คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #46 : อย่ามาเกี้ยวสามีข้า บทที่ ๔๔
บทที่ ๔๔
เพราะนอนนอกสถานที่ที่ไม่ใช่สำนักหรือห้องพักของตัวเองหรือเปล่า กวางโม่วั่งซูถึงได้รู้สึกนอนหลับไม่เต็มอิ่มเท่าไรนัก หรือเพราะเสียงข้างนอกมันดังเกือบตลอดทั้งคืนก็ไม่รู้ เขาลืมตาตื่นเช้ามาก็พบกับผู้ติดตามของเขาที่นำอ่างล้างหน้ามาให้ พอถามว่าไม่มีที่อาบน้ำหรือ ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วที่ไม่ได้อาบหลังจากเดินทางมาถึง ผู้ติดตามของเขาก็บอกว่าที่อาบน้ำนั้นมีแต่ต้องอาบรวมกับผู้อื่นไปก่อนเพราะที่อาบน้ำส่วนตัวของเขายังสร้างไม่เสร็จดีนักอาจจะสร้างเสร็จเย็นนี้ โม่วั่งซูได้ยินเช่นนั้นก็ไม่คิดจะไปอาบน้ำรวมกับผู้อื่นอยู่แล้ว เลยยอมเหนียวตัวสักพักหนึ่งไปก่อนก็แล้วกัน ถ้าหากไม่ไหวก็คอยเช็ดตัวเอา
นี่คือสิ่งที่เขาจะต้องแลกกับมันสินะ เขาไม่ชอบเอาเสียเลย
โม่วั่งซูล้างหน้าล้างตาทำความสะอาดร่างกายบางส่วนเรียบร้อยแล้วก็เดินออกมาข้างนอกเพื่อสูดอากาศยามเช้าที่ไม่ได้รู้สึกสดชื่นเท่าไรนัก คงอีกสักพักกว่าเขาจะเคยชินกับที่นี่ เมื่อเดินออกมาได้ไม่นานแม่นางซิงเยียนก็ปรากฏตัวตรงหน้าเขาโดยที่เขานั้นกลับไม่รู้สึกถึงการเดินของอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ มาตอนไหนกันนะ
"คุณชายกวางตื่นแล้วรึ ข้าจะพาไปทานอาหารเช้า ตามข้ามาเถอะ"
กวางโม่วั่งซูไม่ปฏิเสธและเดินตามร่างซิงเยียนไป โดยผู้ติดตามของเขานั้นได้ทานก่อนหน้านี้มาแล้ว ปกติแล้วเขาไม่ใช่ชายหนุ่มที่มองเรือนร่างแม่หญิงเท่าไรนัก อาจจะเพราะเกิดและเติบโตมากับเหล่าพี่สาวซะส่วนใหญ่เลยรู้สึกชินชากับเรือนร่างของสตรี แต่เขายอมรับเลยว่าสตรีตรงหน้าเขานั้นมีความรู้สึกชวนให้น่ามองอยู่ไม่น้อย ไม่ใช่เชิงไม่ดีหรือเชิงตัณหากามอะไร เขารู้สึกว่ารูปร่างของแม่นางซิงเยียนนั้นช่างงดงามราวร่างของเทพธิดาก็ไม่ปาน ไหล่ไม่ได้ดูแคบจนเกินไป เอว สะโพกสมส่วน ถ้าหากเปรียบอีกฝ่ายเป็นงานศิลปะแล้วละก็ คงเป็นงานศิลปะราคาแพงและคงมีเพียงชิ้นเดียวในยุทธภพเป็นแน่
และคงเป็นดอกไม้ที่หายากยิ่งกว่าดอกไหน ๆ อีกด้วย
โม่วั่งซูชะงักกับความคิดของตัวเองก่อนที่จะสะบัดความคิดเกี่ยวกับซิงเยียนออกไป และกลับมาใส่ใจเท้าของตนเพื่อเดินตามไปหาที่โต๊ะอาหารในเช้าวันนี้ โม่วั่งซูนั่นไม่ได้คาดหวังกับอาหารเท่าไรนัก เมื่อไม่คาดหวังก็จะได้ไม่ผิดหวัง ซึ่งอย่างน้อยขอให้เป็นอาหารที่กินได้ ไม่จำเป็นต้องฝืนใจกินก็เพียงพอแล้ว แต่เมื่อมาถึง อาหารที่วางบนโต๊ะนั้นไม่ได้แย่เลยสักนิด แต่นั้นไม่ได้ทำให้โม่วั่งซูรู้สึกประหลาด แต่ที่ทำให้เขาประหลาดใจจนแทบขยับขาก้าวต่อไม่ได้ก็คือ
ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่และกำลังรอเขาเพื่อร่วมโต๊ะอาหารมื้อเช้านั้น
แม้จะไม่ได้เข้าวังบ่อย แต่ก็เคยเข้าไปและไม่มีทางที่เขาจะจำชายผู้นี้ไม่ได้ องค์รัชทายาทหย่งจื้อ! ใบหน้าขาวตอนนี้ซีดจนผู้อื่นน่าจะมองออกได้อย่างชัดเจน และไม่เพียงแค่นั้น ชายอีกคนที่ได้ยินข่าวว่าสำนักโดนถล่มไปแล้วและเขานึกว่าอีกฝ่ายน่าจะไม่รอดกำลังนั่งเอาตะเกียบคีบเนื้อให้เด็กชายที่เป็นลูกของตนอย่างร่าเริง ประมุขสำนักตงหรือตงต๋าจินเป่า
นี่มันอะไรกันเนี่ย!!
สำนักเถียนยามเช้า
ที่ปกติจะเต็มไปด้วยบรรยากาศที่สบายๆ กว่านี้ แต่เพราะสถานการณ์ในตอนนี้มันยากจะทำสบายตัวสบายใจได้ เด็กสำนักบางคนถูกส่งไปให้ไปอยู่สถานที่ที่จวินหงบอกไว้แล้วบางส่วน บางส่วนยังขออยู่ที่นี่เพื่อคุ้มกันความปลอดภัยให้ท่านประมุขและฮูหยินใหญ่ขอสำนักก่อน โดยที่ทั้งสองเองก็กำลังจะออกเดินทางไปยังที่ปลอดภัยในเร็ววัน
ห้องทำงานของเถียนเจียนเจี๋ยที่พื้นเต็มไปด้วยกระดาษและอะไรต่อมิอะไรเต็มไปหมด
ยังดีที่บนโต๊ะทำงานยังพอมีที่ว่างให้ได้วางข้าวของบ้าง ร่างงามนั่งบนเก้าอี้ตรงโต๊ะทำงานของตนโดยเอามือกุมขมับเอาไว้จากอาการปวดข้างขมับที่เต้นตุบๆ มาสักพักหนึ่งแล้ว แม้จะยังไม่ดีขึ้นแต่เขายังพักผ่อนตอนนี้ไม่ได้ แผนการที่เขาวางอะไรมันยังไม่สมบูรณ์แบบดีนักแม้ว่าพี่เขยจะบอกว่าไม่ต้องคิดไปถึงการณ์นั้น แต่เขาก็อดไว้วางใจไม่ได้อยู่ดี ทรัพยากรและกองกำลังตอนนี้ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีจากการช่วยเหลือจากสำนักที่เป็นพันธมิตรกับสำนักพี่เขยอยู่ไม่น้อยเลยแถมส่งคนมาช่วยคุ้มกันภัยอีกแรง ก็ยอมรับเลยว่าถ้าหากพี่ชายของเขาไม่ได้แต่งงานกับจวินหงประมุขแห่งสำนักเพ่ย ตอนนี้สำนักเถียนก็คงตกเป็นรองแล้วแน่ ๆ แถมได้ยินข่าวจากสายสืบมาว่า สำนักซุยเริ่มเคลื่อนย้ายเข้าไปในพระราชวังกันบ้างแล้ว
ในเมืองตอนนี้แทบไม่ต่างจากเมืองร้าง
จอมยุทธ์หลายๆ คนที่ไม่ได้เข้าร่วมกับสำนักใดสำนักหนึ่งหรือเหล่าจอมยุทธ์ไร้สำนักก็จะพากันหลบหนีไปในป่าหรือไม่ก็ไปอยู่เมืองอื่นที่ปลอดภัยกว่านี้ เผลอๆ หนีกันไปแคว้นข้างเคียงแล้วก็ได้ และสิ่งที่สำนักซุยแอบทำก่อนหน้านี้คือเกณฑ์เหล่าจอมยุทธ์ที่มีฝีมือเข้าสำนักของตนอีกด้วย เตรียมการไว้ขนาดนี้เลยเชียวรึ แค่คิดว่าจะต้องสู้หรือทำสงครามถ้าไม่วางแผนให้ดีแล้วละก็ เจียนเจี๋ยก็เกิดอาการปวดหัวแล้ว ระหว่างที่กำลังปวดหัวอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงเคาะประตูพร้อมกับน้ำเสียงที่คุ้นเคย นั้นก็คือห่วงลู่นั้นเอง อีกฝ่ายขออนุญาตเข้ามาด้านในห้องแล้วมีหรือที่คนสวยจะกล้าไล่หรือไม่อนุญาต เมื่อเขาเอ่ยอนุญาตให้อีกฝ่ายเข้ามาแล้วนั้น แค่ได้เห็นร่างของคนที่เขาแอบรัก ความรู้สึกอยากอ้อนก็บันดาลขึ้นมาในอกแม้ไม่รู้ว่าจะทำได้หรือไม่ก็ตาม
"ข้าเอาน้ำหวานกับขนมมาให้ เห็นเจ้าไม่ได้ไปทานอาหารเช้า ท่านแม่เป็นห่วงเจ้ามากเลยนะ"
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่ห่วงลู่เรียกแม่ของเขาว่าท่านแม่ อ่า มันให้ความรู้สึกเหมือนคู่แต่งงานเลย แม้อีกฝ่ายยังไม่ตอบตกลงปลงใจว่าชอบเขาหรือรักเขาแล้วก็เถอะ
"ขอบคุณ"
ห่วงลู่วางถาดที่ใส่น้ำหวานเพื่อเพิ่มน้ำตาลในร่างกายให้กับเขาลงบนโต๊ะทำงานที่ยังพอมีที่ว่างจะวางได้ ดวงตาคู่สวยมองห่วงลู่ที่ดูแล้วท่านแม่ของเขาจะเอาใจใส่อีกฝ่ายมากกว่าคนเป็นลูกชายอย่างตนไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะเสื้อผ้า ผิวพรรณและเส้นผมดูดีกว่าตอนนี้อยู่ร้านของตัวเองเป็นไหน ๆ จะว่าไปแล้ว
"ตอนนี้ท่านยังคิดถึงร้านอยู่หรือไม่"
ห่วงลู่ที่เพิ่งจะวางถาดเรียบร้อยเมื่อได้ยินคำถามจากน้องชายเพื่อนรักก็ชะงักไปเล็กน้อย ถ้าจะตอบแบบตรงๆ แล้วละก็
"คิดถึงสิ ร้านที่ข้าวาดฝันไว้ว่ามันจะอย่างไรในอนาคต ตอนนี้ไม่เหลืออะไรแล้ว ล่าสุดข้าได้ยินจากเด็กสำนักของเจ้ามาว่า ข้าวของในร้านถูกคนเร่ร่อน คนไร้บ้านเข้ามาเอาของพวกนั้นไปหมดแล้วด้วยละนะ"
"งั้นรึ จะให้ข้าส่งคนไปเฝ้าดีหรือไม่ หรือจะให้ข้าส่งเด็กสำนักไปขนของพวกนั้นมา ข้าเองก็ลืมคิดเรื่องข้าวของที่ร้านไปเลย เดี๋ยวข้าจะสั่งการเดี๋ยวนี้"
ห่วงลู่มองร่างสวยที่กำลังลุกจากเก้าอี้เพื่อออกไปสั่งการแต่ก็ต้องรีบยื่นมือของตนไปจับไหล่ของอีกฝ่ายแล้วกดให้นั่งลงตามเดิม
"ไม่ต้องๆ แบบนั้นก็ดีแล้ว อย่างน้อยข้าวของเหล่านั้นก็ไม่ได้ถูกปล่อยให้เน่าเสียนี่นา อีกอย่างงานเจ้าเองก็เยอะอยู่แล้ว จะเพิ่มภาระให้กับตัวเองทำไมกัน"
"ก็เพราะมันคือเรื่องท่านข้าเลยต้องรีบใส่ใจมัน"
แน่นอนว่าห่วงลู่รู้แล้วว่าอีกฝ่ายคิดเช่นไรกับเขา และสถาณการ์ตอนนี้แม้ตัวเขาที่ไม่ได้มีความรู้เรื่องอะไรพวกนี้มากนัก แต่ดูแล้วคงเหนื่อยมากพอดู
"ขอบคุณที่ใส่ใจข้า แต่เจ้าก็ต้องใส่ใจตัวเองด้วยเหมือนกัน"
ห่วงลู่พูดจบก็กำลังเอามือออกจากไหล่ของเจียนเจี๋ยแต่ก็ถูกมือสวยจับเอาไว้ก่อนที่ออกแรงดึงเขาเข้าไปใกล้ แน่นอนว่าคนถูกดึงก็ไม่ได้ขืนร่างกายอะไรและปล่อยให้ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างไม่ขัดขืน มือสวยปล่อยมือของเขาแล้วเปลี่ยนมาใช้แขนทั้งสองแขนโอบเอวแล้วดึงเอาไปเพื่อให้ด้านข้างของใบหน้าหรือแก้มขาวได้สัมผัสพุงของเขาผ่านเสื้อผ้าที่ท่านแม่ซูหนี่เป็นคนจัดสรรมาให้กับตน
"ข้าเหนื่อย"
น้ำเสียงออดอ้อนดังมาเบาๆ แต่มันก็ดังมากพอที่จะทำให้ห่วงลู่ได้ยิน ดวงตาแสนซื่อมองห้องที่เต็มไปด้วยกระดาษและอะไรต่อมิอะไรที่เขาไม่รู้จักอีกมาก เขาเห็นอีกฝ่ายวิ่งวุ่นไปทั่วจนบางครั้งก็ลืมทานข้าว ท่านแม่ซูหนี่ก็เป็นห่วงจนตัวเองก็เผลอลืมทานข้าวไปด้วยเช่นกัน ทำให้เขาต้องขอมาอาสาค่อยดูแลเจียนเจี๋ยให้เพื่อท่านแม่ได้สบายใจเพราะนางไม่อยากเข้ามาวุ่นวายในบางส่วนที่ตนเข้าไปวุ่นวายไม่ได้ เพราะตอนนี้ท่านแม่เองก็วุ่นอยู่กับการจัดสรรบัญชีที่ยื่นมือมาช่วยอีกแรง
ห่วงลู่ไม่พูดอะไรมากนอกจากยกมือของตนลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ
เส้นผมที่เคยนุ่มบัดนี้มีหยาบกร้านขึ้นมาบ้าง คงไม่ได้ใส่ใจตัวเองเหมือนเมื่อก่อนสินะ ไม่คิดเลยว่ามันจะวันอะไรแบบนี้ และไม่ได้คิดว่ามันจะมาถึงเร็วขนาดนี้ด้วย เขาปล่อยให้เจียนเจี๋ยน้องชายเพื่อนรักกอดเอาไว้แบบนี้จนกว่าอีกฝ่ายจะมีพละกำลังกลับมาละนะ ยืนเมื่อยขาสักพักก็แล้วกัน
............................................
กวางโม่วั่งซู เดินมานั่งเก้าอี้ตรงลานฝึกเพื่อดูเหล่ากองกำลังที่ฝึกฝนกันอย่างดุเดือดโดยให้ผู้ติดตามของตนไปทำอย่างอื่นก่อน ระหว่างนี้ก็ใช้สายตามองการฝึกแล้ว ก็รู้สึกได้ถึงความไม่เอาไหนของตนเองขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ที่่ผ่านมาเขาเอาแต่เที่ยวเล่น ฝึกบ้างเป็นครั้งคราวแต่ไม่จริงจัง สิ่งเดียวที่จริงจังคือเรื่องพืชและดอกไม้ที่ตัวเขานั้นชื่นชอบมาตั้งแต่ยังเล็ก ซึ่งเหล่านั้นก็ไม่ได้ช่วยอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้เลยสักนิด
อยากย้อนกลับไปได้เหลือเกิน
แล้วไม่ต้องถามถึงวิชาลับของสักนักกวางเลย มันไม่มี มีก็เหมือนตั้งๆ ขึ้นมาเท่านั้น ถ้าหากตอนนี้ใครจะมาพูดว่าวิชาสำนักกวางก็แค่แกว่งกระบี่แกว่งดาบไปมาเขาก็คงไม่เอ่ยเถียงกลับแต่อย่างใด ก็ใครมันจะไปคิดเล่าว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ หลังจากที่เขากว่าจะรวบรวมความกล้าและสติไปนั่งทานอาหารที่โต๊ะได้นั้นมันยากแค่ไหนกับการที่มีองค์รัชทายาทหย่งจื้ออยู่ด้วย หลังจากที่ทานมื้อเช้าเรียบร้อยแล้ว เขาก็ไม่รีรอที่จะเอ่ยถามซิงเยียนถึงเรื่องพวกนี้ว่ามันเป็นอย่างไรกันแน่ นางก็ตอบได้เพียงแค่ว่าองค์รัชทายาทไม่ปลอดภัยถ้าหากยังอยู่ในพระราชวังและสำนักตงแท้จริงแล้วถูกพระสนมเอกสั่งให้บุกโจมตี ถ้าหากอยากรู้มากกว่านี้ก็ไปถามองค์รัชทายาทเอาเอง
แล้วใครมันจะไปกล้าถามกันเล่า
นั้นเลยทำให้โม่วั่งซูต้องมานั่งมองเหล่ากองทัพที่กำลังฝึกซ้อมกันอยู่นี่ไง ระหว่างที่กำลังหาทางว่าจะทำเช่นไรที่กล้าเดินเข้าไปถามกับองค์รัชทายาทอยู่นั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงใครบางคนที่กำลังเดินมาเขาแล้วยืนข้างๆ ตอนแรกก็นึกว่าผู้ติดตามของเขากลับมาหา แต่พอเงยหน้าขึ้นไปดูก็แทบจะลุกขึ้นยืนแต่ก็ถูกมือใหญ่ผิวเข้มของอีกฝ่ายจับกดลงนั่งเหมือนเดิม ไม่ใช่ใครอื่นไกล ซาหรงหัวหน้าหมู่บ้านลิงแดงหรือที่เขาเพิ่งรู้อีกอย่างนั้นก็คืออีกฝ่ายเป็นองค์ชายสี่ที่หูเคยรับรู้มาว่าองค์ชายสี่คือบุคคลที่พยายามขับไล่พระสนมเอกออกจากวังแต่ถูกฮ่องเต้ผู้เป็นพ่อขับไล่ออกจากวังแทนแม้จะไม่รู้ว่ามันคือเรื่องจริงหรือเปล่าก็เถอะ
“ฝะ ฝ่าบาท”
“เรียกข้าว่าหัวหน้าไม่ก็ซาหรงก็พอเราทั้งคู่ก็อายุไม่ได้ห่างกันเลย”
“ถึงจะทรงตรัสเช่นนั้นก็เถอะ กระหม่อมก็ยังรู้สึกไม่กล้าพอ ว่าแต่ฝ่าบาททรงมีอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ซาหรงไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมีมารยาทแถมพูดราชาศัพท์ได้ดีอีกด้วย แม้ว่าหน้าตาจะออกไปทางกะล่อนสักหน่อยก็ตาม
“ข้ามาหาเจ้าก็เพราะข้าทราบมาว่าเจ้าอยากที่จะรู้เรื่องราวทั้งหมดใช่ไหม”
“ก็ใช่พ่ะย่ะค่ะ”
“ถ้าเช่นนั้นก็ตามข้ามา”
กวางโม่วั่งซูได้ยินเช่นนั้นก็ลุกจากเก้าอี้เดินตามร่างซาหรงหรือองค์ชายสี่ไปยังสถานที่ที่ค่อนห่างไกลผู้คนอยู่ไม่น้อย หวังว่าจะไม่ได้พาเขามาฆ่าหมกป่าหรอกนะ เมื่อมาถึงองค์ชายสี่หรือหัวหน้าหมู่บ้านก็เอ่ยบอกในสิ่งที่เขายังไม่รู้ สองหูได้ยินทุกอย่างชัดเจน ทุกๆ ถ้อยคำไม่มีตกหล่นอย่างแน่นอน ในชีวิตที่เกิดมาจนมีอายุจนถึงปัจจุบันโม่วั่งซูเคยอ่านเจอเรื่องราวเกี่ยวกับเทพเซียนมากบ้างแต่ไม่ได้สนใจอะไรขนาดนั้นเพราะขนาดปีศาจ ผียังมีเลย นับประสาอะไรกับเซียนหรือเทพที่น่าจะอยู่ใกล้ๆ แต่ไม่เปิดเผยตัวมากกว่า แต่ไม่คิดเลยว่า
“ถ้าเช่นนั้นซิงเยียนเองก็...”
“ถ้าหากเป็นซิงเยียนถึงแม้ข้าจะไม่ได้สนิทสนมอะไรกับนางมากนักแต่เท่าที่ฟังจากพี่ชายบอก นางไม่ได้ฝึกเป็นเซียนแต่อย่างใด แต่วิชาการแพทย์และวิชาแมลงของนางเก่งกาจทัดเทียมเทพเลยทีเดียว เอาเป็นว่าอะไรที่คุณชายกวางไม่รู้ก็รู้แล้ว จากนี้ทำใจให้สบายเถอะ ไม่ต้องคิดอะไรมาก”
ซาหรงหรือองค์ชายสี่พูดจบก็เดินมาตบบ่าของเขาสองสามทีเบาๆ แล้วเดินจากไป เรื่องราวที่ฟังผ่านหูนั้นแม้มันจะยาวมากแค่ไหนโม่วั่งซูก็จำได้ดีจากความจำดีที่เขามักจะใช้มันเพื่อท่องจำดอกไม้ นี่เขาเกี้ยวแม่ทัพสวรรค์เลยรึ! ให้ตายเถอะ ถ้าหากเขาสิ้นวาสนาแล้วจะได้ไปเกิดบนสวรรค์หรือไม่ เขาดันได้ทำเรื่องอะไรที่ไม่ควรทำลงไปเสียแล้ว อีกทั้งยังเคยทำเรื่องไม่ดีกับฮูหยินของแม่ทัพสวรรค์อย่างต้าต่านอีก หวังว่านรกจะมีที่ดีๆ หลงเหลือให้เขาไว้บ้างนะ ไม่สิ ลูกชายคนโตก็ทำงานในนรกด้วยไม่ใช่รึ โอ้ กวางโม่วั่งซูผู้นี้ตายแล้วจะไปอยู่ที่ไหนกันเล่าเนี่ยหรือเขาจะกลายเป็นผีเร่รอนเป็นดินแดนมนุษย์งั้นหรือ? ทำใจให้สบายรึ พอรู้เรื่องราวพวกนี้แล้วมันทำได้ที่ไหนเล่า!
ในขณะที่กวางโม่วั่งซูกำลังคิดอะไรไปเรื่อยหลังจากที่รู้เรื่องราว มีดวงตาคู่สวยของซิงเยียนนั่งมองอยู่บนต้นไม้
ตอนแรกนางก็อยากเห็นปฏิกิริยาที่มากกว่านี้แต่ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะนิ่งกว่าที่คิด แต่ดูจากสีหน้าจากไกลๆ แล้วเหมือนกำลังคิดอะไรไม่ตกอยู่ ระหว่างที่นางกำลังมองคุณชายกวางอยู่นั้นก็ใช่ว่าจะสัมผัสไม่ได้ถึงการมาของชายอีกคนที่ตอนนี้ยืนอีกด้านของต้นไม้และยังมาในร่างของเด็กชายวัยแปดขวบอีกต่างหาก
“ยังจะใช้ร่างนี้อยู่อีกรึพี่ชาย”
“ก็ร่างมันเล็กทำอะไรที่คล่องตัวนี่นา ว่าแต่เจ้าเอาแต่จ้องมองคุณชายกวางมาพักหนึ่งแล้วละ สนใจมนุษย์ผู้ชายแบบนั้นรึไง”
“แบบนั้นแบบไหนกัน ข้าแค่อยากเห็นปฏิกิริยาเมื่อรู้เรื่องของพวกเราต่างหาก”
“ปากแข็งซะจริงนะน้องสาวข้า”
“ปากมากซะจริงนะพี่ชายข้า”
เมื่อสิ้นเสียงของซิงเยียนทั้งสองพี่น้องก็หัวเราะออกมาเบาๆ กับบรรยากาศธรรมชาติของป่าที่พัดเอาสายลมอ่อนโยนมาสัมผัสผิวกาย แม้จะเป็นลูกที่เกิดจากเทพก็ยังมีความรู้สึกทางกายอยู่ พวกเทพจะสิ่งที่อยู่เหนือกว่ามนุษย์คือร่างกายที่ไม่ได้บอบบาง แต่สิ่งที่บอบบางไม่ต่างจากมนุษย์คือสภาพจิตใจ แม้เติบโตผ่านเรื่องราวมาเยอะมากเพียงใดก็ยังมีความรู้สึกนึกคิดเหมือนเด็กน้อยในวันเมื่อวาน ไม่รู้ว่าสองพี่น้องเงียบใส่กันนานแค่ไหน แต่ก็ไม่ได้นานขนาดที่ซิงเยียนจะไม่ชวนคุยถึงเรื่องที่ใกล้จะถึงนี้ เรื่องของพ่อกับแม่
“นี่พี่”
“อะไรรึ”
“พี่น่ะ สำเร็จวิชาประตูอเวจีไปอีกขั้นแล้วสินะ”
“ใช่ เพื่อการนั้นถ้าหากไม่ทำให้ถึงอีกขั้นในเร็ววัน ก็ไม่อาจจะถึงผ่านม่านที่ป้องกันตำหนักท้ายวังได้”
นางรู้ว่ามันคือม่านอะไรเพราะนางเองก็ไปอยู่แถวนั้นมาแล้ว ยอมรับว่าเลยว่าม่านแข็งแกร่งมาก แต่มากพอที่อาจจะทำให้พี่ชายของนางได้รับบาดเจ็บกลับมาด้วย หลิวหยางไม่ได้ยินเสียงน้องสาวของตัวเองตอบกลับก็มองไปก็เห็นนั่งนิ่งดวงตาคู่สวยก้มมองไปด้านล่างที่ตอนนี้ร่างของคุณชายกวางเดินไปไหนแล้วก็ไม่อาจจะทราบได้ หลิวหยางเลยจัดการเปลี่ยนร่างให้กลายเป็นเด็กหนุ่มแล้วไปนั่งข้างๆ น้องสาวของตนทันที แม้ในวัยเด็กจะทะเลาะกันตีกันจนพ่อแม่ต้องมาคอยห้ามศึก แต่ตอนนี้ทั้งสองไม่รู้เลยในภายภาคหน้าพ่อกับแม่จะมาคอยห้ามศึกพวกเขาอีกรึเปล่า ซิงเยียนรับรู้ร่างของพี่ชายที่มานั่งข้างๆ ตนเลยจัดการเอาหัวของตัวเองไปซบไหล่ของพี่ตนและทำถามเอ่ยถามทันที
“มันจะสำเร็จรึเปล่า”
“พี่เองก็ไม่รู้เหมือนกัน ถ้าหากสำเร็จเราก็จะได้พ่อแม่คืน แต่ถ้าไม่...” หลิวหยางไม่กล้าที่เอ่ยประโยคหลังจากนั้นออกมาเพราะมันไม่ใช่เรื่องมงคลเท่าไรนัก ถ้าหากไม่สำเร็จเท่ากับทั้งเขาและน้องก็สูญเสียทั้งพ่อทั้งแม่ สูญเสียไปแบบไม่มีวันหวนคืน แม้ทั้งสองจะโตมากแค่ไหนก็ยังอยากกอดพ่อแม่อยู่ดี อยากกอดให้แน่นๆ เพื่อรับไออุ่น โดยเฉพาะผู้เป็นแม่อย่างต้าต่านที่หลิวหยางและซิงเยียนอยากจะบอกรักและกอดให้แน่นที่สุดเลย
...........................
สำนักซุยได้ทำการโยกย้ายคนบางส่วนเข้ามายังตำหนักท้ายวัง
ซุยเหลียนเฟิงอี๋เป็นคนที่เข้ามาก่อนท่านพ่อของตนเพราะเป็นชายที่จะได้รับตำแหน่งประมุขสำนักคนต่อไปโดยน้องชายของเขานั้นยังอยู่ที่ตัวสำนักเพื่อทำการต้อนรับผู้ที่จะทำการเข้าร่วมสมาคม หรือแม้เหล่าจอมยุทธ์ที่เคยตั้งมั่นว่าจะเป็นจอมยุทธ์พเนจรยังต้องเปลี่ยนเพื่อเข้าร่วมไม่ทางเขาก็ต้องไปอีกทาง เหลียนเฟิงอี๋รับรู้แบบนั้นแล้วเขาเองก็ไม่คิดว่ามันจะกลายเป็นแบบนี้หลังจากที่เกิดเรื่องประลองในทั้งนั้นที่มันเกินกว่าที่เขาคาดคิดเอาไว้เยอะ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นกำลังทำให้เกิดความปั่นป่วนและเริ่มไม่สมดุลในหลายๆ อย่าง แต่ชายที่มีนามจวินหรงหรือพระสนมเอกของฮ่องเต้ทรงตรัสเอาไว้ว่า หลังจากที่ทุกอย่างจบลงแล้วจะเป็นคนจัดการเอง
ถึงกระนั้นเหลียนเฟิงอี๋ก็รู้สึกไม่สบายใจแปลกๆ อยู่ดี
ห้องรับรองชั่วคราวของเขาในตำหนักท้ายวังนั้นมันช่างเป็นอะไรที่เขาไม่คิดว่าจะมาเจอแบบนี้ บรรยากาศห้องแต่งแต้มไปด้วยข้าวของสีแดงและทองคำซะส่วนใหญ่ เหลียนเฟิงอี๋บอกตามตรงว่ามันทำให้เขาเหมือนอยู่ในงานแต่งงานก็ไม่ปาน และหลังจากที่ได้พูดคุยทำให้เขาได้รับรู้อีกหนึ่งอย่างที่เกิดขึ้นในพระราชวังนั้นก็คือ องค์รัชทายาทได้ทำการหลบหนีไปแล้วและบ่งบอกอีกฝ่ายนั้นอยู่ข้างจวินหงนั้นเอง
ร่างสูงหย่อนกายลงนั่งที่ขอบเตียงอย่างคิดไม่ตก
แม้เขาจะเป็นฝ่ายยื่นข้อเสนอจัดตั้งสมาคมขึ้นเองเพื่อไม่ให้สำนักซุยไปอยู่ใต้อำนาจของใคร แต่ทำไมเขากลับรู้สึกเหมือนยังอยู่ใต้อำนาจของพระสนมเอกได้ละ เหลียนเฟิงอี๋ถอนหายใจเล็กน้อยก่อนที่ตนจะนึกขึ้นมาได้ว่ามีบางอย่างที่เขายังไม่ได้ทำและยังไม่รู้จะทำมันหรือเปล่า นั้นก็คือหยดน้ำค้างแห่งความทรงจำที่เขาได้รับมาจากหลิวหยาง ว่าแล้วก็ลุกขึ้นยืนเพื่อเดินไปยังข้าวของของเขาที่ยังไม่ได้จัดการให้เป็นระเบียบเพราะไม่รู้จะต้องอยู่ที่นี่นานแค่ไหน แต่เห็นแบบนี้แล้วเขาก็ไม่อยากจะอยู่นานนัก มือขาวจัดการหยิบขวดที่ใส่หยดน้ำค้างแห่งความทรงจำออกมา
‘แล้วเจ้าอาจจะได้รู้จักข้ามากขึ้น’
เสียงนั้นยังคงก้องในหัว โดยที่เขานั้นไม่รู้เลยว่าความทรงจำในขวดนี้จะถูกบิดเบือนหรือเปล่า แต่จะว่าไปแล้วหยดน้ำค้างแห่งความทรงจำที่ได้รับมาจากพระสนมเอกในตอนนั้นละ มันคือความจริงหมดหรือไม่ เหลียนเฟิงอี๋ไม่คิดเลยว่าตนจะเข้ามามีส่วนร่วมกับเรื่องพวกนี้เลยจริงๆ ระหว่างที่กำลังตัดสินว่าจะดื่มมันดีหรือไม่ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นทำให้ต้องรีบเอาขวดซ่อนใต้เสื้อตรงอกก่อนที่จะเดินไปเปิดประตูว่าใครมาหา พอเปิดแล้วก็พบใบหน้าที่บ่งบอกถึงอายุที่ล่วงเลยมาไกลพอสมควร
หวังเหล่ยหย่งหรือหลวนเซียน
ตอนที่ยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคือลูกชายของต้าต่านเขาก็มองเป็นเพียงชายที่มากความสามารถที่เคยเป็นรองประมุขให้กับสำนักเถียนมาก่อนเท่านั้นคงไม่มารู้สึกแปลกๆ ในอกเช่นนี้เมื่อมองหน้าอีกฝ่าย ไม่รู้สิ แม้เรื่องชาติกำเนิดของเหล่าเทพเซียนมันค่อนข้างดูไม่น่ามีอยู่จริง เทพก็มีการเวียนว่ายตายเกิดด้วยรึ แต่ทำอย่างไรได้ขนาดผี ปีศาจหรือเหล่าหมู่มารยังมีเลยนี่นา เขาก็เคยคิดอยู่มาตลอดเหมือนกันว่าในขณะที่พวกเขาต้องต่อสู้กับพวกนั้นพวกเซียนก็ไม่เห็นโพล่มาช่วยหรืออย่างไรหรือมีแค่ในตำรากับนิทานเท่านั้นหรือ? ที่แท้พวกเขาก็อยู่ใกล้ๆ เพียงไม่เปิดเผยตัวก็เท่านั้นเอง
“ท่านมีอะไรรึ”
เหลียนเฟิงอี๋เอ่ยถามออกไป
“ข้ามาตามคุณชายซุยไปทานอาหาร เพราะตอนนี้พระอาทิตย์อยู่กลางหัวแล้ว”
“อ่อ เข้าใจแล้ว”
“งั้นตามข้ามา ข้าจะพาคุณชายซุยไปที่ห้องทานอาหาร”
เหลียนเฟิงอี๋จัดการปิดประตูเพื่อเดินตามร่างของหลวนเซียนไปยังทานอาหารเพราะอย่างไรซะตอนนี้เขาก็ไม่มีอะไรจะทำอยู่แล้ว จะว่าไปเขาเองก็ลืมเก็บขวดหยดน้ำค้างด้วยหวังว่าจะมันจะไม่ใช่สิ่งวิเศษอะไรที่ทำให้พวกเขาเหล่านี้จับสัมผัสได้หรอกนะ ขายาวเดินตามร่างหลวนเซียนโดยที่ใช้ดวงตาคมจ้องมองแผ่นหลังที่ดูผ่าเผยนั้น ช่างเป็นชายที่คล้ายกับต้าต่านจริงๆ นั่นแหละ ก็นะลูกชายก็ย่อมมีส่วนเหมือนกับผู้กำเนิด แล้วใบหน้าหล่อเหลานั้นก็คงได้มาจากต้าต่านเต็มๆ สินะ มานึกตรงนี้แล้วพวกเซียนพวกเทพเนี่ยก็มีอะไรให้น่าตกใจอยู่ไม่น้อย เขามารับรู้อีกทีว่า ตอนที่อีกฝ่ายไปอยู่สำนักเถียนก็เพื่อรอวันที่ต้าต่านจะกลับมาเกิดโดยได้รับคำสั่งจากผู้เป็นพ่อหรือจวินหรง แต่พอต้าต่านกำเนิดมาในชาตินี้ หลวนเซียนที่รักแม่และไม่ได้รับอ้อมกอดจากผู้เป็นแม่มานาน พอเห็นต้าต่านก็อดที่โศกเศร้าและกลัวตัวเองจะห้ามใจเรียกต้าต่านว่าแม่ไม่ได้ เลยแปรพักตร์และออกมาจากสำนักเถียนมาอยู่กับจวินหรงที่ตำหนักท้ายวังตั้งแต่นั้นแม้จะถูกตำหนิที่ปล่อยต้าต่านหลุดจากสายตาก็เถอะ
แต่ที่ปล่อยได้เพราะกว่าจะคืนชีพหอกทองคำได้นั้นต้องรอวันที่ต้าต่านอายุเท่ากับวันที่โดนหอกแทง
แล้วมันก็ดันไปเกือบพอดีกับวันที่ต้าต่านแพ้พ่ายให้กับเพ่ยจวินหงหรือชายที่ใช้หอกทองทำแทงผ่านร่างนั่นแหละ เรื่องราวมันช่างถูกลิขิตเอาไว้เกินไปหรือเปล่า เหลียนเฟิงอี๋ที่เดินตามไปด้วยก็คิดเรื่องราวต่างๆ ไปด้วย มันก็ทำให้เขาเข้าใจว่าทำไมหลวนเซียนถึงได้อยากได้แม่คืน และเพราะต้าต่านเป็นภรรยาของจวินหรงชาติที่แล้ว แต่ทำไมกันนะ ทำไมมันมีอะไรบางอย่างที่ไม่ถูกต้องอยู่ เขารับรู้ถึงความสัมพันธ์ฝั่งนี้ว่าเป็นมาเช่นไร
แล้วหลิวหยางละ หลิวหยางเป็นใคร ทำไมถึงได้อยู่ฝั่งจวินหงได้
‘แล้วเจ้าอาจจะได้รู้จักข้ามากขึ้น’
ขายาวหยุดชะงักเดินทันทีเมื่อเสียงของหลิวหย่างดังขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้หลวนเซียนที่เดินนำหน้ามาหลายก้าวต้องหยุดเดินเมื่อรับรู้ว่าคุณชายใหญ่ตระกูลซุยไม่ได้เดินตามตนก็หันกลับไปมองก็พบกับใบหน้าหล่อที่หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน พร้อมกับแววตาที่จ้องมองมาทางเขาอย่างคนที่มีคำถามที่อยากจะถาม
“คุณชายซุยมีอะไรรึ”
เหลียนเฟิงอี๋มองหลวนเซียนที่เอ่ยถามคงจะมองออกสินะแสดงว่าสีหน้าของเขาออกไปอย่างชัดเจน แล้วถ้าหากเขาเอ่ยถามออกไปละ มันจะดีหรือเปล่า มันจะไม่มีอะไรอีกใช่ไหม
“ข้า...” เป็นครั้งที่เท่าไรไม่รู้ในชีวิตที่เขานั้นพูดอะไรออกไปไม่ได้เหมือนโดนใบ้กิน เพราะเขาอยากรู้เรื่องของหลิวหยางมีความสัมพันธ์อะไรกับต้าต่านและจวินหงกันแน่ แล้วองค์รัชทายาททำไมถึงได้ไปอยู่ข้างอีกฝั่งได้ ทุกๆ อย่างในตอนนี้มัน... “ข้าเพิ่งมารู้สึกว่าตัวเองไม่หิวเท่าไร ข้าขอกลับห้องไปจัดข้าวของก่อน”
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะไม่รบเร้าคุณชายซุยก็แล้วกัน”
เหลียนเฟิงอี๋พยักหน้าให้แล้วหันหลังเดินกลับไปยังห้องของตัวเองทันที เมื่อมาถึงแล้วก็จัดการปิดห้องและลงกลอนแล้วจัดการล้วงขวดหยดน้ำค้างออกมาจากที่ซ่อนตรงอก เขามองมันอย่างชั่งใจเล็กน้อยก่อนที่จะจัดการเปิดมันแล้วกระดกใส่ปากตัวเองในทันที
หลวนเซียนหรือหวังเหล่ยหย่งกลับมาที่ห้องทานอาหารที่ตอนนี้มีเพียงชายที่สวมชุดสีแดงนั่งอยู่เพียงผู้เดียวท่ามกลางอาหารที่เต็มโต๊ะ พอดวงตาคู่สวยจ้องมองไปที่ร่างที่กำลังเดินเข้ามานั่งเพียงผู้เดียวแต่กลับไม่เห็นร่างของคุณชายใหญ่แห่งตระกูลซุยก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรรอให้หลวนเซียนนั่งลงก่อนอีกฝ่ายก็จะเอ่ยบอกเอง
“เรียนท่านพ่อ คุณชายซุยบอกว่าไม่รู้สึกหิวเลยขอกลับไปที่ห้องเพื่อจัดข้าวของ”
“อย่างงั้นรึ”
เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยตอบเพียงแค่นั้นก็จัดการใช้มือสวยไร้ที่ติจับตะเกียบเพื่อคีบอาหาร ต่อให้มาอยู่ดินแดนมนุษย์นานเกินไปท้องที่ไม่จำเป็นต้องเอาอาหารลงไปเพื่อลดความหิว แต่บัดนี้ต้องทานมันเพื่อลดความหิวเพราะบารมีที่มีอยู่ตอนนี้มันประทังไม่เพียงพอ ถ้าหากชายตรงหน้าทำบางสิ่งไม่สำเร็จคงได้สั่งทหารตามหาตัวองค์รัชทายาทไปทั่วแคว้นแล้ว นั้นก็คือร่วมร่างเป็นหนึ่งเดียวกับมังกรทมิฬทำให้พลังของมังกรสามารถคงอยู่ของร่างกายได้ ไม่เพียงแค่นั้นยังทำให้ท่านพ่อของเขาแข็งแกร่งขึ้นมากจนทัดเทียมกับหอกทองคำได้เลย
แต่ที่เขาแปลกใจก็คือ
ทำไมต้องคืนชีพให้กับหอกทองคำด้วย เพราะแค่ร่วมร่างกับมังกรทมิฬแล้วไหนจะหอกเงินที่ตนยังใช้อยู่ แม้จะบอกว่าหอกทองคำนั้นสามารถเอาชนะจวินหงได้แบบขาดลอย แล้วทำเช่นนี้ไม่เท่ากับคืนพลังให้กับอีกฝ่ายด้วยหรือ แถมการคืนชีพคือใช้ท่านแม่ของเขาอีก นั่นยิ่งทำให้คำถามที่ค้างคาใจหลวนเซียนมาโดยตลอดก็คือ ‘ตกลงแล้วท่านพ่อของเขารักใครกันแน่’ ตั้งแต่ยอมให้องค์รัชทายาทหนีไป แม้อีกฝ่ายจะโทษเขาว่าไม่ยอมรายงานเรื่องหลิวหยางกับซิงเยียนก็เถอะ ไม่รู้ว่าเขาไปทำอย่างไรให้ท่านพ่อจับสังเกตได้หรือเพราะเขาไม่จับตะเกียบเพื่อทานอาหารตรงหน้าเสียที
“หลวนเซียนเจ้าเป็นอะไร”
“เออคือข้าแค่คิดเรื่องของคุณชายซุยก็เท่านั้น” พูดพร้อมกับจับตะเกียบขึ้นมาเพื่อคีบผักมาใส่ถ้วยข้าวของตน
“เจ้าจะไปคิดถึงเรื่องของคุณชายผู้นั้นทำไม”
“ก็ในเมื่อคุณชายจากสำนักซุยเข้าร่วมกับทางเราแล้วมันก็ต้องคิดไม่ใช่หรือท่านพ่อ ว่าอีกฝ่ายจะคิดอะไรกับทางเรา”
“ทางนั้นจะคิดอะไรก็คิดไปสิ ไยต้องไปคิดตาม ข้าไม่ได้สนใจสำนักซุยอยู่แล้ว แค่อาศัยชื่อเสียงก็เท่านั้น เจ้าก็น่าจะมองออกไม่ใช่รึ”
ใช่ หลวนเซียนมองออกตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่าสิ่งที่ทำอยู่นี่ก็แค่อาศัยชื่อเสียงสำนักซุยที่เป็นสำนักใหญ่รองลงมาจากสำนักเถียนที่เขาเคยไปอยู่มา ดีที่ห้องแปะยันต์กันเสียงเอาไว้ถ้าหากคุณชายซุยเดินมาก็คงได้ยินอย่างชัดเจนเป็นแน่ เขาเลยจัดการเปลี่ยนเรื่องคุยเพราะรับรู้มาแล้วว่าอีกฝั่งได้ส่งสัญญาณมาแล้ว
“แล้วสัญญาณที่ฝั่งนั้นบอกมาให้เริ่มบุกสำนักเพ่ยเมื่อไรขอรับ”
สิ้นเสียงคำถามของเขาปากสวยที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางทั้ง ๆ ที่ปากก็แดงอยู่แล้วหรือแดงไม่พอใจก็ไม่อาจทราบ ได้ยกยิ้มบางๆ ราวกับพอใจกับสิ่งที่ได้รับ
“พรุ่งนี้ ยามห้าย (21.00-22.59) ”
หลวนเซียนไม่พูดอะไรต่อนอกจากจัดการทานอาหารตรงหน้าให้อิ่มท้อง แม้มันจะรวดเร็วเกินไปแต่ก็เป็นการดีที่เขาจะได้พบต้าต่านและจะได้เรียกอีกฝ่ายว่า ‘ท่านแม่’ เสียที
...........................
ในสถานการณ์เช่นนี้ ความสงบคือความน่ากลัวที่จวินหงไม่อาจคาดเดาได้ สำนักเพ่ยได้ตอนนี้อะไรหลายๆ อย่างยังคงเหมือนเดิม และมีบางอย่างที่เปลี่ยนไปนั้นก็คือการคุ้มกันที่แน่นหนาขึ้นและมีการส่งคนไปยังหมู่บ้านลิงแดงในป่าเพื่อทำการไปฝึกซ้อม อีกทั้งยังส่งไปยังสำนักเถียนอีกด้วย
แม้จะคนน้อย
แต่เด็กสำนักเหล่านี้คือทหารสวรรค์ที่ลงมาเพื่อช่วยเขาได้หลายๆ อย่าง นี่คงเป็นความเมตตาที่ทางสวรรค์มอบให้ก็ได้เพราะเขาสามารถพาทหารลงมาช่วยได้เท่าที่ต้องการ แต่ความจริงแล้วก็คงจะให้เขาไปจัดการกับน้องชายของตนเสียมากกว่า แม้ในใจลึกๆ แล้วจวินหงไม่อยากให้เกิดสงครามแต่ดูเหมือนทางจวินหรงต้องการจะให้เกิดเช่นนั้นขึ้นเพราะไม่ว่าเขาจะพยายามเจรจาเท่าไร จดหมายฉบับแล้วฉบับเล่าก็ไล่การตอบกลับมาเสมอ ถ้าหากต้องทำสงครามจริงๆ ทหารสวรรค์ต้องหลีกเลี่ยงการทำร้ายมนุษย์และไม่ให้มนุษย์ที่ไม่จำเป็นต้องมาผูกกรรมให้เลี่ยงการทำสงครามไปด้วย ส่วนมนุษย์ที่กรรมผูกกันก็คงไม่อาจเลี่ยงได้จริงๆ ไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหนก็ตาม
ไม่รู้เลยว่าเขานั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานนานแค่ไหน
แต่ก็คงนานพอที่มองไปยังหน้าต่างห้องทำงานของตนอีกทีก็พบว่าท้องฟ้าตอนนี้กำลังทอแสงสีส้มแดงบ่งบอกถึงพระอาทิตย์ที่ใกล้จะลับฟ้าแล้ว แต่เพราะมองไปยังหน้าต่างจนสัมผัสได้ว่าพู่กันที่จับอยู่ได้ร่วงหลุดมือไปเสียแล้ว เมื่อย้ายสายตากลับมามองถึงได้รู้ว่าพู่กันหลุดมือได้อย่างไร
มือขวาข้างเขานั้นเลือนจนหาย
กว่าจะกลับมาก็ใช้เวลาอยู่พักหนึ่งเลยทีเดียว แต่สิ่งที่หายไปมากกว่ามือก็คือใจ จวินหงใจหายเมื่อพบว่าเขาใกล้จะหมดเวลาเต็มทีแล้ว ถ้าหากเป็นเช่นนี้ อีกสองวันคงต้องเดินทางไปยังหมู่บ้านลิงแดงเพื่อขอบารมีสักเสี้ยวหนึ่งขององค์รัชทายาทแล้วสินะ
เมื่อมือกลับมาแล้วเขาก็จัดการกำมันแน่นจนรับรู้ได้ถึงเล็บที่จิกที่ฝ่ามือ
อย่างน้อยก็ยังรู้สึกเจ็บ
จวินหงจัดการคลายมือแล้วลุกจากเก้าอี้เพื่อออกไปจากห้องทำงาน ท้องของเขาบ่งบอกว่าหิวแล้วและหิวบ่อยมากขึ้นกว่าเดิม มันเป็นการบ่งบอกถึงบารมีที่ใกล้หมดลงแล้วจริงๆ เมื่อเปิดประตูออกมาดวงตาคู่สวยก็มองไปสวนของสำนักที่สามารถมองได้จากตรงนี้ก็พบว่าที่ลานกว้างที่เอาไว้นั่งเล่นนั้น มีร่างของคนที่เขารักไม่ว่าจะผ่านมากี่ชาติภพแล้วก็ตามและคงจะรักได้เพียงแค่คนเดียวไปตลอดกาล ว่าแล้วสองขายาวก็จัดการเดินไปยังลานกว้างนั้นทันทีเพื่อที่จะเข้าไปหา ในใจอยากจะกอดอยากจะหอมแก้มเพื่อสูดกลิ่นในชื่นปอด แม้ลิ่งที่ได้กลับมาอาจจะเป็นเสียงโวยวายพร้อมกับเจ็บตัวด้วยก็เถอะ
เจ็บแค่นั้นยังไม่เจ็บเท่ากับตอนนั้นเลยสักนิด ตอนที่หอกของเขาแทงผ่านร่างกายแสนรัก
ร่างงามของแม่ทัพสวรรค์เดินมาถึงลานกว้างที่มีเฉินและสองพี่น้องลี่ถังกับลี่ซือที่เคยรับใช้ต้าต่านตั้งแต่อยู่บนสวรรค์ ทั้งสามมองเห็นเขาก็พากันถอยออกมาจากลานกว้างอย่างรู้งาน จวินหงมองฮูหยินของตนที่นั่งตรงเบาะโดยบนโต๊ะบันทึกประวัติของสำนักเพ่ยและในมือเองก็ใช่ด้วย นี่ยังอ่านบันทึกสำนักเพ่ยอยู่อีกรึเนี่ย โดยดวงตาเรียวคมที่ละจากตัวอักษรมามองเขาด้วยแววตาที่เขาพอจะอ่านออกได้ประมาณว่า ‘มาทำไมกัน’ แต่เหนือสิ่งอื่นใดที่สะดุดตาของเขามากที่สุดก็คือสิ่งที่อยู่บนหัวของต้าต่าน ปิ่นหยกขาวนั้นเอง
“ปิ่นนั้น”
เขาเอ่ยพูดออกไปอย่างห้ามไม่ได้
“ยังจะมาปิ่นนงปิ่นนั้นอะไร เป็นคนจัดเครื่องประดับมาให้เองไม่ใช่รึไง”
“ก็ข้าไม่คิดว่าฮูหยินจะปักมันนี่นา ปกติไม่ปักปิ่นไม่ใช่รึ”
สิ้นเสียงของเขาต้าต่านทำการปิดบันทึกของสำนักเพ่ยแล้วจัดการวางลงกับโต๊ะก่อนที่ยื่นมือขึ้นไปเหนือหัวและท่าทางแบบนั้นคงไม่ใช่อะไรอื่น นั้นก็คือจะทำการดึงปิ่นหยกขาวออกนั้นเอง เล่นเอาคนงามต้องรีบเคลื่อนตัวพร้อมกับยื่นมือไปจับมือของฮูหยินตนไว้ทันที เพราะถ้าดึงออกจะไม่ใช่แค่ปิ่นเท่านั้นที่หลุด และการกระทำของฮูหยินเพ่ยต้าต่านนั้นเล่นเอาผู้ติดตามอีกสามถึงกับหน้าเหวอหัวใจเกือบวายดีที่ประมุขสำนักผู้เป็นสามีอยู่ใกล้เลยจับมือไว้ได้ทัน
“ขืนพูดอีกข้าจะไม่ปักอีกแล้วนะ”
“ขอรับฮูหยิน”
..................................................................................................................................................
#อย่ามาเกี้ยวสามีข้า
เจอกันได้ที่ทวิต @Miya0942
เกือบครั้งปี ไม่สิ หายไปครึ่งปีกว่าๆ เลย โฮฮฮฮฮฮฮฮฮ
ชีวิตของไรท์เจอมรสุมตั้งแต่ต้นปีเลยค่ะ
กว่าอะไรหลายๆ อย่างจะกลับมาดีขึ้น ตั้งแต่คุณพ่อเสียไปก็ดิ่งหนักเลย แม้ตอนนี้จะดีไม่สุดก็เถอะ ไรท์ขอโทษจริงๆ นะที่หายไปนานขนาดนี้ พอมีเวลาก็ไล่แก้คำผิด ที่แก้ยังไงก็ยังผิดเหมือนเดิม
เศร้า........
ไม่ว่าอย่างไรไรท์ขอบคุณนะ ขอบคุณที่รอ ขอบคุณที่ยังรักกัน
ขอบคุณมากๆ เลย
ความคิดเห็น