คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : อย่ามาเกี้ยวสามีข้า บทที่๖
บทที่ ๖
เพิ่งจะเข้าหอเมื่อวานวันนี้ปัญหาก็มาแล้วรึ หยางเฉินเหวยและซูหนี่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องรับแขกถึงกลับทำสีหน้าไม่ถูกเมื่อบุตรชายคนโตของพวกเขาที่เพิ่งจะเป็นเจ้าสาวและภรรยาของตระกูลเพ่ยกลับมาสำนักมาพร้อมกับชายหนุ่มอีกคนที่มาจากสำนักเป่ย หยางเฉินเหวยจำได้ว่าเขาเคยส่งคนไปเจรจาเรื่องสัญญาพันธมิตรแต่ถูกปฏิเสธกลับมา เลยไม่คิดจะรุกรานอีกฝ่าย วันนี้ได้เจอลูกชายของสำนักเป่ยครั้งแรกก็ให้ความรู้ว่าคนสำนักนี้น่าสนใจอยู่ไม่น้อยแต่ก็ไม่สมควรมาเจอกันเพราะเรื่องแบบนี้ไม่ใช่รึ
ว่าอีกฝ่ายคือคู่หมั้นของจวินหงลูกเขยของพวกเขา
ต้าต่านยืนกอดอกมองใบหน้างามที่กำลังใช้สายตาไล่อ่านอักษรบนจดหมายที่จางจิ้งหรือเป่ยจางจิ้งที่บอกว่าตนคือคู่หมั้นยื่นให้ ตอนแรกที่เขาได้ยินจางจิ้งบอกว่าตนเองคือคู่หมั้นก็ตกใจอยู่ไม่น้อยแต่พอได้ยินแบบนั้นแล้วก็จัดการลากคออีกฝ่ายมายังสำนักตนทันที นี่แหละ จะเป็นข้ออ้างในการหย่าครั้งนี้ อย่างน้อยสวรรค์ยังเมตตาต่อเขา ไม่คิดเลยว่าจะได้หย่าเร็วขนาดนี้ ดวงตาเรียวคมมองใบหน้างามที่เขาบอกตามตรงเลยว่าใบหน้านั้นงดงามมากจริงๆ แม้จะเสียดายแต่เขาก็ไม่อยากจะเป็นภรรยาของอีกฝ่ายอยู่ดีพอหันมามองจางจิ้งที่ยืนข้างๆ เขากำลังทำสีหน้าหลงใหลในความงามของจวินหงแล้วนั้น
เหมือนเห็นคุณชายจางจิ้งมีหางหมาที่กำลังสะบัดไปมายังไงไม่รู้
เจียนเจี๋ยที่กำลังทำงานเรื่องบัญชีช่วยแม่ของตนได้ยินเสียงโวยวายของพี่ชายเลยรีบมาดู พอบอกว่าจางจิ้งคือคู่หมั้นของจวินหงก็ทำเอาถึงกับตกใจและเครียดอยู่ไม่น้อย ดวงตาสวยมองไปยังพ่อกับแม่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างไม่สบายใจนัก ผิดกับอีกคนที่ยืนกอดอกยกยิ้มอย่างสบายใจราวกับว่ากำลังจะชนะอะไรสักอย่าง
"การที่มาแต่งงานกับข้าแล้วละทิ้งคู่หมั้นเช่นนี้มันสมควรแล้วรึท่านประมุขเพ่ย"
นั่นไงเปิดประเด็นเรียบร้อย ทั้งสามเลยได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อได้ยินต้าต่านพูดออกมาโดยที่ยังไม่รู้ความจริงว่ามันคืออะไร ในขณะที่คนงามอย่างจวินหงยังทำสีหน้าปกติปากสวยแดงระเรื่อยังยกยิ้มบางๆ อยู่ ดวงตาคู่สวยกำลังไล่อ่านอักษรบนจดหมายที่จางจิ้งส่งให้จบแล้ว ซูหนี่ไม่รีรอที่จะเอ่ยถามลูกเขยของนางว่าเรื่องมันเป็นเช่นไรกันแน่เพราะการทำเช่นนี้ไม่ต่างจากการหักหน้าคนสำนักเป่ยเลยแล้วอีกอย่างพวกเขาเองก็ไม่อยากไปวุ่นวายกับคนสำนักนี่เท่าไรนัก เพราะคนสำนักเป่ยมักจะมีความมั่นใจในตัวเองสูงพานจะทำอะไรเดือดร้อนมาสู่สำนักตนก็ได้ ไม่เช่นนั้นตอนนั้นสำนักเป่ยจะเกือบล่มสลายเพราะมั่นใจว่าตัวเองจะชนะปีศาจที่เกินกำลังตนเองรึ
"จวินหง ตกลงมันเรื่องอะไรกันแน่ลูก ว่าคุณชายจางจิ้งเป็นคู่หมั้นของลูก"
สิ้นประโยคคำถามของซูหนี่แทนที่คนโดนถามจะตอบกลายเป็นจางจิ้งที่ตอบแทน โดยมีต้าต่านยืนข้างๆ ให้ท้ายอยู่ ในมันได้แบบนี้สิต้าต่าน เถียนซูหนี่อยากจะลุกไปบีบจมูกลูกตัวเอง
"ท่านพ่อของข้าเป็นคนพูดเองว่าจะให้ข้ากับจวินหงร่วมมือกันเพื่อสานสัมพันธ์ระหว่างสองสำนัก เพราะฉะนั้นข้ากับจวินหงคือคู่หมั้นกันมานานแล้ว หวังว่าท่านประมุขสำนักเถียนคงจะเข้าใจว่าการทำเช่นนี้คือการหักหน้าสำนักเป่ย"
หยางเฉินเหวยเข้าใจดีว่าการกระทำเช่นนี้มันคือการหักหน้าและเสียมารยาทกับอีกฝ่ายอย่างมากแต่เขาไม่รู้ว่าเรื่องราวมันเป็นเช่นไรเพราะลูกเขยของเขายังเงียบอยู่ ต้าต่านได้ทีก็รีบเสริมทัพอย่างรวดเร็ว
"ท่านพ่อเพื่อสำนักท่านอย่าได้ลังเลเลย"
เขาไม่ได้ลังเลเขารอลูกเขยคนงามอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นต่างหาก ทีแบบนี้รักสำนักขึ้นมาเชียวนะเจ้าลูกชาย ในขณะที่ทุกอย่างกำลังตึงเครียดนั้นมือสวยของจวินหงก็ลดจดหมายลงแล้วหันมาหาหยางเฉินเหวยผู้เป็นพ่อตาของตนแล้วเอ่ยในสิ่งที่ถูกต้อง
"ทุกอย่างเป็นเรื่องเข้าใจผิดขอรับท่านพ่อท่านแม่"
เมื่อต้าต่านและจางจิ้งได้ยินคนงามพูดเช่นนั้นก็มองหน้ากันโดยที่คุณชายจางจิ้งเป็นคนพูดขึ้นมาก่อนว่าอะไรคือการเข้าใจผิด เขาได้ยินว่าพ่อของเขาพูดเรื่องนี้กับอีกฝ่ายแล้วยังจะเก็บเป็นความลับเอาไว้รอบอกความจริงกับเขา ดีที่ตอนนั้นความอยากรู้อยากเห็นของเขาทำงานเลยแอบได้ยินเข้า แล้วพอถึงเวลาท่านพ่อก็ส่งให้เขามาอีกฝ่ายเพราะฉะนั้นมันจะเป็นอะไรไปได้นอกจากมารับตัวเพื่อกลับไปแต่งงานที่สำนักเป่ยกันเล่า แม้จางจิ้งจะไม่พอใจในคำพูดเมื่อครู่ของจวินหงแต่พอได้เห็นใบหน้างดงามนั้นแล้วความโกรธความไม่พอใจก็หายไปทันที ในขณะที่เขากำลังจะอ้าปากเพื่ออธิบายความจริงเสียงของต้าต่านชายที่เขาได้ยินเรื่องความเก่งกาจพูดออกมา
"เข้าใจผิดอย่างงั้นรึ ไม่ใช่ว่าเจ้ากำลังจะหาข้อแก้ตัวอยู่รึไง จริงๆ แล้วเจ้ามีจุดประสงค์ไม่หวังดีต่อสำนักข้าใช่ไหม"
ใบหน้างามของจวินหงหันมามองต้าต่านแต่ไม่มีสีหน้าแตกตื่นหรือวิตกกังวลอะไรเลยกลับยกยิ้มให้กับอีกฝ่ายแล้วเดินไปหาหยางเฉิยเหวยเพื่อยื่นจดหมายในมือของตนให้ เมื่อหยางเฉินเหวยรับจดหมายมาแล้วก็ไม่รีรอที่จะเปิดอ่านทันทีมันคือจดหมายของจริงจากสำนักเป่ยไม่ผิดแน่นอนเพราะมีตราประทับอยู่ เมื่ออ่านจบหยางเฉินเหวยถึงกลับพยักหน้าขึ้นลงเลยทันทีทำเอาสองชายหนุ่มอย่างจางจิ้งและต้าต่านรู้สึกได้ถึงสิ่งที่เริ่มไม่ปกติเสียแล้ว
"ที่แท้ก็แบบนี้เองรึ"
ต้าต่านไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาเดินเข้าไปหาพ่อของตนแล้วดึงจดหมายฉบับนั้นมาอ่านเองอย่างเสียมารยาทแต่ก็ไม่มีใครห้าม พอดวงตาเรียวคมไล่อ่านทุกตัวอักษรแล้วก็ถึงขั้นสูดลมหายใจเข้าปอดจนลึก จากนั้นก็หันมามองใบหน้างามยิ้มด้วยรอยยิ้มบางๆ ทำให้ความงดงามนั้นดูดีขึ้นมาอีกขั้นแต่สำหรับต้าต่านมันช่างน่าโมโหยิ่งนัก ร่างสูงถือจดหมายแล้วเดินเข้าไปหาจางจิ้งคุณชายจากสำนักเป่ยพร้อมกับเอาจดหมายในมือตัวเองฟาดลงไปที่อกของจางจิ้งแม้ไม่เต็มแรงมากแต่ก็เล่นเอาอีกฝ่ายร้อง 'อึก' ออกมาเบาๆ มือใหญ่รับจดหมายมาแล้วจ้องมองต้าต่านที่ตอนแรกดูเหมือนจะเข้าข้างตนแต่ตอนนี้อีกฝ่ายจ้องมองเขาราวกับจะบีบคอให้ตาย เขาทำอะไรผิดพลาดไปงั้นรึ
"อ่าน! "
เสียงเข้มพูดเสียงดังใส่จนจางจิ้งแอบตกใจอยู่ไม่น้อยก่อนที่จะทำตามทันที ดวงตาราวกับดวงตาของหมาป่าอ่านจดหมายที่พ่อของเขาให้นำมามอบกับจวินหงตอนแรกที่เขาไม่ยอมเปิดอ่านก็เพราะมั่นใจว่ามันคือจดหมายเชิญอีกฝ่ายไปแต่งงานกับเขาที่สำนัก ภาพในหัวตอนที่ได้รับจดหมายมาคือภาพที่จวินหงเปิดอ่านแล้วดีใจจากนั้นโผกอดบอกรักกันและกัน
แต่ทว่ามัน.............
จดหมายน้อยๆ หลุดลอยจากมือของคุณชายจากตระกูลเป่ยลงพื้นทันที.... เดี๋ยวสิ เขาไม่มีทางเข้าใจผิดแน่ๆ เข้าไม่มีทางเข้าใจผิด!!! พอจวินหงเห็นจางจิ้งยืนนิ่งไปเมื่ออ่านจดหมายจบแล้วก็เริ่มอธิบายเรื่องราวที่เป็นจริงให้ฟัง
"ตอนที่ลูกก่อตั้งสำนักเพ่ยได้ไม่นาน คนของสำนักเป่ยที่หนีมาได้ มาขอความช่วยเหลือจากสำนักของลูก หรือก็คือตอนที่สำนักเป่ยไปท้าทายปีศาจที่เกินกว่าที่ทางสำนักจะสู้ได้ไหว ลูกเลยให้ความช่วยเหลือด้านกำลังและช่วยเรื่องเงินให้การสร้างสำนักใหม่ ตอนที่คุณชายจางจิ้งไปได้ยินคงเป็นตอนที่ประมุขสำนักเป่ยพูดคุยกับลูกว่าเมื่อไรที่สำนักกลับคืนสู่ปกติแล้วจะส่งบุตรชายคนโตของตนหรือคุณชายจางจิ้งมาเป็นศิษย์ของลูกขอรับ แต่ไม่รู้ว่าคุณชายไปฟังช่วงไหนถึงได้เข้าใจว่าเป็นการตกลงหมั้นหมาย"
มันจริงอย่างที่จวินหงเอ่ยพูดออกมาเพราะในจดหมายคือการส่งตัวจางจิ้งให้มายังสำนักเพ่ยเพื่อเป็นลูกศิษย์มันคือการทำสัญญาพันธมิตรในรูปแบบหนึ่งเลยทีเดียวหรือเรียกว่าพันธสัญญากตัญญูก็ได้ หยางเฉินเหวยได้ยินเช่นนั้นก็ยกยิ้มอย่างพอใจเพราะนอกจากเขาจะได้ผูกสัมพันธ์เป็นทองแผ่นเดียวกันกับสำนักเพ่ยแล้วยังได้สำนักเป่ยมาเป็นพันธมิตรทางอ้อมอีก ผิดกับต้าต่านที่ทำสีหน้าไม่พอใจแล้วสะบัดตัวเองออกไปจากห้องทันที ทำเอาซูหนี่ถึงกับถอดหายใจเลยทีเดียว ส่วนจางจิ้งนั้นพอมารู้ความจริงว่ามันคืออะไรก็เหมือนจะเสียใจก่อนจะเอ่ยคำขอโทษที่ก่อความวุ่ยวายและคำอำลาก่อนที่จะเดิมตามออกไปด้วยเช่นกัน หลังจากทั้งสองที่นำเรื่องเข้ามาออกไปแล้วนั้นจวินหงก็เอ่ยพูดต่อ
"ท่านพ่อท่านแม่ลูกขอโทษที่ทำให้เกิดเรื่องเช่นนี้"
หยางเฉินเหวยยกมือโบกไปมาทำนองว่าไม่เป็นอะไร
"เจ้าอย่าได้กังวลไปเลยอย่างน้อยก็นับเป็นดีที่คุณชายจางจิ้งไม่ได้เป็นคู่หมั้นเจ้าจริงๆ ...เจียนเจี๋ย" หยางเฉินเหวยที่บอกกล่าวลูกเขยของตนว่าให้สบายใจว่าเขาไม่ได้โกรธหรือขุ่นเคืองอะไร เขาออกจะโล่งใจด้วยซ้ำก่อนที่จะหันไปเรียกลูกชายคนเล็ก
"ขอรับท่านพ่อ"
"ถ้าหากไม่เป็นการรบกวนลูกเกินไปจัดหาที่นอนให้คุณชายเป่ยด้วย เพราะดูเหมือนเขาจะต้องพักกับเราคืนนี้"
"ได้ขอรับท่านพ่อลูกจะไปจัดการให้"
เจียนเจี๋ยรับคำไหว้วานของพ่อแล้วเดินออกไป โดยจวินหงเองก็ไม่รีรอที่จะขอตัวออกไปด้วยเพื่อจัดการปัญหาที่ก่อจากเขาหรือก็คือจางจิ้งนั้นเองไม่คิดว่าสำนักเป่ยจะส่งมาในช่วงเวลานี้เหมือนกัน
ส่วนทางต้าต่านหลังจากที่เหมือนโดนหักหน้า ซึ่งความจริงแล้วคนที่ควรรู้สึกมากกว่าคือคนที่เดินตามหลังเขาไม่หยุดตอนนี้ ให้ตายเถอะเขานึกว่าสวรรค์จะรักเขาแล้วมายืนข้างเขา ที่ไหนได้ยังไปยืนอยู่ข้างชายงามของจวินหงเหมือนเดิม ต้าต่านที่หงุดหงิดจากความหวังว่าได้เป็นหย่ากับจวินหงยังต้องมารำคาญชายที่มีชื่อว่าจางจิ้งอีก ร่างสูงของต้าต่านหยุดเดินแล้วหันมามองชายที่หน้าหล่อแต่หล่อน้อยกว่าเขาเหมือนกับเหลียนเฟิงอี๋
"จะตามข้ามาทำไม"
"แล้วจะให้ข้าไปไหนละ"
"จะไปไหนก็ไป"
"งั้นข้าไปหาจวินหงก็ได้" จางจิ้งกำลังจะหันหลังจะเดินกลับเส้นทางเดิมเพื่อที่จะไปหาจวินหง จางจิ้งคิดว่าคนงามน่าจะยังไม่ออกมาจากห้องนั้นแต่เสียงเข้มของอีกฝ่ายดังขัดขาเขาเสียก่อนที่ได้ก้าวเท้าด้วยซ้ำ
"ไม่ได้! "
ดวงตาดุจหมาป่าสีเทาหันมามองต้าต่านที่ยืนกอดอกมองเขาด้วยอารมณ์ที่ดูหลากหลายเสียจนคนโดนมองคาดเดาอารมณ์ไม่ถูกเพราะเหมือนจะหงุดหงิดเขารำคาญเขาอยากให้ไปไหนก็ได้ไกลๆ แต่ก็ไม่อยากให้เขาไปหาจวินหง
"ตกลงเจ้าฝ่ายไหนกันแน่ ตอนที่เจ้าได้ยินว่าข้าคือคู่หมั้นทำเป็นบีบน้ำตาเสียใจรึไง"
ก่อนที่ต้าต่านจะลากจางจิ้งมาที่สำนักเถียนนั้นเขาทำเป็นเสียใจบีบน้ำตาว่าเขาไม่รู้เรื่องให้อีกฝ่ายเห็นใจและเชื่อว่าเขาไม่รู้เรื่องจริงๆ แล้วบอกว่าจะทวงความยุติธรรมให้แต่กลายเป็นว่ามันคือเรื่องที่อีกฝ่ายเข้าใจผิดไปเองทั้งหมด แล้วไม่ต้องเดาเลยว่าตอนนี้จวินหงคงรู้สึกชนะเขาอยู่เป็นแน่
"ข้าอยู่ฝั่งข้า ฝั่งข้าก็คือตัวข้า เพราะฉันนั้นเจ้าห้ามไปหาจวินหงเด็ดขาดไม่เช่นนั้นเจ้ากับข้าได้ปะทะฝีมือกันเป็นแน่"
"เฮอะ ทำเหมือนข้ากลัวเจ้านัก ยังไงซะจวินหงจะต้องตกเป็นของข้าในเร็ววัน ในเมื่อเจ้าดูเหมือนจะไม่มีหัวใจให้ก็หลีกทางซะ!"
"เรื่องอะไร จวินหงคือสามีข้า! เจ้าไม่มีสิทธิ์มาเกี้ยว! "
"แล้วไง สามีเจ้าก็เป็นภรรยาข้าได้เหมือนกัน! "
"จะลองดีใช่ไหมเจ้าหมาบ้า! "
"เจ้าว่าใครเป็นหมากัน! "
"ตัวที่ยืนเห่าอยู่ตรงหน้าข้านี่ไง! "
เสียงด่ากันไปกันมาทั้งสองคนนั้นดังมากพอที่ทำให้เด็กฝึกของสำนักเถียนและเหล่าบ่าวในสำนักที่ทำงานเดินไปเดินมาต่างหยุดมองกันก่อนที่เจอบุคคลปริศนาที่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน กำลังยืนพ่นไฟจากปากกับคุณชายใหญ่ต้าต่าน แต่ก่อนที่เหตุการณ์มันจะบานปลายไปมากกว่านั้นร่างของชายที่ร่ำลือถึงความงดงามก็ได้ปรากฏกายต่อหน้าพวกเขาเล่นเอาทุกอย่างเหมือนหยุดนิ่งไปทันทีขนาดจางจิ้งที่กำลังเดือดดาลกับชายที่มีนามว่าต้าต่านที่ด่าเขาว่าเป็นหมาบ้า พอได้เห็นจวินหงเขาก็รู้สงบลงทันที คนงามเดินมาโดยมีรองประมุขสำนักอย่างฮุ่ยเหมยเดินตามหลังมาด้วย
"คุณชายจางจิ้ง ตอนนี้ท่านกับข้าอยู่ในฐานะลูกศิษย์อาจารย์แม้จะยังไม่ทางการ แต่ข้าก็จะขอใช้ฐานะที่ข้าเป็นอาจารย์สิ่งแรกที่จะสอนให้คือการมีมารยาสำรวมอารมณ์ที่ไม่พึงพอใจออกมามากเกินและรักษากิริยาเอาไว้ไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลังก็ตาม"
น้ำเสียงชวนน่าฟังนั้นสั่งสอนจางจิ้งทันทีเพราะขนาดตอนที่จวินหงเดินมายังไม่ถึงจุดที่ทั้งสองยืนทะเลาะกัน ยังได้ยินฟังออกทุกประโยค แม้จะดีใจที่ต้าต่านเรียกเขาว่าสามีแต่ก็เก็บอาการเอาไว้
ดีใจจนแทบจะกระโดดเลยละ
ในเมื่อเขากับคุณชายจางจิ้งอยู่ในฐานะลูกศิษย์อาจารย์แม้จะยังไม่ทางการก็ต้องสั่งสอนตามที่ประมุขสำนักเป่ยได้ขอให้เขาสั่งสอนลูกชายให้เก่งขึ้นตามข้อตกลงสัญญาพันธมิตรเอาไว้
"ขอรับอาจารย์"
น้ำเสียงอ่อนของจางจิ้งนั้นอ่อนลงขนาดที่ว่าลืมไปเลยก่อนหน้านี้ใช้เสียงเช่นไรกับคุณชายใหญ่ตระกูลเถียน ดวงตาคู่สวยเป็นประกายมองจางจิ้งที่สงบท่าทีลงแล้วก็มองไปยังต้าต่านที่ยืนกอดอกแล้วกำลังจะเดินหนีไป แน่นอนว่าตั้งแต่เช้าเพิ่งจะเจอหน้ากันย่อมมีเรื่องของพูดคุยโดยเฉพาะเรื่องข้าวของที่อีกฝ่ายจะต้องเตรียมมีอะไรบ้าง
"เดี๋ยวก่อนที่รัก"
ต้าต่านที่กำลังจะหันหลังเดินหนีโดนคนที่เรียกเขาว่าที่รักมาขัดขว้างแม้จะไม่ชอบแต่ก็หันมาหาอีกฝ่าย ในขณะที่จางจิ้งที่ได้ยินเสียงของจวินหงเรียกต้าต่านว่าที่รักหัวใจของเขาก็รู้สึกเจ็บเล็กๆ เพราะเขาอยากให้คำคำนั้นมาพูดกับตนมากกว่า
"มีอะไรไม่ทราบรึท่านประมุขสำนักเพ่ย"
จางจิ้งที่อิจฉาจากการที่จวินหงให้คำว่าที่รักกับต้าต่านแล้วพอมาได้ยินอีกฝ่ายตอบกลับด้วยน้ำเสียงรำคาญแถมยังเรียกแลดูห่างเหินกันอีก เขาก็อยากจะปะทะทั้งฝีปากและฝีมือกับอีกฝ่ายแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะคนที่โดนกระทำยังไม่ได้เป็นเดือดเป็นร้อนเลยแถมยังยืนนิ่งด้วยใบหน้าที่มีแต่รอยยิ้มอีก อ่า เขาต้องเรียนรู้แบบนี้สินะ จางจิ้งที่พยายามเรียนรู้อยู่นั้น จวินหงก็เอ่ยพูดต่อ
"ข้าแค่จะอยากจะถามเจ้าว่ามีของอะไรที่จำเป็นและสำคัญที่นำไปยังสำนักข้าหรือไม่ ข้าจะได้เก็บให้"
เก็บให้งั้นรึ! จางจิ้งมิอาจทนต่อไปได้แล้ว ก่อนที่เขาจะมาถึงก็ได้ยินเรื่องของต้าต่านกับคนงามอย่างจวินหงมาว่าแท้จริงแล้วเรื่องราวมันเป็นเช่นไร ผู้คนต่างพากันถกเถียงกันว่าต้าต่านอาจจะแกล้งแพ้เพราะได้เห็นความงามจวินหงก็เป็นได้ คนเก่งเช่นนั้นจะมาพ่ายแพ้คนงามที่ดูราวกับเทพธิดาได้อย่างไรกัน แม้ว่าจางจิ้งจะไม่เห็นด้วยว่าจวินหงอ่อนแอกว่าอีกฝ่ายเพราะเขาเคยเห็นตอนต่อสู้มาแล้วแม้จะไม่ได้เห็นทั้งหมดก็ตาม แต่พอมาเห็นต้าต่านและชื่อเสียงที่ร่ำลือไปทั่วยุทธจักร เหล่าจอมยุทธ์ที่ว่ามั่นใจในความเก่งยังรู้สึกหนาวสันหลัง
หรือมันจะจริงที่ว่าต้าต่านแสร้งเป็นพ่ายแพ้
แต่อย่างไรก็ตามเขาไม่อาจจะยอมให้จวินหงอาจารย์คนงามของเขาต้องใช้มือสวยที่แสนสมบูรณ์แบบไปเก็บข้าวของให้กับชายที่นิสัยไม่ดี มือใหญ่ของจางจิ้งนั้นไปคว้ามืออาจารย์ตนขึ้นมากุมไว้โดยไม่ได้รับอนุญาตแต่คนถูกจับมือก็ไม่ได้ว่าอะไรแถมมือใหญ่ก็จับไม่ได้เจ็บอีกด้วยเลยแถมเบาอีกต่างหาก
"อาจารย์ข้าจะเป็นคนเก็บของให้เอง มือของท่านจะได้ไม่เจ็บและไม่มีรอยขีดข่วนหรือเปื้อนไปด้วยสิ่งของต้องมลทิน"
ตรงคำพูดที่ว่า 'สิ่งของต้องมลทิน' จางจิ้งหันขวับมาหาต้าต่านทันทีและแน่นอนว่าคนที่ถูกกล่าวหาก็รู้ตัวเลยทำได้จ้องเขม็งใส่กันไปใส่กันมาถ้าเปลี่ยนจากสายตาเป็นอาวุธแล้วละก็คงปะทะกันจนจบไปหนึ่งบทเพลงแล้ว จวินหงมองแล้วก็สนุกอยู่หรอกแต่จะมามัวเสียเวลาตรงนี้ไม่ได้เขาเลยเอามือตัวเองออกมาจากจางจิ้งทันที
"ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็เดินตามฮุ่ยเหมยไปก็แล้วกัน"
"ขอรับอาจารย์" จางจิ้งรับคำสั่งแล้วเดินตามฮุ่ยเหมยเพื่อไปช่วยเก็บของเพราะรู้สึกว่าเขากำลังจะชนะใจอาจารย์ของตน ซึ่งจริงๆ แล้วจวินหงจงใจต่างหากเพราะจะได้ให้อีกฝ่ายไปที่ไหนก่อนก็ได้ที่ไม่ใช่มาเดินตามภรรยาของเขาเช่นนี้อีก ใบหน้างามหันมองชายหนุ่มที่เป็นภรรยาของเขาแล้ว
อ่า น่ารัก เห็นแล้วอยากแกล้งให้ใบหน้าหล่อๆ เช่นนั้นดูหงุดหงิดมากกว่าเดิม
ดวงตาสวยจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาในขณะที่สมองกำลังคิดว่าเขาจะแกล้งอีกฝ่ายอย่างไรดี ส่วนคนที่โดนมองก็ไม่เข้าใจว่ามองแล้วทำไมไม่พูดอะไร
"มองอะไรไม่ทราบ ถ้าไม่มีอะไรแล้วข้าขอตัว"
"เดี๋ยวก่อนสิ"
"อะไรของเจ้านักหนา อย่าให้ข้าต้องหงุดหงิดจนเอามือบีบคอเจ้านะ"
"ข้าไม่มีอะไรมากนักหรอก ข้าแค่จะให้ช่วยเจ้าช่วยดูบางอย่าง"
"ช่วยดูอะไร? "
ต้าต่านมองอีกฝ่ายที่ใช้มือสวยที่เขาเองก็อดชมไม่ได้ว่าเป็นมือที่สมบูรณ์แบบจริงๆ กำลังเลื่อนไปเอวของตนแล้วดึงบางอย่างออกมามันคือจี้หยกเล็กๆ ที่อีกฝ่ายใส่เพื่อประดับให้สวยงามเพราะที่เอวอีกข้างมีป้ายประมุขสำนักอยู่ มือสวยขอจวินหงยื่นจี้หยกมาด้านหน้า
"ข้าอยากให้เจ้าช่วยดูให้ข้าที"
"ดูจี้หยกเจ้าเนี่ยนะ? "
"ใช่ เพราะข้ารู้สึกแปลกๆ เหมือนจะมีรอยขีดข่วน"
"แล้วทำไมข้าต้องดูให้เจ้าด้วยไม่ทราบ"
"เพราะเจ้ามีดวงตาที่ดูแหลมคมกว่าข้ายังไงละ ช่วยข้าทีว่ามีรอยตรงไหนจะได้ให้ช่างเครื่องประดับไปจัดการให้ข้าใหม่ ดูเสร็จแล้วข้าไม่วุ่นวายเจ้าต่อ เจ้าจะไปไหนก็จะได้ไป"
แล้วจะให้ช่างแก้ทำไม เงินทองก็มีเยอะขนาดที่ว่าพ่อกับแม่ของเขายังไงตกใจ ของเช่นนี้ซื้อใหม่ก็ได้ไม่ใช่รึไงหรือจะมีเพียงชิ้นเดียว? ต้าต่านถอนหายใจอย่างหงุดหงิด เอาเถอะ ดูให้มันจบๆ แล้วเขาจะไปไกลจากอีกฝ่ายสักที เรียกอยู่ได้ ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้หยกแต่ก็ถูกมือสวยที่ถือจี้หยกเลื่อนไปด้านข้างแทนเพื่อจะได้ถูกแสงแดด
"ถ้าโดนแดดส่องน่าจะเห็นง่ายกว่า ข้าคิดแบบนั้นละนะ"
ต้าต่านไม่ได้ว่าอะไรเพราะใช้แสงช่วยก็น่าจะช่วยให้มองเห็นรอยได้ง่ายกว่าเขาเลยขยับมาใกล้หยกมากกว่าเดิมโดยที่เจ้าตัวไม่รู้เลยว่าตอนนี้อยู่ใกล้กับอีกฝ่ายมากแค่ไหน จวินหงยกยิ้มเล็กน้อยก่อนที่ยื่นหน้าและจมูกของตนไปใกล้แก้มเนียนของอีกฝ่าย
จัดการสูดกลิ่นความหอมอ่อนๆ จากแก้มไปเสียเต็มปอด
คนที่จ้องหยกอยู่ก็ไม่ทันได้ระวังตัวพอโดนจมูกของคนงามที่จัดขโมยหอมแก้มก็ได้แต่ตกใจรีบถอยห่างออกมาทันที ใบหน้าหล่อเหลาตอนนี้ดูสับสนและไม่เข้าใจว่าตัวเองโดนอะไรทั้งๆ ที่รู้ว่าโดนหอมแก้ม ในขณะที่คนงามอย่างจวินหงยกยิ้มอย่างพอใจและก่อนที่เขาจะโดนบีบคอจริงๆ ต้องรีบหนีออกไปในขณะที่อีกฝ่ายยังเหวออยู่
เขาชื่นใจแล้วละ
ร่างจวินหงนั้นเดินเร็วเหมือนเหาะหายลับไป ต้าต่านที่เหวออยู่จะไล่ตามก็คงไม่ทันแล้วเพราะตรงที่อีกฝ่ายเดินไปนั้นมันมีทางแยกหลายทางนั้นเอง เผลอๆ เขาอาจจะเสียท่าอีกก็ได้ ว่าแล้วต้าต่านก็ยกมือมาถูตรงที่โดนจมูกอีกฝ่ายสัมผัสอยากจะโวยวายใส่คนงามแต่ก็คงไม่ได้ยินแล้วเลยทำได้แค่กระทืบเท้าอยู่ตรงนั้นเพราะเขาเสียรู้อีกฝ่ายอีกแล้ว ก่อนที่จะหันไปมองบ่าวไพร่และเด็กฝึกที่ยืนยิ้มกันอยู่เพราะคงจะเห็นภาพเมื่อครู่เป็นแน่
"ยืนยิ้มอะไรกัน! ไม่มีงานมีการทำกันรึไง! หรือจะให้ข้าสั่งคว้าลูกตาพวกเจ้า! "
น้ำเสียงเข้มดุขนาดนั้นเหล่าบ่าวไพร่และเด็กฝึกสำนักก็พากันสะดุ้งแล้วรีบลงไม้ลงมือทำงานต่อบางก็รีบเดินหนีไปจากตรงนั้นทันที พอดวงตาเรียวคมเห็นเช่นนั้นก็ไม่ได้ช่วยให้เขาอารมณ์เย็นได้เลย
วันนี้เขาแพ้อีกฝ่าย สองครั้งแล้วนะ
ต้าต่านเดินกระทืบเท้าอย่างไม่พอใจกับการที่เขาต้องแพ้อีกฝ่ายไม่ว่าจะทางไหนก็ตามกลับไปยังห้องของตัวเองที่ไม่ใช่ห้องหอเมื่อคืน เมื่อมาถึงห้องที่เคยมีข้าวของบัดนี้มันวางเปล่าเหลือเพียงโต๊ะน้ำชาและเตียงนอนที่ไร้ซึ่งหมอนผ้าห่ม ดอกไม้หรือข้าวของที่ประดับล้วนถูกเก็บไปหมด จากอารมณ์หงุดหงิดไม่พอใจก็รู้สึกโหว่งๆ ในอกแทน มันเหมือนกับน้ำในโถที่ถูกเทลงพื้นดินแล้วเหือดแห้งไป
"นี่ข้าต้องไปอยู่สำนักเพ่ยแล้วจริงๆ รึ"
ถามใคร? แล้วใครจะตอบ? เพราะในห้องกว้างว่างเปล่านี้มีเพียงแค่เขาเท่านั้น แม้ว่าเขาจะเคยดื้อไปเที่ยวเล่นเมืองอื่นแต่สุดท้ายเขาก็กลับสำนักตัวเองอยู่ดี กลับมาหาพ่อกับแม่และทะเลาะกับน้องชายจอมแสบ ไม่เคยอยู่ค้างที่อื่นนานเลย ร่างสูงย้ายตัวเองไปนั่งลงที่เก้าอี้ตรงโต๊ะ ในขณะที่ต้าต่านรู้สึกในอกมันว่างเปล่า ร่างของซูหนี่ผู้เป็นแม่ที่มาพร้อมกับหญิงรับใช้สองคน นางมาห้องของต้าต่านเพื่อตรวจดูเมื่อเห็นลูกชายของตนก็ให้หญิงสาวรับใช้ไปที่อื่นก่อน ต้าต่านมองร่างของแม่ที่เดินมาหาแล้วนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ เขา
"เป็นอะไรไป อยากร้องไห้อำลาแม่รึไง"
"ใช่ที่ไหนเล่าท่านแม่ สำนักเพ่ยอยู่แค่ตีนเขาเหอกวานใช้เวลาเดินทางไม่กี่ชั่วยามเอง"
"แล้วทำไม่ทำสีหน้าเช่นนี้เล่า"
มือสวยทั้งสองข้างของซูหนี่ยื่นไปจับใบหน้าลูกชายคนโตแล้วจับส่ายไปส่ายมาเบาๆ อย่างเอ็นดูก่อนที่มือเรียวของต้าต่านจะยกมาจับมือของแม่อย่างเบามือเพื่อให้หยุดจับหน้าเขาส่ายไปมาเสียที
"ลูกไม่อยู่แล้วท่านคงไม่เหงาใช่ไหม เพราะไม่มีใครให้ท่านดุแล้วนะ"
"เจ้าลูกบ้า แม่จะได้พักบ้างน่ะสิ ไปอยู่นู่นอย่าเผาสำนักเขาละ"
ต้าต่านยกยิ้มไม่พูดอะไรกลับไปก่อนที่ซูหนี่จะให้คนเข้ามาจัดการข้าวของในห้องให้เรียบร้อยเพราะพรุ่งนี้เช้าจะได้ออกเดินทางกันเลยในขณะเดียวกันนั้นเองคุณชายใหญ่ของตระกูลเถียนก็เพิ่งจะนึกได้ว่าในเมื่อเตียงนอนของเขาก็เก็บแล้วห้องหอก็นอนไม่ได้แล้ว คืนนี้เขาจะต้องไปนอนที่ไหน พอได้ถามท่านแม่ก็ทำให้รู้ได้ทันทีว่าเขาต้องไปนอนห้องใหม่ที่จัดไว้ให้เฉพาะนอนคืนนี้นั้นเอง และแน่นอนว่าพระอาทิตย์ยังไม่ทันได้ลับขอบฟ้าดี ต้าต่านที่รีบอาบน้ำและไปกอดหมอนวิ่งมายังห้องห้องหนึ่งที่เขาเคยมาวุ่นวายไม่กี่ครั้งยกมือเคาะประตูระรัวหวังว่าอีกฝ่ายที่อยู่ในห้องจะได้เปิดประตูให้เขาเร็วที่สุด พอบุคคลในห้องเปิดประตูออกมาก็ต้องหน้านิ่วคิ้วขมวดทันทีเมื่อเห็นร่างชายที่คุ้นตายืนกอดหมอนอยู่หน้าประตู
"มาห้องข้าทำไม"
"ข้านอนด้วยคนสิเจียนเจี๋ย"
นั้นก็คือห้องของเจียนเจี๋ยน้องชายของเขานั้นเอง
"ไม่ได้! "
"ต้องได้! "
ร่างสูงเตรียมจะพุ่งเข้าไปในห้องแต่โดนร่างน้องชายจอมแสบกั้นเอาไว้ไม่ให้เข้าไป ต้าต่านเริ่มทำสีหน้างอแงอีกครั้งทำเอาเจียนเจี๋ยถึงกับถอนหายใจเลยทีเดียว
"เจ้าจะบ้ารึไงแต่งงานแล้วเจ้าควรไปนอนกับสามีเจ้า"
"เจ้าไม่กลัวข้าโดนข่มเหงรึ? "
"ใครจะข่มเหงใครกันแน่ กลับไปซะ"
"เจ้าจะใจร้ายกับข้าแบบนี้ไม่ได้นะเจียนเจี๋ย!!! "
น้องเล็กตระกูลเถียนถึงกับยกมือมานวดขมับตัวเองถ้าตอนนี้ชายตรงหน้าไม่ได้ตัวโตจนหัวจะชนขอบประตูด้านบนแล้วละก็คงลงไปนอนดิ้นๆ กับพื้นแล้ว เอาเถอะ เพราะอย่างไรซะอีกฝ่ายก็เป็นพี่ชายของเขาแถมพรุ่งนี้ก็ต้องไปอยู่สำนักเพ่ยแล้ว เจียนเจี๋ยก็เลยอนุญาตให้เข้าในห้องของเขาเพราะเตียงก็กว้างอยู่ ในขณะที่ต้าต่านกำลังยกยิ้มอย่างดีใจที่น้องชายยังใจดีกับเขาอยู่นั้นเอง มีร่างเงาของใครบางคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของต้าต่านพร้อมกับพูดขึ้นมาว่า
"ที่รักกลับห้องนอนกันเถอะ"
สองพี่น้องตระกูลเถียนเจอปีศาจมาก็เยอะ ปราบผีก็เคยทำมาแล้วแต่ยังไม่เคยผวาเท่าสิ่งที่เกิดตรงหน้าตอนนี้เลย สองพี่น้องที่นานๆ จะกอดกัน ก็โผเข้ากอดกันทันทีขนาดหมอนต้าต่านยังปล่อยลงพื้น แม้ไม่มีเสียงโวยวายอะไรออกมาจากแต่พากันหน้าซีดเลยทีเดียว
จวินหง งั้นรึ มาตอนไหนกัน นึกว่าท่านแม่เสียอีก ใจหายหมด
ทั้งสองปล่อยกอดทันทีเมื่อรู้ว่าใคร ใบหน้างามยกยิ้มเล็กน้อย ต้าต่านเห็นว่าอีกฝ่ายรู้ว่าเขามาที่ห้องเจียนเจี๋ยก็รีบหยิบหมอนมาพื้นแล้วไปหลบด้านหลังน้องชายทันที
"ข้าจะนอนนี่"
เจียนเจี๋ยที่โดนพี่ชายเอาตัวเองมายืนบังกั้นจากอีกฝ่ายที่เป็นสามี เขาเลยได้ยิ้มเจื่อนๆ กับจวินหงว่าเขาเองก็ไม่รู้จะช่วยยังไงเช่นกัน
"งั้นรึ ข้าก็ไม่ได้ว่าอะไร พี่น้องต้องห่างไกลคงมีเรื่องต้องคุยกัน ถ้าเช่นนั้นรับสิ่งนี้ไปสิ"
จวินหงยืนห่อกระดาษเล็กๆ โดยคนที่รับก็คือเจียนเจี๋ยนั้นเอง
"มันคืออะไรรึ? พี่เขย"
"มันคือดอกเอี่ยกำเก็กบด (เอี่ยกำเก็ก = คาโมมายล์หรือคาโมไมล์) ข้าอยากให้เจ้าลองชงดื่มถ้าเจ้าชอบข้าจะให้คนส่งมาให้"
"ขอบคุณพี่เขย"
"งั้นข้าขอตัวก่อน” แต่ก่อนที่จะไปจวินหงก็มองไปยังบุคคลด้านหลังหรือภรรยาของตนก่อนที่จะเอ่ยบอกว่า “ฝันดีนะที่รัก"
"แต่ข้าขอให้เจ้าฝันร้ายไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีกเลยก็แล้วกัน"
เจียนเจี๋ยอย่าจะตีปากพี่ชายที่พูดจาไม่เป็นมงคล แต่เขาก็ไม่อยากจะทำมันต่อหน้าจวินหงที่ยกยิ้มแล้วเดินกลับไปแล้วสองมือเจ้าของห้องเลยรีบจัดการปิดประตูทันทีแล้วไล่ให้พี่ชายของตัวเองเอาหมอนไปไว้ที่เตียงนอนเพราะเขาจะชงดอกเอี่ยกำเก็กให้ดื่มนั้นเอง นับว่านานๆ จะเจอดอกเอี่ยกำเก็กบดเพราะปกติจะเจอแต่ดอกตากแห้งมากกว่าเนื่องจากต้นทุนการทำค่อนข้างยากเลยทำให้มีราคาสูงนั้นเอง พอเจียนเจี๋ยเปิดห่อดูก็พบว่ามีบางอย่างอยู่ ถ้าไม่สังเกตคงมองเป็นน้ำตาลหรือยิ่งคนไม่ชอบสังเกตคงไม่ได้ใส่ใจหรือไม่ทันได้มองเห็นสิ่งนี้
พี่เขยเขาก็ร้ายกาจไม่เบาเหมือนกัน
แล้วเขาเองก็ไม่ใช่คนดีมากอีกด้วยว่าแล้วเขาก็จัดการชงให้กับพี่ชายเพื่อให้ดื่ม มันไม่ได้สิ่งที่ร้ายแรงอะไรมากนักหรอกแต่สำหรับคนดื้ออย่างพี่ชายแล้วสิ่งนี้ก็พอจะกำราบได้บ้าง ต้าต่านผู้ที่ไม่ได้รู้อะไรเลยก็ยกมาดื่มอย่างสบายใจก่อนที่จะเดินไปที่เตียงนอนแล้วหลับไปในทันทีภายในเวลาไม่นาน เมื่อเจียนเจี๋ยเห็นพี่ชายหลับไปแล้วก็เดินไปเปิดประตูห้องให้ชายที่เพิ่งจะกลับไปเข้ามาในห้อง คนนี้ก็รู้เวลาเสียจริง
เพราะสิ่งนั้นมันคือยานอนหลับชนิดเบาที่เอาไว้ให้คนนอนหลับยากได้หลับง่ายขึ้นนั้นเอง พอมาผสมกับดอกเอี่ยกำเก็กบดที่ทำให้ผ่อนคลายแล้ว จะให้หลับสนิทหลับสบายและนอนเต็มอิ่มนั้นเอง
"ข้านึกว่าจะไม่ช่วยเสียแล้ว"
"เตียงนอนข้าเล็กเพราะข้านอนคนเดียว จะให้พี่ชายมานอนทั้งๆ ที่พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางก็อาจจะทำให้เพลียได้แถมพี่เขยกับพี่ชายข้าก็ตบแต่งเป็นสามีภรรยากันแล้วด้วย"
"ขอบใจเจ้ามากเจียนเจี๋ย"
จวินหงเอ่ยคำขอบคุณเจียนเจี๋ยก่อนที่จะหันมาหาต้าต่านแล้วโค้งตัวลงเล็กน้อยเพื่อจะให้มือของเขาไปสัมผัสที่เส้นผมที่บดบังใบหน้าหล่อเหลา เจียนเจี๋ยมองการกระทำของมือสวยยิ่งกว่ามือของเขากำลังเกลี่ยเส้นผมของพี่ชายอย่างอ่อนโยน แม้เขาจะไม่รู้จักอีกฝ่ายมากนักและไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้ชายผู้นี้ดูรักพี่เขามาก แต่ภาพที่เขาเห็นคือชายที่อ่อนโยนคนหนึ่งเลยทีเดียว
"ให้ข้าอุ้มไปส่งให้ดีหรือไม่"
"ไม่ต้องหรอก ภรรยาข้า ข้าอุ้มเอง"
อุ้มเองรึ? จะไหวหรือ? เจียนเจี๋ยกำลังจะอ้าปากว่าให้เขาอุ้มให้เองเถอะเพราะเขาดูจะมีเรี่ยวแรงมากกว่าแต่ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยขออาสาอุ้มร่างพี่ชายไปส่งให้ แขนยาวของจวินหงก็จัดการอุ้มร่างต้าต่านขึ้นมาจากเตียงอย่างง่ายดายราวกับว่าพี่ชายของเขานั้นคือหมอนใบหนึ่งเท่านั้น
ไม่รู้ว่าจะทึ่งหรือจะอึ้งก่อนดี
"ราตรีสวัสดิ์"
เจียนเจี๋ยยืนนิ่งจากภาพที่เห็นก็ได้แต่พยักหน้าโดยไม่ได้ตอบอะไรออกไปปล่อยให้จวินหงหรือพี่เขยพาร่างของพี่ชายออกไปจากห้องที่เขาเปิดประตูทิ้งไว้ กว่าจะได้สติก็ตอนที่เขาได้ตั้งคำถามกับตัวเองว่า
พี่ชายเขาโดนอีกฝ่ายข่มเหงจริงรึ?
พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าแสงไฟในสำนักเถียนเริ่มพากันสว่างแต่ก่อนที่จะสว่างจนมองเห็นไปทั่วสำนัก จวินหงก็ได้อุ้มร่างชายผู้เป็นภรรยาของตนกลับมาถึงห้องโดยมีฮุ่ยเหมยคอยเปิดและปิดประตูให้และค่อยสกัดจางจิ้งไม่ให้เข้ามาวุ่นวายอีกด้วย ร่างงามเดินไปยังเตียงนอนที่ท่านแม่ซูหนี่จัดเตรียมเอาไว้อย่างดีจนให้ความรู้สึกเกรงใจถ้าหากปฏิเสธไม่ใช่มัน เขาจัดการวางร่างที่หลับสนิทของต้าต่านลงบนเตียงนอนอย่างเบามือจัดการดึงผ้าห่มบางๆ ที่เหมาะกับอากาศมาห่มร่างอีกฝ่ายก่อนที่เขาจะนั่งลงขอบเตียงมองใบหน้าหล่อ มือสวยยื่นไปเกลี่ยแก้มเนียนที่เขาได้ขโมยหอมแก้มไปแล้ว
"ถ้าหากข้าเป็นคนใจร้ายหรือนิสัยไม่ดีข้าคงไม่ทนรอให้เจ้าปลงใจกับข้าหรอกนะต้าต่าน"
พูดจบใบหน้างามก็เคลื่อนไปใกล้ใบหน้าหล่อแล้วจัดการใช้ปากของเขาบรรจงประทับลงที่หน้าผากมนของคนหลับแล้วไล่จูบสันจมูกจนมาถึงปากปิดสนิทของคนหลับแล้วโดยใช้ปากของตนสัมผัสและกดลงอย่างแผ่วเบาแม้สัมผัสแค่ภายนอกแต่ทำให้รู้สึกชื่นใจอยู่ดี จวินหงละใบหน้าออกมาแล้วมองอีกครั้ง
"ข้าอยากจะลักหลับเจ้าจริงๆ ต้าต่าน"
ถ้าหากเขาไม่ได้สัญญาว่าจะไม่ทำอะไรอีกฝ่ายจนกว่าจะตกลงปลงใจกับเขาละก็.......เอาเถอะ สัญญาก็คือสัญญา ว่าแล้วร่างงามก็ไปจัดการอาบน้ำเพื่อที่จะได้มานอนเพราะพรุ่งนี้จะต้องเดินทางแต่เช้านั้นเอง อย่างน้อยคืนนี้เขาก็ได้ร่างแมวกลับมานอนกอดละนะ
ความคิดเห็น