความรู้สึกเดียวกัน แม้จะไม่เข้าใจแต่เดาได้เลยว่า ฮูหยินเพ่ยหรือต้าต่านได้กำจัดกองโจรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่เหนืออื่นใดก็คือซาหรง ชายหนุ่มหัวหน้าโจรภูเขาลิงแดงยืนอยู่ข้างๆ ต้าต่านที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ของเขาอย่างน่าเกรงขาม เขาไม่คิดเลยว่าโจรที่ฝึกฝนแทบทุกวันจะพ่ายแพ้ให้กับเก้าอี้เพียงแค่สามตัวเท่านั้นแล้วเหนืออื่นใดเลยก็คือต้าต่านไม่ได้เอาเก้าอี้ทั้งสามตัวไล่ฟาดพวกเขาแต่ไล่ฟาดชายชุดขาวที่มีใบหน้างดงามราวกับเทพธิดาที่ตอนนี้กำลังนั่งอยู่เก้าอี้ที่ยังเหลือชีวิตรอดอยู่ไม่ห่างไกลจากที่เขายืน
ไล่ฟาดกันยังไงมันถึงมาลงที่พวกเขาได้กัน
แล้วคนที่โดนไล่ฟาดนั้นเสื้อผ้ายังขาวสะอาดไม่มีแม้กระทั่งรอยขีดข่วน
ซาหรงไม่คิดว่าจุดจบโจรภูเขาลิงแดงของเขามาถึงรวดเร็วขนาดนี้แถมมีใครไม่รู้ขี่ม้ามาอีกมองจากเสื้อผ้าที่คล้ายๆ กับคนงามที่สวมอยู่คงจะเป็นคนสำนักเพ่ยเป็นแน่ ซาหรงรู้สึกหมดแรง จะสู้ต่อก็คงไม่ไหวเพราะในเมื่ออีกคนคือประมุขสำนักเพ่ยที่สามารถเอาชนะชายผู้ไม่เคยแพ้ใครอย่างต้าต่านที่กำลังนั่งอยู่
เจอทีเดียวทั้งสองคนก็เหมือนยืนอยู่ตรงหน้าผาแล้ว
ดวงตาเรียวคมของต้าต่านมองไปยังด้านหน้าเห็นร่างรองประมุขสำนักเพ่ยที่มาพร้อมกับจางจิ้งก็ถอดหายใจหลังจากที่ไล่ฟาดคนคนหนึ่งที่ยังนั่งปลอดภัย พอจะหันไปมองร่างงามก็จะต้องผ่านร่างชายที่ชื่อว่าซาหรงหัวหน้าโจรภูเขาลิงแดงที่กำลังทำสีหน้าหมดอาลัยในชีวิตคงจะรู้ชะตากรรมของตัวเอง แต่เอาเถอะ เขาไม่ได้ใส่ใจอยู่แล้วพอเห็นฮุ่ยเหมยที่เดินไปหาจวินหงโดยผ่านโจรที่นั่งตรงหน้าที่เขาสั่งให้นั่งลงเว้นเพียงแค่หัวหน้าที่ไม่มีทีท่าจะยอมนั่งนับว่ามีศักดิ์ศรีในตัว ยอมตายดีกว่านั่งลงตามคำสั่งของเขา แน่นอนว่าต้าต่านไม่ใช่พวกเอะอะจะให้ใครมาคุกเข่าต่อหน้า เขาเลยไม่ได้บังคับอะไรอยากยืนก็ยืนแต่เขาเหนื่อยเลยขอนั่งที่บัลลังก์โจรแทนเพราะไม่มีเก้าอี้พอ ถึงจะแปลกใจว่าเขาไล่ฟาดคนงามที่มีฐานะเป็นสามีของตนแต่ทำไมยิ่งไล่ฟาดมันถึงไปลงกับพวกโจรได้ก็ไม่รู้
ถึงเขาคิดว่าหลังจากไล่ฟาดคนงามได้แล้วถึงจะไล่ฟาดกองโจรต่อก็เถอะ
โดยระหว่างนั้นเขาได้สังเกตเห็นอะไรที่ไม่สมควรเห็นในรังโจรแบบนี้ ทั้งผ้าที่ทอเอง ผักผลไม้ที่ปลูกเอง ไหนจะหนังสืออีกกับกระดาษที่คัดตัวอักษรอีก ทั้ง ๆ ที่มีความสามารถและความรู้มาเป็นโจรทำไมกัน ต้าต่านลุกจากบัลลังก์เฉยๆ ก็เล่นเอาสะเทือนไปทั่ว พวกโจรภูเขาที่นั่งก้มหน้ากันอยู่แล้วก็ก้มหน้าหนักกว่าเดิม ที่แบบนี้ละทำเป็นกลัวเขาก่อนที่ยังลากเขาอยู่เลย เมื่อต้าต่านลุกขึ้นยืนชายงามนามว่าจวินหงที่บุญวาสนาสูงไม่โดนเก้าอี้สัมผัสสักเสี้ยวหนึ่งเดินมาหาโดยมีจางจิ้ง รองประมุขสำนักฮุ่ยเหมยเดินมาด้วยและเด็กฝึกสำนักเพ่ยที่เดินเข้ามารวบตัวซาหรงเอาไว้ไม่ให้ทำอะไรไม่เข้าท่า
"แล้วเจ้าทำอย่างไรต่อเล่าภรรยาของข้า"
อุตส่าห์สงบสติอารมณ์ได้ยังจะโดนปากสวยของอีกฝ่ายพ่นคำว่าภรรยาออกมาอีก จะเอาเก้าอี้ไล่ฟาดต่อเขารู้ก็สึกเหนื่อยขึ้นมาแล้ว ต้องมีสักวันที่ชายงามนามว่าจวินหงจะต้องโดนเก้าอี้ฟาดสักที
"จะให้ทำอะไรได้อีก ต่อให้พวกเราส่งคนไปรายงานให้กับทางการพวกนี้ก็คงไม่อยู่ให้จับง่ายๆ แล้วอีกอย่างถ้าเราส่งรายงานไปให้กับทางการจริงๆ ก็จะโดนกล่าวหาว่าหักหน้าทหารวังหลวงอีก"
"แล้วจะปล่อยโจรพวกนี้ทำเรื่องไม่ดีอีกรึ" อันนี้เป็นเสียงของจางจิ้งที่เอ่ยถามแต่ยังไม่ทันที่ต้าต่านจะได้เอ่ยตอบจางจิ้งก็หันไปคุยกับจวินหงเพื่อเสนอความคิดเห็น แล้วจะถามทำไม
"อาจารย์ให้ข้าไปรายงานทหารใกล้ๆ นี่ให้ดีรึไม่ แม้สำนักข้าจะไม่ได้มีอำนาจอะไรมากนักแต่ก็พอจะทำให้เชื่อถือได้บ้าง"
ต้าต่านอยากจะอ้าปากด่า เมื่อครู่ไม่ได้ยินที่เขาพูดเลยรึไงว่าทำเช่นนั้นเท่ากับหักหน้าทหารวังหลวง เจ้าหมาบ้านี่ แต่ดีที่จวินหงที่ความคิดเช่นเดียวกับเขา
"อย่าเลยคุณชายจางจิ้ง อย่างที่ฮูหยินของข้าบอกว่าการทำเช่นนั้นมันคือการหักหน้าทหารวังหลวง เดี๋ยวข้าจะสั่งสอนท่านว่าอะไรคือสิ่งที่เราไม่ควรยื่นมือเข้าไปละกัน"
สิ้นเสียงของจวินหง ต้าต่านก็อดแขวะคุณชายตระกูลเป่ยไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่เติบโตมาในสำนักเฉกเช่นเดียวกันกับเขาแต่เรื่องพวกนี้กลับไม่รู้เลย มิน่าสำนักถึงจะล่มแลไม่ล่มแล
"เติบโตมาได้ยังไงกับกฎง่ายๆ ยังไม่รู้เรี่อง หวังว่าจะพาสำนักเป่ยไปรอดนะคุณชายจางจิ้ง"
ต้าต่านพูดจบก็สะบัดตัวออกไปทันทีเพราะไม่อยากอยู่ต่อ จางจิ้งได้ยินแบบนั้นก็กัดฟันอยากจะอ้าปากเพื่อปะทะฝีปากแต่โดนจวินหงยกยิ้มให้ แวบแรกคือเขาหลงใหลในรอยยิ้มงดงามเช่นนั้น ต่อจากนั้นเขาก็จำคำสั่งสอนเรื่องรักษามารยาทขึ้นมาได้ทันทีว่าควรเก็บอารมณ์ให้ได้มากที่สุดเพราะเขาจะเป็นประมุขสำนักคนต่อไป จางจิ้งสาบานเลยอย่าให้เขาได้มีโอกาสเอาคืนก็แล้วกัน
คอยดูเถอะต้าต่าน!
ฮุ่ยเหมยมองเหล่าโจรภูเขาลิงแดงที่ถูกกำราบอย่างราบคาบแน่นอนว่าถ้าพวกเขาได้กลับไปแล้วพวกนี้ก็ต้องเตรียมข้าวของหนีแล้วปล้นต่อจะปล่อยละเลยจริงๆ หรือ
"ท่านประมุขจะทำอย่างไรกับโจรภูเขาลิงแดงพวกนี้ขอรับ"
จวินหงมองจางจิ้งที่ทำตามที่เขาสั่งสอนได้ยินรองประมุขสำนักถามว่าเขาจะทำเช่นไรกับโจรพวกนี้ ร่างงามของประมุขสำนักเพ่ยเดินมายืนตรงหน้าซาหรงหัวหน้ากลุ่มโจรที่ตอนนี้แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายคือใครแต่พอร่างงามเดินเข้ามาใกล้หัวใจของโจรหนุ่มที่เต้นระรัวยิ่งกลิ่นหอมของอีกฝ่ายใกล้จมูกมากขึ้นอีกเหมือนหลอมละลายหัวใจของเขาเลยทีเดียว
"ทำเหมือนที่เราเคยทำนั่นแหละฮุ่ยเหมย"
พอได้ยินคำตอบเช่นนั้นรองประมุขสำนักก็ยกยิ้มบางๆ แล้วเอ่ยตอบเพื่อรับทราบ
"ขอรับท่านประมุข"
.
.
สุดท้ายก็สามารถกลับสำนักเพ่ยได้อย่างปลอดภัยแม้จะเหนื่อยล้าและเสียเวลากับกองโจรภูเขาลิงแดง ตอนที่ต้าต่านเดินออกมารอไม่รู้ว่าจวินหงทำอะไรกับกองโจรโดยให้เด็กสำนักอีกสามคนอยู่ที่นั่นแม้เขาจะไม่ได้ดูถูกคนสำนักเพ่ยแต่แค่สามคนจะไม่เกิดอันตรายกับพวกนั้นหรือ ก่อนจะเดินมาถึงสำนักเพ่ยตอนแรกที่ต้าต่านได้ยินว่าเป็นเพียงสำนักเล็กๆ เขาไม่ได้คิดอะไรมากนักคงจะดูธรรมดาๆ แต่พอเห็นกับตาตัวเองแล้วเป็นสำนักที่ดูร่มรื่นและไม่ได้เล็กเหมือนที่เขาคิดแต่อย่างใดเลย แถมยังเน้นสีขาวเขียวกลมกลืนไปกับธรรมชาติอยู่ไม่น้อย ทั้ง ๆ ที่อยู่ตีนเขา แถมด้านข้างของสำนักที่ไกลออกไปก็วิวน้ำตกอีกด้วย
นับได้ว่าเป็นสำนักที่ไม่เลวเลยทีเดียว
ข้าวของต่างๆ ให้เหล่าบ่าวและเด็กสำนักยกข้าวของไปไว้โดยจวินหงได้พาเขาไปยังห้องนอนหรือห้องส่วนตัวที่เป็นห้องสำหรับเขาและของอีกฝ่ายที่ถูกตกแต่งอย่างเรียบ ๆ ไม่ได้โดดเด่นอะไรมากนักมันดูโล่งสบายไม่มีของให้รกหูรกตา ว่าแต่เขายังต้องนอนกับจวินหงรึ
"นี่ข้าต้องนอนกับเจ้ารึไง"
ประมุขคนงามที่กำลังสั่งให้เอาของไปไว้ตรงไหนได้ยินเสียงต้าต่านที่เอ่ยถามเขาอย่างประหลาดใจและดูเหมือนจะไม่ชอบใจที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้นด้วย
"ข้ากับเจ้าเป็นสามีภรรยาก็ต้องนอนห้องเดียวกันสิ"
"หึ เรื่องอะไรที่ข้าจะต้องนอนห้องเดียวกับเจ้าด้วย จัดห้องแยกให้ข้าใหม่เดี๋ยวนี้"
จวินหงได้ยินก็พยักหน้าเหมือนจะรับรู้ทำไมต้าต่านรู้สึกว่าอีกฝ่ายเหมือนแค่รับฟังให้มันผ่านๆ ไป
"ได้ยินที่ข้าพูดรึเปล่า ว่าจัดห้องให้ข้าใหม่"
"ได้ยินสิที่รัก แต่ข้าไม่ทำ"
"นี่เจ้า!" เสียงตวาดของต้าต่านนั้นดังพอที่ทำให้บ่าวในห้องที่กำลังจัดของเกือบทำของหล่นมือด้วยความตกใจเพราะความไม่คุ้นชิน พวกเขาอยู่กับสำนักเพ่ยที่สงบไม่มีเสียงดังเอะอะอะไรขนาดประมุขสำนักยังไม่เคยขึ้นเสียงกับพวกเขาถ้าจะดุก็ยังใช้น้ำเสียงกดต่ำเล็กน้อยเท่านั้น เจอเสียงดังแบบนี้ก็ต้องตกใจเป็นธรรมดา จวินหงมองเหล่าบ่าวไพร่ในห้องที่ขืนอยู่ต่อมีหวังอกสั่นขวัญกระเจิงเป็นแน่ เลยให้พากันออกไปข้างนอกก่อนไม่งั้นของที่ให้เก็บและแต่งตกห้องจะเสียหายเอา
"ที่รัก เจ้าอย่าเสียงดังสิ เหล่าบ่าวไพร่พากันตกใจหมด"
"แล้วใครให้เจ้ากวนประสาทข้าละ ออกคำสั่งให้คนจัดการห้องใหม่ข้าได้แล้ว"
"อย่างที่บอกไปว่าไม่"
"นี่เจ้าจะอะไรนักหนากับข้า"
"แล้วเจ้าจะกลัวอะไรข้านักหนาละ"
ต้าต่านอ้าปากจะเถียงแต่พอได้ยินจวินหงพูดมาว่าเขากลัวอีกฝ่ายก็ชะงักก่อนที่เขาจะกอดอกพร้อมกับความรู้สึกไม่พอใจกับคำพูดที่เหมือนจะดูถูกเขา เสียงเข้มเอ่ยพูดพร้อมกับหรี่ตามองใบหน้างาม
"ข้ารึกลัวเจ้า"
"ใช่" จวินหงพูดพร้อมกับขยับเข้าใกล้ชายหน้าหล่อที่เป็นภรรยาของตนที่กำลังยืนกอดอกด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจจนขยับไปยืนอยู่ใกล้กันมากกว่าเดิม ดวงตาสวยเป็นประกายสบเข้ากับดวงตาเรียวคมที่ฉายแววจะกินเลือดกินเนื้อเขา
"ถ้าเจ้าไม่กลัวข้า ... แล้วจะแยกห้องนอนกับข้าทำไม"
"ข้าแค่ไม่อยากนอนกับเจ้าเท่านั้นเอง"
"ยอมรับเถอะที่รักว่าเจ้ากลัวว่าข้าจะทำอะไรเจ้ามากกว่า"
ต้าต่านเม้มปากเมื่อได้ยินคำพูดที่จี้ใจเขาเพราะมันคือความจริง ในชีวิตของต้าต่านไม่เคยมากังวลหรือระแวงผู้ใดมาก่อน แล้วความกลัวที่จะโดนใครกระทำโดยไม่รู้ตัวก็ไม่เคยมี เขายอมรับเลยว่ามันเกิดขึ้นหลังจากที่เขาได้แต่งงานกับชายผู้นี้ มันดูแปลกแต่มันคือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นแล้ว
ใช่ เขายอมรับว่าเขากลัวและระแวงชายใบหน้างดงามที่ดูขาวสะอาดนามว่าจวินหง
เขาสามารถยกเหตุผลที่ทำให้เขาไม่สามารถไว้วางใจชายผู้นี้ได้ คือตอนเขารู้ว่าจวินหงสู้กับเขาด้วยวิธีสกปรกที่มารู้หลังจากแต่งงานกันแล้วในคืนเข้าหอและในคืนนั้นอีกฝ่ายก็เล่นลิ้นให้คำสาบานที่ก้ำกึ่งจนไว้วางใจในคำพูดไม่ได้เลย แล้วยิ่งคืนที่เขาควรนอนกับเจียนเจี๋ยกลับกลายเป็นว่าเขามานอนกับจวินหงแทน แล้วมันยิ่งตอกย้ำได้เลยว่าชายผู้นี้ไม่ธรรมดาก็ตอนที่เขาไล่ฟาดด้วยเก้าอี้แต่สามารถหลบเขาได้โดยอาศัยกองกำลังโจรอีก ชายผู้นี้คือใครแล้วมีจุดประสงค์อะไรถึงแต่งงานกับเขา
"ก็ได้ ข้าจะนอนกับเจ้า เพื่อพิสูจน์ว่าข้าไม่ได้กลัวเจ้าเลยสักนิด แล้วจำคำพูดข้าไว้ละจวินหง สักวันข้าจะหย่ากับเจ้าให้ได้"
ต้าต่านพูดจบเดินออกจากห้องไปโดยไม่หันหลังกลับมาคนงามที่มองตามด้วยแววตาและรอยยิ้มที่ดูมีความสุขจากการเอาชนะภรรยาตนได้สำเร็จ
"เจ้าไม่มีวันได้หย่ากับข้าหรอกนะ ต้าต่านที่รัก"
....................
ทางสำนักซุย
เหลียนเฟิงเหอและเหลียนเฟิงหู่ยืนมองร่างพี่ใหญ่ของพวกเขาที่เอาแต่ฝึกกระบี่หลังจากกลับมาจากงานแต่งงานที่สำนักเถียน ว่างเมื่อไรก็หยิบกระบี่มาฝึกด้วยตนเองไม่ก็ฝีกกับเด็กในสำนัก ถ้าหากเด็กในสำนักไม่ว่างก็ต้องเรียกพวกเขามาแทนเพราะถ้าว่างคงจะคิดถึงเรื่องจวินหงสินะ
"น้องสามเจ้ามีงานต้องทำ เจ้ากลับไปทำเถอะเดี๋ยวข้าอยู่กับพี่ใหญ่เอง"
เหลียนเฟิงหู่หันมามองพี่รองอย่างเหลียนเฟิงเหอที่เอ่ยปากให้เขาไปทำงานต่อให้เสร็จซึ่งเขาเองก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่างานของเขาเยอะมากพอสมควรแถมยังมีอะไรหลายอย่างที่เขาต้องเรียนรู้และศึกษาอีกเยอะ เหลียนเฟิงหู่ไม่อาจจะปฏิเสธน้ำใจของพี่รองได้เลยขอลาไปทำงานของตน ปล่อยให้พี่รองอยู่กับพี่ใหญ่ที่กำลังร่ายกระบี่ในกระบวนท่าที่เจ้าตัวเพิ่งจะคิดขึ้นมาใหม่มันที่ทั้งดุดันและดุร้ายราวกับว่าพร้อมคำรามขย้ำเเหยื่อทุกเมื่อ พอถามชื่อกระบวนท่าว่าชื่ออะไรก็รู้เลยว่าได้แรงบันดาลมาจากอะไร ชื่อของมันก็คือ
กระบวนท่าชิงผู้เป็นดวงใจ
แล้วไม่ต้องถามว่ากระบวนท่านี่จะเอาไปใช้กับใคร เหลียนเฟิงเหอมองพี่ใหญ่ที่ตอนนี้เหมือนจะถึงขีดจำกัดของร่างกายเมื่อสังเกตบริเวณหน้าอกที่หอบจากความเหนื่อย ใบหน้าหล่อคมของพี่ใหญ่หันมาเขาแล้วไม่เห็นน้องเล็กก่อนที่จะเดินมาหา
"เหลียนเฟิงหู่ไปไหนแล้วละ"
"น้องเล็กมีงานต้องทำนะพี่ใหญ่"
"งั้นรึ ข้านึกว่างานน้องจัดการหมดแล้วเสียอีก"
เหลียนเฟิงเหอยื่นผ้าเพื่อให้พี่ใหญ่ได้ซับเหงื่อแล้วทำท่าจะไปฝึกกระบวนท่าอีกเห็นแบบนี้คงไม่ดีต่อร่างกายเป็นแน่
"พี่ใหญ่พอเถอะ ร่างกายควรพักบ้าง"
ดวงตาคมมองน้องรองที่ห้ามเขาไม่ให้ไปฝึกกระบวนท่าอีก ซึ่งเขารู้ว่าเขาถึงขีดจำกัดของร่างกายแล้วแต่พอหยุดนิ่งเขาก็หวนคิดถึงงานแต่งงานนั้นทุกที มันทำให้เขาหงุดหงิดและเจ็บที่อก อย่างน้อยเวลาฝึกกระบวนท่ามันทำให้เขาหลงลืมมันไปบ้าง
"ทุกครั้งที่ข้าพักมักจะคิดถึงงานแต่งงานและชายที่ข้ารักที่เดินเข้าหอไปกับชายที่เกลียดที่สุด อย่างน้อยการฝึกกระบวนท่ามันทำให้ข้าหลงลืมไปบ้างแม้จะไม่นานก็เถอะ"
"พี่ใหญ่ข้ารู้ใจท่านเจ็บแต่ฝึกแบบนี้มีร่างกายอาจจะโทรมเอาได้ เอางี้ไหมพี่ใหญ่ ข้ามีงานหนึ่งที่ต้องออกเดินทาง ข้ามอบให้ท่านไปทำแทน ได้ออกเดินทางบ้างแม้จะไม่ไกลมากแต่ให้พี่ใหญ่ได้เปิดหูเปิดตาดีกว่าขังตัวเองไว้ในสำนัก"
เหลียนเฟิงอี๋ได้ยินข้อเสนอของน้องรองเขาก็รู้สึกเห็นด้วย อย่างน้อยได้ออกไปเปิดหูเปิดตาบ้างก็คงดี
"แล้วข้าจะต้องออกเดินทางไปที่ใดกัน"
"ไปเยี่ยมท่านประมุขสำนักตงขอรับพี่ใหญ่"
...............................
คนจากสำนักตงงั้นรึ
กลับมาถึงสำนักเพ่ยได้ไม่นานก็มีใครไม่รู้มาหาถึงหน้าประตูแล้ว ตอนนี้กำลังเข้าสู่ยามเซิน (15.00 - 16.59) เหล่านกกำลังบินกลับรัง มีร่างชายผู้หนึ่งกับราวชายหนุ่มอีกห้าคนพร้อมกับรถที่ขนของมาจำนวนมาก แม้ว่าต้าต่านจะไม่ค่อยได้ศึกษาเรื่องสำนักแต่ละพื้นที่หรือสำนักที่ทำพันธมิตรกับยังไม่ทำพันธมิตรกับสำนีกเถียน แต่เขาก็พอจะรู้ว่าใครอยู่สำนักไหนจากการที่โดนท้าประลองฝีมือ ชายตรงหน้าเขานั้นแม้จะไม่เคยปะทะกระบี่และดาบมาก่อน เขามองจากเอกสักษณ์ที่สวมเสื้อที่มีเกาะเหล็กที่ไหล่ก็เดาได้ว่ามาจากสำนักอะไรแล้วไหนจะข้าวของที่ขนมาอีก
ตงต๋าจินเป่า ประมุขสำนักตงนั้นเอง
เป็นสำนักที่ครองตำแหน่งสำนักต่างๆ อยากทำพันธมิตรด้วยทั้งนั้นร่วมถึงสำนักเถียนด้วยเช่นกัน เหตุใดถึงถูกหลายสำนักหมายตาเอาไว้ วรยุทธ์สูงงั้นรึ หรือฝีมือเพลงดาบและกระบี่ไร้เทียมทาน แน่นอนว่าไม่ใช่ทั้งนั้นสิ่งที่ทำให้สำนักตงมีแต่คนอยากทำสัญญาพันธมิตรด้วยเพราะเป็นสำนักที่ฝีมือด้านตีอาวุธและชุดเกาะ สำนักตงเป็นสำนักเล็กมาก รับเด็กเข้าสำนักปีหนึ่งสามคนได้แม้จะเป็นสำนักที่ตีอาวุธแต่ฝีมือต่อสู้ก็ไม่ใช่จะดูถูกได้ ตอนที่มีเด็กสำนักคนหนึ่งมาประลองฝีมือกับเขาก็เล่นเอาแขนสั่นเหมือนกัน เพราะพลังแขนคนสำนักตงไม่ธรรมดาเลยทีเดียว นี่คือตงต๋าจินเป่างั้นรึ ต้าต่านเพิ่งจะเคยเห็นหน้าครั้งแรกนี่แหละ เป็นชายวัยที่เทียบเคียงกับพ่อของเขาที่ร่างสูงเท่ากับซาหรงโจรภูเขาเลย ผิวเข้มเหมือนกันแต่ไม่เท่ากับซาหรง ใบหน้าดุดันหางคิ้วยกสูงใบหน้าแลดูจริงจังตลอดเวลา แต่ก็เป็นชายที่หน้าตาดีเลยทีเดียว
เห็นว่าลูกชายคนเดียวเพิ่งจะอายุห้าปี
ส่วนภรรยาของต๋าจินเป่าตายไปเมื่อสองปีที่แล้วท่านพ่อของเขายังไปร่วมงานศพอยู่เลย
ตอนแรกเขาไม่รู้หรอกว่าจวินหงไปทำยังไงถึงทำให้ต๋าจินเป่ามาหาได้ถึงสำนักเพ่ยแถมยังขนอาวุธมาให้อีกด้วย ปกติแล้วคนสำนักตงจะไม่ทำแบบนี้ให้กับสำนักไหนเลยแล้วยิ่งไม่ต้องพูดสำนักของเขาถ้าจะต้องการให้สำนักตงทำอาวุธให้ต้องให้เด็กสำนักไปขนอาวุธกลับมาเองทุกครั้งและพอเขาได้ยินคำพูดของต๋าจินเป่าที่พูดกับคนงามแล้วก็พอจะเข้าใจว่าทำไม
"อาวุธพวกนี้ข้าทำให้เจ้าโดยไม่คิดเงินถือซะว่าเป็นของขวัญแต่งงานของเจ้าจวินหงกับฮูหยินก็แล้วกัน"
คำพูดที่ฟังถ้าคนอื่นที่ฟังผ่านๆ ก็เหมือนบทสนทนาทั่วไปแต่นี่ต้าต่านเขาเจอคนมาเยอะอ่านคนมาก็เยอะทำไมเขาจะดูชายอย่างต๋าจินเป่าไม่ออก ไม่ต่างอะไรกับเหลียนเฟิงอี๋เลย ยิ่งสายตาของอีกฝ่ายมองมาที่เขาเพียงแวบเดียวตอนที่เอ่ยมอบอาวุธที่ขนมาเยอะให้เป็นของขวัญแต่งงานนั้น ไม่อยากมองก็ไม่ต้องมอง เฮอะ ต้าตานไม่เข้าใจว่าจวินหงไปวางยาเส่นห์อะไรให้คนพวกนี้กัน แล้วยิ่งไปกว่านั้นไม่มีใครเรียกชื่ออีกฝ่ายตรงๆ โดยที่มีตำแหน่งประมุขสำนักค้ำบ่าหรอกนะ นี่เรียกจวินหงเต็มๆ เลย
"จะดีหรือท่านประมุขตง"
"อย่างน้อยเป็นการขอโทษที่ข้าไม่ได้ไปร่วมงานแต่งของเจ้า"
เขาอยากจะพูดออกไปเหลือเกินว่าท่านแม่ของเขาส่งจดหมายเรียนเชิญด้วยซ้ำแต่อีกฝ่ายก็ไม่มาเอง ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เป็นสำนักพันธมิตรกันด้วยซ้ำ แต่เอาเถอะวันนั้นคนที่มาก็เยอะมากแถมมีแต่คนที่เขาเคยซัดลงไปนอนกับพื้นมาแล้วทั้งนั้น
"โอ้ นั้นท่านประมุขสำนักตงต๋าจินเป่า ใช่หรือไม่! "
เสียงหนึ่งดังขึ้นจนขัดจังหวะต้าต่านที่กำลังคิดอยู่ถึงเรื่องที่ต๋าจินเป่าไม่ยอมไปงานแต่งงานของเขา เสียงนั้นมาพร้อมกับเจ้าของร่างนามว่าเป่ยจางจิ้ง ที่แท้ก็รู้จักกันมาก่อนหน้านี้แล้วงั้นรึ ก็ไม่น่าแปลกเพราะดูจากอาวุธกรงเล็บของจางจิ้ง สำนักตงคงสร้างให้สินะ
"คุณชายจางจิ้งบุตรชายคนโตจากสำนักเป่ยไม่ใช่รึทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้กัน"
ต๋าจินเป่าจำเด็กหนุ่มคนนี้ได้เพราะประมุขสำนักเป่ยขอให้เขาออกแบบอาวุธที่เข้ากับบุตรชายคนโตให้ จางจิ้งยกยิ้มเพราะไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดีเพราะเรื่องที่เขาเป็นลูกศิษย์กับจวินหงมันยากจะอธิบายได้มันไปเกี่ยวโยงกับสัญญาพันธมิตรทางอ้อมด้วยแล้วไหนจะเหตุผลว่าทำไมเขาถึงมาเป็นลูกศิษย์อีก และเพราะผู้ใหญ่ถามก็ไม่ควรละช่องเว้นตอบนานเกินไป จวินหงเห็นดังนั้นเลยเอ่ยตอบแทน
"ประมุขสำนักเป่ยฝากฝังให้ข้าอบรมและฝึกฝนคุณชายจางจิ้งเพื่อเป็นประมุขที่ดีน่ะท่านประมุขสำนักตง"
จวินหงเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลทำเอาต๋าจินเป่าไม่ได้รู้สึกฟังแล้วระคายเคืองแต่อย่างใดเพราะเขาเคยมาเจรจาการทำสัญญาพันธมิตรกับจวินหงแต่โดนอีกฝ่ายปฏิเสธ ดันกลับทำสัญญาพันธมิตรทางอ้อมกับทางสำนักเป่ย ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะไม่พอใจ แต่พอต๋าจินเป่าได้เห็นใบหน้างามที่เขาเห็นตอนแรกพบก็ตราตรึงใจ ถึงกลับไปฝันว่าอีกฝ่ายเป็นภรรยาของตนมาแล้ว เขาเดินหน้าเกี้ยวอีกฝ่ายทุกครั้งที่มีโอกาส ส่งของมาให้ ว่างเมื่อไรก็แวะเวียนมาหา ในวันที่เขาได้รับข่าวก่อนที่จดหมายทางสำนักเถียนที่ส่งมาเชิญไปงานแต่งงาน
มือของเขาสั่นจนไม่สามารถยกค้อนตีเหล็กได้เลย
พอได้เห็นชายที่ได้แต่งงานกับจวินหง ที่ตนได้ยินถึงความเก่งกาจไม่เคยแพ้ผู้ใด ต๋าจินเป่าก็รู้สึกขุ่นเคืองในใจและเจ็บเหมือนมีกระบี่ที่คมมาเสียบกลางอกของเขา
"งั้นรึ ที่แท้คุณชายจางจิ้งก็มาเป็นลูกศิษย์ของเจ้า"
"ใช่.... จริงสิ ข้าลืมแนะนำฮูหยินของข้าเลย นี่คือต้าต่าน ท่านประมุขตงคงรู้จักดีแล้ว"
ต้าต่านถอดหายใจเบาๆ ที่อยู่ ๆ จวินหงก็แนะนำเขาให้รู้จักหรือจริงๆ แล้วอีกฝ่ายจงใจจะเน้นว่าเขาคือภรรยากันแน่ ถึงจะไม่ชอบใจแต่ก็ต้องทำความเคารพประมุขตงอยู่ดีเพราะอีกฝ่ายอายุมากกว่าและอย่างน้อยอีกฝ่ายก็ดูเป็นผู้ใหญ่รับความเคารพผู้น้อยจากเขาโดยการกล่าวยินดีที่รู้จัก เมื่อทำความเคารพเรียบร้อยแล้วจวินหงก็สั่งให้จางจิ้งไปตามฮุ่ยเหมยที่ไปจัดการเรื่องที่พักให้กับประมุขตงและคนของสำนักให้นำรายการมาตรวจอาวุธมีอะไรขาดเหลือบ้างจะได้ไม่เป็นการโกงแม้อีกฝ่ายจะบอกเป็นของขวัญแต่งงานก็เถอะ
"จวินหงข้าจะพาเจ้าเดินตรวจสอบดีหรือไม่"
"ไม่เป็นไรท่านประมุขตง ท่านมาเหนื่อยๆ เรื่องพวกนี้ข้าเดินดูครู่เดียวเท่านั้นที่เหลือข้าคงให้ฮุ่ยเหมยรองประมุขของข้าตรวจดู"
ต๋าจินเป่ายกยิ้มแล้วปล่อยให้คนงามไปตรวจดูอาวุธที่เขาทำให้อีกฝ่ายเป็นพิเศษ คนงามที่เขาหมายตาหมายใจเอาไว้ว่าสักวันจะให้แม่ของลูกตนให้ได้แต่ตอนนี้เป็นสามีของคนหน้าหล่อที่อยู่ข้างๆ เขานามว่าต้าต่าน โดยมีแค่ความเงียบเท่านั้นที่อยู่กับทั้งสอง เพราะต้าต่านเองก็ไม่อยากเปิดปากปะทะกับคนอายุคราวพ่อเท่าไรแถมอีกฝ่ายยังสร้างอาวุธให้กับสำนักเขาอยู่ด้วย แต่พอหันไปมองต๋าจินเป่าที่ยืนมองจวินหงไม่วางตาแล้วยังมองด้วยแววตาที่ทำเอาเขาไม่ต้องเดาให้ยากอีกต่อไป
จวินหงชาติที่แล้วทำบุญด้วยน้ำยาเสน่ห์หรืออย่างไร ถึงมีแต่คนมาสนใจ มันก็เลยอดไม่ได้ที่ต้าต่านจะเอ่ยพูดอะไรสักอย่างออกมา
"ท่านเองก็ใช้ชีวิตคู่มาก่อนคงรู้ใช่ไหมว่าการผิดลูกผิดภรรยาหรือผิดสามีผู้อื่นมันไม่ใช่เรื่องดี"
ต๋าจินเป่าถึงกับละสายตาจากจวินหงที่เขาเผลอมองเพลินตาจากความงดงามที่ขยับอะไรก็ดูน่ามองและอ่อนช้อยไปหมด มันเป็นภาพที่งามวิจิตรจนอยากจะให้คนมาวาดภาพเพื่อเก็บไว้มองแต่เขาก็ไม่ได้หันไปมองชายที่ยืนข้างๆ ที่พูดเตือนสติตน เขารู้เพราะในชีวิตที่ผ่านต๋าจินเป่าเคยใช้ชีวิตครอบครัวมาแล้วแม้มันจะสั้นไปก็ตาม
"เจ้าพูดถึงเรื่องอะไร"
"ท่านประมุขตงข้าเจอคนมานับร้อยนับพัน แม้แต่คนสำนักของท่านข้าก็เคยปะทะฝีมือมาแล้ว ข้ามองออกว่าท่านสนใจในตัวสามีข้า"
ดวงตาดุดันของต๋าจินเป่าหันไปมองเด็กหนุ่มใบหน้าหล่อเหลากว่าที่เขาเคยได้ยินมา เมื่อมองสลับกับคนงามแล้วเขาไม่อยากจะเชื่อว่าคนที่กำลังพูดอยู่ข้างๆ จะแพ้ให้กับคนงามอย่างจวินหงที่ร่างกายแลดูบอบบางน่าทะนุถนอมและดูนุ่มนวลเช่นนั้นได้
"ข้าคงไม่พูดอ้อมหรือจำเป็นต้องโกหก... ใช่ ข้าสนใจในตัวจวินหงและคิดว่าข้าสนใจเขาก่อนที่เจ้าจะรู้จักเขา อย่าให้ข้ารู้ว่าเจ้าวางแผนอะไรอยู่คุณชายเถียน คนอย่างท่านรึจะพ่ายแพ้ให้กับจวินหงที่งดงามประดุจเทพธิดาเช่นนั้นได้"
ต้าต่านยกยิ้มที่อีกฝ่ายพูดออกมาสมแล้วที่เป็นตงต๋าจินเป่า ชายที่หนักแน่นเหมือนค้อนที่ตีเหล็ก เถียนต้าต่านผู้นี้ขอนับถือจากใจแถมยังประเมินตัวเขาเก่งกว่าจวินหงอีกด้วยแม้จะรู้สึกดีอยู่แต่เขาแพ้ให้กับคนแบบนั้นจริงๆ
เฮ้อ มันเจ็บใจตรงนี้แหละ
"ข้าจะวางแผนอะไรไว้แล้วมันเกี่ยวอะไรกับท่านด้วยท่านประมุขตง"
"ข้าไม่รู้ว่าเจ้าจะรู้เรื่องหรือไม่ ว่ามีชายมากหน้าหลายตาสนใจในตัวของจวินหงและแย่งชิงเพื่อเกี้ยวอีกฝ่ายเพื่อได้หัวใจมาครอบครอง"
ต้าต่านไม่ต้องไปศึกษาหรือหาข่าวหรอก แค่เหลียนเฟิงอี๋เขาก็พอจะเข้าใจแล้วละว่าจวินหงนั้นจะมีชายอื่นมาเกี้ยวไม่ซ้ำหน้ายิ่งเจ้าจางจิ้งที่คิดไปเองว่าตนเป็นคู่หมั้นจากจิตที่ปรุงแต่งจากคำพูดนั้นอีก สองคนนั้นพอจะเข้าใจว่าทำไมถึงสนใจจวินหงเพราะทั้งคู่ยังไม่มีใคร ไม่เคยผ่านชีวิตครอบครัวมาก่อนการที่ตกหลุมรักใครสักคนยิ่งใบหน้างดงามอย่างจวินหงคงทำให้ตกหลุมรักจนโงหัวไม่ขึ้นได้ไม่ยาก ต้าต่านเองก็ไม่คิดว่าชายมีนามว่าต๋าจินเป่าจะสนใจคนงามด้วย แม้จะมาเหนือความคาดหมายแต่ก็เดาไม่ยากหรอกขนาดเขายืนอยู่ตรงนี้มองประมุขสำนักเพ่ยที่ไปยืนดูอาวุธที่ขนมาอยู่ไกลๆ ด้วยกิริยาดูนุ่มนวลนั้น
คนอะไรยืนอยู่ท่ามกลางอาวุธเหมือนยืนอยู่ในทุ่งดอกไม้นานาพันธุ์
"แต่หวังว่าพวกเขาจะมีสติมากพอว่าชายผู้นั้นอยู่ในฐานะอะไรกับข้า ร่วมถึงท่านคงจะมองออกและเตือนตนว่า จวินหงประมุขเพ่ยคือสามีข้า ... และท่านอย่าได้คิดมาเกี้ยวสามีข้าละ"
แม้ในใจของต้าต่านนั้นเขาอยากให้ต๋าจินเป่าเกี้ยวอีกฝ่ายจนกว่าจะมีใจให้จนนอกใจเขาไปเลย เพราะการที่จวินหงเป็นภรรยาผู้อื่นมันคือการสร้างความอับอายแก่เขาและสำนักเถียนอย่างมาก ถึงแม้เรื่องนี้จะสามารถยกมาฟ้องหย่าได้ แต่เขาคือต้าต่านเชียวนะเป็นภรรยาคนงามก็รู้สึกหมดสิ้นซึ่งศักดิ์ศรีที่สะสมมานาน แล้วถ้าหากคนงามไปเป็นภรรยาคนอื่นอีกคงได้โดนตราหน้าว่าโดนสามีทอดทิ้งไปเป็นภรรยาผู้อื่น แค่คิดก็รู้สึกเลยว่าโดนธรณีสูบก็ยังไม่หายอับอายเพราะฉะนั้นตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลมซะ เขาเองก็ผู้ชาย นิสัยของผู้ชายถ้าแย่งชิงได้ก็แย่งนั่นแหละ เขาต้องหาวิธีอื่นเพื่อหย่ายังจะดีกว่า
ต๋าจินเป่าได้ยินคำเตือนของต้าต่านที่ไม่ให้เกี้ยวจวินหงซึ่งเขารู้ว่าอะไรควรไม่ควรเพราะเขาผ่านการมีครอบครัวมาแล้ว
"ข้าเป็นผู้ใหญ่ที่คิดได้ว่าอะไรควรไม่ควร แต่ข้าเตือนเจ้าไว้อย่างหนึ่งว่าสมบัติล้ำค่าควรรักษาและเก็บไว้ให้ดีเพราะถ้าเก็บรักษาไว้ไม่ดีพวกโจรจะสามารถมาลักขโมยได้"
"ขอบคุณท่านประมุขตงที่เตือน แต่ข้ารู้วิธีรับมือกับโจรได้ดีเลยทีเดียว"
ดวงตาเรียวคมของต้าต่านกับดวงตาดุดันที่หนักแน่นเหมือนค้อนตีเหล็กของต๋าจินเป่าสบเข้าหากัน โดยส่วนตัวแล้วต๋าจินเป่าไม่เคยชื่นชอบคนสำนักเถียนเป็นทุนเดิมจากการโดนประมุขสำนักเถียนหรือหยางเฉินเหวยดูถูกอาวุธของเขาที่สร้างให้เป็นของขวัญโดยโยนมันทิ้งลงพื้นต่อหน้าแล้วไล่เขาออกไปจากห้อง ถึงแม้จะไม่ชอบแต่เขาตั้งปฏิญาณเอาไว้แล้วว่าเขาจะสร้างอาวุธให้ดีที่สุดไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นศัตรูหรือไม่ก็ตาม เพราะเขาเป็นผู้ใหญ่เลยไม่คิดจะเถียงกับชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าเลยเก็บปากเงียบแล้วอีกอย่างจวินหงก็เดินกลับมาแล้วด้วย จากนั้นฮุ่ยเหมยก็เดินมาพร้อมกับจางจิ้งแล้วเริ่มทำการตรวจนับอาวุธและรายการอาวุธต่อทันที ต้าต่านมองแล้วไม่มีอะไรเกี่ยวกับตนก็เดินกลับห้องไปเพราะมีของที่เขาจะต้องเก็บโดยเฉพาะเสื้อผ้า
โดยมีสายตาคู่งามมองตามหลัง
สองขายาวเดินมาถึงห้องก็เปิดประตูเข้าไปยอมรับเลยว่าบ่าวสำนักเพ่ยเองก็ทำงานได้อย่างมีระเบียบโดยในห้องมีเฉินที่กำลังเก็บข้าวของส่วนตัวของเขาให้ บนโต๊ะนั้นมีของบางอย่างที่เขาไม่ได้แตะต้องมาสักพักแล้ว
กระบี่หมอกฟ้าของเขานั้นเอง
เพราะมัวแต่หาทางทำอย่างไรให้แผนแต่งงานล่มแต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้แล้วต่อให้หาทางหนีก็ยังหนีไม่ได้ด้วย ต้าต่านเดินเข้าไปหากระบี่ของตนเพื่อที่เอามันมาติดข้างเอวของเขาเอาไว้แต่ยังไม่ทันได้จับกระบี่ก็มีร่างใครอีกคนเดินเข้ามาในห้อง ใบหน้าหล่อหันไปมองก็ต้องอดทำหน้าประหลาดใจไม่ได้
ทำไมจวินหงไม่อยู่ดูอาวุธ ตามมาทำไมกัน
"เจ้าไม่อยู่ดูอาวุธรึไง"
"ข้าให้ฮุ่ยเหมยจัดการที่เหลือเพราะเขาละเอียดกว่าข้ามาก ว่าแต่นั่นคืออะไรรึ"
ใบหน้าสวยของจวินหงมองมายังกระบี่ของเขา ต้าต่านเลยเดินไปจับมันขึ้นมาอย่างภาคภูมิใจกับอาวุธของเขามากแต่ก็ต้องมาขมวดคิ้วเพราะวันที่เขาปะทะฝีมือกับอีกฝ่ายเขาก็ใช้กระบี่หมอกฟ้าของเขา
"อะไรกันเจ้าจำไม่ได้รึไงว่าข้าใช้กระบี่นี่ปะทะกับเจ้าวันนั้น"
"ข้าจะเอาอะไรไปจำแค่เจ้าดึงกระบี่ออกจากฝักข้าก็ปัดมันตกพื้นแล้ว"
ต้าต่านถึงกับเม้มปากพยักหน้าเมื่อได้ยินแบบนั้น เขาจัดการเก็บดาบไว้ข้างเอวแล้วเตรียมจะเดินหนีออกไปจากห้องเพราะรู้สึกหมั่นไส้คนที่อวดตนว่าเอาชนะเขาได้พอเดินผ่านร่างงามได้ไม่เท่าไรแขนของเขาก็ถูกมืองามของอีกฝ่ายดึงเข้าไปจากด้านหลังด้วยที่เขาไม่ได้ตั้งตัวเลยถูกแขนยาวของจวินหงกอดรัดเขาเอาไว้
"ปล่อยข้า! "
"งอนข้ารึ"
เสียงนุ่มอยู่ข้างหูของต้าต่านทำให้เจ้าตัวของพยายามหลบใบหน้าสวยที่ยื่นมาข้างหู แต่อะไรจะน่าแปลกใจเท่ากับแรงกอดรัดที่ทำให้เขาดิ้นหลุดออกยากขนาดนี้ ทั้ง ๆ ที่ร่างกายของอีกฝ่ายแลดูบอบบางกว่าเขา พอยกเท้าเตรียมกระทืบเท้าของคนที่กอดไว้จากด้านหลังก็ดันหลบทันคงจะเรียนรู้ในวันเข้าหอแล้ว เฉินที่อยู่ในห้องเห็นแบบนั้นก็วางข้าวของนายของตนที่จะต้องทำความสะอาดเพื่อออกไปจากห้องไปแต่ก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อเสียงของคุณชายเถียนต้าต่านเรียกตนเอาไว้
"เฉิน! เจ้าจะไปไหน! "
เฉินหันมาด้วยการก้มหน้าลงเล็กน้อยเพราะการมองนายที่กำลังกอดกันมันไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย เขากำลังอ้าปากจะตอบว่าเขาจะออกไปจากห้องเสียงนุ่มแสนไพเราะของคนที่ใหญ่ที่สุดในสำนักเพ่ยก็พูดขึ้นมา
"เจ้าออกไปเถอะเฉิน"
เฉินได้ยินดังนั้นก็เตรียมก้าวเท้าออกไปและแน่นอนว่าเสียงของนายที่เขาดูแลมาตั้งแต่ยังเด็กด้วยกันก็ดังขึ้น
"ถ้าเจ้าก้าวเท้าออกไปเพียงก้าวเดียวข้าจะสั่งคนโบยเจ้า! "
ก้าวเท้ากลับแทบไม่ทัน เฉินรู้สึกได้เลยว่าเหงื่อเขากำลังไหลตามหลังแล้วในตอนนี้ ก่อนที่จะมีเสียงที่นุ่มสบายหูดังขึ้นแข่งมาอีก
"เฉินเจ้าออกไปเถอะไม่มีใครกล้าโบยเจ้า ถ้าข้าไม่สั่ง"
ได้ยินเช่นนั้นเขาก็รู้สึกสบายใจเตรียมก้าวเท้าอีกครั้ง
"แต่ข้าจะสั่งให้คนโบยเจ้าร้อยที! "
เฉินในตอนนี้รู้สึกเหมือนน้ำตากำลังจะไหลรินออกจากดวงตายิ่งมองผู้เป็นนายสองคนที่อยู่คนละอารมณ์ คนงามที่เป็นประมุขสำนักใบหน้าดูสดชื่นแต่ยิ้มให้กับเขากำลังกอดรัดร่างคุณชายใหญ่ที่บัดนี้คือฮูหยินของคนงามกำลังดิ้นรนจากการถูกกอดแถมใบหน้าที่เตรียมจะกินเลือดกินเนื้อเขาให้ได้
"ฮูหยินขอรับ ข้าน้อยขอโทษ!"
เฉินพูดจบก็เดินก้าวเท้าออกไปอย่างรวดเร็วเล่นเอาต้าต่านที่กำลังพยายามแกะมือและแขนที่ไม่ว่าจะพยายามเอามันออกไปห่างจากร่างกายเขามากเท่าไรก็กลับมาจับข้อมือเขากอดรัดเขามากขึ้นกว่าเดิมเหมือนอย่างกับหนวดหมึกอย่างไรอย่างนั้นถึงกับทำหน้าเหวอที่เห็นเฉินผู้ติดตามคอยดูแลเขามาตั้งแต่เด็กด้วยกันเลือกที่จะเชื่อคนงามอย่างจวินหง
แล้วจะให้เฉินทำอย่างไรได้ในเมื่อคนที่ใหญ่ที่สุดในที่แห่งนี้คือจวินหงที่เป็นประมุขสำนักเพ่ยแห่งนี้
จวินหงที่รู้สึกว่าต้าต่านหยุดดิ้นไปช่วงหนึ่งเพราะร่างของเฉินผู้ติดตามและคอยดูแลเลือกที่จะเดินออกไปจากห้อง เขาเลยจัดการหอมแก้มอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วโดยไม่ลืมที่จะดึงกระบี่ที่เอวออกมาด้วย ส่วนคนที่โดนหอมแก้มก็ได้สติเมื่อโดนปากสวยขโมยหอมอีกครั้งแถมยังขโมยกระบี่ออกจากเอวอีกด้วย ร่างงามถอยออกห่างจากร่างภรรยาของตนพร้อมกับกระบี่หมอกฟ้า
"เอาอาวุธข้างกายของข้าคืนมา!"
น้ำเสียงไม่พอใจของต้าต่านสั่งให้อีกฝ่ายเอากระบี่ของตนคืนไม่เพียงแค่นั้นยังยื่นมือไปเพื่อคว้าอาวุธของตนกลับคืนมา แล้วมีหรือที่คนงามอย่างจวินหงจะยอมคืนง่ายๆ
"นี่อาวุธข้างกายเจ้ารึข้านึกว่าเก้าอี้เสียอีก"
ต้าต่านไม่อยากจะเถียงหรือหาเรื่องอีกฝ่ายให้รู้สึกขุ่นเคืองใจ เลยเข้าไปแย่งกระบี่หมอกฟ้าของตัวเองมาให้ได้ เขาไม่อยากจะลงไม้ลงมือกับอีกฝ่าย เดี๋ยวจะโดนครหาเอาได้ว่าทำร้ายร่างกายสามีตนเองแต่ไม่ว่าจะพยายามแย่งอย่างไรก็แย่งคืนไม่ได้เสียที
"นี่เจ้า! หยุดกวนประสาทข้าเสียทีไม่เช่นนั้นข้าจะลงไม้ลงมือกับเจ้าเป็นแน่"
ใบหน้างามยกยิ้มดูแล้วไม่มีอะไรแต่ทำไมต้าต่านรู้ได้ว่ารอยยิ้มที่ประดับอยู่นั้นมันดูยียวนกวนประสาทเขามากขึ้นกว่าเดิมแล้วยิ่งคำพูดที่ออกมาปากสวยนั้นยิ่งตอกย้ำว่าอีกฝ่ายจงใจแค่ไหน
"จะตีข้ารึที่รัก เอาสิ ตีข้าเลยหรือจะข่วนหลังข้าเป็นรอยก็ย่อมได้"
ถึงต้าต่านจะไม่เคยหรือสัมผัสประสบการณ์บนเตียงมาก่อนแต่เขาก็ได้ยินจากเพื่อนที่ไม่ได้สนิทอะไรมากมาเล่าให้ฟังว่าเคยโดยเล็บมือของหญิงสาวข่วนเป็นรอยที่หลังตอนที่ทำเรื่องบนเตียง แล้วการที่อีกฝ่ายพูดจาเช่นนี้กับเขานั้น.... โอ๊ย! ทำไมถึงไม่มีใครเห็นด้านนี้ของชายผู้นี้กัน!
"ข่วนหลังเป็นรอยอะไรของเจ้า! เอากระบี่ข้าคืนมา! "
ต้าต่านที่เหลืออดพุ่งเข้าใส่ร่างอีกฝ่ายโดยที่ไม่ได้สังเกตเลยว่าด้านหลังของจวินหงคือเตียงนอนที่เพิ่งจะถูกจัดเตียงใหม่ แรงกระโจมเพื่อแย่งกระบี่มันแรงมากพอที่จะให้ร่างงามตั้งหลักไม่อยู่จนทำให้หลังของจวินหงล้มลงไปบนเตียงโดยร่างของต้าต่านโดนแขนยาวที่ว่างรวบเข้าที่เอวทำให้ต้าต่านล้มลงไปบนเตียงด้วยพร้อมกับนอนทับร่างงานอยู่ด้านบน ใบหน้าของทั้งสองใกล้ชิดกันจนปลายจมูกชนกันเลยทีเดียว ดวงตาเรียวคมสบเข้ากับดวงตาคู่สวยที่เป็นประกายยิ่งมองใกล้ๆ ก็ยิ่งสะกดใจให้ละสายตาได้ยากและอาจจะหลงเสน่ห์ดวงตาคู่นี้ยากจะถอดตัวได้ถ้าหากปากสวยแดงระเรื่อนั้นไม่พูดอะไรที่ทำให้อยากเอามือทุบให้หลังแอ่น
"ไม่คิดว่าเจ้าจะทำมิดีมิร้ายกับข้าเช่นนี้ทั้ง ๆ ที่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดินเลยนะที่รัก"
"เจ้าเอาแขนมาโอบเอวของข้าต่างหาก! "
ต้าต่านพยายามดันตัวเองออกให้ห่างจากร่างงานโดยไม่ลืมที่เอื้อมมือไปจับกระบี่ของตนคืน แต่จังหวะนั้นเองชายที่เดินเข้ามาด้านในห้องโดยมิได้ขออนุญาตหรือเคาะประตูเดินเข้ามาพร้อมกับพูดเสียงดังว่า
"อาจารย์! ฮุ่ยเหมยให้ข้ามาตาม............."
ร่างของจางจิ้งที่ไม่รู้ว่าเคยมีผู้ปกครองได้ทำการอบรมสั่งสอนเรื่องมารยาทบ้างหรือไม่ ร่างสูงของอีกฝ่ายเดินเข้ามาในห้องแล้วภาพที่เห็นตรงหน้าต่อให้ไร้เดียงสาก็มองออกว่า ต้าต่านกำลังปลุกปล้ำจวินหง ทั้ง ๆ ที่ยังไม่กลางคืนเลย
"ขะ ข้าขอโทษที่มาขัดจังหวะ!"
ร่างสูงของจางจิ้งวิ่งออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็วเล่นเอาต้าต่านที่สนใจจะเอาของตัวเองคืนก็ถึงกับทำหน้างงว่าทำไมอีกฝ่ายต้องตะโกนขอโทษ กว่าจะเข้าใจสถานการณ์ว่าท่าทางที่เขาอยู่กับจวินหงนั้น ..... แล้วเหมือนคนงามจะรู้ว่ามันคืออะไรขาทั้งสองข้างของอีกฝ่ายก็จัดการรัดบริเวณสะโพกของคนด้านบนทันที ไม่เพียงแค่นั้นมือที่จับกระบี่ก็ปล่อยกระบี่แล้วใช้แขนทั้งสองข้างกอดต้าต่านเอาไว้ กว่าจะรู้ว่าทำไมจางจิ้งขอโทษว่ามาขัดจังหวะ ร่างแมวยักษ์ก็โดนกอดรัดราวกับโดยงูรัดก็ไม่ปาน แล้วไหนจะใช้จมูกและปากสวยมาหอมแก้มแล้วหอมแก้มอีก จนมือเรียวของต้าต่านนอกจากจะพยายามทั้งดัน ต้องคอยมาปิดปากอีกฝ่ายไหนจะสองเท้าของเขาที่ทั้งดิ้นทั้งถีบอีก ชายคนนี้แรงเยอะกว่าที่เห็นภายนอกงั้นรึหรือเขาเพลียจากการยกเก้าอี้ไล่ฟาดกันแน่
"หอมแก้มเจ้าแล้วข้าชื่นใจที่สุดเลย"
"ปล่อยข้า! เจ้าคนสกปรก! "
กระบี่อะไรเขาไม่เอาคืนแล้ว ตอนนี้ต้องสลัดชายงามที่การกระทำตรงข้ามนี่ให้หลุดออกไปจากร่างกายของเขาให้ได้ แล้วตอนนี้จางจิ้งคิดไปไหนต่อไหนแล้ว โวย คนงามร่างกายบอบบางทำไมกอดรัดแรงขนาดนี้กัน ข่วนหลังอะไรนั้นเขาไม่ทำมันแน่แต่ข่วนหน้างามๆ เขาทำมันแน่นอนถ้ายังไม่หยุดหอมแก้มเขาแบบนี้!
"จวินหงเจ้าเล่นกับข้าแบบนี้ใช่ไหม! "
สิ้นเสียงของต้าต่านที่เหลืออดแรงกายก็เพิ่มขึ้น แม้ว่าจวินหงจะพยายามกอดรัดร่างแมวยักษ์ของเขามากแค่ไหน แรงกายภรรยาก็เยอะเกินกว่าเขาจะสู้ได้ไหว สุดท้ายร่างงดงามที่ใครๆ ต่างอยากจะทะนุถนอม บัดนี้ได้โดนเท้างามๆ ของภรรยาถีบตกลงจากเตียงนอนกลิ้งลงมาด้วยท่าทีที่ไม่น่ามองเท่าไรนัก ใครเห็นก็คงหมดสิ้นซึ่งความงาม พอลุกขึ้นมาได้ก็เจอร่างต้าต่านที่ยืนเต็มความสูงด้วยแววตาที่ลุกเป็นไฟแล้วไหนจะมือข้างขวาที่ถือเก้าอี้ตัวใหม่ที่เขาเพิ่งจะสั่งทำเพื่อห้องใหม่ ว่าแต่ไปคว้ามาจากไหนไวจริงเชียว
แม้จะรู้ชะตากรรมว่าต้องหนี แต่อย่างน้อย....มันก็ดีไม่ใช่รึที่มันไม่ใช่กระบี่หมอกฟ้า
ต่อไปสำนักเพ่ยที่แสนสงบคงจบสิ้น เฉกเช่นเดียวกับโจรภูเขาลิงแดงแล้วรึ
ความคิดเห็น