คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : อย่ามาเกี้ยวสามีข้า บทที่๔
บทที่ ๔
วันมงคลของสำนักเถียนก็ได้มาถึงผู้คนต่างสำนักที่ถูกจดหมายเชิญมาร่วมงานเริ่มทยอยมาถึงกันแล้วบางคนก็เดินทางมาถึงเมื่อคืนโดยที่ซูหนี่เป็นคนจัดห้องพักให้ ตัวแทนของแต่สำนักมาร่วมงามกันวันนี้บางคนไม่ได้มาเพียงแค่ร่วมแสดงความยินดีที่บุตรชายคนโตของตระกูลเถียนจะได้แต่งงานแต่พวกเขามากันก็เพราะอยากจะเห็นชายที่สามารถเอาชนะบุตรชายคนโตของตระกูลเถียนได้ต่างหาก ว่าจะเป็นคนแบบไหนต้องเก่งขนาดไหนถึงชนะได้ คนที่ยังไม่รู้ว่าใครก็พากันจินตนาการไปถึงชายรูปร่างใหญ่โตหรือจินตนาการไปว่าเป็นชายลึกลับ แต่พอรู้ว่าชายผู้นั้นคือประมุขสำนักเพ่ยที่ร่ำลือถึงความงดงามแล้วก็พากันใจหาย
ว่าเนื้อแท้ของเรื่องราวนั้นมันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่ได้ยินมาก็ได้
ชายผู้นี้หรือ? ที่เอาชนะเถียนต้าต่าน แม้ยังมีบางคนไม่เคยพบเห็นประมุขสำนักเพ่ยตัวจริงมาก่อนก็เถอะ แต่เหล่าลูกชายสำนักต่างๆ ล้วนที่ได้พบพานหรือพบเจอกันมาแล้ว แม้อยากจะได้อีกฝ่ายมาเป็นภรรยาของตนมากแค่ไหนก็คงเป็นไปไม่ได้เพราะอีกฝ่ายมีตำแหน่งเป็นถึงประมุขสำนักถ้าหากไม่ทำสัญญาพันธมิตรก็ยากที่จะผูกความสัมพันธ์ได้ ถึงแม้สำนักอื่นๆ อยากจะทำสัญญาและข้อตกลงมากแค่ไหนพอได้ยินว่าสำนักซุยได้เดินหน้ามาก่อนแล้วก็แทบจะพากันถอยห่าง แต่แทนที่ประมุขสำนักเพ่ยจะทำสัญญาพันธมิตรกับสำนักซุยที่เป็นใหญ่รองจากสำนักเถียนกลับปฏิเสธซึ่งมันอันตรายมากเสี่ยงต่อการโดนรุกรานได้แถมยังเป็นสำนักที่เพิ่งจะก่อตั้งอีก
เพราะความงดงามของประมุขจวินหงที่ไปโดนตาโดนใจบุตรชายคนโตของสำนักซุยเข้าเลยรอด
แต่มาวันนี้กลับเป็นว่าคนงามที่ว่ากำลังจะแต่งงานเป็นสามีผู้อื่นต่างพากันคิดไปต่างๆ นานาว่ามันจะเป็นแผนการของต้าต่านหรือไม่ว่าทำเป็นพ่ายแพ้เพื่อจะได้ทั้งสำนักเพ่ยและตัวของประมุขคนงานมาครอง แถมเท่าที่พวกเขารู้มาว่าบุตรชายคนโตของสองสำนักไม่ถูกกันนี่อาจจะเป็นการเอาชนะอย่างหนึ่งก็ได้ ทำนองว่าเบื้องหน้าคนงามคือสามีแต่เบื้องหลังอาจจะเป็นคนที่ถูกรังแกเป็นเครื่องมือเพื่อเอาชนะ คิดเช่นนี้แล้วก็พากันเกิดสงสารคนงามอย่างประมุขสำนักเพ่ยจวินหงกันขึ้นมาเสียแล้ว ในบรรดาตัวแทนของสำนักน้อยมากที่จะให้คนอื่นที่ไม่ใช่ลูกมาร่วมงานโดยส่วนใหญ่เพื่อให้เป็นเกียรติแก่งานมงคลส่งลูกคนใดคนหนึ่งมานั้นเองหรือส่งลูกมาร่วมงามทั้งหมดถ้าหากมีลูกสามคนก็ส่งมาสามคนและแน่นอนในจำนวนตัวแทนเหล่าลูกๆ นั้นก็คือเหล่าบุคคลที่ปะทะฝีมือกับต้าต่านมาแล้ว ไม่เพียงแค่นั้นในจำนวนหนึ่งก็ได้รู้จักกับ
ประมุขคนงามอย่างจวินหงและเคยไปเกี้ยวมาแล้วอีกด้วย
คนเหล่านั้นก็พากันหัวใจแตกสลายแม้จะโกรธเคืองหรือไม่พอใจก็ต้องพากันทำใจแล้วหลอกตัวเองว่ากำลังฝันอยู่ได้เท่านั้น
ในงานถูกจัดโต๊ะอย่างสวยงามเป็นโต๊ะใครโต๊ะมันให้กับตัวแทนสำนักที่เดินทางมาร่วมงาน เหล่าผู้ติดตามจะได้นั่งอยู่ด้านนอกที่เป็นโต๊ะกลมนั่งร่วมแทน อีกหนึ่งเสน่ห์ที่ถูกพูดถึงของสำนักเถียนเลยก็คือต่อให้เป็นบ่าวไพร่ก็ดูแลอย่างดี ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมผู้คนอยากจะเข้ามาเป็นหนึ่งในสำนักเถียนมากกว่าไปอยู่พระราชวังต้องห้าม ขนาดบ่าวไพร่ของสำนักยังหน้าสดใสแต่งกายสวยงาม แล้วสิ่งหนึ่งที่พูดถึงคือเจียนเจี๋ยบุตรชายคนเล็กที่ว่าหน้าตาก็งดงามไม่แพ้ใครก็เป็นเรื่องจริง กำลังต้อนรับแขกไปยังโต๊ะถูกที่จัดเอาไว้ ดวงตาสวยที่ได้จากแม่มองแขกคนต่อไปที่กำลังเรียกความสนใจอย่างมากก็คือคนของสำนักซุยเดินทางมาถึงแล้วนั้นเอง
ชุดสีน้ำเงินเข้มสีประจำสำนักไม่ได้ดูโดดเด่นอะไรแต่ที่โดดเด่นก็คือใบหน้าที่หล่อเหลาของบุตรชายทั้งสามจากตระกูลซุยนั้นเอง
ทั้งสามหน้าตาดีกว่าที่พวกเขาคิดเอาไว้ นับเป็นใบหน้าที่สวรรค์พระราชทานให้ก็ว่าได้ ชื่อของทั้งสามถ้าได้ฟังแนะนำตัวแรกๆ จะทำให้จำสลับและสับสนไปบ้างแต่ถ้าได้รู้จักดีจะดูว่าทั้งสามที่ใบหน้าที่หล่อแตกต่ากกันออกไป
เหลียนเฟิงอี๋คนโตมีใบหน้าหล่อคมเหมือนกับต้าต่านแถมยังเป็นคู่ปรับที่ไม่ว่าอย่างไรไม่เคยชนะอีกฝ่ายได้เลย
เหลียนเฟิงเหอ ชายผู้นี้ไม่ค่อยได้เห็นหน้าค่าตาเท่าไรนักเนื่องจากจะไม่ค่อยปรากฏตัว วันนี้ได้เห็นก็นับว่ายังมีบุญอยู่ เป็นชายที่ดูสบายๆ เป็นใบหน้าที่ดูยิ้มให้ตลอดอย่างไรอย่างนั้น เป็นคนที่หล่อที่มีความสวยปะปนอยู่ทำให้ผู้ชายด้วยกันยังรู้สึกหวั่นไหว
ส่วนเหลียนเฟิงหู่น้องเล็กคนนี้ผู้คนมักจะได้เห็นบ่อยเพราะผู้เป็นพ่อมักจะให้เป็นคนไปเจรจาเรื่องงานให้ตลอดเพราะเป็นคนที่น้ำเสียงนุ่มนวลแถมใบหน้าที่หล่อละมุมนั้นอีกเลยทำให้รู้สึกดูน่าไว้วางใจได้ไม่น้อย
พอทั้งสามเดินมาด้วยกันก็แน่นอนว่าจะต้องทำให้สะดุดตาอยู่แล้ว เจียนเจี๋ยไม่รีรอที่จะเดินเข้าไปต้อนรับทั้งสามเพราะแม่และพ่อกำลังต้อนรับคนที่มาจากอีกสำนักหนึ่งนั้นเองแต่ยังไม่ทันได้อ้าปากเสียงของเหลียนเฟิงอี๋เอ่ยขึ้นเสียก่อน
"ไม่ต้องพิธีอะไรมากพาไปที่โต๊ะเถอะ"
เจียนเจี๋ยเลยได้แต่ยกยิ้มแล้วพาทั้งสามที่ไปที่โต๊ะทันทีน้ำเสียงที่ใช้ออกมานั้นแม้จะดูปกติเพื่อไม่ให้บรรยากาศมงคลดูไม่มงคลหรือทำให้เกิดเรื่องน่าอึดอัดใจกันและกัน เขาก็พอจะรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังไม่พอใจอยู่ มันก็ไม่แปลกใจหรอกที่อีกฝ่ายจะเป็นเช่นนี้เพราะพี่ชายของเขากำลังจะแต่งงานกับชายที่เหลียนเฟิงอี๋หมายใจเอาไว้ ทั้งสามมานั่งลงที่โต๊ะของพวกเขาที่ทางสำนักเถียนจัดเอาไว้อย่างดี ห้องโถงที่กว้างใหญ่โต๊ะของพวกเขาถูกจัดไว้ด้านหน้าสุดเพราะเป็นสำนักใหญ่รองลงมาเลยจัดให้อยู่ใกล้พิธี แต่สำหรับเหลียนเฟิงอี๋แล้วเขาต้องการไปอยู่ไกลๆ ยังดีกว่า เมื่อร่างของเจียนเจี๋ยเดินห่างออกไปแล้วเขากำลังเตรียมจะลุกออกไปเดินเล่นข้างนอกยังจะดีกว่ามานั่งรอแบบนี้แต่ถูกเหลียนเฟิงเหอน้องรองดึงข้อมือเอาไว้
"พี่ใหญ่ พี่จะลุกไปไหนรึ"
"ข้าจะออกไปเดินเล่นเสียหน่อยไม่ต้องกังวลว่าข้าจะหนีกลับหรอก"
เหลียนเฟิงเหอได้ยินเช่นนั้นก็ปล่อยข้อมือพี่ใหญ่ของตนให้ออกไปด้านนอกเพราะเขาเองก็พอจะเข้าใจหัวอกของพี่ใหญ่อยู่ พอเหลียนเฟิงอี๋ถูกปล่อยข้อมือก็เดินออกมาข้างนอกโดยมีสายตาคู่หนึ่งมองตามหลังมองตามหลังอยู่
ชายหนุ่มเดินมาด้านนอกห้องโถงจัดงานแล้วเดินผ่านโต๊ะด้านหน้าที่จัดให้เอาไว้สำหรับผู้ติดตามเขาเลยเดินเลี่ยงไม้ให้ผู้ติดตามของเขาเห็นเพราะอยากอยู่คนเดียว ตอนนี้สำนักเถียนมีผู้คุ้มกันหนาแน่มากกว่าปกติเพื่อไม่ให้ผู้ไม่หวังดีใช้โอกาสตรงนี้มาหาข้อมูลของสำนักหรือขโมยของสำคัญไป ระหว่างนั้นเองเขาก็เห็นเจียนเจี๋ยน้องชายของต้าต่านที่ดูทำหน้าแตกตื่นกับบ่าวในสำนักที่เหมือนจะรายงานอะไรสักอย่างแล้วก็เดินไปไหนไม่รู้แต่เขาหาสนใจไม่ สองขายาวพาร่างของตัวเองไปยืนที่สวนเล็กๆ ไม่ไกลจากห้องโถงจัดงานเพราะด้วยสถานการณ์เช่นนี้เขาไม่อยากต้องกลายเป็นผู้ต้องสงสัยถ้าหากเกิดเรื่องไม่ชอบมาพากล พอมองจากตรงนี้ทำให้เห็นสวนด้านในอีกสวนที่คงจะเอาไว้รับแขกเหมือนกันแต่ส่วนนั้นคงจะเข้าไปไม่ได้ ระหว่างที่เหลียนเฟิงอี๋ยืนมองรอบๆ เพื่อทำให้จิตใจตีวุ่นในอกสงบลงนั้น อยู่ ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลังของเขา
"คุณชายเองก็คงอึดอัดใจสินะ"
ใบหน้าหล่อหันไปมองต้นเสียงที่เขาไม่ค่อยคุ้นหูเท่าไรนัก แต่พอได้เห็นใบหน้าก็จดจำได้ทันที ชายผู้นี้คือชายที่เคยไปยืนหน้าสำนักเพ่ยด้วยกันเพราะคนคนนี้ก็ชอบจวินหงไม่ต่างจากตน และเขาก็ทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้เนื่องจากเป็นหนึ่งในพันธมิตรกับสำนักเถียน
‘กวาง โม่วั่งซู’ บุตรชายคนเดียวของสำนักกวาง
ตระกูลกวางนั้นมีแต่ลูกสาวและส่วนใหญ่แต่งงานไปแล้ว โม่วั่งซูเป็นบุตรชายเพียงคนเดียว ความหวังเดียวของสำนักที่จะสานต่อเป็นประมุขคนต่อไป วันที่เขาเห็นอีกฝ่ายหอบดอกไม้นานาพันธุ์ไปให้จวินหงก็แอบตกใจไม่คิดว่าชายคนนี้จะสนใจคนเดียวกันกับเขา ใบหน้าที่ดูดีเหมือนกับน้องรองแต่อีกฝ่ายแลดูกะล่อนไปสักนิด
แต่เขาไม่แปลกใจนักหรอกเพราะคนที่ไปเกี้ยวจวินหงยังมีอีกเยอะและบางคนก็เหนือความคาดหมายอีกด้วย
"อ่อ คุณชายกวางเองหรอกรึ"
แม้ไม่อยากจะสนทนาด้วยเท่าไรแต่ตอนนี้พวกเขาก็คงมีความรู้สึกเดียวกัน คนที่หมายจะให้เป็นภรรยาตนกำลังจะเป็นสามีผู้อื่นก็ต้องหัวหมุนและสับสนอยู่ไม่น้อย แล้วยังต้องมางานแต่งนี่อีกอยากจะพาลไปเสียทุกสิ่งทุกอย่างแต่ก็ทำไม่ได้เนื่องจากจวินหงไม่ได้เป็นอะไรกับพวกเขาแถมมีแต่พวกเขาที่เข้าหาอีกฝ่ายซะมากกว่า ร่างของโม่วั่งซูมายืนข้างๆ แต่ก็ยังรักษาระยะห่างเอาไว้เพราะไม่ได้สนิทกันขนาดมาเปิดอกปลอบใจกันและกัน อีกไม่นานงานแต่งก็จะเริ่มแล้วด้วย
"ทั้งข้าทั้งคุณชายซุยต่างไปยืนอยู่หน้าสำนักเพ่ยแย่งกันเพื่อครองใจจวินหง บัดนี้ ต้องมายืนในงานแต่งของชายที่เราทั้งสองปะทะฝีมือไม่เคยชนะแถมยังได้จวินหงอีก ข้าไม่ได้อยากจะพูดทับถมหรอกนะ ข้าแค่อยากตัดพ้อก็เท่านั้น"
เหลียนเฟิงอี๋ไม่ได้ตอบอะไรกลับไปเพราะเขาก็เข้าใจอีกฝ่ายแต่เขาแค่ไม่พูดออกมาเท่านั้น ใครกันที่อยากจะพูดทับถมอีกฝ่าย ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็โดนด้วยเช่นกัน ระหว่างที่ทั้งสองรอเข้างานสายตาของทั้งคู่ก็เห็นอะไรบางอย่างที่แต่งกายด้วยชุดสีแดงแถมยังเป็นชุดที่ไม่ได้มีให้เห็นบ่อยๆ ถ้าหากไม่มีการจัดงานมงคล กำลังวิ่งหนีอะไรสักอย่างอยู่ แถมใบหน้าที่พวกเขาไม่มีทางลืมได้แต่งแต้มไปด้วยเครื่องสำอางมันแอบดูแปลกตาไปเสียหน่อยและมันก็ไม่ได้ดูสวยขึ้นเลยเพราะหน้าตานั้นหล่อเหลาจนเครื่องสำอางก็ยังแต่งสวยไม่ขึ้น แล้วยิ่งไปกว่านั้นชุดที่สวมก็คือชุดเจ้าสาวสองแขนยาวก็ถกกระโปรงขึ้นยกสูงไม่เกรงใจชุดจะพัง วิ่งด้วยความเร็วที่ทำเอาพวกเขามองอย่างไม่เข้าใจ แล้วยิ่งไปกว่านั้นภาพที่เห็นอีกภาพก็คือเด็กของสำนักเถียนแล้วก็บุตรชายคนเล็กของสำนักอย่างเจียนเจี๋ยกำลังวิ่งตามร่างชุดแดงอยู่
ทำเอาสองหนุ่มถึงกับขมวดคิ้วหันมามองหน้ากันเลยทีเดียว
ว่าแต่มันเกิดอะไรขึ้นกันล่ะนั้น
ยังไม่ทันที่จะได้คิดอะไรออกว่าเกิดอะไรขึ้น ต่อมาไม่นานนัก ร่างของชุดแดงก็ถูกเด็กสำนักและบุตรชายคนเล็กจัดการแบกกลับมา ถึงจะไม่เข้าใจทั้งหมดก็พอจะมองออกว่า เถียน ต้าต่าน กำลังจะหนีงานแต่งงานจนโม่วั่งซูเกิดตั้งคำถามขึ้นมาทันทีว่าทำไมถึงหนีในเมื่ออีกฝ่ายวางแผนยอมแพ้จวินหงเพื่อจะได้แต่งงานไม่ใช่รึไงกันหรือจริงๆ แล้ว...
"หรือจวินหงจะเก่งแล้วเอาชนะต้าต่านได้จริงๆ "
เหลียนเฟิงอี๋หันไปมองโม่วั่งซูที่พูดเช่นนั้นก็รีบเอ่ยตอบทันทีเพื่อให้อีกฝ่ายตาสว่าง
"หึ สิ่งที่เจ้านั้นทำคือการหักหน้าจวินหงต่างหาก"
"หักหน้าอย่างนั้นรึ ถ้าทำเช่นนั้นแล้วจะได้อะไร เผลอๆ จวินหงอาจจะไม่มีใจให้อีกด้วย"
"จวินหงอาจไม่มีใจให้ตั้งแต่ต้น คงจะโดนปฏิเสธเลยท้าฝีมือจากนั้นก็แกล้งพ่ายแพ้ จวินหงที่ไม่รู้เรื่องป่าวประกาศเลยต้องทำเพื่อรักษาชื่อเสียงสำนักเอาไว้ แล้วการหักหน้าเช่นนี้ที่มีคนจากสำนักต่างๆ มาเยอะแยะขนาดนี้ใครอยากจะทำสัญญาพันธมิตรด้วยอีก ถ้าหากโดนสำนักใหญ่อย่างสำนักเถียนเมินเฉยเช่นนี้"
"ถ้าเป็นเช่นนั้นจวินหงคงต้องถูกรังแกเป็นแน่"
"ใช่ เพราะฉะนั้นข้าจะต้องเป็นใหญ่ให้ได้เพื่อช่วยเขาออกมา"
สิ้นเสียงของคุณชายตระกูลซุยเจ้าตัวก็สะบัดตัวเองกลับไปยังห้องโถงเหมือนเดิมเพราะใกล้จะเริ่มงานแต่งแล้ว โม่วั่งซูมองร่างสูงเท่าๆ กับตนเดินกลับไปแล้วความคิดหนึ่งก็ผุดเข้ามาในหัวทันที
ว่าเขาสมควรความร่วมกับสำนักซุยดีหรือไม่นั้นเอง
ในขณะที่งานแต่งกำลังเริ่ม ชายที่ต้องเข้าแต่งงานในฐานะเจ้าสาวในตอนนี้ในหัวมีแต่จะหนีเพราะนิสัยที่คนสำนักรู้กันก็คือเมื่อใดที่ต้าต่านรู้สึกว่าจวนตัวแล้วละก็ความคิดแรกเลยก็คือ ‘หนี’ แล้วก่อนหน้าที่เจียนเจี๋ยจะมาช่วย เด็กฝึกของสำนักต้องเหนื่อยกับการดักทางหนีไม่รู้กี่ครั้งแล้วพอหลุดออกไปได้ก็เกือบจะปีนกำแพงสำนักพ้นแล้ว ไม่เกรงใจชุดเจ้าสาวที่สวมจะพังหรือเปื้อนเลย ตอนนี้ดวงตาเรียวคมกำลังจ้องมองน้องชายจอมแสบของตนที่ยืนกอดอกหรี่ตามองด้วยใบหน้าที่กำลังโมโหสุดๆ แถมยังไม่หายเหนื่อยจากการวิ่งไล่จับอีกด้วย
"จะทำอะไรนึกถึงชื่อเสียงกับสำนักหน่อยก็ดี พี่ชาย"
นานๆ จะมีคำว่าพี่ชายหลุดออกมาปากสวยที่ชอบพูดจาน่าเอาเท้าไปแตะปิดปากเอาไว้ แต่มันไม่ใช่เรื่องดีเลยที่อีกฝ่ายเอ่ยคำว่ามาพี่ชายออกมา ซึ่งตอนนี้ต้องให้คนแต่งหน้าให้ใหม่เพราะวิ่งจนเหงื่อไหล ไม่เพียงแค่นั้นเครื่องสำอางที่แต่งแต้มเอาไว้ก็หลุดออกอีกด้วย
"เจ้าก็แต่งงานแทนข้าสิ"
ดวงตาสวยมองหาไม้เรียวที่หวังว่าจะมีแถวนี้มาตีพี่ชายของตน ดีที่ไม่มีไม่งั้นเจียนเจี๋ยผู้นี้จะตีพี่ชายต่อหน้าบ่าวไพร่ให้เชยชมกันเป็นขวัญตา ดีนะที่บ่าวบอกกับเขาเรื่องที่ต้าต่านพยายามหรี ดีกว่าไปบอกท่านแม่ถ้าหากไปบอกท่านแม่แล้วละก็...
อย่าได้ท้าทายอำนาจมืดของท่านแม่เป็นอันขาดเลยเชียว
พอเขาได้รับรายงานจากเด็กฝึกของสำนักที่ต่างพากันมาบอกว่าเฝ้าไม่ไหวแล้ว เขาก็รีบมาทันที แล้วพอมาถึงก็พบว่าพี่ชายกำลังปีนหนีออกทางหน้าต่างเพราะหลอกล่อเด็กสำนักให้ไปเอาน้ำดื่มมาให้ จากนั้นก็วิ่งไล่จับจนเหนื่อย
"ยังจะมาให้ข้าแต่งงานแทนอีก ปากก็ปากเจ้าที่ป่าวประกาศเช่นนั้น เงินที่ซื้อสุราดื่มก็เงินเจ้า ยังมาโยนให้ข้าอีกรึ! "
เจียนเจี๋ยยืนเท้าเอวด่าพี่ชายอย่างโมโห แล้ววิ่งออกไปเมื่อครู่ก็ไม่รู้เลยว่ามีใครเห็นบ้าง วิ่งถกกระโปรงชุดเจ้าสาวแบบนั้น แค่คิดก็รู้สึกอับอายแล้ว แต่สุดท้ายก็ต้องสงบอารมณ์โมโหเองเพราะต่อให้ด่าหรือต่อว่าพี่ชายของเขาก็แลดูจะไม่สำนึกเอาเสียเลย พอใบหน้าแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางจนดูดีแล้วเจียนเจี๋ยเลยให้ต้าต่านลุกขึ้นยืนเพื่อสำรวจว่าชุดมีอะไรเสียหายหรือไม่ ดีที่ชุดแต่งงานแข็งแกร่งกว่าที่คิดเอาไว้ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเจียนเจี๋ยเลยให้คนที่เหลือไปออกไปรอข้างนอกแล้วให้หญิงสาวรับใช้ที่ให้แต่งตัวเพื่อเดินตามพี่ชายของเขาเข้าพิธีให้มายืนรอหน้าประตู เพราะเขาจะเป็นคนที่ปิดผ้าปิดหน้าให้นั้นเอง มือสวยยื่นมือออกไปจับผ้าสีแดงที่ไม่ได้หนามากก่อนที่จะเหลือบมองหน้าพี่ชายของตนที่หน้างอเต็มที่
เฮ้อ ให้ได้แบบนี้สิ
เจียนเจี๋ยเอามือออกจากผ้าโดยที่ยังไม่เอาผ้าลงมาปิดแล้วย้ายตัวเองมานั่งๆ ข้างพี่ชายที่อีกไม่นานก็จะแต่งงาน เพราะเมื่อแต่งแล้วก็ต้องย้ายออกไปอยู่อีกสำนักหนึ่ง พอคิดแล้วที่นั่นจะวุ่นวายแค่ไหนกันนะ
"เจ้าน่ะ แต่งงานไปแล้วอย่าไปทำตัวดื้อที่สำนักเพ่ยนักล่ะ"
ใบหน้าหล่อหันมามองน้องชายตนที่เตือนว่าอย่าทำตัวดื้อ เขาดื้อตรงไหนกัน
"ข้าเป็นตัวของตัวเองมันผิดตรงไหนกัน"
"มันก็ไม่ผิดนักหรอก แต่เจ้าแต่งงานแล้วก็ควรปรับตัวเสียบ้าง อย่างน้อยรักษาหน้าและน้ำใจอีกฝ่ายไว้ก็ดี"
"หึ กลางคืนข้าไม่มีเอามีดจ้วงคอก็ดีเท่าไรแล้ว นี่ขนาดข้ายังไม่คิดจะทำนะ"
นี่ยังไม่คิดจะทำรึแล้วพูดออกมาได้เช่นไรกันเล่าเจ้าพี่ชายบ้า เจียนเจี๋ยถอดหายใจเบาๆ แล้วลุกขึ้นมาจัดการเอาผ้าปิดหน้าพี่ชายของตนจากนั้นก็ช่วยพยุงให้เดินเพื่อเข้าร่วมงานแต่งได้แล้ว และแน่นอนว่าเขาจะต้องเดินไปด้วยกันเจ้าพี่ชายบ้าจะถกกระโปรงขึ้นวิ่งหนีอีก เมื่อเดินมาถึงทางเข้าห้องโถงที่ตอนนี้ก็มีร่างของประมุขสำนักเพ่ยที่เดินมาพอดี ใบหน้าของจวินหงเองก็สวมหน้ากากทองคำเอาไว้เช่นกันแม้จะไม่รู้จุดประสงค์แต่เมื่อขอมาก่อนแต่งก็ย่อมได้ ซึ่งต้าต่านเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงสวมหน้ากากเช่นกันทั้งสองเดินเคียงคู่เข้าไปในงานโดยมีผู้คนยืนขึ้นโดยสายตาของต้าต่านมองผู้คนผ่านผ้าที่ปิดหน้า มีแต่คนที่เขาประลองฝีมือแล้วชนะทั้งนั้นเลย
รู้สึกอับอายอย่างไรไม่รู้
แล้วพอใช้สายตามองคนข้างๆ แล้วนี่เขาแพ้ชายคนนี้จริงๆ รึ หรือตอนนี้เขาแค่ฝันอยู่ มันก็ช่างเป็นฝันร้ายที่ยาวนานเกินไปแล้วตื่นสักทีเถอะต้าต่าน!!!!
ไม่ว่าจะถกเถียงกับตัวเองเท่าไรสุดท้ายก็ผ่านพิธีการแต่งงานมาแล้วเรียบร้อยระหว่างทำพิธีต่อให้เขาพยายามฝืนก็ทำอะไรไม่ได้เพราะแม่จ้องมองเขาเขม็งเลยทีเดียว บางทีการแบกชื่อเสียงของตัวเองและสำนักก็หนักเกินไปเหมือนกัน พอจบพิธีแต่งงานแล้วอีกสิ่งที่เขาจะต้องเผชิญกับมันก็คือ การเข้าห้องหอ
ใช่แล้ว ตอนนี้เขากำลังนั่งอยู่บนเตียงสีแดงที่มีผ้าปูสีขาวปูทับเอาไว้
มันคือสิ่งที่เอาไว้ยืนยันความบริสุทธิ์ของเจ้าสาวนั้นเอง
เขาอยากจะร้องไห้ ยิ่งมองจอกสุราสองจอกที่วางบนโต๊ะแล้ว แน่นอนว่าในสุรานั้นใส่อะไรไว้เพราะเมื่อไรที่เปิดผ้าปิดหน้า แล้วทำการแลกจอกสุรากันจากนั้นก็.....
ไม่!!!
เขาไม่ยอมให้อีกฝ่ายมาเปิดความบริสุทธิ์ของเขาเด็ดขาด แล้วแน่นอนว่าเขาไม่ยอมพลีกายให้ด้วย อย่าหวังว่าจะได้เห็นขาอ่อนของเขาเลย ว่าแล้วดวงตาคมก็มองไปที่ประตูว่าร่างเจ้าบ่าวจะเข้าห้องหอมาหรือยัง อย่างน้อยก็ผ่านพิธีงานแต่งงานมาแล้วตอนนี้เขายังหนีไปไหนไม่ได้แต่คืนนี้เขาต้องไปนอนที่อื่นที่ไม่ใช่ที่นี่ ต่อให้เขาแข็งแรงแค่ไหนถ้าได้ดื่มสุราจอกนั้นเข้าไปแล้วละก็
เขาไม่อยากเป็นทั้งคนที่โดนกอดหรือเป็นคนไปกอดอีกฝ่ายหรอกนะ
เมื่อต้าต่านเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่มาเลยจัดการเดินไปที่หน้าต่างเพราะอย่างน้อยรอบๆ ห้องหอคงไม่มีใครเฝ้าเพราะคงไม่มีใครจะมายืนรอฟังเสียง.....ช่างมันเถอะ...... มือเรียวเปิดหน้าต่างออกเสร็จแล้วก็เปิดผ้าปิดหน้าขึ้นเพื่อมองเห็นได้ชัดขึ้นว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้จริงๆ เมื่อเห็นว่าทางสะดวกก็ใช้ขายาวๆ ก็ของตัวเองปีนออกทางหน้าต่างทันทีอย่างน้อยห้องตำราคงพอจะนอนได้อยู่จะกลับห้องตัวเองก็คงมีคนมาเฝ้าเป็นแน่ ระหว่างที่ร่างสูงกำลังปีนออกไปและคิดว่าตัวเองจะนอนที่ไหนนั้น ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
"โอ้ ที่รักเจ้ากำลังจะหนีรึ"
เล่นเอาต้าต่านเกือบร่วงจากหน้าต่างเพราะผวาจนมือที่จับยึดขอบต่างหน้าเอาไว้ลื่นนั้นเอง ว่าแล้วเจ้าตัวก็เปลี่ยนท่าทางเป็นมาท่านั่งขอบหน้าต่างทันทีโดยไม่ลืมเอาผ้าปิดหน้าลงมาปิดเหมือนเดิมแล้วมองเสียงที่ดังมาจากด้านหลังของเขาก็พบกับร่างชายที่อยู่ในชุดเจ้าบ่าวสวมหน้ากากทองคำเอาไว้ยืนมองตนอยู่ มาตอนไหนกัน?!
"ใครบอกเจ้า ข้าแค่มานั่งสูดอากาศเฉยๆ "
"งั้นรึ แหม ข้าต้องขอโทษที่เอ่ยวาจาเช่นนั้นออกไป ให้อภัยสามีผู้นี้ด้วย เพราะข้าคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าคนสำนักเถียนจะไม่ผิดคำพูดและไม่ใช่สำนักที่จะทำกิริยาหรือพฤติกรรมทิ้งสามีไว้ในคืนเข้าหอ"
อย่างแรกที่ทำให้ต้าต่านต้องเม้มปากไม่ให้ปากไปไวก็คือจวินหงเรียกเขาว่าที่รักตอนที่เห็นเขากำลังปีนหน้าต่าง อย่างที่สองจวินหงเรียกตัวเองว่าสามี แล้วอย่างที่สามก็คือคำพูดที่เชิงประชดนั้นอีก ทำเอาเขาไม่กล้าจะกระโดดออกทางหน้าต่างเลยทีเดียว
"ว่าแต่จะนั่งอีกนานหรือไม่ มานั่งที่เตียงเถอะ จะได้ดื่มสุรามงคลพร้อมกับเปิดผ้าจะได้จบพิธีกันจริงๆ"
ถึงเวลาแล้วรึ เขาจะทำเช่นไรดีคำพูดเมื่อครู่ก็เล่นเอาไม่กล้าหนีไปต่อหน้าต่อตา แต่ครั้นจะเดินไปที่เตียง เขาก็กลัวว่าจะเกิดเรื่องเช่นนั้นอีก เอาก็เอา เดี๋ยวเขานี่แหละจะเป็นคนจัดการอีกฝ่ายเองเพราะนี่ไม่ใช่การประลองฝีมือและมันคือการประลองความเร็ว
ใครเร็วใครได้
แถมเขาก็เป็นคนที่ดูจะมีเรี่ยวแรงมากกว่า ตอนนั้นอีกฝ่ายคงใช้กลยุทธ์บางอย่างเอาชนะก็ได้นี่นา ว่าแล้วต้าต่านก็มีแรงฮึดขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับอีกฝ่ายเขาจัดการปิดหน้าต่างลงจากนั้นก็เดินมาที่เตียงเหมือนเดิมโดยที่เขาไม่รู้เลยว่าเขาพยายามเดินเลี่ยงอีกฝ่ายมากแค่ไหน จนริมฝีปากสวยที่ซ่อนใต้หน้ากากนั้นยกยิ้มกับการกระทำนั้น
น่ารัก
เมื่อร่างคุณชายตระกูลเถียนที่ตอนนี้ได้กลายเป็นฮูหยินตระกูลเพ่ยนั่งลงที่ขอบเตียงโดยที่อดเหลือบมองผ้าสีขาวไม่ได้ เขากลัวผ้าสีขาวอะไรแบบนี้ไหนกันตอนนี้หัวใจเขาเต้นระรัวมากเลยทีเดียว แล้วยิ่งจวินหงที่ลงข้างๆ เล่นเอาต้าต่านเกือบลืมหายใจ เขาจะต้องหันหน้าไปหาอีกฝ่ายเพื่อให้เปิดผ้าแต่ร่างกายของเขามันแข็งทื่อและสมองก็บอกกับเขาอย่าหันไปเด็ดขาดไม่เช่นนั้นก็เป็นอันจบพิธีของจริง เพราะเขาไม่ได้หันไปหาเสียทีมือสวยของจวินหงก็มาจับที่หัวไหล่เพื่อให้เขาหันหน้าไปหาและแน่นอนว่ากว่าจะจับหันมาได้ประมุขสำนักเพ่ยต้องออกแรงให้หันมาเหมือนพยายามหันรูปปั้นก็ไม่ปาน พอหันมาได้แล้วมือสวยก็เตรียมจะเปิดผ้าที่ปิดหน้าแต่ทว่าคนที่กำลังจะถูกปิดหน้านั้นยกมือห้ามเขาเสียก่อน
"เดี๋ยวก่อน" มือสวยชะงักแล้วเอามือออกมาให้ห่างจากผ้า "เจ้ามีอะไรรึ"
"ถามได้ว่ามีอะไร เจ้าเองก็สวมหน้ากากข้าต้องถอดของเจ้าด้วยเช่นกัน"
"หึ เรื่องนี้เองรึ ได้สิ"
ต้าต่านได้ร้อง 'ชิ' เบาๆ เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะยอมเขานึกว่าห่วงใบหน้าไม่ยอมให้ถอดแล้วแท้ๆ แต่ก็ดีเขาจะได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายด้วยเช่นกันว่าจะงดงามอย่างที่ได้ยินมาจริงหรือไม่ เมื่อมือของทั้งสองยื่นไปเพื่อเปิดหน้าพร้อมกัน ผ้าสีแดงที่ถูกเปิดออกพร้อมกับหน้ากากทองคำที่ค่อยๆ หลุดออกจากใบหน้าอีกฝ่าย ดวงตาคมจ้องมองตาไม่กะพริบเพราะอยากจะเห็นใบหน้าของจวินหง และเมื่อดวงตาคมที่พ้นผ้าสีแดงก็ทำให้เห็นใบหน้าคนตรงหน้าชัดเจนสองลูกตา ทำเอาความคิดที่ว่าเปิดหน้าเมื่อไรเขาจะจัดการผลักอีกฝ่ายลงไปนอนกับเตียงก็หายไปทันที
ความงดงามที่เขาเล่าลือมันกันมานั้นเหมือนเล่ากันไม่หมดอย่างไรอย่างนั้นเลย
มันเหมือนกับว่าเทพธิดาฉางเอ๋อ มาอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว
ในขณะเดียวกันใบหน้าหล่อที่แต่งแต้มไปด้วยเครื่องสำอางที่ไม่ได้ทำให้ความหล่อหายไปเลยนั้นทำเอาจวินหงยกยิ้มขึ้นมานั้นยิ่งทำให้ต้าต่านตกอยู่ในถวังมากกว่าเดิม ใบหน้างามเคลื่อนเข้าไปใกล้ๆ ใบหน้าหล่อคมที่เหมือนจะหยุดนิ่งไม่ขยับเพราะสิ่งที่จวินหงปรารถนาในตอนนี้เขาอยากครอบครองปากได้รูปที่แตะแต้มด้วยสีแดงด้วยปากของเขาแต่ทว่ายังไม่ทันได้แตะเลยใบหน้าของเขาถูกมือเรียวของอีกฝ่ายจับเข้าที่หน้าเต็มๆ พร้อมกับผลักออกให้ห่างทันที
รู้สึกตัวเร็วกว่าที่คิด เสียดายที่จูบไม่ทัน
ระหว่างนั้นเองพอมือเรียวเอาออกจากใบหน้าของเขาแล้วจวินหงก็รู้สึกตัวว่าโดนอีกฝ่ายจัดการจับไหล่ของเขากดลงที่เตียงนอนอย่างรวดเร็วเพราะเขาเองก็ไม่ทันได้ตั้งตัวด้วยเลยถูกจับนอนราบกับเตียงอย่างง่ายดาย ร่างของต้าต่านในตอนนี้คร่อมร่างกายของเขาอยู่ด้านบน
"คิดว่าเจ้าได้แต่งเป็นสามีแล้วจะได้ทำบทบาทสามีงั้นรึเจ้าคิดตื้นไม่แล้ว"
ต้าต่านพูดพร้อมกับออกแรงกดอีกฝ่ายเอาไว้ใต้ร่างของเขา ตอนที่ได้เห็นใบหน้างดงามเขายอมรับเลยเขาหัวใจเต้นแรงราวกับเจอของที่ถูกใจแต่พอเขากำลังจะถูกอีกฝ่ายจูบ ดีที่รู้สึกตัวทัน สุราอะไรนั้นไม่ต้องแลกจอกกันแล้วเขาต้องรีบจัดการอีกฝ่ายก่อน แต่แทนที่คนใต้ร่างจะทำสีหน้ากังวลหรือกลัวเขานั้น กลับมีรอยยิ้มที่ยิ่งยิ้มยิ่งทำให้ใบหน้างดงามนั้นน่ามองกว่าเดิมไปอีก
"งั้นรึ"
สิ้นเสียงชวนฟังมือสวยของจวินหงก็ยกมาจับที่ต้นคอของต้าต่านอย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันถามว่ากำลังจะทำอะไรร่างกายของต้าต่านก็เหมือนคนหมดแรงทันทีทำเอาตกใจเลยทีเดียว มือที่กดไหล่ของอีกฝ่ายเอาไว้ก็ล้าจนไม่มีแรงกด
"จะ เจ้า ทำอะไร"
ร่างงามหลุดจากเขาอย่างง่ายดายแล้วลุกขึ้นยืนเดินไปยังโต๊ะที่วางจอกสุราเอาไว้ก่อนที่มืองามชูอะไรบางอย่างออกมามันคือเข็มเล่มเล็กๆ ที่บางจนมองแทบไม่เห็น
"ข้ารู้ว่าเจ้าต้องดื้อ ข้าเลยต้องหาอะไรมากำราบความดื้อของเจ้าไง"
จวินหงวางเข็มลงวางลงไปในจอกสุรา ก่อนที่จะหันมาหาเขา แม้ว่าต้าต่านจะไม่ได้รู้เรื่องยาอะไรมากนักแต่เขาก็พอจะเข้าใจว่าวิธีการเช่นนี้ที่เขาไม่รู้ว่ามาเข็มมาทิ่มก็เพราะปลายเข็มมียาชาเอาไว้ทำให้บริเวณที่เข็มทิ่มรู้สึกชาก่อน แล้วตามด้วยยาที่ทำให้ร่างกายอ่อนแรงแบบนี้ทันที นับได้ว่าเป็นชายที่น่ากลัวไม่น้อยถึงทำเช่นนี้ได้ เพราะยาจะอยู่บนเข็มได้ไม่นานถ้าไม่รู้จักวิธีทำมัน แต่เรื่องนั้นไม่ควรมาสนใจเท่ากับตอนนี้เพราะร่างคนงามที่ใช้วิธีสกปรกเดินเข้ามาใกล้แล้วยื่นมือมาหาจับไหล่ของเขาลงไปนอนราบกับเตียงนอนเหมือนที่เขาก่อนหน้านี้กับอีกฝ่าย
แรงขัดขืนแทบไม่มีเลยทีเดียว
"ปล่อยข้า! "
อย่างน้อยเสียงของเขาก็มีมากพอที่จะส่งเสียงโวยวายออกมาได้อยู่
"หึหึหึ"
ใบหน้างามตอนนี้ส่งรอยยิ้มให้แล้วยังเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้จนตอนนี้ต้าต่านโวยวายว่า 'หยุด' 'อย่าเอาหน้าเจ้ามาใกล้หน้าข้า' พร้อมกับสะบัดหน้าหนีไม่ให้อีกฝ่ายจูบเขาจนมานึกได้ว่าอย่างน้อยหัวยังขยับได้เขาจะต้องใช้หัวสู้ ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วละก็
โป๊ก!
หน้าผากของต้าต่านโขกเข้าที่หน้าผากของจวินหงดังมากพอที่จะทำให้ชายใบหน้างามถึงกับส่งเสียง 'โอ๊ย! ' ออกมาอย่างดังเพราะความเจ็บและมึนหัวจากแรงสะเทือนเลยเผลอปล่อยต้าต่านทันที แน่นอนว่าคุณชายสำนักเถียนแข็งแกร่งมากพอที่ลุกขึ้นหนีพร้อมกลับไปหยิบเก้าอี้ยกขึ้นเหนือหัวฟาดลงไปที่คนอยู่บนเตียงนอนทันที
โชคดีที่ประมุขสำนักเพ่ยยังไม่ถึงชะตาขาดเลยหลบทัน
เก้าอี้ที่ฟาดลงมาโดนเตียงนั้นแรงพอแต่ทั้งเตียงและเก้าอี้ไม่รับความเสียหายอะไรมาก แต่แรงเมื่อครู่ถ้าจวินหงโดนเต็มๆ ละก็คงสลบอยู่เหมือนกัน แต่ที่มันน่ากลัวก็คือขนาดโดนยาไปแล้วยังมีแรงอยู่เลยนี่สิ คนงามถึงกับตกตะลึงอยู่ไม่น้อยก่อนที่จะรู้สึกภูมิใจในความสามารถของภรรยาตนต่อ ดวงตาคู่งามมองไปยังร่างของต้าต่านที่เอาเก้าอี้อีกตัวตั้งท่าจะตีเขาถ้าหากเข้าไปใกล้ แต่ยังไม่ทันไรเก้าอี้นั้นก็หลุดมือดีที่จวินหงเร็วพอที่จะเข้าไปคว้าร่างที่สูงพอๆ กันให้พ้นไม่งั้นเก้าอี้อาจจะหล่นใส่เท้าก็เป็นได้
"เจ้ามันคนสกปรก" ต้าต่านพยายามดิ้นรนให้ตัวเองหลุดจากอ้อนแขนของคนงามที่กอดรัดเขาเอาไว้ไม่เช่นนั้นจะพลาดพลั้งได้
"สกปรกได้ไง ข้าอาบน้ำทุกวันนะ"
"อย่ามาเล่นลิ้นกับข้า"
"งั้นข้าเล่นลิ้นของเจ้าได้หรือไม่"
สิ้นเสียงของคนงามก็กอดรัดเขาไว้แน่นพร้อมกับปากสวยยื่นมาจะจูบปากเขาให้ได้นั้น ต้าต่านใช้แรงที่มียกมือมาปิดปากของตัวเองทันทีพร้อมกับหันหน้าหนีไปมาโยกหัวไปด้านหลังจนหลังจะโค้งอยู่แล้วการกระทำของคุณชายเถียนในอ้อมแขนนั้นทำเอาจวินหงไม่ไหวถึงกับหัวเราะจนไหล่สั่นเลยทีเดียว ต้าต่านปล่อยมือตัวเองออกจากปากแล้วโวยวายใส่คนที่หัวเราะใส่เขา
"เจ้าสนุกมากรึไง! " ต้าต่านหัวเสียที่ตัวเองพลาดพลั้งโดนยาจนแทบจะหมดแรงยังดีที่ยกแขนยกขาได้ แล้วถ้าตอนนี้อีกฝ่ายไม่กอดเขาไว้คงลงไปกองกับพื้นแล้วเรียบร้อย แล้วยังมาโดนหัวเราะอีกคงจะสมเพชเขาอยู่เป็นแน่ ตกลงเขาจะต้องพ่ายแพ้อีกกี่ครั้งกัน ดวงตาคมมองใบหน้างามที่เพิ่งจะหยุดหัวเราะไปมามองหน้าเขาตรงๆ
"สนุกสิ ก็เจ้าน่ารักขนาดนี้"
นะ น่ารักรึ! เขารึน่ารัก คนที่ถูกชมว่าน่ารักกำลังจะอ้าปากโวยวายว่าเขาหล่อไม่ใช่น่ารักแต่พอใบหน้างดงามของจวินหงเข้ามาใกล้จนปลายจมูกจะชนกันอยู่แล้ว สมองของต้าต่านบอกว่าให้เอามือยกมาปิดปากตัวเองไว้เพราะไม่ปลอดภัย
"ข้าไม่ใช่คนที่จะทำอะไรโดยไม่คิดถึงใจใคร ข้าสัญญาว่าข้าจะไม่ทำอะไรเจ้าจนกว่าเจ้าจะยอมตกลงปลงใจรักกับข้าจริงๆ "
ต้าต่านได้ยินเช่นนั้นคำหนึ่งก็ผุดขึ้นมาทันทีก็คือ ไม่มีวันที่เขาจะตกลงปลงใจรักกับอีกฝ่ายอย่างแน่นอน
"เอาละ เข้านอนกันเถอะ"
คำว่าเข้านอนนั้นก็พอจะเข้าใจแม้ตอนนี้ด้านนอกฟ้ายังไม่มืดก็ตามแต่เพราะเข้าหอแล้วยิ่งออกจากไปหอไปไม่ได้ ต้าต่านเอามือออกจากปากของตัวเองเมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรเขา แต่พอเอามือเท่านั้นแหละ ปากสวยของจวินหงที่โน้มมาหาปากของเขาอย่างรวดเร็ว เร็วขนาดที่ว่าไม่ทันตั้งตัวเลย ต้าต่านเบิกตากว้างทันทียิ่งลิ้นนุ่มและอุ่นของอีกฝ่ายที่เข้ามาในด้านในปากของเขานั้น มันทำให้รู้สึกดีมากเลยทีเดียว แต่เดี๋ยวสิ! ไหนบอกว่าไม่ทำอะไรไง นี่ผิดคำพูดไม่ใช่รึ! ว่าแล้วก็จัดการยกเท้าตัวเองขึ้นมาสูงแล้วกระทืบลงที่เท้าอีกฝ่ายทันทีไม่เช่นนั้นคงไม่หยุดจูบเป็นแน่เพราะร่างกายที่ล้าและอ่อนแรงเลยไม่รู้สึกถึงอารมณ์นั้นแทบยังสับสนอีกด้วย แขนยาวที่กอดเขาเอาไว้ปล่อยออกทันทีเพราะความเจ็บที่เท้า ขนาดโดนยาไปแล้วยังยกแขนยกขาได้ขนาดนี้เลยรึ จวินหงคิดในใจว่าเขาควรเพิ่มยาให้มากกว่านี้ ส่วนต้าต่านเซร่างกายไปเกาะเสาที่เตียงแทนเพื่อพยุงตัวเองไม่ให้ล้มโดยที่ไม่ลืมจะโวยวายใส่คนงาม
"ไหนเจ้าสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรข้าไงเล่า เจ้าคนสกปรก! "
จวินหงที่เบาเจ็บเท้าหันมามองหน้าต้าต่านที่โวยวายใส่เขาราวกับว่านั้นคือร่างแมวที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากพองขนจนฟูให้ดูน่ากลัว ใครว่าต้าต่านคือเสือกัน ก็แค่แมวใหญ่ตัวหนึ่งเท่านั้น
"ข้าสัญญาว่าข้าจะไม่ทำอะไร แต่ไม่ได้ว่าข้าจะไม่ทำอะไรทั้งนั้น เพราะฉะนั้น..." จวินหงขยับเข้าไปใกล้ร่างแมวใหญ่ที่กอดเสาของเตียงจ้องมองเขาอย่างโกรธเคือง
"คืนนี้มาเป็นตุ๊กตาแมวใหญ่ให้ข้านอนกอดเถอะ"
สองเด็กสำนักที่ยืนเฝ้าหน้าประตูห้องหอเพื่อความปลอดภัยได้ยินเสียงโวยวายด้านในตอนที่ได้เหมือนเสียงอะไรสักอย่างฟาดก็อยากจะเข้าไปดูว่าเกิดอันตรายอะไรหรือไม่แต่พอนึกว่าได้ว่านี่มันคืนเข้าหอจะเข้าไปก็ลงไม่ได้ ว่าแล้วก็เลยยืนเฝ้าเหมือนเดิมโดยตอนนี้มีเสียงโวยวายออกมาว่า
ข้าจะฆ่าเจ้า! ไปตายซะ!
ดังออกมาจากห้องหออยู่เป็นระยะก่อนที่เสียงจะเงียบไปลงพร้อมกับแสงเทียนในห้องที่ดับไป
ความคิดเห็น