คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #45 : อย่ามาเกี้ยวสามีข้า บทที่ ๔๓
บทที่ ๔๓
องค์รัชทายาทหายไปเหตุใดด้านในพระราชวังถึงเงียบนัก แม้ภายนอกจะมองดูสงบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ภายในนั้นกระวนกระวายอยู่ไม่สุข เหล่าขุนนางน้อยใหญ่ร้อนรน งานราษฎร์งานหลวงประดังเข้ามาจนแทบจะรับมือกันไม่ไหว ครั้นเอาไปให้องค์ชายอื่นช่วยก็แทบทำอะไรกันไม่เป็น หาลู่ทางจะหนีออกจากพระราชวังกันเสียมากกว่า เหล่าองค์หญิงที่ไปไหนไม่ได้ก็จะพากันมาช่วยอีกแรง ถ้าไม่ช่วยก็คงอยู่ลำบากสถานการณ์เงินในคลังตอนนี้ยากที่จะประคับประคอง
แล้วไม่ต้องถามถึงฮ่องเต้ที่ตอนนี้ไม่รู้เลยว่าเป็นเช่นไร
ตำหนักท้ายวังนั้นนับวันยิ่งใหญ่โตจนพระราชวังด้านหน้านั้นแทบไม่ต่างจากทางเข้า ไม่แปลกนักที่เหล่าพระสนมอื่นๆ การเหล่าองค์ชาย องค์หญิงเริ่มพากันอยู่ไม่ได้ แม้อยากจะต่อกรกับอีกฝ่ายมากเพียงก็ทำได้แค่คิดเพราะรับรู้ได้ถึงอำนาจที่เล็กเกินกว่าจะไปต่อกรกับพระสนมเอก เพราะฉะนั้นหาลู่ทางหนีออกไปเสียยังดีกว่า แต่จะหนีไปเช่นไรต่างหาก เมื่อมีขุนนางไปกราบเรียนให้ฮ่องเต้มาทรงงานก็จะไล่ออกไป แล้วงานไหนที่ยากเกินรับไหวให้หอบมาให้กับพระสนมเอกทำเสีย ทั้ง ๆ ที่มันไม่ใช่หน้าที่ แต่เพราะไม่มีผู้ใดทำได้ก็ต้องทำตามที่ว่านั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทหารที่พอจะทำงานได้ก็ถูกสั่งให้ออกไปตามหาองค์รัชทายาทให้พบ แม่ทัพใหญ่ก็ดันทำตามคำสั่งแต่แค่พระสนมเอก รองแม่ทัพก็หนึ่งในผู้ที่พาองค์รัชทายาทหลบหนีไปด้วย เรื่องราวมันช่างซับซ้อนจนเหมือนด้ายที่พันกันจนแกะไม่ออกแต่นั่นยังไม่เท่ากับพระราชวังที่สั่นคลอน
กุมไป๋มองนายของตนที่กำลังทำงานให้กับพระราชวังอย่างไม่เข้าใจ
เขาเข้าใจมาตลอดว่าจวินหรงไม่สนใจพระราชวังจะเละเทะหรือราชวงศ์จะล้มเหลวเพียงใด แต่เหตุใดถึงได้เอางานมาทำให้ เมื่อเอ่ยถามก็โดนสายตาไม่พึงพอใจกลับมาแต่กระนั้นปากสวยก็ยังเอ่ยตอบเขาอยู่ดี
"ข้าไม่ได้สนใจว่าพระราชวังจะเละเทะหรือไม่อย่างที่เจ้าเข้าใจ แต่เพราะกองทัพต้องใช้เงินทองในการจัดสรร ข้าไม่ได้เป็นรองแม่ทัพที่อยู่บนสวรรค์แล้วจะมีเงินใช้ไม่ขาดมือหรอกนะ อีกอย่างงานพวกนี้มันเพิ่มเงินให้กับข้า ข้าก็ต้องทำมัน อีกอย่างมันพอจะให้บารมีของฮ่องเต้นั้นเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยก็ยังดี"
พอกุมไป๋ได้ยินเช่นนั้นเขาก็เกิดตั้งคำถามถึงบารมีขององค์รัชทายาทที่หนีไป แต่ก่อนที่จะหนรไปได้นั้นนายของเขาสามารถจับอีกฝ่ายมาขังเอาไว้เพื่อเพิ่มบารมีให้กับตนก็ยังได้ แต่ทำไมกัน ทำไมถึงไม่จับเอาไว้ แต่กุมไป๋เลือกที่จะไม่ถามอะไรต่อ นอกจากเดินจากตรงนั้นมา เพื่อไปดูกองทัพที่ถูกฝึกซ้อมโดยคนคนหนึ่ง นั้นก็คือหวังเหล่ยหย่ง จากเด็กชายตัวน้อยเติบโตจนผมเป็นสีดอกเลา แต่ในสายตาของกุมไป๋อีกฝ่ายก็ยังเป็นเด็กที่ไร้มารยาทอยู่ดี
"ทหารฝึกซ้อมกันไปถึงไหนแล้วละ"
กุมไป๋เอ่ยถามหวังเหล่ยหย่งที่กำลังยืนมองทหารที่กำลังยกอาวุธประลองกันในพื้นที่เล็กๆ ไม่กว้างมากนักเพื่อให้คุ้นชินกับอาวุธหลากหลายจากคำสั่งของพ่อตน
"ก็เท่าที่เจ้าเห็น"
กวนประสาท นั้นคือคำแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวหลังจากได้ยินคำตอบที่ว่านั้น อีกฝ่ายพูดจบก็เดินไปทางอื่นโดยที่กุมไป๋เองก็ไม่ได้สนใจอะไร อยากไปไหนก็เชิญ และเหตุผลที่หวังเหล่ยหย่งเดินออกมาตรงนั้นก็เพราะไม่ชอบกุมไป๋เท่าไรนักอาจจะด้วยสีชุดที่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องสวมชุดที่สีสันฉูดฉาดแบบนั้นแม้มันจะไม่ผิดประเพณีธรรมเนียมอะไรแต่อาจจะเป็นเพราะเขาไม่ชอบเสื้อผ้าสีสันเอง และอีกอย่างเขานั้นมีคำถามที่อยากถามทุกครั้งที่เจอกับกุมไป๋
หวังเหล่ยหย่งไม่เข้าใจหรือมันไม่ใช่คำตอบที่แท้จริง
สองขาพาร่างที่เดินทางตามกาลเวลาของโลกมนุษย์ไปยังห้องนอนของตนเอง หลังจากที่เขานั้นได้ทำการฝึกทหารตั้งแต่เช้า แล้วยิ่งเหตุการณ์ที่องค์รัชทายาทหนีไปได้โดยได้รับการช่วยเหลือจากพี่น้องของเขาอีกสอง ทั้ง ๆ ที่เข้าไปขัดขว้างได้ แต่เหตุใดถึงไม่ยอมให้ขัดขว้าง
พ่อของเขารักแม่ หรือรักใครกันแน่
แม้จะอ้างว่าไม่ลงมือเพราะซิงเยียนและหลิวหยางเป็นหลานก็เถอะ หวังเหล่ยหย่งเติบโตมา ณ ดินแดนมนุษย์แม้ครึ่งหนึ่งของเขาจะเป็นครึ่งเทพก็ตาม เขาไม่คิดจะคงความหนุ่มของตนเองเอาไว้ปล่อยให้ร่างกายเป็นไปกาลเวลา เพราะฉะนั้นกาลเวลาที่เขาได้เดินทางผ่านมานั้นล้วนได้รับประสบการณ์มากพอที่จะเข้าใจและตระหนักรู้ ไม่ว่าจะเทพ เซียนหรือมนุษย์ ต่างกันแค่พละกำลัง อำนาจ แต่อารมณ์และความต้องการนั้นก็อยู่เหนือเหตุผลเหมือนกันอยู่ดี เขาเลยอดไม่ได้ที่ตั้งคำถามกับการกระทำของพ่อตน
สงครามที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้น จะนำมาซึ่งคำตอบหรือจะเต็มไปด้วยคำถามที่มากขึ้นกว่าเดิม
หวังเหล่ยหย่งผู้นี้ก็ไม่อาจจะคาดเดาได้ บนโต๊ะที่เอาไว้วางกาน้ำชาหรือของกินเล่นในห้องนั้นมีกล่องที่ทำจากทองแดงวางเอาไว้มันถูกล็อกด้วยกุญแจที่เจ้าของกล่องก็ไม่ใช่ใคร มันเป็นกล่องของเขาเอง หวังเหล่ยหย่งจัดการเอากุญแจมาไข ด้านในไม่มีอะไรนอกจากจดหมายที่ถูกเขียนมาจากใครคนนั้น คนที่เขารักสุดหัวใจ แม้อายุในตอนนี้จะห่างไกลกันราวกับว่าความสัมพันธ์นี้มันช่างดูน่าตลก อ้อมกอดที่ไม่ได้รับมายาวนานเขากำลังจะได้รับมันในไม่ช้านี้แล้วใช่หรือไม่ ในจดหมายเขียนถึงบางอย่างที่เขาอ่านแล้วก็ดีใจไม่น้อย แต่ทำไมกัน ทำไมในจดหมายที่เขาได้รับมันช่างแตกต่างจากผู้อื่นโดยท้ายจดหมายเขียนเอาไว้ว่า
'แม่มีบางอย่างจะบอกเจ้า เพราะฉะนั้นมันคือความลับของเราทั้งสอง จงเก็บปากเก็บคำเอาไว้เสียจนกว่าเราจะได้พบกัน'
แม้ไม่รู้ว่ามันคืออะไรเขาก็เก็บปากเก็บคำตามจดหมายที่เขียนบอกเอาไว้โดยที่เขาไม่ได้บอกผู้เป็นพ่อเลย
ก็ไม่ต่างอะไรจากจวินหรงก็ไม่ได้บอกอะไรกับหวังเหล่ยหย่งเช่นกัน งานราษฎร์งานหลวงที่เขาทำอยู่ตอนนี้มันก็เป็นอย่างที่ได้เอ่ยตอบกุมไป๋ไปว่าเงินคือสิ่งที่เอาไว้หล่อเลี้ยงกองทัพทหารให้เดินหน้าไปได้แม้ทรัพย์ในคลังของเขาจะมีมากพอก็ตาม และที่ทำอยู่ก็เพื่อให้บารมีของฮ่องเต้เพิ่มขึ้นมาสักเล็กน้อยให้เขาได้สูบกลืนต่อสักนิดก็ยังดี
แล้วทำไมเขาถึงไม่ยอมขัดขว้างองค์รัชทายาททั้ง ๆ ที่อีกฝ่ายมีบารมีมากพอที่จะให้สูบกลืนอยู่ได้ไปอีกเกือบร้อยปี
ร่างงามที่ไม่ต่างจากชายอีกคนที่แอบรักมาตลอด ลุกจากเก้าอี้แล้วเดินไปยังกล่องที่ใส่หอกทองคำเอาไว้ มันหักเป็นสองท่อนจากฝีมือของเขา มือสวยหยิบหอกทองคำที่เป็นด้านปลายแหลม ด้านที่ทิ่มแทงผ่านร่างของชายที่เขาเกลียดยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมดทั้งมวล มือสวยประคองท่อนหอกทองคำอย่างรักใคร่ เพราะรู้ว่าพี่ชายของเขาไม่สามารถอยู่ได้นานถ้าหากหอกทองคำยังเป็นเช่นนี้ การที่จะทำให้พี่ชายของเขาอยู่ต่อได้อีกก็คืออาศัยบารมีหรือจากผู้ที่มีบารมีสูงส่งก็คือองค์รัชทายาท
"รอก่อนเถอะจวินหงของข้า"
แม้รู้ว่าการคืนชีพให้กับหอกทองคำไม่ต่างจากการคืนขุมพลังให้กับอีกฝ่ายและเขาจะต้องกลายเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไป แต่ถ้าต้องแลกมากับการให้ต้าต่านตายจากไปไม่หวนคืนกลับสังสารวัฏหรือได้กลับมาครองรักกันอีก มันก็คุ้มมากพอแล้ว มือสวยวางหอกทองคำกลับไปยังที่เดิม ตอนนี้แค่รอสัญญาณจากทางนั้นก็พอ
ณ หมู่บ้านกลางป่าเขามองเผินๆ เหมือนหมู่บ้านชนบทที่อยู่ตามขอบเมืองทั่วไปไม่มีอะไร แต่ถ้าได้เข้าไปอยู่และได้เจาะลึกบริเวณนั้นแล้วก็ไม่ต่างจากกองทัพขนาดใหญ่เลย อาศัยป่าและภูเขาเพื่อกลบสิ่งเหล่านี้ กองกำลังคนลงไปอยู่ชั้นใต้ดินซะส่วนใหญ่ กลิ่นอายหรือจิตสัมผัสถูกหลิวหยางช่วยลบล้างไม่ให้ถูกค้นพบ องค์รัชทายาทหย่งจื้อมองเห็นทุกอย่างแล้วความตกตะลึงกับการจัดเตรียมกองกำลังเอาไว้อย่างพร้อมเพรียง
จวินหงก็ยังเป็นจวินหง แม่ทัพสวรรค์อยู่วันยันค่ำ มองการณ์ไกลเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์
แต่มันไม่มีอะไรที่ทำให้หย่งจื้อดีใจไปมากกว่าได้พบน้องสี่อีกครั้ง ไม่คิดเลยว่าพอออกมาจากพระราชวังจะมาตั้งกองกำลังจะกองโจรซะอย่างนั้น เมื่อมาอยู่ด้วยกันแบบนี้ยศตำแหน่งหรือคำราชาศัพท์ก็แทบจะไม่จำเป็นต้องใช้แม้เหล่าลูกน้องของซาหรงจะพยายามใช้กับเขาก็เถอะ ไม่รู้ว่าหย่งจื้อได้รับความเคยชินมาจากสองพี่น้องอย่างหลิวหยางและซิงเยียนหรือเปล่า เขาถึงได้ไม่รู้สึกขัดหูอะไร ยามนี้อีกไม่กี่ยามข้างหน้าพระอาทิตย์ที่ใกล้จะลับขอบฟ้า
เป็นอีกหนึ่งวันที่ผ่านไปโดยที่ยังไม่เกิดอะไร
ซาหรงเดินมาหาพี่ชายของตนที่กำลังยืนมองพระอาทิตย์ที่กำลังจะถูกภูเขากลืนกินในอีกไม่ช้า เพราะไม่อยากรบกวนเขาเลยยืนอยู่ด้านหลังอีกฝ่ายแบบนั้นจนกว่าพี่ชายหรือองค์รัชทายาทจะเลิกสนใจพระอาทิตย์นั้น แล้วมีหรือที่หย่งจื้อจะไม่รู้ว่ามีใครมายืนอยู่ด้านหลังของตน ว่าแล้วก็หันไปมองใบหน้าหล่อเหลาของน้องสี่ก่อนที่จะเอ่ยเรียก
"มายืนข้างๆ ข้าสิน้องสี่"
ซาหรงไม่ขัดคำสั่งของพี่ชาย สองขายาวก้าวไปด้านหน้าเพื่อยืนเคียงข้างพี่ เมื่อหย่งจื้อเห็นน้องชายมายืนข้างๆ เรียบร้อยก็อดจะถามในสิ่งที่เขายังไม่ได้คำตอบจากอีกฝ่ายเสียที
"เจ้ายังไม่ตอบข้าเลยว่าอะไรที่ทำให้เจ้ากลายเป็นโจร"
"พี่ใหญ่ข้าตอบท่านไปแล้วว่าข้าแค่อับจนหนทาง"
"สติปัญญาอย่างเจ้าไม่มีทางอับจนหนทางหรอกนะ หรือจริงๆ แล้วเจ้าแค่อยากแก้แค้นเสด็จพ่อ"
หัวหน้าหมู่บ้านหนุ่มเงียบลงไปทันเมื่อได้ยินคำพูดของพี่ชาย เพราะมันมีส่วนของความจริงอยู่ในนั้น หย่งจื้อไม่ถามจี้อะไรอีกปล่อยให้อีกฝ่ายเงียบอยู่แบบนั้น แต่ก็ไม่นานมากซาหรงก็เอ่ยพูด
"มันก็มีส่วนของความจริงอยู่ ข้าคงไม่เถียง แต่ส่วนหนึ่งข้าอับจนหนทางจริง ไม่คิดเลยว่าจะมีชาวบ้านอีกมากเดือดร้อนจากการกระทำของเสด็จพ่อ ข้าเลยปล้นคนรวยช่วยคนจนแม้มันไม่ควรจะทำเช่นนี้ก็ตาม เพราะคนรวยบางคนกว่าจะรวยได้ก็ไม่ง่าย"
"จริงสิ ข้าไม่ยินว่าเจ้าเคยคิดจะรวบหัวรวบหางจวินหงให้เป็นภรรยาด้วยใช่หรือไม่"
ใบหน้าหล่อของซาหรงหันขวับไปมองใบหน้าอ่อนโยนของพี่ชายตนที่ถามอะไรออกมาจนปรับอารมณ์ไม่ทัน แถมไปรู้มาจากไหนกันล่ะนั้น
"หุบปากไปเลย"
หัวหน้าหมู่บ้านหนุ่มไม่ตอบอะไรกลับไปอีกนอกจากขู่พี่ชายตัวเองให้หุบปากแม้น้ำเสียงจะดูดุดูน่ากลัว แต่ก็เป็นน้ำเสียงที่น่าเอ็นดูในความรู้สึกของพี่ชายอยู่ดี แถมขู่จบก็เดินหันหลังกลับไปไม่รอเขาอีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่าซาหรงทำเช่นนั้นออกไปก็เพราะอายพี่ชายของตน หลังจากที่เขารู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครแล้วนั้น ความคิดที่เคยอยากได้คนงามมาเป็นของตนหรืออยากได้มาเป็นภรรยานั้นมันช่างน่าอับอายนัก และเขาหวังว่าพี่ชายของเขาจะไม่รู้เรื่องที่ว่ากองโจรถูกกำราบด้วยเก้าอี้ไม่กี่ตัวก็พอ
เมื่อพระอาทิตย์ลับฟ้าเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการหมดวัน
จวินหงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ทำงานของตนอย่างเมื่อยล้า มือสวยจัดการวางพู่กันและเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ บทสรุปว่าสำนักใดเข้าร่วมกับพวกเขาบ้างนั้นมีไม่มากเท่าไรนักแต่นั่นไม่ใช่ปัญหา ปัญหามันอยู่ที่เขากังวลเกี่ยวกับครอบครัวในชาตินี้ของต้าต่านต่างหาก พวกเขาล้วนเป็นคนดี เมื่อใช้ดวงตาสวรรค์มองแล้วนั้นพวกเขาล้วนเป็นคนดีมาหลายชาติและเคยเกี่ยวดองกับต้าต่านทางสายสัมพันธ์ครอบครัวด้วย
ตอนนี้สำนักเถียนกำลังรับมือลำบากอยู่ไม่น้อย
แต่เพราะความฉลาดและความเก่งกาจของเจียนเจี๋ยทำให้สำนักเถียนยังมีอำนาจในการต่อรองและการเจรจาอยู่ ส่วนความปลอดภัยนั้นก็ยังน่าเป็นห่วงแม้ฝีมือสำนักเถียนไม่ธรรมดาก็ตาม เล่ห์กลมีมากก็กลัวจะตามไม่ทัน แถมสำนักซุยตอนนี้เหมือนพวกทำนาบนหลังคน ไม่ต้องออกแรงอะไรมากก็อาศัยความวุ่นวายในยุทธภพปั่นป่วนให้ทะเลาะกันไปมา และเขาคิดว่าต้าต่านก็น่าจะรู้เรื่องตรงนี้แล้วเป็นแน่ แม้ตอนนี้จะไม่ได้ดึกมากเท่าไรนักจวินหงก็อยากจะอาบน้ำแล้วเข้านอน นี่สินะ อาการของคนที่เวลาเครียดแล้วไม่อยากจะทำอะไรนอกจากนอนนิ่งๆ สักพัก ในใจของจวินหงนั้นอยากจะออดอ้อนภรรยาแต่เกรงว่าจะโดนต่อว่ากลับมาเสียมากกว่า อีกอย่างเขาเองก็ไม่อยากไปกวนใจต้าต่านในตอนนี้
มันเป็นเพราะเขาที่ไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้
แม้ว่าอีกฝ่ายจะบอกกับเขาว่าไม่บอกก็ไม่เป็นอะไรก็ตาม แต่ก็คงอยากรู้เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ไม่น้อย จวินหงบอกตามตรงว่าเขาเองก็กลัว กลัวว่าเมื่อถึงเวลาที่เขาหลับใหลไปชั่วกาลอีกฝ่ายจะมีคนมาสนใจ มาเอาตัวไปหรือเปล่า แต่ถึงตอนนั้นต้าต่านก็คงเจอรักใหม่คนใหม่และคงวนเวียนต่อไป แม้เขาไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้ แต่จะทำเช่นได้ สวรรค์เหมือนจะใจดีแต่ก็ต้องแลกกับชีวิตของคนที่เขารักแล้วนั้น เขายอมที่หายไปตลอดกาลเสียยังดีกว่า
สงสารก็แต่พวกลูกๆ
เขาหวังว่าเมื่อทุกอย่างจบสิ้นแล้ว ต้าต่านจะจดจำลูกๆ ทั้งสองคนได้ โดยที่หลงลืมเขาไป แม้ลึกๆ แล้วเขาอยากเคียงคู่กับต้าต่านไปชั่วกัปชั่วกัลป์ก็เถอะ ร่างงามเดินไปยังห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าหรือก็คือห้องอาบน้ำที่เหล่าบริวารนำเสื้อผ้าไปวางไว้ให้กับเขาพร้อมกับน้ำอุ่นในอ่างอาบขนาดใหญ่ที่สามารถแหวกว่ายได้เลยด้วยซ้ำ เพราะอยู่สวรรค์การอาบน้ำไม่จำเป็น แต่พอมาอยู่บนโลกมนุษย์และใช้ร่างมนุษย์แล้วนั้นมันช่างเป็นเรื่องจุกจิกที่ต้องทำ เขาเปลื้องเสื้อผ้าออกโดยไม่คิดจะห่อร่างกายเอาผ้าอะไร อย่างไรซะในห้องอาบน้ำห้องนี้ก็เพียงเขาคนเดียวเท่านั้น
ไม่รู้ว่าเพราะจิตใจที่เหม่อลอยหรืออย่างไร
เขาถึงได้ไม่รู้สึกว่ามีใครอยู่ในห้องอาบน้ำ หมอกจางๆ จากความอุ่นของน้ำที่ลอยขึ้นมา เรือนร่างนั้นพ้นน้ำอยู่ช่วงบริเวณเอว ผมสีดำยาวสลายเปียกปอนจากน้ำที่ลู่ไปตามแผ่นหลังและกล้ามอกที่ขาวสะอาดนั้น จวินหงไม่อาจละสายตาจากตรงนั้นไปได้ จมูกโด่งรั้น ใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังผ่อนคลายนั้น
เขาควรจะหันหลังเพื่อให้เกียรติอีกฝ่าย แต่ทำไมเขากลับก้าวเท้าเข้าไปหา
มันถวิลหาหรืออย่างไรกัน เมื่อเท้าสวยได้รูปจุ่มลงน้ำบุคคลที่กำลังอาบน้ำอยู่ก็ย่อมสัมผัสได้ แต่สิ่งที่แปลกออกไปคืออีกฝ่ายไม่มีทีท่าจะโวยวายอย่างที่จวินหงคาดเดาไว้แต่แรก มีแต่หันมามองเขาพร้อมกับกอดอกใส่
"ท่านพี่ก็เห็นอยู่ว่าข้ากำลังอาบน้ำ เหตุใดยังจะเข้ามาอีก"
"ฮูหยินอ่างอาบน้ำกว้างถึงเพียงนี้ข้าอาบด้วยจะเป็นอะไรไป"
ว่าแล้วจวินหงก็เดินเข้าไปในอีกฝ่าย แม้ภายนอกจะดูนิ่งเพียงใดแต่ภายในของเขากลับรู้สึกร้อนรุ่ม ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายรู้สึกแบบเดียวกันหรือไม่ แต่คราวนี้จวินหงขอลวนลามภรรยาของตนสักนิดเถอะ แล้วถ้าหากคนงามไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองแล้วละก็ ต้าต่านเป็นถึงจอมยุทธ์เก่งกาจก็น่าจะสัมผัสได้ถึงเขาที่เข้าห้องมาแล้วได้สิ แถมตอนนี้ก็ไม่ได้คิดจะขยับหนีตนไปไหนอีกด้วย เมื่อเข้ามาใกล้จนเกือบชิดต้าต่านก็ถอนหายใจออกมาก่อนจะทำหน้าสีหน้าไม่พึงพอใจใส่
"ถ้าเช่นนั้นข้าอาบน้ำเสร็จแล้วก็ได้ ท่านพี่อยากอาบก็อาบไป"
พูดจบก็เตรียมเดินผ่านร่างของจวินหงไป แล้วมีหรือที่คนงามจะให้โอกาสนี้หลุดลอยไป ว่าแล้วแขนยาวก็จัดการรวบเอวของอีกฝ่ายให้มาแนบชิดกับตน แน่นอนอยู่แล้วว่าต้าต่านไม่มีทางยอมง่ายๆ แรงดิ้นนั้น แรงมากพอที่จะทำให้น้ำในอ่างเคลื่อนไหวและกระเซ็นแต่จวินหงที่แรงเยอะกว่าอยู่แล้วก็จัดการรวบยิ่งฝ่ายจนผิวกายแนบชิดกัน
"นี่!"
ต้าต่านเริ่มโวยวายและเริ่มดิ้นแรงขึ้น จวินหงเลยจัดการค่อยๆ ดันอีกฝ่ายให้ช่วงบริเวณเอวไปติดกับขอบอ่างอาบน้ำ ตอนแรกก็ไม่คิดจะทำอะไรไปมากกว่าหยอกหรือแกล้งเหมือนทุกครั้ง แต่พอร่างกายได้สัมผัส ความรุ่มร้อนก็ก่อตัวขึ้น บุรุษสุภาพเพียงใดถ้าหากได้สัมผัสเช่นนี้ก็ยากจะหักห้ามใจ ยิ่งเป็นคนที่รักแล้วด้วยนั้นยิ่งยากเหลือเกิน ความร้อนรุ่มก่อขึ้นภายในก็เริ่มปรากฏออกมาภายนอก บริเวณที่ร้อนที่สุดคงไม่พ้นสิ่งที่อยู่ระหว่างขาของเขา และดูเหมือนต้าต่านจะรับรู้ได้ถึงส่วนนั้นที่กำลังเสียดสีกับของเขาเพราะใบหน้าหล่อเหลาที่ขาวสะอาดเริ่มมีสีแดงระเรื่อ
"คนลามก ปล่อยข้านะ!"
"ไม่ปล่อย"
จวินหงปฏิเสธที่จะปล่อย แล้วจัดการเอาปากสวยของตนประกบปากได้รูปของฮูหยินของตนทันที เพื่อมอบความรุ่มร้อนของตนให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าเขาตอนนี้เป็นเช่นไร ความรู้สึกที่ห่างไปนานนั้นยิ่งถวิลหามากขึ้นแม้จะเคยลั่นวาจาออกไปว่าจะไม่ทำอะไรอีกฝ่ายจนกว่าอีกฝ่ายจะยินยอม
แต่ตอนนี้เขาขอตักตวงมันสักนิดเถิดหนา
ลิ้นร้อนสอดเข้าไปด้านในโพรงปากของอีกฝ่ายสัมผัสได้ถึงลิ้นนุ่มที่พยายามหลบหนี คนงามไม่รีรอที่จะตวัดลิ้นที่หลบหนีให้มาอยู่ในควบคุมของตน แรงดิ้นตอนนี้ค่อยๆ คลายตัว จากการหลบหนีกลายเป็นการยินยอมให้ถูกจับ นอกจากปากที่กำลังตักต้วงรสหวานละมุมอยู่นั้นก็ไม่ปล่อยให้มือว่าง มือสวยทั้งสองข้างค่อยๆ ลูบผิวกายไปยังบริเวณที่สัมผัสแล้วรู้สึกวูบวาบให้มากที่สุดก่อนที่มือทั้งสองข้างจะไปหยุดตรงเนินเนื้อนุ่มของบั้นท้ายแล้วขยำส่วนนั้นอย่างไม่เบามือ สัมผัสได้ถึงร่างกายที่สะดุ้งของต้าต่านได้อย่างดี เมื่อทั้งสองละจูบออกจากกัน ดวงตาเรียวคมก็จ้องมองจนอย่างไม่พึงพอใจเท่าไรนัก แต่มองอย่างไรก็ช่างน่ารัก
"หยุดทำเรื่องลามกกับข้าได้แล้ว" พูดพร้อมกับพยายามดึงมือของเขาออกไปจากบั้นท้ายของเจ้าตัว
"เรื่องลามกอะไรกันฮูหยิน มันเป็นการสานสัมพันธ์ของสามีภรรยาต่างหาก"
"สามีภรรยารึ?"
"ใช่"
"แล้วทำไมเจ้าถึงได้ฆ่าข้าละ?"
คำถามเมื่อครู่ของต้าต่านทำเอาคนงามถึงกับชะงักไป ใบหน้าที่กำลังหยอกล้อภรรยาบัดนี้เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน สองมือปล่อยออกอย่างง่ายดาย หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน ถ้าหากหูเขาฟังไม่ผิดแล้วก็
"ฮูหยิน เอ่ยอะไรออกมา ข้าไม่เข้าใจ"
"ไม่เข้าใจอะไรกัน ทั้ง ๆ ที่เจ้าเป็นคนฆ่าข้าแท้ๆ"
จวินหงในตอนนี้ไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกของตนได้อย่างไร มันคือความรู้สึกที่มนุษย์เรียกกันว่าหายใจไม่ทั่วท้องหรือไม่ สองขาก้าวเท้าออกมาห่างจากต้าต่านภรรยารัก เมื่อเห็นเลือดสีแดงที่กำลังออกมาจากร่างของต้าต่าน น้ำสีใสค่อยๆ ถูกย้อมไปด้วยสีแดงของเลือด ดวงตาเรียวคมจับจ้องมาที่เขาด้วยแววตาที่เกลียดชิงชังและเคียดแค้น
"เจ้าฆ่าข้าทำไม จวินหง ทำไม"
"ไม่ ไม่ ไม่ ฮูหยิน ข้าไม่ได้ตั้งใจ เจ้าก็รู้ ข้าไม่ได้ตั้งใจ!"
"เจ้าฆ่าข้า จวินหง!"
พูดจบร่างของต้าต่านก็พุ่งใส่เขาอย่างรวดเร็ว และนั้นทำให้จวินหงไม่ทันได้ตั้งตัว ร่างงามสะดุ้งตื่นขึ้นอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังรุนแรงขนาดลุกพรวดออกจากเก้าอี้เลยทีเดียว
"ว้าก!"
ใบหน้างามตื่นตระหนกยังไม่ทันหาย เมื่อได้ยินเสียงของใครบางคนที่ตกใจตามตนไปด้วยนั้นมันคุ้นหูก็รีบมองไปยังเจ้าของเสียงทันที ก็พบกับต้าต่านที่ยืนมองตนอย่างตกใจ และอีกฝ่ายก็ยังอยู่ในชุดปกติอีกด้วย
เมื่อกี้..ฝันรึ?
จวินหงพยายามสงบสติอารมณ์ของตนโดยการหายใจเข้าออก ต้าต่านเองก็มองคนงามตรงหน้าที่กำลังปรับสติอารมณ์อย่างเห็นได้อย่างชัดเจน อาการเมื่อครู่ไม่ต้องเป็นหมอดูก็ดูออกว่าอีกฝ่ายเพิ่งผ่านฝันร้ายมาชัดๆ
"ท่านพี่ ฝันร้ายรึ"
ต้าต่านเอ่ยถามออกไป โดยที่อีกฝ่ายก็ค่อยๆ นั่งลงก่อนที่พยักหน้าให้เล็กน้อยว่าเขาฝันร้ายจริงๆ ทำเอาคนถามเองก็แอบตกใจอยู่เหมือนกัน เหตุที่เขามาอยู่ที่นี่เพราะยามนี้ก็ดึกมากแล้ว กลับกลายเป็นว่าจวินหงยังไม่อาบน้ำ เลยมาตามที่ห้องทำงานก็เห็นอีกฝ่ายนอนหลับฟุบกับไปโต๊ะทำงาน เลยเดินเข้ามาปลุก แต่ยังไม่ทันที่มือของเขาจะเอื้อมไปแตะอีกฝ่ายลุกพรวดขึ้นมานั่นแหละ
"ช่วงนี้มีแต่เรื่องให้เครียดและคิดมากสินะ เอาล่ะ ไหน ๆ ท่านที่ก็ตื่นแล้ว ข้าขอตัว”
ต้าต่านเตรียมตัวจะเดินออกไปแต่เสียงคนงามกลับเรียกตนพร้อมกับลุกจากเก้าอี้เดินตรงมาหาแต่พอเดินมาถึงก็กลับเงียบไม่พูดอะไรนอกจากดึงเขาเข้าไปกอด แน่นอนละว่าคนโดนกอดอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยก็ย่อมทำอะไรไม่ถูกนอกจากยืนแข็งทื่อเป็นท่อนไม้อยู่แบบนั้น หัวไหล่ข้างขวาของต้าต่านสัมผัสได้ถึงบริเวณคางที่วางทิ้งลงมา กอดตอนแรกที่แผ่วเบาก็ค่อยๆ แน่นขึ้นแต่ไม่ได้แน่นจนหายไม่ออก เป็นกอดที่รู้สึกได้ถึงความรักและความคิดถึงแต่กระนั้นก็มีความรู้สึกได้ความกลัว กลัวว่าที่สิ่งที่กำลังกอดจะหายไปอย่างไรอย่างนั้นเลย
"ท่านพี่ฝันร้ายขนาดนั้นเลยรึ?"
"อืม"
ตอบมาเพียงแค่นี้แล้วเขาจะต้องไปอย่างไรต่อ
"ท่านพี่ปล่อยข้าก่อนเถอะ ข้าจะไปอาบน้ำ วันนี้ข้าก็วิ่งวุ่นมาทั้งวันเหมือนกัน แต่ข้าอาบน้ำเสร็จก่อนแล้วค่อยไปอาบเข้าใจหรือไม่"
"ข้าเข้าใจ แต่ขอข้ากอดแบบนี้อีกสักครู่ไม่ได้หรือ"
"ได้ แต่ข้าจะนับห้าถึงหนึ่งแล้วปล่อย เข้าใจหรือไม่"
"ฮูหยิน"
"อย่ามาต่อรอง"
เมื่อคนงามไม่เถียงอะไรกลับมาต้าต่านก็เริ่มนับห้าแต่ไม่ได้นับอะไรเร็วมีเว้นช่วงเอาไว้เล็กน้อย แต่พอถึงสามเท่านั้นแหละ มือคู่สวยก็ไปเลื่อนลงไปจับบั้นท้ายของคนนับเลขอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่านับไม่ถึงหนึ่งหรอก หมัดจากต้าต่านพุ่งตรงไปยังหน้าท้องคนงามนามว่าจวินหงอย่างรวดเร็ว
................................................
กวางโม่วั่งซูไม่เคยคิดเลยว่าจะเขาจะพาสำนักมาถึงจุดนี้ได้ แม้การตัดสินใจครั้งนี้ของเขาครอบครัวไม่ได้ตำหนิอะไรก็ตาม หลังจากที่ตัดสินเข้าร่วมกับทางสำนักเถียน สำนักของเขาก็แทบโดนหาเรื่องไม่เว้นแต่วัน จนกระทั่งเถียนเจียนเจี๋ยเดินทางเข้ามาช่วยเหลือ
เพื่อให้ครอบครัวของเขาปลอดภัย
เจียนเจี๋ยได้ทำเรื่องส่งครอบครัวของเขาและผู้ที่เกี่ยวข้องเดินข้ามแคว้นไป แม้ไม่รู้ว่าทำได้เช่นไรเพราะการข้ามแคว้นไปแบบนี้ไม่ได้ไม่ต่างจากการลักลอบเข้าเขตแดนผู้อื่น พอถามว่าทำได้เช่นไร เจียนเจี๋ยตอบกลับมาเพียงแค่ว่าสำนักของพี่เขยเป็นคนจัดการให้ โดยแคว้นที่อพยพไปนั้นมีสหายที่มีอำนาจต่อรองได้เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลความปลอดภัย เพราะคนสำนักกวางนั้นล้วนเป็นผู้หญิงและก็แต่งงานกันแล้ว แม้จะถูกครอบครัวฝั่งสามีของเหล่าพี่สาวต่อว่ากลับมาบ้าง ไม่พอใจบ้าง มันคือสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ด้วยที่พี่สาวของเขานั้นไม่ใช่แม่หญิงที่จะงอมืองอเท้าและพร้อมอยู่เคียงข้างเขาก็สู้กลับไปเช่นกันแถมยังคิดจะอยู่สู้พร้อมกับเขาอีกต่างหาก แต่โม่วั่งซูไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้นเขาเลยขอให้เหล่าพี่สาวพาพ่อแม่อพยพไป เพราะท่านทั้งสองแก่ชรามากแล้ว
ให้มีเพียงแค่เขาที่ออกศึกในฐานะประมุขสำนักคนต่อไปเถอะ
ด้วยที่สำนักกวางไม่ได้เก่งกาจ การที่จะดื้อรั้นอยู่เพื่อช่วยต่อสู้มันไม่ต่างอะไรกับการถ่วงแข้งถ่วงขา แม้จะฟังแล้วดูเจ็บใจแต่ก็เป็นความจริงที่ต้องยอมรับ ทำให้สำนักกวางต้องยอมปิดสำนักลงชั่วคราวแล้วพาเหล่าเด็กของสำนักที่ฝีมือพอจะปะทะได้พามาด้วย
หลังจากจัดการเรื่องสำนักเสร็จแล้ว
เขาก็ออกเดินทางทันทีโดยมีรถของสำนักเถียนมารับ แม้จะดูแปลกตาไปบ้างก็พอจะนั่งเดินทางได้อยู่โดยเจียนเจี๋ยบอกว่าข้าวของของสำนักกวางจะให้คนของตนเป็นคนจัดการเก็บไว้ให้และสถานที่เขากำลังจะไปอยู่นั้นไม่ต้องกลัวว่าจะอยู่ลำบาก โม่วั่งซูไม่ได้กลัวว่าจะอยู่ลำบาก เขากลัวว่าจะเข้ากับผู้อื่นได้หรือไม่ กว่าจะมาถึงก็มืดค่ำ เป็นสถานที่เขาเองก็พอจะจำได้ลางๆ เพราะเคยผ่านบริเวณนี่แม้จะไม่บ่อยก็ตาม ไม่คิดเลยว่าในป่าลึกเช่นนี้จะมีหมู่บ้านเช่นนี้อยู่ด้วย เมื่อก้าวเท้าลงพื้นก็เจอกับชายร่างสูงกว่าเขากำลังยืนต้อนรับอยู่ มีใบหน้าหล่อเหลาและมีผิวสีแทน เป็นชายที่ดูดีเลยทีเดียว
"คุณชายกวางมาถึงแล้วคงเหนื่อยมาก พวกข้าได้รับจดหมายจากเจียนเจี๋ยแล้ว อ่อ ข้าลืมแนะนำตัว ข้ามีนามซาหรงเป็นหัวหน้าหมู่บ้านลิงแดงแห่งนี้"
"หมู่บ้านลิงแดงรึ"
"ตอนนี้ยังไม่มีชื่ออย่างเป็นทางการเพราะก่อนหน้านี้มันเป็นรังโจรมาก่อน"
โม่วั่งซูได้ยินเช่นนั้นก็เลิกคิ้วสูง เมื่อกี้เขาฟังไม่ผิดใช่มั้ย ว่าที่นี่เคยเป็นรังโจรมาก่อน จะว่าไปแล้วแถวๆ นี้เขาก็เคยได้ยินว่ามีโจรภูเขาลิงแดงอยู่นะ ระหว่างที่กำลังคิดว่าตัวเองหูฟาดไปหรือไม่นั้น จู่ๆ ก็มีเสียงหญิงสาวดังขึ้นว่า 'พูดแบบออกไปคงไม่ดีหรอกมั้งท่านหัวหน้าหมู่บ้าน' โม่วั่งซูเลยมองไปยังเจ้าของเสียงนั้น ถ้าหากเขาจำไม่ผิดแล้วละก็ ใช่แม่หญิงที่มานั่งดื่มสุราชมจันทร์ด้วยตอนนั้นไม่ใช่หรือ ใบหน้างดงามที่แม้จะงามเพียงใดก็ยังสู้จวินหงไม่ได้ เขาไม่มีทางจำอีกฝ่ายไม่ได้แน่นอน แม้ว่าตอนนี้นางจะแต่งกายดูทะมัดทะแมงและบนใบหน้าไม่แต่งแต้มเครื่องสำอางเหมือนเมื่อตอนนั้นก็ตาม
"ใช่แม่นางที่เคยดื่มสุราชมจันทร์ด้วยกันใช่หรือไม่
"ใช่แล้วเจ้าค่ะ คุณชายกวางช่างมีความจำดีเป็นเลิศ ข้าซิงเยียนมีหน้าที่มาคอยดูแลคุณชายตั้งแต่บัดนี้ เอาละ ตามข้ามาเถอะ ข้าจะพาคุณชายไปที่พัก"
"ถ้าเช่นนั้นเชิญ"
อย่างน้อยก็ดีกว่ามายืนอยู่ตรงนี้กับเหล่าชายฉกรรจ์ที่ไม่รู้เลยว่าภายใต้หน้าตาหล่อเหลานั้นมีอะไรแอบแฝงหรือไม่ แต่หารู้ไม่ว่าแม่หญิงที่คุณชายกวางกำลังเดินตามไปนั้นอีกฝ่ายน่ากลัวกว่าเหล่าชายที่ยืนต้อนรับอยู่ตรงนี้เป็นไหนๆ ไม่รู้เลยว่าคุณชายกวางไปทำอะไรให้ซิงเยียนถูกใจเข้านางเลยอาสาจะดูแลอีกฝ่าย แม้เกรงว่าการดูแลที่ว่านั้นกำลังคิดทดลองอะไรอยู่หรือไม่ ก็หวังว่าคุณชายกวางจะปลอดภัยก็แล้วกัน
แม้หมู่บ้านจะอยู่ในป่าเขาแต่ที่พักหรือเครื่องใช้ก็ดูดีใช้ได้เลยทีเดียว
ที่พักของโม่วั่งซูนั้นถูกทำแยกออกมาจากที่พักของเด็กสำนักอยู่พอสมควรเพื่อให้เป็นที่พักส่วนตัว อย่างน้อยเขาก็แอบซึ้งใจที่ยังให้ที่พักเขาดีแบบนี้ทั้ง ๆ ที่สำนักกวางในตอนนี้จะถูกมองข้ามผ่านก็ยังได้ด้วยซ้ำ
"ขอบคุณแม่นางซิงเยียนที่นำทางและจัดเตรียมที่พักให้"
"เรื่องเล็กน้อยคุณชายกวาง พวกเราเป็นพันธมิตรกันก็ต้องดูแลกันอยู่แล้ว คุณชายมีอะไรอยากได้เพิ่มเติมก็บอกกับข้าได้"
ซิงเยียนพูดจบก็หันหลังเดินหนีออกไปโดยไม่ให้เขาได้เอ่ยตอบอะไรเลย คงมีหน้าที่ที่ต้องทำอยู่กระมั้ง โม่วั่งซูเดินมานั่งที่ขอบเตียงแม้จะไม่ได้ดีไปกว่าของที่สำนักแต่มันก็ไม่ได้แข็งจนนอนไม่สบาย ในหัวก็คิดถึงครอบครัวของเขาว่าตอนนี้เดินทางไปถึงไหนแล้วหรือยังจะปลอดภัยดีหรือไม่ ค่ำคืนนี้นอนที่ไหน ไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งสำนักกวางจะมาถึงจุดนี้ได้ และเขาก็คงต้องนอนทั้งอย่างนี้สินะ เอาไว้ค่อยถามว่าสามารถไปอาบน้ำได้ที่ไหน โม่วั่งซูเอนตัวลงนอน ผ้าห่มมีกลิ่นหอมจางๆ พอให้ผ่อนคลาย จะว่าไปแล้วระหว่างที่เขาเดินมายังห้องพักส่วนของสำนักกวาง
ถ้าหากแบ่งสัดส่วนของสำนักเช่นนี้
นั้นก็หมายความว่ามีสำนักอีกหลายสำนักตัดสินใจอยู่ฝั่งเดียวกับสำนักเถียนสินะ ไม่ใช่แค่สำนักของเขาสำนักเดียวที่ตัดสินใจเช่นนี้ มันจะเกิดสงครามกันจริงๆ หรือ มันไม่สามารถหาข้อตกลงเพื่อความสันติได้เลยหรืออย่างไรกัน แม้ว่าฝ่ายของพระสนมเอกก็ดูจงใจอยากให้เกิดสงครามก็เถอะ
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ
..............................................
จวินหงลูบท้องของตนไม่ใช่เพราะหิวข้าวแต่เจ็บจากหมัดตรงของภรรยารักที่มอบให้หลังจากที่มือของเขาเผลอซุกซนไปบ้าง จากนั้นไม่นานมากนักเฉินก็เดินมาบอกกับตนว่าฮูหยินอาบน้ำเสร็จแล้ว จวินหงก็พยักหน้าให้แล้วเดินตรงไปยังห้องอาบน้ำที่สองพี่น้องลี่อยู่ที่นั่นคอยจัดการต่างๆ ให้กับเขา เพราะจวินหงไม่ต้องการผู้ติดตาม ตอนอยู่ที่จวนของสวรรค์เขาก็ไม่มีมันแต่แรกอยู่แล้ว พอมาใช้ชีวิตมนุษย์ที่แอบลำบากตรงที่ต้องคอยจัดเตรียมต่างๆ และคนคอยติดตามดูแลนี่แหละ พอมองห้องอาบน้ำแล้วนั้น
ความฝันที่ผุดขึ้นมาทันที
จวินหงไม่อยากคิดถึงมันเท่าไร แต่ทำเช่นไรได้ความฝันนั้นมันช่างน่ากลัวยิ่งนัก แล้วอีกอย่างที่น่าหวั่นใจก็คือเทพจะไม่ฝัน แต่ถ้าฝันมันคือลางบอกเหตุ แล้วสิ่งที่เขาฝันนั้นมันคืออะไรกันแน่
ต้าต่านรู้อดีตชาติที่เกิดขึ้นแล้วหรือ?
แต่ถ้าหากจำได้แล้วเหตุใดถึงได้จดจำได้เพียงชาติเดียวกันเล่า คนงามพยายามไม่คิดไปทางที่เลวร้ายนักเพราะถ้าหากความฝันเกิดขึ้นจริง ใจของเขาคงแตกสลายก่อนร่างกายเป็นแน่ เมื่อได้สัมผัสน้ำอุ่นก็ทำให้รู้สึกผ่อนคลายอยู่ไม่น้อยแต่นั่นก็เพียงภายนอกเท่านั้น ภายในของเขามันช่างอึดอัดยิ่งนัก ตอนนี้ยังพอประคับประคองไปได้บ้างเมื่อจะได้ข่าวไม่ดีจากตัวเมืองว่าเริ่มมีการเคลื่อนไหวแปลกๆ จากคนฝั่งนั้น และสำนักเถียนเองก็เริ่มตกที่นั่งลำบาก เขาเลยส่งจดหมายไปยังพ่อตาหรือเถียนหยางเฉินเหวย ถ้าหากเกิดเรื่องเกินรับมือให้อพยพผู้คนตามจดหมายที่เขาเขียนไปหาที่ตอนนี้องค์รัชทายาทเองก็คงอยู่กับน้องชายหรือองค์ชายสี่แล้ว แถมฮุ่ยเหมยเองก็มาขอลายมือของเขาเพื่อส่งไปหาสหายต่างแคว้นอีกคงจะพาใครสักคนอพยพไป สงครามอาจจะเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็วๆ นี้ แม้ในใจไม่อยากให้เกิดขึ้นก็ตาม
จวินหงไม่ใช่ไม่พยายามติดต่อจวินหรง
เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ในพระราชวังในฐานะพระสนมเอกก็เขียนจดหมายไปหา แต่ทุกครั้งที่เขียนไปหาไม่เคยมีจดหมายใดๆ ตอบกลับมาเลยสักครั้ง ไม่มีเลยสักเศษเสี้ยวของกระดาษแผ่นเล็กๆ เขาไม่ต้องการให้มนุษย์ตาดำๆ ที่ไม่รู้เรื่องอะไรให้ต้องมาเจออะไรแบบนี้ มันไม่ต่างจากการทำบาป และมนุษย์ไม่ควรเป็นเพียงเครื่องมือให้กับอะไรทั้งนั้น
ที่มันมาถึงขนาดนี้เพราะความขี้ขลาดของเขาสินะ
เพียงหลับตาลงผ่านในวัยเยาว์ที่ผ่าฟันความเจ็บปวด ความยากลำบากมาด้วยกันระหว่างเขากับจวินหรงนั้นมันเหมือนเพิ่งเกิดได้ไม่นาน สำหรับเขาแล้ว จวินหรงคือน้องชายแม้จะไม่ได้มีสายเลือดเดียวกัน ถ้าหากเขารู้ตัวเร็วกว่านี้เขาจะได้ไม่ให้จวินหรงคาดหวังความรู้สึกแบบนั้นกับเขา ซึ่งก็ไม่รู้เลยว่าต่อให้รู้ทันแล้วมันจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้หรือเปล่า แล้วถ้าหากวันนั้นมาถึงเขากล้าพอที่จะลงมือกับอีกฝ่ายหรือไม่ ในเมื่อนั้นคือน้องชายของเขา
เทพแห่งการทำลายล้างรึ หึ มันก็เหมาะกับเขาจริงๆ นั่นแหละ
จวินหงหยุดตัดพ้อกับตนเองแล้วจัดการอาบน้ำ ทำแผลอีกสักเล็กน้อยเพราะตอนนี้แผลสมานกันดีแล้วด้วยยาของซิงเยียน ปกติบาดแผลเช่นนี้ไม่นานก็หายเพราะเขาใกล้สิ้นบารมีและร่างกายที่เป็นเช่นนี้ไม่แปลกที่แผลจะหายช้าตามกาลเวลาของดินแดนมนุษย์ จวินหงแต่งกายเพื่อเตรียมนอนหลับแม้ว่าเขาไม่อยากหลับเพราะกลัวจะฝัน สองขายาวก้าวเท้าเดินไปยังห้องนอนที่ตอนนี้ต้าต่านน่าจะนอนหลับไปแล้วเพราะนี่ก็ดึกมาก แต่เมื่อมาถึงก็กลิ่นหอมบางอย่างก็ลอยมาแตะที่จมูก ความหอมอ่อนๆ จะดอกไม้ก็ไม่ใช่ จะกลิ่นสมุนไพรก็เชิง มันหอมผ่อนคลายชวนให้รู้สึกดี ร่างของต้าต่านนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตรงโต๊ะน้ำชากำลังอ่านอะไรบางอย่างอยู่
"ฮูหยินยังไม่นอนอีกรึ แล้วนี่มันกลิ่นอะไร?"
ต้าต่านได้ยินเสียงนุ่มเอ่ยถามก็จัดการปิดตำราที่กำลังอ่านอยู่แล้วหันมาสนใจร่างงามที่ตอนนี้สวมเสื้อไม่กี่ชั้น แม้จะเป็นอะไรที่ได้เห็นก่อนนอนอยู่หลายครั้งหรือตั้งแต่แต่งงานกันมา แต่ยอมรับเลยว่าเป็นร่างกายที่ชวนให้อยากเอ่ยปากชมออกไปเสมอ แน่นอนว่าต้าต่านไม่ทางเอ่ยเสียงชมออกไปแน่
"มันคือกลิ่นกำยานใหม่หรืออะไรสักอย่าง ข้าก็ไม่รู้เรื่องพวกนี้นักหรอก เห็นว่าท่านพี่นอนฝันร้ายเกรงว่าคืนนี้น่าจะนอนไม่ค่อยหลับ ข้าเลยให้เฉินไปเอามาจุดให้ท่านพี่นั่นแหละ"
จวินหงได้ยินแบบนั้น หัวใจที่รู้สึกพองโตขึ้นมาก่อนจะทำหน้าเศร้า เอามือป้องปาก บีบน้ำตาเล็กน้ำตาน้อยใส่ ต้าต่านที่เห็นแบบนั้นก็เกิดอาการหมั่นไส้ขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
"ถ้าท่านพี่ไม่เลิกทำกิริยาเช่นนั้น ข้าจะให้เฉินเอากำยานไปทิ้ง"
"โธ่ฮูหยิน ข้ากำลังรู้สึกดีที่ได้รับความรักจากฮูหยินก็เท่านั้นเอง"
"ไม่ต้องมาเล่นงิ้วใส่ข้า เอาละ ข้าขอนอนก่อนแล้ว พรุ่งนี้ต้องจัดการเรื่องสำนักกวางด้วย"
"สำนักกวางรึ?"
"ใช่ ตอนนี้สำนักกวางกำลังตกที่นั่งลำบาก ข้าเลยไปขอให้ฮุ่ยเหมยช่วยเหลือเรื่องพื้นที่อพยพให้ ไม่คิดว่าสำนักเพ่ยของท่านพี่จะมีพื้นที่หลบซ่อนเยอะหรือแม้กระทั่งมีคนคอยช่วยเหลือต่างแคว้น เอาเป็นว่าตอนนี้นอนก่อนเถอะ การนอนก็คือการเตรียมพร้อมเช่นกัน"
ต้าต่านพูดจบก็ขึ้นเตียงไปเพื่อนอนหลับ จวินหงก็ไม่ได้คิดจะคัดค้านหรือคิดจะแกล้งฮูหยินเล่นอีก ง่ายๆ ก็คือ อย่าไปแกล้งคนกำลังง่วงนอน แม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่ง่วงเท่าไรเพราะเพิ่งจะงีบไป แต่ก็ขึ้นไปบนเตียงเพื่อเอนกายพักผ่อนโดยไม่ลืมที่จูบเส้นผมเพื่อบอกราตรีสวัสดิ์ ต้าต่านก็นอนตะแคงหันหลังให้กับเขาแล้ว กลิ่นหอมของกำยานส่งกลิ่นให้รู้สึกผ่อนคลาย ความตึงเครียดลดลงอย่างชัดเจน แต่ทว่าทำเช่นไรก็นอนไม่หลับ
อยากกอด..
จวินหงหันไปมองแผ่นหลังของต้าต่านที่นอนหันหลังให้กับเขา ถ้าหากได้นอนกอด คงนอนหลับลงได้อย่างแน่นอน ว่าแล้วจวินหงก็จัดการตะแคงตัวเองไปทางฮูหยิน ดวงตาคู่สวยแผ่นหลังที่น่าซบและค่อยๆ ขยับร่างกายเข้าไปใกล้ร่างที่นอนหันหลังให้กับเขาอยู่
"ฮูหยิน หลับแล้วหรือ?"
จวินหงเอ่ยถามออกไปความเงียบเพียงชั่วอึดใจก็มีเสียงของต้าต่านตอบกลับมา
"หัวเพิ่งถึงหมอนจะให้หลับเลยรึไง"
"งั้นรึ"
จวินหงไม่รู้จะถามอะไรต่อเขาเลยเงียบลงไปแบบนั้น แต่พอเขาเงียบไปได้ไม่นาน ต้าต่านก็หันกลับมาหาเขาทำให้ดวงตาคู่สวยกับดวงตาเรียวคมสบตากันด้วยระยะห่างพอประมาณหนึ่งก่อนที่ปากได้รูปจะเอ่ยถาม
"อยากกอดข้ารึ"
คนงามเอ่ยเสียงออกไปเพียงแค่ 'อืม' พร้อมกับดวงตาอ้อนวอน
"ถ้าเช่นนั้นก็ขยับมาใกล้ข้าสิ"
จวินหงได้ยินเช่นนั้นก็ขยับไปหาราวกับลูกสุนัขตัวน้อยที่เชื่อฟังเจ้านายค่อยๆ ขยับเข้าไปหาเพื่ออ้อนอย่างไรอย่างนั้น ทำให้ใบหน้าหล่อเหลาและใบหน้างดงามอยู่ใกล้กันมากขึ้น ทั้งสองสบตากันโดยมีแขนของจวินหงที่พาดไปยังเอวของภรรยารักและจัดการดึงเข้ามากอดจนสัมผัสได้ถึงไออุุ่น
"อย่าคิดอะไรลามกเชียวละ ข้าไล่ท่านพี่ไปนอนข้างล่างแน่"
"ขอรับฮูหยินของข้า"
เมื่อสิ้นเสียงตกลง ทั้งสองก็ขยับท่าทางให้สบายโดยต้าต่านเองก็เอาแขนของตนกอดอีกฝ่ายกลับเช่นกันทำเอาจวินหงรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกเหมือนเมื่อวันวานที่เคยครองรักกันกลับมาแล้วก็ไม่ปาน ทั้ง ๆ ที่อีกฝ่ายจดจำอะไรที่เคยรักกันยังไม่ได้เลย ดวงตางามมองใบหน้าภรรยารักที่ตอนนี้ได้หลับใหลเข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว อยากมองแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ไม่อยากหลับตาลงเลยสักนิด เพราะเขากลัวเหลือเกินว่าถ้าวันหนึ่ง วันนั้นได้มาถึง วันที่เขาได้หลับตาลงและไม่อาจได้ลืมตาตื่นขึ้นมาเพื่อได้เจอเจ้าของใบหน้านี้อีก
"ข้าอยากอยู่มองดูเจ้าไปตลอดกาลเหลือเกินฮูหยินเพียงหนึ่งเดียวของข้า"
ความคิดเห็น