ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Mpreg] อย่ามาเกี้ยวสามีข้า [Yaoi + เมะสวย]

    ลำดับตอนที่ #6 : อย่ามาเกี้ยวสามีข้า บทที่๕

    • อัปเดตล่าสุด 8 ก.ค. 66


    บทที่ ๕



         ในวันงานแต่งงานของต้าต่าน ห่วงลู่ไม่ได้ไปร่วมงานด้วยเนื่องจากเขาปฏิเสธเพราะในงานมีแต่คนใหญ่คนโต แม้ว่าบุตรชายคนเล็กของตระกูลอย่างเจียนเจี๋ยจะมาชวนไปงานด้วยตัวเองหรือมีจดหมายที่ให้เข้าร่วมงานส่งมาหาเขาก็ตาม โดยที่เขาคิดว่าเดี๋ยวไปร่วมแสดงความยินดีทีหลังก็ได้ซึ่งต้าต่านน่าจะเข้าใจเขามากที่สุด แต่ไม่คิดว่าจะเข้าใจมากขนาดมายืนเคาะประตูหน้าร้านของเขาตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นขนาดนี้

         คงไม่ได้มายืนเพื่อรอเขาแสดงความยินดีหรอกนะ

         มองดูจากสภาพผมยุ่งเหยิงที่ถูกหวีและรวบผมแบบลวกๆ เสื้อผ้าที่ยังสวมใส่ไม่เรียบร้อยกับสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์ของเจ้าตัวแถมสิ่งที่บ่งบอกได้เลยว่าอีกฝ่ายรีบร้อนมากแค่ไหนจากร่องรอยเครื่องสำอางที่ยังติดอยู่บนใบหน้า แต่มันสมควรแล้วรึ ที่คนเพิ่งจะเข้าหอเมื่อวานมายืนหน้าบ้านคนอื่นเขาแบบนี้แถมยังเป็นฝ่ายเจ้าสาวอีกด้วย

         "จะหาเรื่องมาพังเก้าอี้ข้าอีกงั้นรึ"

         ดวงตาเรียวคมของต้าต่านมองหน้าเพื่อนรักของตนที่ทำหน้าเอือมนะอาใส่เพราะช่วงนี้เขามาหาอีกฝ่ายบ่อยมากกว่าเดิม แถมมาแล้วเก้าอี้ก็มักจะพัง ไม่เกิดจากเขาทางตรงก็ทางอ้อม อีกอย่างเมื่อคืนเขาก็เพิ่งจะพังเก้าอี้ที่ห้องหอไปอีก พอนึกถึงขึ้นมาเขาก็รู้สึกหงุดหงิดทันที ตั้งแต่ใช้ชีวิตมาเขาไม่เคยโดนใครข่มเหงแบบนี้มาก่อน

         "จะให้ยืนอีกนานไหม ให้ข้าจะเข้าไปได้รึยัง"

         ห่วงลู่ถอนหายใจแล้วเท้าเอวใส่หน้าเพื่อนหน้าตาหล่อเหลา นี่เขาจะต้องพูดหรือจะต้องอธิบายสักกี่ครั้งกี่ครา อีกฝ่ายถึงจะเข้าใจเสียทีว่ามันไม่เหมาะไม่ควร แล้วเพิ่งจะเข้าหอไปเมื่อวานวันนี้ยืนหน้าบ้านคนอื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง จะรู้ตัวหรือไม่ว่าตอนนี้มีอีกหนึ่งบทบาทที่กำลังสวมอยู่คือบทภรรยาผู้อื่น

         "ต้าต่าน ข้าจะต้องอธิบายให้เจ้าฟังกี่ครั้งถึงจะเข้าใจว่าตอนนี้เจ้าไม่ใช่เถียนต้าต่านแล้ว เจ้าคือเพ่ยต้าต่าน"

         "ข้ารู้ว่าการที่จะมาหาชายอื่นมันไม่ควร ทั้ง ๆ ที่เพิ่งจะเข้าหอเมื่อคืน..."

         "ในเมื่อเจ้ารู้แล้ว เจ้ายังจะมาหาข้าอีกทำไม"

         "ก็ข้าไม่อยากอยู่สำนักนี่นา อีกอย่างข้าก็ไม่ได้มีเพื่อนเยอะมีแค่เจ้ากับเฉิน"

         ได้ยินเช่นนี้เล่นเอาถึงกับไม่กล้าไล่ให้กลับเลยทีเดียว สุดท้ายก็ตัดสินใจให้เข้ามานั่งด้านในโดยในใจหวังว่าจะไม่ทำเก้าอี้พังอีก ร่างของต้าต่านเดินมายังโต๊ะตัวเดิมแต่เก้าอี้ตัวใหม่ ห่วงลู่เลยไปยกน้ำชามาให้อีกฝ่ายได้ดื่มก่อนพระอาทิตย์ขึ้นเพราะดูจากอาการแล้วหรือเมื่อคืนจะหนักเกินไป ดวงตาเรียวคมมองเพื่อนที่สวมชุดนอนถือถาดที่มีกาน้ำชาและถ้วยชามาวางที่โต๊ะก่อนที่จะริมให้ กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชา ทำให้รู้สึกผ่อนคลายอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง

         "ดื่มชานี่ซะจะได้สดชื่น ครั้งแรกก็จะเพลียๆ แบบนี้แหละ"

         ต้าต่านที่กำลังยื่นมือไปยกถ้วยชาที่ถูกริมให้ก็ถึงกับชะงักเมื่อได้ยินประโยคที่ห่วงลู่เพื่อนของเขาพูดออกมา ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าพูดถึงอะไรชายหนุ่มเลยดึงมือกลับมาตีโต๊ะแทนเล่นเอาห่วงลู่ตกใจรีบยกมือไปจับถ้วยชาไม่ให้หกทันที

         "เพลียอะไรของเจ้าแล้วครั้งแรกหมายความว่าอย่างไร?! "

         "อ้าว เข้าหอก็ต้องทำเรื่องบนเตียงสิ เข้าหอนั่งเล่นหมากรุกกันรึ"

         "มันไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ มีแต่เจ้านั้นที่ข่มเหงข้า! "

         ต้าต่านพูดจบก็ยื่นมือไปยกถ้วยชาขึ้นมาเพื่อจิบชาร้อนให้อารมณ์ที่เดือดพล่านให้เบาลงแต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ยิ่งนึกถึงเมื่อวานที่โดนอีกฝ่ายจับเขานอนกอดรัดราวกับตุ๊กตาตัวใหญ่แล้วยังโดนอีกฝ่ายลักขโมยหอมแก้มและจูบปากเขาอีก สู้ดิ้นรนกันไปมาสุดท้ายไม่รู้จบลงยังไงแต่เขาจำได้ว่าเก้าอี้พังไปสองตัวหลังจากที่โดนเข็มยาอีกเข็มทิ่มเข้าที่ลำคอ คิดไม่ถึงเลยกว่าจวินหงจะเก็บเข็มพวกนี้เอาไว้ตามตัวได้ แล้วมันทำให้เขารู้ว่าทำไมวันนั้นถึงแพ้อีกฝ่ายเพราะพัดที่ใช้สู้กับเขามันมีเข็มพวกนี้นั้นเองและยิ่งใช้วิชาที่ไม่มีสำนักใช้แล้วอย่างวิชาเชิดหุ่นจากเส้นด้ายที่โปร่งใสแต่มีความเหนียวมากพอที่จะบังคับร่างกายอีกฝ่ายให้ขยับตามที่ตัวเองต้องการ

         วิชาจะล้ำลึกเกินไปรึเปล่า

         ในขณะที่ต้าต่านกำลังนึกถึงเรื่องของจวินหงที่ใช้วิชาเช่นนั้นได้อย่างชำนาญแถมยังใช้โดยที่เขาไม่รู้ว่าใช้ตอนไหนนั้นอีก ห่วงลู่ที่ได้ยินว่าต้าต่านโดนจวินหงข่มเหงมันฟังแล้วเมื่อได้ยินคำโกหกคำโตเลย

         "เจ้าเนี่ยนะโดนข่มเหง"

         ดวงตาเรียวคมเหลือบมองเพื่อนตัวเองที่ใช้น้ำเสียงเช่นนั้น น้ำเสียงที่ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เขาพูดออกไป

         "ข้าก็ไม่ได้ภูมิใจกับการโดนข่มเหง แล้วจะเอ่ยพูดออกมาให้เจ้ามาเห็นใจข้าหรอกนะ"

         "ข้าขอโทษเจ้าก็แล้วกันเพื่อนรัก จากนี้เจ้าจะทำเช่นไรต่อไป อย่างไรซะเจ้าก็ต้องย้ายไปอยู่สำนักเพ่ยแล้วอีกอย่างต้องใช้ชีวิตคู่ด้วยกันจนแก่เฒ่าอีก"

         "หึ ข้าเนี่ยนะจะใช้ชีวิตคู่กับเจ้านั้นจนชีวิตแก่เฒ่า ข้าจะต้องหาทางหย่าให้ได้"

         "เพิ่งจะแต่งงานนึกถึงการหย่าแล้วรึ"

         "ใช่ ข้าคิดก่อนแต่งงานแล้วด้วยซ้ำ แต่ยังไม่รู้วิธีจะทำเช่นไรให้เกิดการหย่าได้ โดยที่ข้าคือคนต้องการหย่าด้วย"

         ห่วงลู่เหมือนตัวเองตามไม่ทันเท่าไรแต่พอลองมานึกตามแล้วก็พอจะเข้าใจในสิ่งที่ต้าต่านพูดเพราะการหย่าโดยปกติแล้วต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำผิดแล้วทำให้คู่ครองชีวิตของตนไม่พอใจแล้วทำการหย่าและแน่นอนว่าการหย่าร้างกันนั้นฝ่ายที่โดนขอหย่าถ้าหย่ากันด้วยดีโดยเป็นเรื่องของผลประโยชน์ก็พอจะทำให้คนที่โดนขอหย่ามีชีวิตที่ไม่ตกเป็นขี้ปากชาวบ้านแต่เท่าที่เขาเคยเจอมาคนที่โดนขอหย่ามักจะกลายเป็นคนหลายใจไม่ก็ทำเรื่องเสื่อมเสีย

         ไม่ต้องถามเลยว่าโดยส่วนใหญ่จะถูกใส่ร้ายเสียมากกว่าจะเป็นเรื่องจริง

         "โดยส่วนใหญ่ที่ข้าเจอมักจะเป็นคนหลายใจหรือคบชู้หลายคน เอาแบบนี้ไหมในเมื่อเหลียนเฟิงอี๋ชอบจวินหงเจ้าก็ให้เจ้านั้นเกี้ยวจวินหงจนอีกฝ่ายตกไปเป็นภรรยาหลังจากนั้นเจ้าก็ขอหย่าได้"

         ปัง!

         ห่วงลู่สะดุ้งเมื่อเขาพูดจบมือเรียวของต้าต่านก็ตบลงบนโต๊ะของเขาอีกครั้งถึงจะตกใจมากแค่ไหนมือของเขาก็ไวพอที่จะจับถ้วยชาและหูกาน้ำชาไว้ได้ทัน นี่ตกลงจะไม่ใช่แค่เก้าอี้ใช่ไหมที่จะพัง แล้วเขาพูดอะไรผิดให้ต้าต่านไม่พอใจงั้นรึเขาแค่ลองเสนอวิธีให้ก็เท่านั้นเอง

         "ไม่ได้"

         น้ำเสียงทุ้มของอีกฝ่ายตอบออกมาอย่างชัดเจนจนห่วงลู่ไม่เข้าใจ ในเมื่อต้องการหย่าถ้าให้เหลียนเฟิงอี๋ไปเกี้ยวจวินหงแล้วทำให้จวินหงกลายเป็นภรรยาของอีกฝ่ายมันเท่ากับหักหน้าภรรยาในจวนของตนเชียวนะ แถมต้าต่านก็เป็นลูกชายสำนักเถียนที่ใหญ่มากพอจะทำอะไรก็ได้ เผลอๆ ใส่ร้ายให้อีกฝ่ายมากกว่าความเป็นจริงก็ได้อีกด้วย

         "ทำไมกันเล่า? "

         "ยังจะมาถามมาอีก เหลียนเฟิงอี้เป็นสองรองจากข้ามาตลอดแถมเจ้านั้นก็ประกาศต่อหน้าข้าว่าจะแย่งจวินหงไปจากข้าถ้าเจ้านั้นแย่งไปได้ข้าก็แพ้น่ะสิ"

         อ้าว ประกาศอะไรเช่นนี้กันตอนไหนล่ะนั้น แต่เอาเถอะให้เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว

         "งั้นเจ้าก็ให้ชายอื่นมาเกี้ยวแทนสิ"

         "ก็ไม่ได้อีกนั่นแหละ"

         ห่วงลู่ถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างเหน็ดเหนื่อย

         "ทำไมไม่ได้อีกเล่า!? "

         "นี่ห่วงลู่ ข้าอยู่ในฐานะภรรยาของจวินหง แล้วอยู่ ๆ สามีของตัวเองไปภรรยาของคนอื่น มันหักหน้ากันชัดๆ แถมข้าคือเถียน ต้าต่านชายผู้ไม่เคยแพ้ใคร แค่มีข่าวแพ้จวินหง เปรียบเสมือนข้าเป็นหงส์แล้วกลายเป็นไก่ นี่ถ้าข้าโดนแย่งสามีไปอีก ข้าคงเป็นกลายเป็นแค่ลูกเจี้ยบน่ะสิ เฮอะ ไม่ได้เด็ดขาดข้าต้องหาวิธีอื่น"

         "แล้วเจ้าจะทำเช่นไรต่อ? "

         "ข้าจะต้องรู้จุดประสงค์ของจวินหงให้ได้"

         "จุดประสงค์งั้นรึ? "

         "ใช่ จวินหงไม่ใช่คนธรรมดา ใช้วิชาต่อสู้ที่น้อยสำนักจะร่ำเรียนกัน แถมยังชำนาญจนน่าประหลาดใจ ทั้ง ๆ ที่ความสามารถขนาดนั้นทำไมเพิ่งจะมาหาเรื่องปะทะฝีมือกับข้าหลังจากที่ป่าวประกาศที่โรงเตี้ยมแล้ว คงจะใช้ช่องว่างนี้ทำอะไรสักอย่างเป็นแน่"

         ห่วงลู่รู้สึกขอบคุณตัวเองที่เกิดมาใช้ชีวิตเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งไม่ได้เกิดมาในตระกูลสูงอย่างใครเขา และอย่างน้อยเขาก็โชคดีที่เกิดมาธรรมดาแต่มีอาชีพทำมาหากินได้ไม่อดตาย พอฟังเรื่องที่ต้าต่านคาดเดาเขาก็แทบจะคิดตามไม่ทันแล้ว

         "เอาเถอะ เจ้าอยากจะทำอะไรก็ทำไป แต่ระวังตัวเอาไว้ก็ดี จริงสิ ข้าอยากจะถามเจ้าเรื่องหนึ่ง หน้าผากของเจ้าไปโดนอะไรมา"

         เขาสังเกตมาสักพักแล้วตั้งแต่อีกฝ่ายเข้ามาโดนแสงเทียนในห้องของเขาเพียงแค่ยังไม่มีช่องว่างได้เอ่ยถาม ตอนแรกเขานึกว่ารอยแต่งแต้มของเครื่องสำอางแต่พอมองแล้วมันเป็นรอยแดงๆ ออกม่วงเหมือนรอยช้ำ

         "เรื่องของข้า"

         "ไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร แต่ก่อนที่ข้าจะไปอาบน้ำล้างหน้าล้างตา ข้าอยากจะบอกอะไรเจ้าอีกอย่าง"

         "เจ้าจะบอกอะไรข้าห่วงลู่"

         "เจ้าน่ะ ไม่ใช่ ‘เถียนต้าต่าน’ แล้วเจ้าคือ ‘เพ่ยต้าต่าน’ ต่างหาก"

         "เจ้าอยากซื้อเก้าอี้ใหม่อีกงั้นรึเพื่อนรัก คราวนี้ข้าไม่ออกเงินให้ด้วย"



         .....................................

         สำนักเถียน

         บนโต๊ะอาหารเช้าวันนี้ผู้คนจะอยู่เกือบครบขาดแต่เพียงต้าต่านที่หายหัวไปตั้งแต่เช้า พอถามเหล่าบ่าวไพร่ที่ตื่นเช้าก่อนพระอาทิตย์ขึ้นต่างบอกกันว่าคุณชายต้าต่านนั้นเหมือนร้อนรนรีบวิ่งออกไปทางประตูสำนักแล้ว พอได้ยินแบบนั้นก็พอจะรู้แล้วละว่าอีกฝ่ายไปไหนเพราะมีไม่กี่แห่งเท่านั้นที่ต้าต่านจะไป

         คงจะไปหาห่วงลู่อีกเช่นเคย

         พอจะให้คนไปตาม คนงามนามว่าจวินหงก็บอกว่าไม่ต้องไปตามให้อีกฝ่ายออกไปหาเพื่อนก็ได้เพราะพรุ่งนี้จะต้องออกเดินทางกันแล้ว ซูหนี่ฮูหยินใหญ่ของสำนักเถียนเองก็เหนื่อยกับการจัดเตรียมข้าวของและส่งแขกกลับตั้งแต่เมื่อวานก็เลยเห็นดีเห็นงามไปด้วยเพราะสำนักเพ่ยแม้จะอยู่ตรงตีนเขาเหอกวานแต่ก็ใช้เวลาเดินเกือบสองชั่วยาม (สี่ชั่วโมง) ถึงมาจะมาถึง แถมต้าต่านเองก็สนิทกับห่วงลู่ด้วย มีเวลาก็แวะเวียนไปหาอยู่บ่อย พอต้องย้ายไปไกลก็อาจจะคิดถึงกันก็ไม่แปลก แต่สิ่งที่ทุกคนแปลกใจและสงสัยก็คือหน้าผากมนของคนงามนั้นมีรอยแดงๆ เด่นร่าจนพากันเห็นได้ง่าย ยิ่งผิวขาวๆ นั้นทำให้ตรงนั้นดูน่ากลัวมากกว่าเดิม พอถามว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตอบว่าเกิดอุบัติเหตุเล็กน้อยไม่มีอะไรมาก แต่พอได้ยินจากบ่าวที่เข้าไปทำความสะอาดให้ห้องหอเมื่อเช้ามารายงานว่าเก้าอี้พังไปสองตัวแล้ว

         เงินสร้างสำนักใหม่คงต้องเพิ่มจำนวนแล้วสินะ

         หยางเฉินเหวยเลยใช้โอกาสนี่ถามเรื่องราวของลูกเขยตนเพราะตอนที่อีกฝ่ายมาวันแรกไม่ได้ถามอะไรมากนักพอมาวันนี้กลายเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วสิ่งเดียวที่พวกเขารู้ก็คือจวินหงไม่มีพี่น้อง ส่วนพ่อกับแม่ก็เสียชีวิตไปตั้งนานแล้ว ทุกคนเลยนับถือในความเก่งกาจที่สามารถก่อตั้งสำนักมาได้ด้วยตัวเองเช่นนี้ พอยิ่งรู้ว่าอายุเท่ากันกับต้าต่านยิ่งน่าเลื่อมใสยิ่งนัก

         "จวินหง สำนักของเจ้าตอนนี้ขาดอะไรหรือไม่ บอกพ่อมาได้เลย ไหน ๆ สองสำนักก็เป็นแผ่นทองเดียวกันแล้ว"

         จวินหงยิ้มยกเมื่อได้ยินที่พ่อตาของตนเสนอความช่วยเหลือยิ่งรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้างามมากเท่าไรความน่ามองก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้นทำให้แต่ละคนแทบจะหยุดตะเกียบทันทีเพื่อหยุดมองความงดงามนั้น รอยบนหน้าผากไม่สามารถล้มล้างความงามนี่ได้เลย

         อันตรายจริงๆ

         "ขอบคุณท่านพ่อมาก แต่สำนักลูกมิได้ขาดแคลนอะไรมากนัก สิ่งเดียวที่ลูกกังวลคงเป็นเรื่องของต้าต่านว่าจะสามารถอยู่สำนักของลูกได้หรือไม่ เพราะดูแล้วจะเป็นคนที่ไม่สามารถอยู่นิ่งๆ ได้ จริงสิท่านพ่อ ข้าสงสัยตั้งแต่วันแรกที่ท่านพ่อแนะนำทุกคนให้รู้จัก สำนักของท่านพ่อไม่มีรองประมุขหรือ? "

         หยางเฉินเหวยวางตะเกียบลงพอพูดถึงเรื่องนี้ทีไรก็พูดยากอยู่เหมือนกันแต่อีกฝ่ายเป็นลูกเขยการที่จะไม่พูดเรื่องนี่เลยคงไม่ได้

         "เขาแปรพักตร์น่ะ"

         "แปรพักตร์รึ? "

         "ใช่ แม้ว่าพ่อไม่รู้จุดประสงค์ของเขาก็ตาม ชายผู้นั้นอายุเท่าๆ กับพ่อแต่รูปร่างหน้าตานั้นราวกับชายหนุ่มเลยทีเดียว วันที่พ่อจับได้ว่าเขากำลังจะทรยศต่อสำนักคือวันที่ฟ้าเกิดแบ่งสี ตอนเจ้าน่าจะเด็กอยู่เหมือนกับต้าต่าน"

         หยางเฉินเหวยจบประโยคไว้เพียงแค่นั้นแล้วไม่พูดต่อจากนั้นก็เปลี่ยนเรื่องมาเป็นการเชิญชวนจวินหงให้ทานอาหารต่อ โดยคนงามเองก็ไม่คิดจะถามถ้าหากอีกฝ่ายไม่พูดถึงในขณะที่แต่ละคนจัดการใช้ตะเกียบคีบอาหารของตัวเองอยู่นั้นดวงตาคู่สวยมีครู่หนึ่งเปลี่ยนไปโดยไม่มีใครสังเกตเห็น แววตาที่เหมือนจะคิดอะไรบางอย่างแต่ก็หายไปฉับพลันตอนที่ซูหนี่คีบเนื้อผัดพริกให้





         ........................

         .

         .

         สุดท้ายต้าต่านก็ไม่สามารถทนอยู่ร้านกับห่วงลู่ได้จนเย็นเพียงแค่ครึ่งวันเขาก็เบื่อหน่ายเต็มกลืนแล้ว แต่จะให้กลับไปที่สำนักตอนนี้ก็คง .... เขาหาทานอาหารด้านนอกดีกว่า พรุ่งนี้ต้องเดินทางไปอยู่ที่สำนักเพ่ย แค่คิดเขาก็อยากจะหนีไปให้ไกล ตั้งแต่แพ้ชายผู้นั้นเขาคิดเรื่องหนีกี่ครั้งแล้วแต่ยิ่งหนีก็ยิ่งเดินไปด้านหน้าเรื่อย ๆ ซะงั้น เอาเถอะ ตอนนี้ท้องเขาร้องจากความหิวตอนเช้าได้ทานอาหารกับห่วงลู่ไปแล้วแต่มันไม่ได้ทำให้อิ่มนานขนาดนั้น สองขาก็พาร่างเจ้าของเดินเข้าไปในโรงเตี้ยมที่เป็นโรงเตี้ยมกลางๆ ไม่ใหญ่มาก เขาเองก็มักจะมาที่นี่ถ้าหากเขาไม่ได้กลับไปที่สำนักหรือมัวแต่ติดเที่ยวเล่นอยู่ เมื่อเข้ามาด้านในโรงเตี้ยมที่มีแขกนั่งอยู่แล้วหลายท่านแน่นอนว่าเข้าคือต้าต่านทำไมจะไม่มีใครรู้จัก ทุกสายตาล้วนมองมาทางเขาทั้งนั้นจนดวงตาเรียวคมจ้องมองกลับแต่การจ้องกลับนั้นคือการจ้องที่เหมือนมาพร้อมกับมีดนับสิบเล่มจนคนมองพากันหลบหน้าทันที

         หึ นึกว่าจะแน่จริง

         เถ้าแก่โรงเตี้ยมให้เด็กพาเขาไปนั่งที่โต๊ะที่พอจะทำให้หลบสายตาผู้คนได้บ้าง จากนั้นเขาก็ไม่รีรอรีบสั่งอาหารทันที แน่นอนว่าโรงเตี้ยมเองก็แหล่งร่วมผู้คนไว้อยู่แล้ว การที่จะมีคนมาจับกลุ่มพูดคุยกันล้วนเป็นเรื่องธรรมดา บางครั้งอาจจะมีคนแปลกหน้าไม้คุ้นตาเพราะมาจากต่างแคว้นหรือที่พากันเรียกว่าเหล่าจอมยุทธ์ที่ท่องไปทั่วยุทธภพ ส่วนที่คุ้นหน้าคุ้นตาก็มีแต่สำหรับต้าต่านเขาจำใครไม่ได้ทั้งนั้นขนาดเด็กในสำนักของตัวเองเขายังจำไม่ได้เลยถ้าไม่สวมเสื้อของสำนักก็อย่าหวังว่าเขาจะจำได้ ระหว่างรออาหารอยู่นั้นโต๊ะด้านหลังที่อยู่ถัดจากโต๊ะของต้าต่านเป็นชายสี่คนมองดูก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนดี เหมือนจะพูดคุยอะไรกันอยู่ สักพักก็พากันลุกมาที่โต๊ะของต้าต่านโดยมีชายคนหนึ่งทำตัวไม่ต่างจากนักเลงใช้เท้าข้างหนึ่งเหยียบที่เก้าอี้ที่อยู่ตรงข้ามกับเจ้าของโต๊ะด้วยท่าทีไม่สนใจเลยว่าการกระทำนั้นจะโดนสายตาในโรงเตี้ยมมองแม้แต่เถ้าแก่ยังหวั่นๆ ใจว่าจะเกิดเรื่องหรือไม่

         "โอ้ ที่แท้ก็คุณชายเถียนต้าต่านนี่เอง" ท่าทางเช่นนี้ไม่ต้องเดาให้ยากก็แค่มาหาเรื่องหรือมาป่วนประสาทก็เท่านั้%






    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×