คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : อย่ามาเกี้ยวสามีข้า บทที่๗
บทที่ ๗
ไม่รู้ว่าเตียงน้องชายดีหรือเขาง่วงนอนจนเกินไปกันแน่ ต้าต่านจำไม่ได้เลยว่าตัวเองนั้นหลับไปตอนไหน หลังจากที่เขาสบายใจได้นอนกับน้องชายแล้วดื่มเอี่ยกำเก็กที่เจียนเจี๋ยชงให้ มันทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย พอดื่มได้สักพักก็รู้สึกง่วงนอนในแบบที่เขาไม่เคยเป็นมาก่อนเลยจึงย้ายร่างกายตัวเองไปนอนที่เตียงก่อนเจ้าของเตียงจะนอนเพราะเขากลัวจะง่วงและฟุบลงบนโต๊ะ
สงสัยดอกเอี่ยกำเก็กจะได้ผลดี
เขาเลยหลับสบาย รู้สึกสดชื่นอย่างมาก ไม่มีสะดุ้งตื่นระหว่างคืนเลย แต่ความสดชื่นของเขาก็หดหายไปทันทีเมื่อนึกได้ว่าวันนี้คือวันอะไร ว่าแต่ห้องนอนน้องชายเขาแปลกๆ ไป หรือเมื่อคืนเขาไม่ได้สังเกตกันแน่ว่าเจียนเจี๋ยปรับเปลี่ยนห้องตัวเอง
"ตื่นแล้วรึที่รัก"
หือ? ยังไม่ทันจะหายจากอาการงัวเงียหลังจากตื่นนอนแล้วก็ต้องมามึนงงกับเสียงที่ได้ดังอยู่ข้างๆ เขา ว่าแต่ทำไมเสียงของเจียนเจี๋ยถึงเหมือนเสียงของจวินหงได้ขนาดนี้แถมยังพูดจาอะไรน่าขนลุกอีก เพื่อให้ทุกอย่างกระจ่างชัดเขาเลยหันไปมองบุคคลที่อยู่ข้างๆ โดยในใจเขาหวังว่ามันยังเป็นน้องชายของเขา
แม้ว่าจะหน้าตางดงามเฉกเช่นเดียวกันแต่มองยังไงก็คนละคน
นี่มันจวินหง!!!
"เฮ้ย! "
ต้าต่านไม่รู้ว่าเขาสมควรตกใจอะไรก่อนดีระหว่างน้องชายที่กลายเป็นจวินหงกับจวินหงมานอนข้างๆ เขาได้อย่างไรกัน ด้วยความตกใจเพราะเพิ่งจะตื่นนอนเลยเด้งตัวลุกขึ้นจากเตียงก็ถอยหลังทันทีและแน่นอนว่าเขานอนริมเตียงเลยทำให้ร่างของคุณชายเถียนผู้เคยมีสมญานามว่าไม่เคยแพ้ใครบัดนี้ได้ร่วงลงไปจากเตียงนอนเป็นที่เรียบร้อยเรียบร้อยแล้ว ทำให้ช่วงด้านบริเวณจนไปถึงบั้นท้ายได้สัมผัสกับพื้นอย่างเต็มแรง จวินหงผู้ที่เห็นทุกอย่างนั้นห่วงว่าอีกฝ่ายจะเป็นอะไร แต่เขาก็....
รู้สึกชอบใจจนพยายามกลั้นขำให้มากที่สุดเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายได้ยิน
ต้าต่านไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาถึงเจ็บตัวกับอีกฝ่ายตลอดแบบนี้ด้วย ตอนนั้นก็สะดุดเก้าอี้ คราวนี้ตกเตียงรึ! ให้ตายเถอะสวรรค์! ชายใบหน้างดงามที่นอนเอนข้างอยู่บนเตียงคือตัวดูดความโชคดีของเขารึไงกัน ถึงอยากจะโวยวายเช่นไรสิ่งที่ทำได้ในตอนนี้คือประคองร่างกายตัวเองให้ลุกขึ้นยืนแล้วมองไปยังชายที่ตอนนี้กำลังที่อยู่บนเตียงด้วยท่าทางที่....
ไม่ติดว่าอีกฝ่ายคือจวินหงก็คงจะรู้สึกวูบวาบอยู่หรอก
เพราะอีกฝ่ายสวมชุดนอนที่ค่อนข้างบางและสวมแบบหลวมๆ เสื้อผ้าที่จะหลุดไม่หลุดแลเพราะเผยให้เห็นหัวไหล่ขาวๆ เล็กน้อย ไหนจะใบหน้างดงามที่ยังไม่แต่งแต้มเครื่องสำอางยังงดงามเหมือนกับตอนแต่งหน้าแล้วอย่างไรอย่างนั้น ถ้าหากเป็นชายอื่นก็คงไม่อาจจะทนได้
แต่นี่ต้าต่านที่มองยังไงมันก็
รกหูรกตา
แต่นั้นไม่ใช่ประเด็นที่เขาจะต้องมาใส่ใจเพราะจำได้ว่าเขาไปนอนห้องของเจียนเจี๋ยแล้วทำไมถึงมาอยู่ห้องนี้ได้ห้องที่แม่จัดไว้ให้เขานอนกับจวินหงก่อนออกเดินทาง
"นี่เจ้าเล่นสกปรกอะไรกับข้าอีก จวินหง! "
คนงามมองร่างที่ตกเตียงไปลุกขึ้นยืนได้ก็โวยวายใส่ทันที อุตส่าห์เปิดร่างกายให้มองยังไม่มองเขาเลย เฮ้อ สมแล้วที่เป็นต้าต่านที่ไม่หวั่นไหวกับท่าทางที่เขานอนบนเตียงอยู่แต่เมื่อคืนเขาหวั่นไหวกับร่างกายอีกฝ่ายจนเกือบจะฉีกสัญญาของตัวเองทิ้งเสียแล้วและอีกอย่างไม่ชอบใจเลยที่ถูกเรียกจวินหงแบบนี้
"อยากรู้ก็เรียกข้าว่าท่านพี่สิ"
"ไม่"
ตอบโดยไม่ต้องคิดอะไรเลยรึ น่ารักซะจริงเชียว เอาเถอะ เขาเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะเรียกเขาว่าสามีหรือท่านพี่ในเร็ววันอยู่แล้ว และแน่นอนคนอย่างเขาคงไม่มีทางตอบความจริงออกไป ขืนบอกไปตรงๆ คงไม่สามารถใช้แผนเดิมได้อีกเป็นแน่
แผนปิดประตูกันแมวหนีน่ะ คิดยากนะ
"ความจริงแล้วเจ้าเดินละเมอกลับมาต่างหาก"
ต้าต่านที่กำลังเอามือไปจับหลังบริเวณที่กระแทกพื้นเมื่อครู่ได้ยินที่อีกฝ่ายตอบกลับก็ถึงกับขมวดคิ้วเลยทีเดียว เขาเนี่ยนะละเมอเดินมา
"ละเมอรึ? ข้าเนี่ยนะละเมอ!? ไม่มีทาง ตลอดชีวิตข้าไม่เคยเป็นเจ้ากำลังโกหกข้าใช่ไหม"
"แล้วเหตุใดเจ้าถึงมานอนที่เตียงนอนกับข้าได้กัน คิดว่าข้าอุ้มเจ้ามารึไง"
ต้าต่านกำลังจะอ้าปากเถียงว่าใช่ เพราะอีกฝ่ายเคยเอาชนะเขามาแล้ว แต่ครั้นจะพูดออกไปก็....... เท่ากับว่าเขายอมรับอีกฝ่ายว่าเก่งจริง ต้าต่านเลยตัดสินใจไม่เถียงกลับแล้วอีกอย่างนี่ก็เช้ามากแล้วเดี๋ยวจะออกเดินทางสาย
"ข้าไม่เถียงกับเจ้าแล้ว"
เพราะยิ่งเถียงเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาแพ้ สุดท้ายต้าต่านก็หอบเสื้อผ้าที่เฉินเตรียมมาให้วิ่งกลับไปห้องของเจียนเจี๋ยโดยไม่อายสภาพที่เป็นอยู่เพราะขืนอยู่ห้องนั้นต่อคงไม่มีอะไรดีขึ้น เผลอๆ ห้องพังเหมือนคืนเข้าหออีกสงสารแม่ต้องจัดการเก็บห้องใหม่อีกและเขาต้องการที่จะรู้ความจริงว่าทำไมเขาถึงกลับไปนอนห้องนั้นได้ เจียนเจี๋ยที่ตื่นมาแต่เช้านานแล้วเห็นสภาพพี่ชายก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากให้เข้ามาอาบน้ำให้ห้องอาบน้ำของเขาโดยให้บ่าวไปจัดเตรียมน้ำให้ใหม่ให้เร็วที่สุดไม่งั้นแล้วยังมาเดือดร้อนเขาที่จะต้องจับพี่ชายแต่งกายและหวีผมให้ไหนจะเครื่องหอมต่างๆ อีก ถึงจะหงุดหงิดแต่พอมานึกขึ้นมาว่าเจ้าพี่ชายจอมบ้าของเขาก็กำลังจะอยู่ที่อื่น
ก็แอบรู้สึกเหงาเหมือนกัน
ระหว่างที่เจียนเจี๋ยกำลังหวีผมให้เป็นทรงให้กับพี่ชายของตัวเองอยู่นั้นเจ้าของผมก็เอ่ยถามเขาด้วยคำถามที่เล่นเอาเผลอชะงักมือไปครู่หนึ่งแต่เพราะเขาเป็นคนมีสติดีเลยไม่ให้โดนจับสังเกตได้เพราะคำถามที่ว่าก็คือเมื่อคืนทำไมไม่ได้นอนที่ห้องของเขานั้นเอง
"แล้วทำไมถึงได้มาถามข้าละ"
ต้าต่านที่ถามเรื่องที่เขาทำไมถึงได้กลับไปนอนห้องนั้นได้โดยที่เขาไม่ได้พูดอะไรออกไปนอกจากถามแต่กลับโดนน้องชายจอมแสบถามกลับซะงั้น
"เจ้าก็แค่ตอบไม่ต้องถามกลับ" ดูสิ จะตอบตรงกันหรือไม่
"เจ้าจะถามข้าแล้วจะได้คำตอบอะไร ข้าหลับต่อจากที่เจ้าหลับไปแล้วพอตื่นมาก็ไม่เจอเจ้าอยู่บนเตียงกับข้าแล้ว"
"แน่ใจนะ"
"แล้วจะให้ข้าเอาอะไรมาแน่ใจในเมื่อตื่นมาไม่เจอเจ้า"
ต้าต่านรู้จักน้องชายดี พอๆ กับอีกฝ่ายรู้จักเขาดีเช่นกัน ในเมื่อถามแล้วได้คำตอบเช่นนี้เขาจะไปทำอะไรได้อีก เผลอๆ ถามมากไปก็จะถูกสงสัยเอาได้ แถมยังมาสงสัยน้องชายตัวเองอีก เอาเถอะ อย่างน้อยเขาตื่นมาเสื้อผ้ายังอยู่บนร่างกายก็นับว่าไม่มีอะไรร้ายแรงกับเขาละนะ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วสองพี่น้องก็เดินมายังหน้าประตูสำนักทันทีโดยมีร่างคนงามอย่างจวินหงและพ่อแม่ของพวกเขายืนรออยู่แล้ว ไม่เพียงแค่นั้นยังมีจางจิ้งคุณชายจากตระกูลเป่ยที่จินตนาการไปว่าตนเองจะได้แต่งงานกับประมุขสำนักเพ่ยยืนอยู่ข้างฮุ่ยเหมย เมื่อวานมีเหตุต้องเพิ่มรถม้า ดีที่ฮุ่ยเหมยเสียสละรถม้าของตนเพื่อไปขี่ม้านำขบวนแทนเลยตัดปัญหาตรงนี้ได้ ซูหนี่เห็นว่าลูกชายมาถึงกันแล้วก็คงถึงคราวอำลากันตรงนี้
เห็นแบบนี้ก็แอบใจหายเหมือนกัน
"เอาละ เพื่อไม่ให้เสียเวลาเดี๋ยวแดดออกพวกเจ้าจะเดินทางร้อนกันเสียเปล่า แม่ขอให้พวกเจ้าเดินทางปลอดภัย"
ต้าต่านอยากเข้าไปกอดแม่แต่ก็วางทีท่าเอาไว้เดี๋ยวสองมนุษย์อย่างจวินหงและจางจิ้งจะมองเขาเป็นเด็กน้อยเอา เขาเลยเคารพท่านพ่อท่านแม่เพื่อออกเดินทาง แต่เหมือนเขาจะเพิ่งฉุดนึกขึ้นได้ว่าเขาลืมอะไรไปบางอย่าง นั้นก็คือเรื่องของห่วงลู่เพราะคาดเดาได้เลยว่าเมื่อใดที่เขาออกไปอยู่ที่สำนักเพ่ยที่อยู่ตรงตีนเขาเหอกวานแล้วจะต้องมีพวกไม่หวังดีหรือรอจังหวะเข้ามาปล้นหรือขโมยของเป็นแน่
"เจียนเจี๋ย ข้าฝากดูแลห่วงลู่ด้วยนะ"
"เจ้าไม่ต้องห่วงหรอกข้าจะดูแลให้เอง"
เมื่อได้รับคำมั่นจากน้องชายจอมแสบของเขาแล้วก็เดินไปขึ้นรถม้าที่มีคนเปิดประตูรอเอาไว้ให้โดยมีองครักษ์จากสำนักของเขาจะคอยติดตามดูแลจนกว่าจะไปถึงสำนักเพ่ยโดยมีเฉินได้ไปกับเขาด้วยแต่ไปอยู่อีกรถม้าท้ายขบวนนั้นเอง
อย่างน้อยมีเฉินไปด้วยเขาก็รู้สึกไม่ได้ตัวคนเดียว
พอขึ้นรถม้าเรียบร้อยแล้วก็เจอคนงามนั่งอยู่ด้านในแถมยังส่งยิ้มให้กับเขาอย่างหน้าระรื่นอีกจะดีใจอะไรนักหนาเกรงใจสีหน้าที่กำลังหงุดหงิดของเขาด้วย แถมยังต้องนั่งบนรถม้าไปอีกหลายชั่วยามเลยแกล้งหลับได้ไหมนะ แต่เขาก็หวั่นว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรอีก สัญญาที่ว่าจะไม่ทำอะไรมันไม่ได้ร่วมถึงไม่ทำอะไรทั้งนั้นเพราะฉะนั้นเขาต้องตาตื่นเอาไว้ เมื่อรู้สึกได้ถึงขบวนรถม้าที่เคลื่อนไหวแล้วปากสวยก็เริ่มขยับด้วยเช่นกัน
"ห่วงลู่? ใช่เจ้าของร้านที่ข้าไปซื้อกระดาษใช่หรือไม่"
"ใช่ เจ้าข้องใจอะไร"
"ข้าได้ยินชาวบ้านเขาพูดกันว่าเจ้ากับห่วงลู่คบชู้กันลับหลังข้า"
"แล้วเจ้าเชื่อรึไง ข้ากับห่วงลู่บริสุทธิ์ใจต่อกัน แล้วอีกอย่างน้องชายข้าก็ชอบเขา"
"เอ๋ เจียนเจี๋ยน่ะรึดูไม่ออกเลย"
"เจียนเจี๋ยเจ้านั้นชัดเจนตลอดแหละว่าชอบ แต่คนที่ซื่อบื้อน่ะคือเพื่อนของข้า เพราะฉะนั้นคนที่น้องชายตัวเองชอบข้าไม่แย่งหรอกนะ"
ต้าต่านไม่ชอบใจเท่าไรนักที่มองเพื่อนของเขาในแง่ร้ายเช่นนี้ เลยต้องรีบอธิบายให้อีกฝ่ายฟังเพราะเขาไม่ใช่คนมีเพื่อนยิ่งห่วงลู่เขาจะห่วงมากเพราะฉะนั้นไม่ว่าจะหญิงใดชายใดก็ไม่เหมาะไม่คู่ควรเท่ากับน้องชายของเขาอีกแล้ว ดวงตาเรียวคมมองใบหน้างามที่ตอนนี้หน้าเบิกบานมากกว่าเดิม
"ดีใจอะไรอีก"
จวินหงยกยิ้มจนมุมปากยกสูงกว่าเดิมแต่กลับส่ายหน้าปฏิเสธให้กับต้าต่านว่าไม่มีอะไรที่เขาดีใจหรอก ซึ่งจริงๆ แล้วเขากำลังใจดีใจมากตอนที่ได้ยินเขาก็กังวลอยู่ไม่น้อยว่าต้าต่านจะมีใจให้กับชายที่ชื่อห่วงลู่หรือไม่ ตอนที่เขามาสำนักเถียนครั้งแรกก็หนีไปหาอีกฝ่ายหลังจากที่เขาพูดคุยกับพ่อแม่เรียบร้อยก็หาจังหวะที่ทุกคนกำลังวุ่นวายกับการจัดงานให้ฮุ่ยเหมยอ้างว่าเขาต้องการพักผ่อนหลังจากเหนื่อยจากการเดินทางเพื่อไปตามหาต้าต่านโดยคาดเดาว่าจะอยู่ที่ร้านนั้นเพราะตอนนั้นเขาก็เจออีกฝ่ายร้านของห่วงลู่ แล้วมันก็จริง เขาเลยรอจนกว่าต้าต่านจะกลับ ระหว่างทางก็ได้ไปขโมยผลส้มจากต้นของชาวบ้านมาลูกหนึ่งเพราะดูแล้วน่าจะเป็นผลที่มีรสชาติเปรี้ยวเพราะเขาเห็นห่วงลู่กินถึงรู้
จะไม่ให้เขาดีใจได้อย่างไรกันเล่าในเมื่อห่วงลู่เป็นแค่เพื่อนกับต้าต่าน
เขาสบายใจไปอีกหนึ่ง
ซึ่งในขณะเดียวกัน
ห่วงลู่ที่รู้สึกใจหายที่ต้าต่านจะต้องไปอยู่ที่สำนักเพ่ยแม้อีกฝ่ายจะมาหาก็ได้แต่ระยะทางมันไกลกว่าเดิมกว่าจะได้เจอกันอีกคงจะใช้เวลานานเลยทีเดียวมันไม่เหมือนตอนที่เพื่อนรักของเขาอยู่แค่สำนักเถียนจะไปมาก็ใช้เวลาไม่นาน อยู่ ๆ เพื่อนรักกลายเป็นภรรยาผู้อื่นเช่นนี้เขาเองก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อน เช้ามาเขาก็ยังทำงานเหมือนเดิมอีกอย่างของที่เขาสั่งเข้าร้านก็จะเดินทางมาวันนี้อีกด้วย ทุกอย่างยังปกติจนห่วงลู่ไม่ได้รู้สึกได้ถึงความผิดปกติแต่อย่างใดจนกระทั่งได้มีชายสามคนเดินเข้ามาในร้านของเขา แต่แทนที่จะมาซื้่อของอย่างที่เขาคิดเอาไว้
แต่มันไม่ใช่เลย
เขารู้มาเสมอว่าร้านของเขาไม่มีพวกมือดีมาหยิบข้าวออกไปโดยไม่จ่ายเงินหรือพวกนิสัยไม่ดีมาปล้นร้านของเขาเพราะมีต้าต่านอยู่ แล้วอีกอย่างอำนาจของสำนักเถียนก็มากพอที่จะจับใครที่ทำนิสัยไม่ดีโยนเข้าคุกเข้าตารางได้เลยขนาดฮ่องเต้ยังเกรงใจไม่มาวุ่นวายกับคนสำนักเถียนเลย เคยมีครั้งหนึ่งขุนนางในพระราชวังที่ใช้ความซื่อสัตย์ของตนที่สะสมมานานพยายามใส่ร้ายว่าคนสำนักเถียนต้องการกบฏต่อฮ่องเต้เพราะขุนนางท่านนั้นไม่ชอบคนสำนักเถียนสุดท้ายโดนสวนกลับทุกวันนี้ไม่ต้องพูดถึงลูกหลานขุนนางผู้นั้นเลย แต่ตอนนี้ห่วงลู่ไม่รู้จะทำอย่างไรดีเพราะเขาก็เป็นแค่ชายหนุ่มธรรมดาไม่ได้มีวรยุทธ์สูงแค่เป็นเพื่อนกับคนที่มีวรยุทธ์สูงเท่านั้นเอง
"อย่าให้ข้ากับเพื่อนข้าต้องรอนาน เอาเงินมา! "
"นายท่าน ข้าไม่ได้มีเงินมาก แค่ขายของวันๆ หนึ่งเท่านั้นเอง"
วันแรกที่ต้าต่านออกเดินก็มากันแบบนี้แล้วเขาไม่อยากจะคิดวันอื่นเลย เพราะฉะนั้นถ้าเขาให้เงินไปก็จะมีคนใหม่มาอีก แต่ถ้าไม่ให้เงินเลย ดาบในมือของชายที่ขู่เอาเงินเขาก็แลดูคมเหลือเกิน
"อย่าชักช้า!" สิ้นเสียงตะคอกเท้าของชายที่ถือดาบขู่เขาก็เตะเก้าอี้ของเขาล้มลงซึ่งมันคือตัวใหม่ที่เขาเพิ่งจะได้มาหลังจากที่มันพังไปแล้วไม่รู้กี่ครั้ง ห่วงลู่ผวาและหวาดกลัวอย่างมากแต่เงินพวกนี้คือเงินก้อนที่เขาจะเอาไว้จ่ายของเข้าร้านวันนี้ ร้านนี้ถ้าหากไม่ใช่เพราะต้าต่านช่วยทุกอย่างเขาคงไม่มีมัน คงกลายเป็นคนไม่มีอาชีพทำมาหากิน เพราะฉะนั้นเงินพวกนี้มันไม่ใช่แค่เงินของเขาเพราะสักวันที่เก็บเงินได้จะเอาไปคืนต้าต่าน
"ไม่! เงินข้า เงินไม่ให้! "
กลัวตายอยู่หรอก แต่ใครจะยอมง่ายๆ กันเล่า ก่อนที่ชายถือดาบจะเสียสติจะพุ่งเข้ามาหาเขา ห่วงลู่ก็หอบกล่องเงินที่เขาใส่เอาไว้เตรียมจะวิ่งออกไปหลังร้าน แต่ทว่า ทุกอย่างก็ต้องนิ่งเพราะมีร่างชายผู้หนึ่งที่เดินมาพร้อมกับจำนวนคนอีกสี่คนเข้ามาด้านในของร้านพอได้เห็นห่วงลู่ก็แทบจะเบะปากน้ำตาไหล มันคือร่างของเจียนเจี๋ยพร้อมกับเด็กในสำนักนั้นเอง
"จับพวกมันให้หมด! "
ความรวดเร็วของคนสำนักเถียนเมื่อได้ยินคำสั่งก็พุ่งใส่ชายที่ทำตัวไม่ต่างจากโจรทันที ชายที่ถือดาบเพียงคนเดียวยังไม่ทันได้ง้างดาบก็โดนจับอย่างง่ายดาย ทั้งสามโดนจับกดลงเพื่อคุกเข่าต่อหน้าบุตรชายคนเล็กของตระกูลเถียน ห่วงลู่ที่โล่งใจเมื่อเห็นว่าตัวเองปลอดภัยแล้ว ขาก็เกือบหมดแรงทรุดลงตรงนั้นดีที่มีอะไรให้ยึดไว้ ต้าต่านออกเดินทางได้ไม่เท่าไรนะยังเกิดเรื่องขนาดนี้เลย เจียนเจี๋ยใช้ดวงตาคู่สวยมองไปยังร่างเพื่อนรักของพี่ชายที่ยืนโล่งใจแม้จะไม่ได้บาดเจ็บอะไรแต่สำหรับเขาแล้ว
กล้ามาที่มาทำร้ายคนที่เขารัก (ข้างเดียว) เช่นนี้ อย่าได้หวังว่าเขาจะเมตตาเลย
ชายทั้งสามที่ตั้งเป้าหมายจะเข้ามาปล้นร้านของห่วงลู่เมื่อรู้ข่าวว่าต้าต่านชายแกร่งแห่งเมืองถังซ่านได้ออกเดินทางจากสำนักเถียนไปยังสำนักเพ่ยที่อยู่ตรงตีนเขาเหอกวานที่อยู่ห่างไกลคงไม่มีทางมาช่วยเพื่อนได้ทัน แต่พวกเขากลับหลงลืมไม่ว่าสำนักตระกูลเถียนไม่ได้มีลูกชายเพียงคนเดียว ชายใบหน้างามนามว่าเถียนเจียนเจี๋ยเองก็ฝีมือก็ไม่ใช่ระดับล่างเลยยิ่งตอนนี้ดวงตาสวยกำลังจ้องมองเขาราวกับดาบที่จี้ลำคออยู่ก็พากันหน้าซีดเพราะดูแล้วคงไม่มีทางรอด
"กล้ามากนะที่บุกเข้ามาในร้านเพื่อนรักของพี่ชายข้า คงไม่ได้หลงลืมไปสินะว่าสำนักตระกูลเถียนไม่ได้มีลูกชายคนเดียว"
พวกเขาอยากตอบเหลือเกินว่าลืมจริงๆ แต่กลัวว่าตอบไปแล้วหัวของพวกเขาน่าจะหลุดออกจากบ่าถ้าอย่างนั้นเงียบแล้วไปใช้ชีวิตในคุกยังจะดีเสียกว่า เจียนเจี๋ยมองชายหนุ่มทั้งสามที่เงียบเอาแต่ก้มหน้าก้มตาไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมามองตนคงจะกลัวว่าตอบไม่ตรงใจเขาแล้วจะเจ็บตัว แต่เอาเถอะเพื่อไม่ให้เสียเวลาเขาเลยสั่งให้เด็กของสำนักพาชายสามไปส่งให้กับทางการจัดการโดยใช้นามของสำนักเพื่อรับประกันว่าชายทั้งสามมุ่งร้ายกับร้านขายของจริงๆ เมื่อทั้งหมดออกจากร้านไปแล้วซึ่งอันที่จริงเขาไล่คนที่เหลือกลับสำนักด้วย
เพราะเขาอยากอยู่กับห่วงลู่สองต่อสอง
ยิ่งช่วงนี้พี่ชายไม่อยู่เขายิ่งต้องมาหาอีกฝ่ายมากกว่าเดิม
"เจ้าไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม?"
ห่วงลู่ที่กลับมาเหมือนเดิมแล้วแม้ในอกยังสั่นๆ อยู่ก็ตาม เขาเก็บกล่องเงินให้เรียบร้อยแล้วหันมาหาเจียนเจี๋ยที่เดินเข้ามาหาเขาแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ห่วงใย
"ข้าไม่เป็นอะไรแล้วละ ขอบใจเจ้ามากนะเจียนเจี๋ย"
"อย่าได้ขอบใจข้าเลย ต้าต่านฝากข้าไว้ให้ดูแลเจ้าด้วย"
"งั้นรึ ขนาดไปอยู่ที่อื่นยังห่วงข้าอีก" ไม่ใช่แค่พี่ชายที่ห่วง เขาเองก็ห่วงไม่งั้นจะมาหาแต่เช้าแบบนี้รึ เจียนเจี๋ยในตอนนี้เขารู้ตัวว่าจะต้องกลับสำนักเพราะไม่รู้จะอยู่ต่อทำไม จะอ้างว่าจะอยู่เพื่อความปลอดภัยแต่แค่เห็นร่างชายสามคนที่เด็กสำนักลากออกไปชาวบ้านคงเอาไปพูดปากต่อปากแล้ว พวกที่คิดจะเข้ามาปล้นหรือรีดไถเงินร้านห่วงลู่คงต้องพากันล้มเลิก เขาอยากจะอยู่กับอีกฝ่ายให้นานกว่านี้ยิ่งพี่ชายตัวดีไม่อยู่แล้วด้วย
"โอ๊ย! "
ห่วงลู่ที่เตรียมจะจับเก้าอี้มาตั้งเหมือนเดิมและดูว่ามีอะไรเสียหายอีกหรือไม่ ได้ยินเสียงน้องชายของต้าต่านร้องก็ตกใจรีบหันมามองก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังกุมข้อมือข้างขวาของตัวเองอยู่
"จะ เจ้าเป็นอะไร?! "
"เมื่อครู่ที่ข้าช่วยเจ้า จังหวะหนึ่งข้าโดนชายคนหนึ่งตีเข้าที่ข้อมือตอนนี้ข้าปวดมากเลย"
ห่วงลู่ได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจแต่มีชั่วครู่หนึ่งที่ฉุดนึกขึ้นมาได้ว่าเจียนเจี๋ยไปสู้หรือจับชายทั้งสามตอนไหนเขาเห็นแต่เด็กสำนักที่จับตัว ครั้นจะถามพอเห็นใบหน้างามที่นิ่วหน้าจากความปวด เขาก็ไม่กล้าสงสัยอีกฝ่ายเลยทีเดียวตอนนั้นเขาคงกลัวจนไม่ทันได้มองด้วยล่ะมั้ง
"งั้นเข้าไปนั่งก่อนเถอะเดี๋ยวข้าไปเอายามาทาให้บรรเทา แล้วก็กลับสำนักไปให้หมอดูซะนะ"
เจียนเจี๋ยพยักหน้าแล้วเดินไปนั่งโดยห่วงลู่จับเก้าอี้ที่ล้มขึ้นมาให้นั่งก่อนที่จะเดินไปหยิบตลับยาสมุนไพรมาทาที่ข้อมือให้กับตน ใช่แล้ว เขาแสร้งเพราะอยากยื้อเวลาออกไปสักนิดก่อนที่เขาจะต้องกลับสำนักเพื่อไปทำงานของเขาต่อ เพราะไม่ได้สนิทกับอีกฝ่ายมากจนสามารถนั่งเล่นเดินเล่นในร้านเหมือนกับต้าต่าน เจ้าพี่ชายก็ไม่เคยจะช่วยเขาแถมยังชอบแกล้งไม่ให้เกี้ยวอีกฝ่ายตรงๆ อีกด้วย ตอนนี้ทางสะดวกต้องเกี้ยวอีกฝ่ายมาเป็นภรรยาของตนให้ได้ โดยไม่รู้หรอกว่าเมื่อไรอีกฝ่ายจะรู้ตัว
ห่วงลู่ที่รักของข้า
ฝ่ามือของเพื่อนรักพี่ชายยื่นมาจับมือขวาของเขาเพื่อทายาให้ แม้ว่ามือจะไม่ได้สวยแค่มือที่ดูธรรมดาเหมือนชายหนุ่มทั่วไปแต่มันก็ทำให้หัวใจของเจียนเจี๋ยบุตรชายคนเล็กตระกูลเถียนใจเต้นแรงระรัวในหัวมีแต่อยากจะกัดมือด้วยความคันเขี้ยว
"ถ้าข้าทาแรงบอกข้าได้นะเพราะจะต้องนวดด้วย"
"เชิญเถอะมือเจ้าเบากว่าที่ข้าคิด" เบาจนร่างกายของเขาจะลอยทะลุเพดานร้านแล้วด้วยซ้ำ ยิ่งตอนนวดให้เขามันนวดหัวใจเขาไปด้วย
"ไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งต้าต่านจะได้แต่งงาน"
ในขณะที่เจียนเจี๋ยกำลังเคลิ้มก็ต้องหยุดความเคลิ้มมาสนใจอีกฝ่ายที่ชวนคุยเรื่องของพี่ชายที่แต่งงานเป็นสะใภ้ตระกูลเพ่ยเรียบร้อยแล้ว อย่าว่าแต่ห่วงลู่เลยเขาเองก็ไม่คิดเช่นกันว่าพี่ชายของเขาจะได้แต่งงานเพราะแต่ละวันเอาแต่เที่ยวเล่นไม่เห็นจะสนใจใครเป็นพิเศษ
"จะทำเช่นไรได้ ในเมื่อปากพาจนเอง"
"นั้นสินะ แล้วเจ้าละเจียนเจี๋ยมีคนที่สนใจอยู่รึไม่? "
"ข้ารึ...มีสิ"
"จริงรึ! แล้วเจ้าสนใจใครอยู่ ข้าคาดเดาได้เลยว่าต้องเป็นคนหน้าตาหล่อเหลามากแน่ๆ หรือไม่ก็ต้องสวยมากๆ เป็นชายหรือหญิงละ"
ดวงตาสวยมองใบหน้าชายหนุ่มเพื่อนรักพี่ชายที่ดูให้ความสนใจและตื่นเต้นมองดูก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายไม่ได้คิดอะไรกับเขา มองเขาเหมือนน้องชายคนหนึ่งที่กำลังจะมีคนรักอะไรทำนองนั้น เจ็บเหมือนที่เข็มนับร้อยมาทิ่มแทงที่อกยังไงไม่รู้
"เขาเป็นผู้ชายหน้าตาไม่ได้หล่อเหลามากนัก ดูธรรมดาแต่มองไม่น่าเบื่อและออกจะซื่อบื้ออีกด้วย"
"โห ชายคนนั้นช่างโชคดีจริงๆ แต่เสียดายที่เขาซื่อบื้อคงไม่รู้ว่าเจ้าชอบอยู่สินะ เจ้าต้องพยายามมากๆ ละเจียนเจี๋ย"
ก็พยายามอยู่นี่ไง เจียนเจี๋ยถอนหายใจออกมาเบาๆ ไม่ให้คนที่นวดข้อมือให้กับเขารู้สึก ก่อนที่จะยกยิ้มให้กับเพื่อนรักพี่ชายที่ไม่รู้เลยว่าเขาพูดถึงเจ้าตัวไม่ใช่คนอื่นไกลเลยสักนิด
"แล้วเจ้าละมีคนสนใจอยู่รึไม่? "
ห่วงลู่มองคนงามหรือน้องชายของต้าต่านที่ถามเขากลับ
"ข้ารึจะมี ข้าทำงานเช้าจรดเย็น สมองจดจำแต่ตัวเลข เงินและสินค้า ถ้าหากไม่ใช่ลูกค้าประจำข้าก็แทบจะจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ข้ามักจดจำลูกค้าประจำได้ดีเลยละ"
"ถ้างั้นข้าเป็นลูกค้าประจำของเจ้าได้หรือไม่? "
"แล้วทำไมเจ้าต้องมาเป็นลูกค้าประจำของข้าด้วยล่ะในเมื่อสำนักเจ้าก็ส่งคนออกมาซื้อของที่ร้านข้าประจำอยู่แล้ว"
เกี้ยวคนซื่อบื้อก็จะเหนื่อยหน่อยละนะ เฮ้อ เพราะดูแล้วคงไม่เข้าใจประโยคเมื่อครู่ว่าเขาหมายถึงขอเป็นคนที่เจ้าจดจำได้ดีได้หรือไม่ สงสัยเขาคงใช้คำพูดที่ยากจนอีกฝ่ายตีความไม่ได้สินะ
.............................
ตลอดระยะทางที่เดินทางมานั้นต้าต่านขอบคุณคนงามนามว่าจวินหงที่ไม่ได้ชวนเขาคุยหลังจากที่คุยเรื่องของห่วงลู่ ตอนนี้เวลาผ่านไปนานพอสมควรดูท่าจะเดินทางมาได้ครึ่งทางแล้ว เพราะต้าต่านไม่เคยนั่งรถม้านานขนาดนี้เลยรู้สึกเมื่อยจนอยากจะให้จอดแวะทางข้างจะได้ออกไปยืนยืดเส้นยืดสายบ้างแต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะหยุดกันเลย ไม่เหนื่อยกันบ้างรึไง
"นี่..."
จวินหงที่หลับตาทำสมาธิอยู่ต้องลืมตาขึ้นมามองต้าต่านที่ทำหน้าเบื่อหน่ายอยู่ตรงหน้าเขา
"มีอะไรรึ? "
"หยุดรถพักข้างทางสักนิดไม่ได้รึไง นี่เดินทางมานานแล้วนะ"
จวินหงเองก็เข้าใจปกติแล้วก็จะแวะข้างทางเพื่อทำธุระส่วนตัว ไม่ก็ลงไปยืดเส้นยืดสายกันบ้างยิ่งคนที่ขี่บนหลังม้ายิ่งต้องพัก มืองามเปิดผ้าม่านหน้าต่างออกมาก็พบว่าได้เดินทางมาเกินครึ่งทางแล้วแถม..
"ยังหยุดตอนนี้ไม่ได้และคาดว่าคงต้องเดินทางจนกว่าจะถึงสำนัก"
"ทำไม? "
"บริเวณนี่มีโจรภูเขาปักหลักอยู่ ถ้าเราหยุดขบวนอาจจะโดนโจมตีได้"
"โจรภูเขารึ? แต่ตอนที่เจ้าเดินทางไปที่สำนักข้าก็ไม่เห็นจะได้รับอันตรายแต่อย่างใดเลยนี่"
"อาจจะเป็นช่วงที่พวกนั้นไม่ได้ปล้นมากกว่า แล้วนี่ผ่านมาจะสามวันแล้วคงจะเริ่มพากันปล้นอีกเป็นแน่"
"เจ้าไปเอาอะไรมามั่นใจว่าพวกนั้นจะปล้นอีก อาจจะนอนดื่มเหล้าตีพุงอยู่ก็ได้"
คนงามไม่ตอบอะไรเขากลับนอกจากยกยิ้มแล้วนั่งหลับตาเหมือนเดิมทำเอาต้าต่านอยากจะโวยวายให้อีกฝ่ายลืมตามาอธิบายให้เขาฟังไม่ก็หยุดรถให้เขาลงไปเดินและยืดเส้นยืดสายบ้าง ไม่ใช่กังวลว่าเขาจะหนีหรอกใช่ไหม เขาจะเอามาหนีอีก ลองหนีสิ ท่านแม่ซูหนี่ได้ส่งคนตามล่าเขาทั่วยุทธจักรเป็นแน่ ในเมื่อทำอะไรไม่ได้ต้าต่านเลยจัดการยืดขามาออกแทนโดยไม่สนใจกิริยามารยาทกับอีกฝ่าย ปกติแล้วเขาเป็นฝ่ายมานั่งรถม้าที่ไหนกันละ นู้น เขาจะต้องเป็นคนขี่ม้านำหน้าพาขบวนเดินทาง มานั่งแบบนี้
เมื่อยชะมัด
ในขณะที่ต้าต่านทำตัวเสียมารยาทอย่างไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะคิดเช่นไร จู่ ๆ รถม้าก็หยุดชะงักกะทันหันแวบแรกเขานึกว่าคนด้านนอกคงจะเมื่อยแล้วหยุดกันเองแต่ยังไม่ทันที่จะได้เปิดหน้าต่างออกไปถามว่าหยุดรถม้าทำไม ม้าๆ ตัวที่ลากรถเหมือนจะตกใจอะไรสักอย่างส่งเสียงร้องดังแล้ววิ่งอย่างรวดเร็วจนเหมือนจะหลุดออกนอกขบวนเดินทาง แน่นอนว่าคนที่อยู่ด้านในย่อมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แม้แต่จวินหงเองก็ด้วย ทั้งสองได้แต่สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ม้าก็วิ่งด้วยความเร็วที่เหมือนหนีตายล้อรถก็กระแทกกับเนินพื้นดินและรากไม้ต่างๆ ซึ่งมีโอกาสสูงมากที่รถม้าจะพลิกคว้ำ ต้าต่านที่ทำอะไรรวดเร็วและถ้าเกิดอะไรจวนตัวเขาจะหนีได้ทัน
ถึงจะไม่ชอบคนงามที่เป็นสามีของตนแต่เขาก็อุ้มร่างอีกฝ่าย
แล้วกระโดดออกมาจากรถม้าจนลงถึงพื้นอย่างปลอดภัยโดยที่อุ้มร่างสามีของตนเอาไว้
รถม้าพลิกคว้ำจริงๆ และถ้าหากยังอยู่ด้านในคงมีเจ็บตัวกันบ้าง ส่วนม้าก็วิ่งเตลิดไปอย่างไม่คิดหันหลังกลับมาเลย ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ต้าต่านยังไม่ทันได้หายสงสัยเขาก็มองคนงามที่อยู่บนแขนของเขาที่กำลังทำหน้าปลื้มปีติอะไรสักอย่างอยู่ ในเมื่อปลอดภัยแล้ว...
ต้าต่านปล่อยแขนจนร่างงามร่วงลงพื้นดัง 'อั้ก'
จวินหงที่กำลังปลื้มที่ถูกภรรยาอุ้มร่างของเขาลอยออกมาจากรถม้า ภรรยาของเขาช่างแข็งแกร่งและน่าพึ่งพาได้โดยที่เขายังไม่ทันจะได้ซึมซับความรู้สึกของอ้อมแขนอันแข็งแกร่งของภรรยาสุดหล่อที่อุ้มเขาก็ต้องมาเจ็บบริเวณก้นที่ลงพื้นก่อนส่วนอื่น ช่างเป็นชายที่ทำอะไรไม่เกรงใจใบหน้างดงามของเขาเลย แต่
โดนภรรยาอุ้มเช่นนี้ก็ตื่นเต้นดี
ถึงจะเจ็บแต่ก็ต้องพยุงร่างกายของตัวเองลุกจากพื้นซึ่งต้าต่านไม่ได้สนใจจะยื่นมือไปช่วยอยู่แล้ว ดวงตาเรียวคมมองบริเวณรอบๆ ตัวที่มีแต่ป่าก็พบว่าม้าวิ่งมาไกลมากพอสมควรแถมวิ่งเข้าป่ามาแบบนี้อีกด้วยยังไม่ทันได้ตั้งข้อสงสัยกลุ่มคนจำนวนนับสิบที่ถือดาบที่มองดูแล้วไม่น่าจะตายจากโดนแทงแต่ตายจากบาดทะยักจากสนิมมากกว่าล้อมรอบพวกเขาเอาไว้โดยยื่นดาบมาทางเขา
โจรภูเขางั้นรึ
ต้าต่านมองพวกโจรก็รู้ได้ทันทีว่าคือโจรภูเขาเพราะต้นแขนของพวกนั้นมีผ้าสีแดงรูป ‘ลิง’ มันคือสัญลักษณ์ของโจรภูเขาตันหรือเรียกกันอีกชื่อว่า โจรภูเขาลิงแดง เขาได้ยินชื่อเสียงของโจรกลุ่มนี้มานานแล้วแต่เพราะมันไม่ใช่หน้าที่ของสำนักเลยไม่มีใครมากำจัดหรือปราบปรามเหตุที่สำนักเถียนไม่ยื่นมือมาจัดการโจรกลุ่มนี้เพราะจะได้ไม่เป็นการตัดหน้าของทหารวังหลวงนั้นเอง แต่มาเจอแบบนี้เขาคงต้องจัดการโดยยกข้ออ้างได้ว่าพวกเขาโดนดักสุ่มโจมตี แต่ยังไม่ทันจะได้ลงมืออะไร
ร่างงามอย่างจวินหงก็โดนล็อกคอจากชายร่างใหญ่พุงโตแถมยังเอาดาบเล่มใหญ่จ่อที่คอ
"อย่าคิดทำอะไรไม่เข้าท่าละคุณชายไม่งั้นภรรยาเจ้าตายแน่! ยกมือขึ้นเหนือหัวซะ! "
"ได้โปรดอย่าทำอะไรข้าเลย! "
ต้าต่านมองจวินหงที่โดนจับเป็นตัวประกันที่ทำท่าหวาดกลัวและยังส่งเสียงขอร้องอ้อนวอนว่าอย่าทำอะไร สู้ไม่ได้รึไง? ก็คงเป็นเช่นนั้นเพราะตอนที่สู้กับเขาก็บอกเองว่าใช้แผนสกปรกพอเอาเข้าจริงๆ กลับเป็นแค่ชายอ่อนแอคนหนึ่งงั้นรึนี่เขาเป็นภรรยาของคนแบบนี้จริงๆ หรือ
แม้ว่าเขาอยากจะปล่อยให้โจรจัดการแต่ถ้าจวินหงมาตายเพราะโจรภูเขาเช่นนี้
ต้าต่านคงได้ยินคนพากันพูดว่า สามีเขาตายเพราะโดนโจรภูเขากระจอกฆ่า
อย่างน้อยจะตายก็สมควรตายอะไรที่อลังการด้วยเถอะ ต้าต่านไม่อาจจะทนฟังคนพูดถึงการตายเช่นนั้นได้เลยต้องยกมือขึ้นเหนือหัวเพื่อให้พวกโจรภูเขาลิงแดงพาไปยังแหล่งกบดานของพวกมัน ก่อนที่เขาจะก้าวเท้าเขาอยากจะบอกพวกนั้นว่าชายที่พวกเจ้าจับเป็นตัวประกันไม่ใช่ภรรยาแต่เป็นสามีต่างหาก
แต่ให้ตายเขาก็ไม่ยอมบอกหรอก อายโจรตาย
.......................
จางจิ้งอยากจะบ้าตายเขาตามรถม้าของจวินหงไม่ทัน ตอนที่ได้ยินเสียงโวยวายและเสียงของม้าดังเขาก็ออกมาจากรถม้าที่หยุดโดยไม่รู้สาเหตุก็เห็นรถม้าของจวินหงหรืออาจารย์ของเขาวิ่งออกนอกขบวนเดินทางไปแล้วพอจะขี่ม้าตามก็ถูกพวกโจรภูเขาพากันมาจากไม่รู้ยกมาเป็นกองทัพราว ๆ สามสิบคนได้แถมยังมีวิชาต่อสู้ติดตัวกันอีกด้วยเลยทำให้เขาต้องเสียเวลากว่าจะต่อสู้กันจนฝ่ายโจรภูเขาพากันหนี ก็มองไม่เห็นรถม้าของจวินหงแล้ว ม้าบางตัวก็วิ่งเตลิดหนีไปอีก ดีที่มีคนของสำนักเถียนติดตามมาด้วยไม่งั้นเมื่อครู่ก็คงมีคนบาดเจ็บเป็นแน่ เพราะมากันเยอะแถมกระโดดโหนมาจากต้นไม้อย่างกับลิง จนเขาเกือบสวมกรงเล็บไม่ทันเลยทีเดียว
"ท่านรองประมุขฮุ่ยเหมยเราจะทำอย่างไรกันต่อ ข้าเป็นห่วงจวินหงของข้า เออ อาจารย์ของข้า"
จางจิ้งเดินเข้าไปถามรองประมุขสำนักเพ่ยหรือหลิ่งฮุ่ยเหมยที่กำลังมองอะไรบางอย่างที่พื้นอยู่ เมื่อเขาลองก้มลงมองดูด้วยก็พบว่ามันคือรอยล้อรถม้านั้นเอง
"พวกนี้นับได้ว่าสมองใส ในวิธีโจมตีแบบโจรภูเขาแต่วิ่งไปทางป่าราบ"
"หมายความว่าอย่างไรท่านรองประมุข"
ตอนที่เกิดเรื่องนั้นแวบเดียวที่ฮุ่ยเหมยเห็นก็คือโจรกระโดดลงหลังม้าที่ลากรถให้กับประมุขสำนักและฮูหยินจนม้าเกิดการตกใจทำให้เสียการควบคุมเขายอมรับความเก่งของโจรกลุ่มนี้ที่สามารถกำราบม้าให้วิ่งไปตามคำสั่งได้แต่แทนที่ลากขึ้นไปทางภูเขาแต่พาลงป่าราบแทน มิน่าเล่าทหารวังหลวงถึงตามหาแหล่งกบดานของพวกนี้ไม่พบเสียที
"พวกนี้ไม่ได้กบดานบนภูเขาแต่กบดานในป่าแทน ทั้งๆ ที่ตั้งกลุ่มโจรของตัวเองว่าโจรภูเขาลิงแดง"
"โจรภูเขาไม่จำเป็นต้องตั้งบนภูเขาสินะ แล้วทำไมสำนักท่านถึงไม่จัดการทั้ง ๆ ที่อยู่ห่างกันแค่นี้"
"เพราะถ้ากระทำเช่นนั้นไม่ต่างอะไรจากการหักหน้าทหารวังหลวงแถมยังไม่มีใครส่งรายงานหรือจ้างให้พวกเราจัดการ ถ้าหากทางทหารวังหลวงยื่นรายงานหรือยื่นขอความช่วยเหลือมาทางสำนักพวกเราถึงจะสามารถลงมือจัดการได้ ท่านเองก็น่าจะเข้าใจตรงนี้ดี"
"แล้วแบบนี้จะทำยังไงต่อ จะต้องไปรายงานเรื่องนี้กับทางทหารวังหลวงรึ"
"ไม่จำเป็นเพราะท่านประมุขและฮูหยินกำลังตกอยู่ในอันตรายพวกเราจะต้องแกะรอยล้อรถและรอยเท้าของม้าเพื่อไปช่วยได้ทันที"
"งั้นข้าขอไปด้วย ข้าเป็นห่วงอาจารย์ของข้า"
ฮุ่ยเหมยไม่ได้ห้ามอะไรเพราะอย่างน้อยให้คุณชายจางจิ้งไปด้วยเพราะไม่รู้ว่าจะต้องต่อสู้กับกองทัพโจรมากเท่าไร
................................
เป็นโจรภูเขาแต่มาตั้งกบดานในป่าทำไมไม่เป็นโจรป่าไปเสียเลยละ ต้าต่านถูกพามายังแหล่งกบดานของพวกโจรภูเขาลิงแดงเป็นที่เรียบร้อย นับได้ว่าเป็นโจรที่ร่ำรวยน่าดูแต่เขาไม่ขอชื่นชมจากการปล้นผู้อื่นหรอกนะ จำนวนโจรมีมากกว่าที่จะสามารถนับได้แต่คำนวณแล้วก็ราวๆ ประมาณร้อยกว่าชีวิต มีทั้งชายและหญิงแต่ไม่มีเด็กเลย ดวงตาเรียวได้มองเห็นชายคนหนึ่งกำลังผูกม้าตัวหนึ่งอยู่ซึ่งม้าตัวนั้นก็คือม้าที่ลากรถให้กับพวกเขานั้นเอง ที่แท้ก็แบบเองสินะม้าไม่ได้วิ่งมาเองแต่มีคนพามันมาแม้จะไม่รู้ว่าทำไมอย่างไรก็เถอะ ต้าต่านถูกโจรมือหยาบพามาหยุดยืนตรงลานกว้างมีโจรทั้งชายหญิงยืนล้อมเอาไว้โดยตรงหน้าเขามี เออ เขาจะเรียกมันว่าเก้าอี้ก็คงไม่ใช่เพราะมันทำเหมือนบัลลังก์อะไรสักอย่าง เอาเถอะเขาเองก็ไม่ได้อยากรู้เรื่องของกลุ่มโจรหรือศึกษามันหรอกนะส่วนจวินหงถูกลากไปอยู่ริมๆ เพื่อเป็นตัวประกันเหมือนเดิม
คงคิดว่าเขาคือเจ้าของรถม้าสินะ พวกเจ้าเข้าใจผิดแล้ว
ต้าต่านที่ยืนกอดอกมองเพราะไม่รู้ว่าพวกโจรต้องการอะไรจากเขากันแน่ พวกนั้นก็เริ่มส่งเสียงบางอย่างดังขึ้นเมื่อมีร่างผู้ชายคนหนึ่งเดินออกมานั่งที่บัลลังก์อะไรไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ ชายผู้นั้นน่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่มโจร เป็นชายผิวสีเข้มผมสีดำปลายผมออกแดงๆ คงไม่ได้ดูแลหรือบำรุงเท่าไรดวงตาคู่นั้นดูเจ้าเล่ห์แต่ก็น่ากลัวอยู่ไม่น้อยจ้องมองมาที่เขาเพียงครู่เดียวก่อนที่เซสายตาไปมองจวินหง
มองดูก็รู้ว่าสนใจคนงามขนาดไหน
"ลูกพี่ใหญ่ชายผู้นี้มาพร้อมกับขบวนม้าที่ดูดีเกินกว่าจะเป็นรถม้าชาวบ้านธรรมดา เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ตัดเย็บอย่างประณีตพวกเราจะจับตัวเรียกค่าไถ่ดีหรือไม่"
ลูกน้องเอ่ยเสนอแนะนำว่าจะทำอย่างไร ชายที่นั่งอยู่ยกยิ้มเล็กน้อยก่อนที่โบกมือให้ลูกน้องถอยห่างออกไปก่อนที่เจ้าตัวจะลุกจากเก้าอี้แล้วเดินเข้าไปมาหาชายหน้าหล่อที่ยืนกอดอกมองเขากลับด้วยสีหน้าที่ไม่ได้หวั่นเกรงโจรอย่างเขาแต่อย่างใด ส่วนต้าต่านมองหัวหน้าโจรภูเขาที่ใช้ดวงตาเจ้าเล่ห์ไม่น่าคบไล่มองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า ขนาดคุณชายมาตระกูลเถียนว่าตัวสูงแล้วชายผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มโจรภูเขาลิงแดงยังสูงกว่าประมาณคืบหนึ่งได้
"ดูจากการแต่งกายและเครื่องดับแล้วคงมีฐานะไม่น้อย จัดการเขียนจดหมายเรียกค่าไถ่ซะแล้วเค้นถามที่อยู่ของชายผู้นี้"
สิ้นคำสั่งลูกน้องก็พากันรับคำสั่งโดยมีร่างชายอีกสองคนมาจัดการลากเขาออกไปให้ห่างจากชายผิวเข้มเพื่อจะให้เขาบอกที่อยู่เพื่อส่งจดหมาย นี่ถ้าเขาบอกว่ามาจากสำนักเถียนยังจะกล้าอยู่รึเปล่านะ ระหว่างที่รอให้โจรผู้หนึ่งที่กำลังนั่งเขียนจดหมายให้เสร็จก่อน ต้าต่านเองก็ประหลาดใจที่โจรมีความรู้อ่านออกเขียนได้ ทำไมไม่ทำงานที่มันสุจริตหรือมันไม่ตื่นเต้น พอต้าต่านที่กำลังมองโจรเขียนจดหมายแม้จะไม่ได้เขียนรวดเร็วอะไรแถมบรรจงเขียนอีกต่างหากก็หันไปมองร่างของชายผิวสีเข้มที่กำลังสนใจจวินหงโดยลูกน้องที่ตอนแรกเอาดาบจี้คอเหมือนจะรู้งานก็เลยเอาดาบออกแล้วเดินถอยห่างออกก่อนที่ลูกพี่ใหญ่จะเดินเข้าไปใกล้ชายงามจากนั้นก็ใช้นิ้วมือของตนเชยคางให้เงยหน้าให้เขาได้ใช้สายตามองตรงๆ ความงามของจวินหงถูกใจชายผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มโจรภูเขาลิงแดงเต็มๆ แม้จะงดงามแต่ก็มองออกว่าคือผู้ชายเมื่อมองจากลำคอที่มีลูกกระเดือกแล้ว เลยจัดการถามลูกน้องที่เป็นคนจับมา
"ชายผู้นี้เป็นใคร"
"เรียนลูกพี่ซาหรง ชายงามผู้นี้มากับชายใบหน้าหล่อผู้นั้นคาดว่าน่าจะเป็นภรรยา"
หัวหน้ากลุ่มโจรภูเขาหรือ ‘ซาหรง’ มองใบหน้างดงามที่เขาไม่เคยพบพานที่ไหนมาก่อนในชีวิตแม้ว่าเขาจะเคยเจอหญิงสวยชายงามมาแล้ว ขนาดเหล่าคณิกาในหอยังงดงามสู้ไม่ได้ แถมมีกลิ่มหอมลอยมาจากอีกฝ่ายจนทำให้รู้สึกเคลิ้มถ้าหากเขาเป็นพวกโจรใจเถื่อนใจทรามเหมือนโจรผู้อื่นเขาคงอุ้มชายผู้นี้ไปลิ้มรสในห้องของเขาตอนนี้แล้ว ซาหรงปล่อยนิ้วมือจากคางคนงามแล้วหันไปหาชายที่เขากำลังจะโดนเขารีดค่าไถ่ช่างเป็นชายที่โชคดีซะจริงนะ เกิดมามีทั้งหน้าตาที่หล่อเหลา ฐานะดีและยังมีภรรยางดงามเช่นนี้แต่เสียดายที่มาเจอโจรภูเขาแบบเขาเสียก่อน เพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาทเขาคงต้องขออีกฝ่ายก่อน
"นี่ ถ้าหากเจ้าไม่ว่าอะไร ข้าซาหรงหัวหน้าโจรภูเขาลิงแดงจะขอภรรยาของเจ้าไปละนะ หวังว่าเจ้าจะไม่ว่าอะไรข้าใช่ไหม"
ซาหรงเอ่ยขอแบบดื้อๆ เพราะต่อให้อีกฝ่ายดิ้นรนคุกเข่าขอร้องเขาก็จะเอาชายงามผู้นี้มาเป็นของตนอยู่ดีเพราะใครจะยอมยกภรรยาของตนได้ง่ายๆ ยิ่งงดงามขนาดนี้คงโมโหแล้วดิ้นรนขอร้องเขาอยู่ดี หึหึหึ วาสนาของเจ้าทั้งสองคงจบกันเพียงตรงนี้แล้วละนะ
"อ่อ เอาไปเลย"
..........ห๊ะ.......ซาหรงเหมือนหูพิการฟังอะไรผิดเพี้ยนไป คำตอบที่เขาคิดกับคำตอบที่ได้ยินมันเหมือนจะแตกต่างกัน แต่มันไม่สมควรจะแตกต่างขนาดนี้สิ
"เมื่อกี้เจ้าพูดว่าอะไรนะ" ซาหรงถึงกับต้องถามชายหน้าหล่อซ้ำเพื่อความมั่นใจอีกครั้งและคำตอบที่เขามานั้นตอกย้ำได้เลยว่าหูของเขายังปกติดี
"ก็เจ้าขอก็เอาไปสิ เอาเลย จะจับไปต้มกินก็เชิญ"
แม้กระทั่งโจรที่เขียนจดหมายยังชะงักมือก็ไม่ต้องถามเลยว่าที่เหลือเป็นเช่นไร ก็เหมือนกับซาหรงตอนแรกนึกว่าหูของพวกเขาพิการหรืออย่างไร ทำเอาซาหรงต้องถามย้ำอีกฝ่ายว่านี่ภรรยาของเจ้านะ ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงหรือสิ่งของที่จะยกกันง่ายๆ เช่นนี้
"นะ นี่ภรรยาเจ้านะ"
แทนที่ชายใบหน้าหล่อจะได้สติหรือทำหน้าคิดได้กลับยักไหล่ให้กับเขาแทนเล่นเอาทำอะไรไม่ถูกเลย ในชีวิตโจรของเขาไม่เคยเจออะไรแบบนี้ ในขณะที่กำลังสับสนกับการเอ่ยมอบอะไรง่ายๆ ของชายใบหน้าหล่อ เสียงคนงามที่เงียบไปนานก็เอ่ยดังขึ้น
"ก็เจ้าขอภรรยานี่นา" เสียงของชายงามที่เปล่งออกมานั้นมันช่างนุ่มนวลและไพเราะได้พูดอะไรบางอย่างออกมาทำให้คนได้ยินพากันขมวดคิ้วมากกว่าเดิม ใช่แล้ว เขาขอภรรยาหรือชายงดงามผู้นี้ อะไร? เขาขออะไรผิดงั้นรึหรือคนงามคือน้องชาย
"คนสวยบอกข้ามาเถอะว่าข้าขออะไรผิดหรือเจ้าเป็นน้องชาย"
"อ่อ ข้าไม่ใช่น้องชายหรอกนะท่านโจร ข้าน่ะ...." เสียงของคนงามยังพูดไม่ทันจบ เสียงของคนที่โดนจับไปเพื่อถามที่อยู่เพื่อส่งจดหมายก็ตะโกนขึ้นมาเสียงดังมากเล่นเอาคนเขียนจดหมายที่กำลังจะเขียนตัวเลขหรือจำนวนเงินที่จะเรียกค่าไถ่ถึงกับสะดุ้งเกือบต้องเขียนใหม่
"หุบปาก!!! "
ซาหรงหันไปมาชายใบหน้าหล่อที่ตะโกนใส่ชายงามที่ไม่รู้ว่าคือภรรยาหรือน้องชายด้วยสีหน้าจะกินเลือดกินเนื้อ
"ก็ท่านโจรถามข้า ข้าต้องตอบสิ เดี๋ยวชีวิตข้าจะหาไม่"
"โกหกเป็นไหม"
"ข้าเป็นคนโกหกไม่เก่งนี่นา อีกอย่างท่านโจรกำลังจะจับข้าไปเป็นภรรยา ไม่ห่วงสามีเจ้าหน่อยรึไงต้าต่าน"
ต้าต่านถึงกับเม้มปากสูดลมหายใจเข้าปอดเมื่ออีกฝ่ายหลุดปากพูดออกมา แต่อะไรจะเท่ากับกองโจรที่ได้ยินพากันทำหน้าเหวอแล้วพากันหันมามองชายงามที่ยืนยิ้มใส่ชายหน้าหล่อที่ตอนนี้กำลังจะแปลงร่างเป็นกระทิงเตรียมจะวิ่งขวิดใส่อีกฝ่ายอยู่แล้ว
เดี๋ยวนะ .....
ชายงามคือสามีรึ!!!
ถ้าเช่นนั้นชายหน้าหล่อคือ .... ซาหรงคิดมาเสมอว่าชีวิตของเขาเจออะไรประหลาดมาเยอะมากพอสมควรแต่แบบนี้มันก็ประหลาดเกินไปสำหรับเขารึเปล่า แต่มันมีอีกหนึ่งคำที่เขาได้ยินนอกจากชายงามหรือก็คือสามีของชายหน้าหล่อผู้นั้นแล้ว เดี๋ยวนะ....ชายผู้นั้นชื่อว่าอะไรนะ ... ต้าต่านรึ.....ซาหรงก็ถึงกับตาเบิกกว้างทันที
"ต้าต่าน! บุตรชายคนโตของสำนักเถียน ถ้างั้นชายงามผู้นี้! "
หัวหน้าโจรภูเขาแหกปากออกมาอย่างห้ามไม่ได้เมื่อเขาเหมือนจะรับรู้อะไรบางอย่าง ก่อนที่จะหันกลับมามองชายงามที่กำลังยืนยิ้มอย่างสนุกสนานหลังจากที่แก้แค้นภรรยาตนที่ปล่อยเขาร่วงลงพื้นได้สำเร็จ มองโจรหน้าหล่อที่ตอนนี้ใบหน้าถอดสีจนซีดเป็นที่เรียบร้อย
"ใช่แล้วละ ข้าคือเพ่ยจวินหงประมุขสำนักเพ่ยและชายผู้นั้นคือภรรยาของข้าเพ่ยต้าต่านบุตรชายคนโตแห่งสำนักเถียน"
เมื่อสิ้นคำตอบเหล่ากลุ่มโจรถึงกับปล่อยดาบร่วงลงพื้นไม่เพียงแค่ดาบหรอก ร่างกายของพวกเขาก็ทรุดลงกับพื้นด้วยเช่นกัน แต่มันไม่ได้จบลงเพียงแค่นั้นซาหรงนั้นรู้ตัวดีว่าเขาไม่ได้มีฝีมือเก่งกาจอะไรมากและเขาเคยได้ยินชื่อเสียงของต้าต่านมาแล้วว่าเก่งขนาดไหนเพราะฉะนั้นเวลาเจอคนสำนักนี้พวกเขาก็หลีกและไม่เข้าใกล้เด็ดขาดจนได้ยินเรื่องที่ต้าต่านกำลังแต่งงานเป็นภรรยาของประมุขสำนักเพ่ยที่อยู่ไม่ไกลจากแหล่งกบดานของพวกเขา เพราะไม่ได้ศึกษาให้ดีสินะ ระหว่างนั้นเองซาหรงรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่างจากด้านหลังจนรู้สึกหนาวสันหลังเหล่าลูกน้องพอกันหน้าซีดจนเขาไม่อยากจะหันกลับไปมองเลยทีเดียว
ต้าต่านชายแกร่งแห่งเมืองถังซ่านบุตรชายคนโตของตระกูลเถียน
ได้จัดการโจรที่เขียนจดหมายร่วงลงจากเก้าอี้ก่อนที่จะเอาเก้าอี้ตัวนั้นถือไว้ในมือ
คนอะไรถือเก้าอี้ไม้เหมือนถือดาบได้ขนาดนี้
"ในเมื่อพวกเจ้ารู้เรื่องของข้าเช่นนี้แล้ว เตรียมอ้อนวอนขอร้องชีวิตข้าและเตรียมตัวหาอาชีพใหม่ได้เลย โดยเฉพาะเจ้าจวินหง ข้าจะเอาเก้าอี้ฟาดเจ้า! ตายไปพร้อมกับโจรพวกนี้ซะ! "
สิ้นเสียงของต้าต่านร่างสูงก็กระโดดพร้อมกับเก้าอี้ ซาหรงมองเงาที่อยู่เหนือหัวของเขาก่อนที่มันจะลงมาพร้อมกับเก้าอี้ที่ฟาดลง โดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว และแล้วตำนานโจรภูเขาลิงแดงที่พูดถึงความร้ายกาจและความน่ากลัวคงต้องปิดตำนานไว้เพียงเท่านี้แล้วสินะ
อนิจจา...........
ความคิดเห็น