ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Mpreg] อย่ามาเกี้ยวสามีข้า [Yaoi + เมะสวย]

    ลำดับตอนที่ #4 : อย่ามาเกี้ยวสามีข้า บทที่๓

    • อัปเดตล่าสุด 8 ก.ค. 66


    บทที่ ๓

     

     

                    ต้าต่านไม่เคยกลัวพระอาทิตย์ตกแบบนี้มาก่อนในชีวิต สองวันที่ผ่านมาเขาถูกน้องชายจอมแสบอย่างเจียนเจี๋ยให้สนใจเรื่องบัญชี เขาแทบจะขอยาหมอประจำสำนักมาดื่มให้หายปวดหัวไม่ก็ซุปเนื้อแกะร้อนๆ วันนี้คือวันสุดท้ายที่เขาจะหมดแล้วซึ่งอิสรภาพ ชายหนุ่มยืนมองพระอาทิตย์ที่กำลังอยู่ตรงกลางหัวยามอู่ (11.00-12.59) จากทางหน้าต่างห้องของตัวเอง นี่เขาเหลือเวลาอีกไม่นานแล้วสินะ

                    "ยืนให้มันตรงๆ หน่อยสิ" เสียงหวานแต่แลดูหงุดหงิดส่งมาหาต้าต่านนั้นก็คือแม่ของเขานั้นเอง ที่ตอนนี้กำลังจับเขาแต่งตัวให้สวยงามเพราะอีกไม่กี่ชั่วยามคนจากสำนักเพ่ยจะเดินทางมาถึงแล้วและแน่นอนว่าว่าที่เจ้าบ่าวก็เดินทางมาด้วย เขาอยากจะกระโดดกำแพงสำนักหนีไปเสียตอนนี้เลยแต่แม่ของเขาอย่างซูหนี่ยังยืนจับเสื้อผ้าเขาให้เข้าที่อยู่นี่สิ

                    "ท่านแม่ นี่ก็เรียบร้อยแล้วท่านจะจัดนั้นจัดนี่อะไรนักหนา"

                    "ก็เพื่อหน้าตาของเจ้าไงยังจะมาบ่น อีกไม่นานคนสำนักเพ่ยจะเดินทางมาถึงแล้ว พรุ่งนี้ก็ตื่นให้มันเช้าๆ จะได้เตรียมตัวขัดผิวขัดหน้า"

                    ต้าต่านนึกถึงพรุ่งนี้จิตใจของเขาก็ห่อเหี่ยวทันทีเพราะมันคือวันแต่งงาน ปกติแล้วมันสมควรตื่นเต้นหรือดีใจไม่ใช่หรือ แต่เขาเหมือนคนหมดสิ้นแรงสิ้นกาย ไม่อยากให้ถึงวันพรุ่งนี้เลยพระอาทิตย์ถ้าท่านได้ยินเสียงในใจที่โหยหวนของเขาแล้วละก็ได้โปรดลับขอบฟ้าช้าๆ ทีเถอะ ซูหนี่จับเสื้อผ้าว่าไม่อะไรตกหล่น ยามพบกับอีกฝ่ายจะได้ไม่ขายขี้หน้า นางมองหน้าลูกชายที่เหม่อลอยจนต้องยกมือไปหยิกแก้มเบาๆ จนใบหน้าหล่อๆ ของต้าต่านขยับบ้าง

                    "ทำหน้าให้สดชื่นหน่อย ทำหน้าเหมือนแม่กำลังส่งเจ้าไปตายงั้นแหละ"

                    "มันก็ไม่ต่างกันหรอกท่านแม่"

                    ซูหนี่มองลูกชายคนโตที่กำลังยกมือไปถูแก้มบริเวณที่โดนหยิก นางเองก็รู้ว่าต้าต่านไม่อยากแต่งงานแล้วจะทำเช่นไรได้ ถ้าหากผิดคำพูดก็ส่งผลถึงเจ้าตัวอยู่ดี เผลอๆ จะถูกคนสำนักอื่นมาท้าประลองอีกแล้วอาจจะพ่ายแพ้เช่นนี้อีกก็ได้

                    "แม่เข้าใจว่าเจ้าไม่อยากแต่งงาน นี่คือบทเรียนที่พลั้งปากพูดอะไรออกไปไม่คิดและโทษของการดื่มสุราเกินความจำเป็น"

                    "ท่านแม่ ข้ารู้ว่าข้าผิดพลาดไปแล้ว ข้าต้องแต่งงานจริงๆ หรือ"

                    "ต้าต่านฟังแม่นะ แม้ว่าแม่ไม่อยากให้เจ้าทำเช่นนี้ก็เถอะ" ซูหนี่ดึงลูกชายให้ขยับเข้ามาใกล้ตนมากขึ้นโดยที่เจ้าตัวก็รู้ว่าต้องทำอย่างไรเลยเอียงหูเข้าไปไกลปากของแม่ให้มากขึ้นเพราะความสูงของตนที่มากกว่านั้นเอง เสียงหวานกระซิบบอกลูกชายทันที "เจ้าก็ทำอย่างไรก็ได้ให้เจ้าต้องการหย่ากับสามีตัวเอง" ต้าต่านได้ยินเช่นนั้นก็ตาโตขึ้นมาทันที

                    "จริงด้วย แต่ว่าทำไมข้าต้องการหย่าละให้อีกฝ่ายต้องการหย่าไม่ได้รึไง"

                    ซูหนี่ได้ยินเช่นนี้ก็อยากจะหยิกตัวลูกชายที่ไม่คิดถึงเรื่องชื่อเสียงของตัวเองเลยแต่นางก็ไม่ทำและรีบอธิบายให้ลูกชายจอมบ้าฟังทันที

                    "เจ้าลูกบ้า เจ้าคือคนที่ต้องการหย่า ถ้าหากเจ้าโดนอีกฝ่ายต้องการหย่าแทนชื่อเสียงของเจ้าจะเสื่อมเสียหมดน่ะสิ"

                    "แบบนี้นี่เองแล้วจะให้ข้าทำเช่นไรเล่า"

                    "แม่ก็ไม่รู้ที่เหลือเจ้าต้องจัดการเองแล้วละ"

                    ต้าต่านได้แต่ส่งเสียงคำว่า 'อ้าว' ออกมาเบาๆ เมื่อแม่ที่บอกวิธีให้แต่กลับไม่มีแผนการอะไรเลย แต่เขาก็ไม่ได้ถามอะไรต่อเพราะแม่ห่างจากตัวเขาแล้วตรวจความเรียบร้อยอีกครั้งไม่รู้ว่าเขาหมุนตัวให้แม่ดูกี่รอบแล้ว ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายก็เป็นแค่สำนักเล็กๆ สำนักหนึ่งจะให้ความสำคัญอะไรนักหนาถึงอีกฝ่ายกำลังจะเป็น

                    สามีของเขาในอนาคตอันใกล้นี่ก็เถอะ....

                    ในชีวิตของต้าต่านไม่เคยห่อเหี่ยวขนาดนี้มาก่อนเลย เขาไม่เคยจินตนาการว่าตัวเองจะเป็นภรรยาของใครเพราะอะไรน่ะหรือเพราะเขาเหมาะจะเป็นสามีมากกว่าเขาคิดมาเสมอว่าสักวันเขาจะหาภรรยาดีๆ แต่งเข้าตระกูลไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งตัวเองจะต้องแต่งเข้าตระกูลผู้อื่นในฐานะภรรยา

                    เพราะสุราเข้าปากแท้ๆ

                    ตอนนี้ท่านแม่ของเขาออกไปด้านนอกแล้วเพราะจะต้องออกไปเตรียมตัวเพื่อต้อนรับคนจากสำนักเพ่ยแถมยังจัดห้องว่างเปล่าให้สวยงามเพื่อเป็นที่พักผ่อน มิน่าเล่าท่านพ่อถึงบอกว่าต่อให้ท่านแม่จะเป็นคนที่ทำอะไรใจร้อนแต่เรื่องพวกนี้แม่ของเขาจะเจ้าระเบียบอย่างมากไม่ยอมให้ใครมาดูถูกสำนักของตนว่ารกหรือไม่สวยงามเพราะฉะนั้นถ้าเขาหรือเจียนเจี๋ยจะหาสะใภ้เข้าบ้านต้องระเบียบเรื่องพวกนี้ด้วย แต่ตอนนี้เขาคงไม่สามารถหาสะใภ้เข้าบ้านได้แล้วละ ไม่ถึงชั่วยามแล้วสินะที่คนทางสำนักเพ่ยจะเดินทางมาถึง ซึ่งเขาภาวนาขอให้ขบวนเดินทางโดนโจรดักปล้น รถม้าล้อหลุดหรือม้าหลุดวิ่งหนีเข้าป่าไปจะได้เดินทางมาช้าๆ หรือล้มเลิกความตั้งใจมา แต่แล้วคำภาวนาเขานั้นก็โดนสวรรค์ปิดหูไม่รับฟังไปเสียแล้ว เมื่อร่างของเฉินที่คอยดูแลเขาได้เดินเข้ามาในห้อง

                    "เฉิน ข้าขอร้อง ไม่ใช่อย่างที่ข้าคิดใช่ไหม"

                    เฉินที่กำลังอ้าปากเพื่อบอกว่าคนทางสำนักเพ่ยเดินมาถึงหน้าประตูสำนักแล้วและให้คุณชายของเขาออกไปรอต้อนรับ แต่พอผู้เป็นนายทักขึ้นมาเสียก่อนเลยแต่ยิ้มเจื่อนๆ พร้อมกับพยักหน้า ต้าต่านเห็นเช่นนั้นเขาอยากจะนอนราบไปกับพื้นแล้วแกล้งตายไปซะ แต่ทำไปมันจะได้อะไรกันเล่า!

                    อยากกลายร่างเป็นอากาศเหลือเกิน

                    ขายาวพาตัวเองพ้นขอบประตูโดยมีเฉินที่เดินตามหลังและอีกสองคนที่เป็นเด็กฝึกของสำนักซึ่งปกติจะต้องคอยอารักขาเพื่อความปลอดภัยแต่ประทานโทษเถอะที่นี่มันสำนักเถียนใครจะเข้ามาทำร้ายเขาได้กัน ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าท่านแม่ของเขาส่งมาเพื่อกันไม่ให้เขาหนี ในขณะที่เดินไปยังห้องที่รอรับแขกนั้นในหัวของต้าต่านก็มีแต่คำว่าไม่อยากไป ไม่เอาได้ไหม แล้วจู่ๆ ความคิดจะหนีก็ผุดเข้ามาในหัวจริงๆ ท่านแม่รู้นิสัยเขาเกินไปแล้ว

                    "โอ้ย! " เสียงร้องของต้าต่านหรือคุณชายใหญ่ของสำนักเถียนร้องออกมาแล้วเอามือกุมหน้าท้องทำให้ทั้งสามถึงกับพากันตกใจโดยมีเฉินมาช่วยประคองและเอ่ยถาม

                    "คุณชายเป็นอะไรไปหรือขอรับ! ปวดท้องหรือขอรับ!"

                    ต้าต่านโบกมือไปมาก่อนจะตอบ

                    "ข้าไม่ได้เป็นอะไรมาก ข้าแค่อยากเข้าห้องน้ำอีกอย่างไปเจอคนสำคัญถ้าไม่ทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยคงดูไม่ดีใช่ไหมล่ะ เอาละเจ้าสองคนรออยู่นี้เดี๋ยวข้ามา"

                    ต้าต่านพูดโดยเด็กฝึกของสำนักมองหน้ากันไปมาเพราะไม่เชื่อคำพูดของเขานั้นเองก็ไม่แปลกหรอกคำสั่งของแม่ย่อมสำคัญกว่าอยู่แล้ว

                    "ข้าจะให้เฉินตามไปด้วย ตกลงไหม"

                    ทั้งสองมองกันว่าจะทำเช่นไรดีพอเห็นสีหน้าของคุณชายใหญ่ของสำนักที่เริ่มไม่พอใจที่พวกเขาทำตัวไปสงสัยเช่นนี้

                    "ถ้าเช่นนั้นให้พวกข้าไปด้วยเถอะขอรับ"

                    "ตามใจพวกเจ้า อยากจะตามก็ตามมา"

     

                    ประมุขสำนักเถียนหยางเฉินเหวยและฮูหยินใหญ่เถียนซูหนี่ พากันใจเต้นระรัวเมื่อได้ยินว่าคนทางสำนักเพ่ยได้เดินทางมาถึงหน้าประตูสำนักเถียนแล้ว การเป็นเจ้าบ้านที่ดีคือการออกมาต้อนรับด้วยตัวเองโดยมีเจียนเจี๋ยที่เดินมาต้อนรับด้วยแม้ว่าตอนนี้ยังไม่มีวี่แววร่างของต้าต่านก็เถอะ แวบแรกที่เห็นคือกลุ่มคนที่สวมชุดขาวเขียวกลุ่มเล็กๆ ประมาณสิบคนได้ สิ่งที่ทำให้ทุกคนแทบลืมหายใจก็เพราะกลุ่มคนเหล่านั้นดูขาวสะอาดเสียจนไม่กล้าละสายตาโดยมีชายผู้หนึ่งหน้าตาหล่อปนสวยที่กำลังเดินไปเปิดประตูรถม้าเพื่อให้ชายที่แสนสำคัญและจะเป็นลูกเขยของตระกูลเถียนเดินลงมา

                    แม้อยากจะเห็นใบหน้าเลยแต่ก็ต้องพากันผิดหวัง

                    เพราะใบหน้านั้นถูกหมวกใบใหญ่และผ้าปิดไว้ครึ่งหน้า ขนาดดวงตายังมองเห็นไม่ชัดเจนเลย

                    นี่น่ะหรือชายที่เอาชนะต้าต่านผู้ไม่เคยแพ้ใครได้

                    รูปร่างแลดูบอบบางกิริยาก็อ่อนช้อยทุกฝีก้าวที่ขยับมานั้นเหมือนลอยเข้ามาหาพวกเขาเลย ขนาดบริเวณนี้ไม่มีดอกไม้ก็เหมือนมีกลีบดอกไม้ปลิวอยู่รอบๆ กายของอีกฝ่าย ก็รู้แหละว่าพวกเขาคิดไปเองแต่มันก็อดเอาไปเปรียบเทียบกับดอกไม้ไม่ได้และยังเป็นดอกไม้สีขาวอีกด้วย ดูบริสุทธิ์เสียจนพากันคิดว่าต้าต่านหลอกลวงพวกเขารึเปล่าว่าโดนอีกฝ่ายประลองชนะจริงๆ หรือแกล้งแพ้กันแน่ แล้วยิ่งมาหยุดตรงหน้าพวกเขาแล้วนั้น กลิ่นหอมลอยมาแตะจมูกจนรู้สึกผ่อนคลายอย่างน่าประหลาด

                    "ข้าประมุขสำนักเถียน หยางเฉินเหวยขอคารวะท่านประมุขสำนักเพ่ย ข้างๆ ข้าคือเถียนซูหนี่ภรรยาของข้าเองและชายผู้นั้นคือเถียนเจียนเจี๋ยบุตรชายคนเล็กของตระกูลเถียน"

                    น้ำเสียงเป็นมิตรนั้นส่งไปหาชายตรงหน้าที่ยังไม่ได้เปิดหน้าให้เห็น อีกฝ่ายยกมือน้อมตัวเล็กน้อยเพื่อรับคำขอคารวะจากเขาก่อนที่น้ำเสียงนุ่มนวลราวเสียงเพลงเอ่ยขึ้นมา

                    "อย่าได้พิธีรีตองไปเลย อีกไม่นานสองสำนักก็จะเป็นแผ่นทองเดียวกันแล้วท่านพ่อ"

                    น้ำเสียงนั้นสะกดใจผู้ฟังจนเกือบหลงลืมไปว่ากำลังทำอะไรกันอยู่ ดีที่อีกฝ่ายเอ่ยพูดแนะนำตนขึ้นมาก่อน ไม่งั้นก็คงพากันยืนนิ่งอยู่แบบนั้นไม่ได้ทำอะไรเสียที

                    "ข้าประมุขสำนัก เพ่ย จวินหง ส่วนชายผู้นี้คือรองประมุขสำนัก หลิ่ง ฮุ่ยเหมย"

                    ชายหน้าสวยยกมือคารวะให้รู้ว่าคือตนทุกสายตาจับจ้องไปยังชายที่ยืนอยู่ด้านหลังของจวินหง ขนาดรองประมุขยังหน้าตาดีขนาดนี้แล้วประมุขจะหน้าตีขนาดไหนกันเชียว แต่เพื่อไม่ให้เสียเวลาเลยพากันเดินไปยังห้องรับแขกจะได้จิบน้ำชาและขนมหวานให้หายเหนื่อยแล้วจะได้พูดคุยกันถึงเรื่องแต่งงานในวันพรุ่งนี้ แต่อย่างไรก็ตามร่างของต้าต่านก็ยังไม่มาสีกที ระยะทางก็ไม่ได้ห่างไกลจนใช้เวลามากขนาดนี้ ห้องครัวยังเดินไกลกว่าแถมพวกขนมที่เอาไว้ต้อนรับก็ถูกยกมาแล้ว ร่างของจวินหงที่นั่งนิ่งโดยมีชายหน้าสวยหรือฮุ่ยเหมยนั่งอยู่เก้าอี้ด้านหลังส่วนผู้ติดตามจะอยู่อีกห้องหนึ่งเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนบทสนทนาเรื่องสำคัญของผู้เป็นนายนั้นเอง หญิงรับใช้ข้างกายของซูหนี่เริ่มรินน้ำชาแล้วสิ่งที่ทำให้คนตระกูลเถียนเริ่มอยู่ไม่สุขก็คือ

                    ต้าต่านยังไม่ปรากฏกาย

                    หรือหนีไปแล้ว....

                    ถ้าเป็นเช่นนั้นคงเสียมารยาทอย่างมาก ทุกคนล้วนภาวนาว่าไม่ใช่อย่างที่คิดไว้แต่แล้วร่างของชายทั้งสามคนโดยมีร่างหนึ่งที่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางจำผิดเพี้ยนแน่นอนคือร่างของเฉินและอีกสองร่างที่ซูหนี่มอบหมายให้รับลูกของนางเพื่อกันไม่ให้หนีโผล่มาหน้าประตูที่เปิดเอาไว้เพื่อให้ลมพัดผ่านด้วยท่าทางที่ดูปกติแต่สิ่งที่ผิดปกติอย่างชัดเจนคือสีหน้าของทั้งสามเพราะเห็นว่าคนสำนักเพ่ยอยู่ในห้องจากหน้าตื่นต้องเปลี่ยนสีหน้ากะทันหันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยยืนอยู่ตรงหน้าประตูไม่กล้าเข้ามาเพื่อรายงาน

                    ไม่ต้องเดาก็รู้แล้วละว่าจะมารายงานเรื่องอะไร

                    เล่นเอาคนตระกูลเถียนยกมือกุมขมับกันทั้งหมดโดยมิได้นัดหมายนี่ขนาดยังไม่แต่งงานเลย

                    การกระทำที่เป็นธรรมชาตินั้นทำเอามีเสียงหัวเราะเบาๆ มาจากร่างของชายปิดหน้าจนทั้งสามเหมือนเพิ่งจะรู้สึกตัวก็รีบเอามือลงทันที ซูหนี่ไม่รู้จะเอ่ยเช่นไรออกไปยกข้อศอกสะกิดสามีตนพูดขอโทษให้ที แต่ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยคำขอโทษ เสียงนุ่มไพเราะก็เอ่ยออกมาเสียก่อนพร้อมกับมือสวยที่พ้นชายแขนเสื้อที่จับหมวกใบใหญ่และผ้าปิดปากออก

                    "ไม่เป็นไร ลูกเขยผู้นี้ไม่ใช่คนคิดมาก ปล่อยให้ต้าต่านได้ออกไปเที่ยวเล่นเถอะ แถมลูกเองก็เสียมารยาทที่ไม่ยอมถอดหมวกและผ้าปิดปากออกเพราะความเคยชินจนเป็นนิสัย"

                    เมื่อหมวกที่หลุดออกจากศีรษะเปิดให้เห็นเส้นผมที่เงางามยาวตรงสวยขนาดเจียนเจี๋ยที่คิดว่าตัวเขาเองดูแลเส้นผมของตนดีแล้ว อีกฝ่ายยังดูแลดีกว่าเขาเลย แล้วไหนจะดวงตากลมที่เป็นประกายนั้นอีกมัน คืออะไรกัน? เป็นดวงตาที่มองตรงๆ แล้วเหมือนโดนมนต์สะกดจนไม่อยากละสายตา พอผ้าปิดปากที่ถูกเปิดออกเผยให้เห็นริมฝีปากแดงสวยกับจมูกโด่ง พวกเขาไม่รู้จะอธิบายความงดงามได้อย่างไรให้ถูกต้อง เหมือนพระแม่นางนีวาจงใจปั้นชายผู้นี้จากทองคำบรรจงเก็บรายละเอียดทุกอย่างประณีตเหมือนความงามทั้งหมดมาลงที่ชายผู้นี้จนหมด งดงามเสียจนหญิงรับใช้ที่รินชาอยู่ข้างๆ เจียนเจี๋ยถึงกับหยุดเวลาเอาไว้ปล่อยให้น้ำชาไหลจากกาอยู่แบบนั้น

                    กว่าจะรู้สึกตัวกันก็ตอนที่น้ำชาร้อนๆ ไหลลงขาเจียนเจี๋ยจนเจ้าตัวร้องว่าร้อนนั่นแหละ

     

                    ในขณะเดียวกันนั้นเอง

                    ห่วงลู่ถึงกับกุมขมับเมื่อเห็นร่างของเพื่อนรักที่แต่งกายอย่างดีมาโผล่ที่หน้าร้านด้วยใบหน้าที่ตื่นสุดๆ แล้วยังหอบจากความเหนื่อยอีก ไม่ต้องถามเลยว่าไปทำอะไรมา หนีมาล่ะสินะ

                    "ให้ตายเถอะต้าต่านเจ้าคิดอะไรของเจ้าอยู่กันแน่"

                    ห่วงลู่ถามเพื่อนรักที่ตอนนี้นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหม่ที่เขาเพิ่งจะได้มาใหม่

                    "ทำไมต้องคิดด้วย ข้าไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น"

                    "ช่วยคิดหน่อยเถอะเพื่อนรัก วันนี้คนสำนักเพ่ยเดินทางมาไม่ใช่รึ แล้วทำไมหนีมาแบบนี้ ให้ตายเถอะ คนเขาจะเอาไปพูดว่าเจ้าหนีเจ้าบ่าวมาหาชู้กันพอดี"

                    ต้าต่านมองเพื่อนที่โวยวายใส่ตนแต่ก็ไม่ได้ไล่อะไรเขากลับไป บ่นเสร็จก็หันไปสนใจทำงานของตัวเองต่อ ดวงตาคมมองบนโต๊ะว่ามีอะไรบางก็เห็นผลส้มในตะกร้า ว่าแต่ไปหามาจากไหนกัน เขาเลยถือวิสาสะหยิบผลส้มมาเพื่อจะแกะกินให้ชื่นใจกว่าจะหลุดพ้นสามคนนั้นมาได้ก็เล่นเอาวิ่งหลบอยู่ไม่น้อยเลยดีที่คนในสำนักไปต้อนรับกันเกือบหมดเขาเลยกระโดดข้ามกำแพงหนีออกมาได้ ในขณะที่กำลังจะปอกเปลือกส้มอยู่นั่นหูของเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนเดินเข้ามาในร้านคงจะเป็นลูกค้าของห่วงลู่แต่เจ้าตัวดันไปอยู่หลังร้านแล้ว ไม่ระวังใครมาขโมยของเลย ต้าต่านวางผลส้มลงตะกร้าเหมือนเดิมแล้วหันหน้าไปทางหน้าร้านเพื่อช่วยต้อนรับลูกค้าเพราะเขามาบ่อยเลยพอจะรู้เรื่องบางแต่พอได้เห็นร่างสูงที่ยืนเด่นตรงหน้าร้านแล้ว

                    "ร้านปิดแล้ว ไสหัวกลับไปซะ"

                    คนที่เดินเข้ามาในร้านไม่ใช่ใครที่ไหนไกลตัวต้าต่านเลย ซุยเหลียนเฟิงอี๋ บุตรชายคนโตของตระกูลซุยนั้นเอง ไม่รู้หรอกว่ามาซื้ออะไรแค่เห็นหน้าก็อยากอีกฝ่ายไปไหนก็ได้ให้พ้นสายตาแล้ว ใบหน้าหล่อน้อยกว่าดวงตาที่ไร้เสน่ห์จ้องมองมาอย่างไม่พอใจซึ่งตอนแรกเขาก็ไม่รู้หรอกว่าไปทำอะไรให้อีกฝ่ายไม่พอใจ แต่พอนึกถึงเรื่องที่ห่วงลู่เล่าให้ฟังแล้วเขาก็ถึงกับอ่อเลยทีเดียว คงจะเป็นเรื่องของจวินหงเป็นแน่

                    "มองข้าแบบนั้น เพราะเรื่องของเพ่ยจวินหงประมุขสำนักเพ่ยใช่ไหม"

                    เหลียนเฟิงอี้ได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักเล็กน้อยแต่ไม่ได้แสดงกิริยาน่าสงสัยอะไรออกไปมากนัก ความจริงแล้วเขาจะมาซื้อของที่ร้านห่วงลู่ที่เป็นเพื่อนรักของต้าต่านเพื่อแอบถามเรื่องที่สำนักเพ่ยเดินมาวันนี้ก็ไม่คิดว่าคนที่สมควรอยู่ต้อนรับจะมานั่งกินส้มอยู่แถวนี้

                    "ข้าแค่จะมาซื้อของไม่เกี่ยวข้องอะไรทั้งนั้น"

                    ต้าต่านมองแล้วยกยิ้มเพราะเท่าที่เขารู้จักคนตระกูลซุยมา คนตระกูลนี่ไม่มีทางออกมาซื้อของด้วยตัวเองเป็นแน่ นอกจากจะให้บ่าวไพร่ในสำนักออกมาซื้อแล้วไม่ต้องพูดถึงเหลียนเฟิงอี๋เลยถ้าไม่มาล้วงข้อมูลจากห่วงลู่เพื่อนรักแสนซื่อของเขาแล้วคนแบบนี้ไม่มีทางเหยียบร้านค้าเองหรอก ร่างสูงลุกจากเก้าอี้เดินกอดอกเข้าไปใกล้ชายที่ร่างสูงเท่าๆ กันโดยระยะห่างไม่ได้ไกลกันมาก เดินไม่กี่ก้าวก็ถึงกันแล้ว

                    "ทำเหมือนกับข้าเพิ่งรู้จักกับเจ้าเมื่อวานงั้นแหละ หึ คงรู้สินะว่าวันนี้คนสำนักเพ่ยเดินทางมาที่สำนักข้า"

                    เหลียนเฟิงอี้หันมาไปมองชายที่พูดตรงประเด็นในสิ่งที่เขาอยากรู้ ใบหน้าหล่อเหลาชวนน่าโมโหแล้วยิ่งทำหน้ายียวนกวนประสาทใส่เขาอีก มือเขาก็แทบจะดึงกระบี่ออกมาจากฝักแล้ว

                    "ถ้าเจ้าเอ่ยเรื่องนี้ออกมาแล้วข้าก็คงไม่คิดจะปิดอะไรอีก ในเมื่อจวินหงเดินทางมายังสำนักเจ้าแล้วทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่แทนจะอยู่ต้อนรับ"

                    "แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้า"

                    "หึ ข้าเองก็ไม่ได้รู้จักกับเจ้าเมื่อวานเช่นกัน ข้ารู้ว่าเจ้าแสร้งทำเป็นพ่ายแพ้เพื่อจะได้ครอบครองร่างกายจวินหงสินะ"

                    ต้าต่านกอดอกกระชับแน่นขึ้นที่ได้ยินเช่นนั้น เขารึแสร้งยอมแพ้ เขาไม่ชอบการพ่ายแพ้ด้วยซ้ำแล้วอีกอย่างเขาไม่ได้มีความนิยมชมชอบผู้ชายด้วยกันอีกด้วย แล้วมีหรือที่คนอย่างคุณชายตระกูลเถียนจะไม่เถียงกลับ ในเมื่อมันไม่ใช่ความจริงเลยสักนิด

                    "เหลียนเฟิ่งอี๋เจ้าอย่ามาทำตัวเป็นบันทึกพระสนมในวังต้องห้ามใส่ข้า ข้าไม่จำเป็นต้องแสร้งยอมแพ้ด้วยซ้ำ ถ้าหากอยากได้จวินหงจริงๆ แล้วข้าจะมาอยู่นี่ทำไม"

                    "ก็เพราะเจ้าคือคนนิสัยไม่ดีคิดรังแกและหักหน้าจวินหงยังไงละ คิดว่าได้เขาแล้วจะทำอะไรก็ได้งั้นรึ"

                    ต้าต่านมาคนตรงหน้าที่เริ่มโมโหเขามากขึ้นกว่าเดิม คงจะเรื่องจริงสินะที่อีกฝ่ายหลงรักจวินหง แล้วอย่างไรต่อละเขาจำเป็นต้องใส่ใจความรู้สึกของเหลียนเฟิงอี้ด้วยรึ แน่นอนว่าแหย่แล้วก็ต้องแหย่ให้สุด

                    "แล้วจะทำไม ในเมื่อข้ากับจวินหงกำลังแต่งงานกันวันพรุ่งนี้แล้ว เจ้าน่ะก็แค่คนขี้แพ้ที่ไม่มีวันชนะข้า" เมื่อพูดจบสิ้นประโยคกระบี่สายฟ้าของอีกฝ่ายก็ถูกดึงออกจากมาฝักตวัดใส่เขาอย่างรวดเร็ว แล้วมีหรือจะโดนเพราะความเร็วของต้าต่านเองก็ไม่แพ้อีกฝ่ายเหมือนกัน ต้าต่านเอนตัวหลบเล็กน้อยพลังจากกระบี่อีกฝ่ายก็ไปลงที่เก้าอี้ตัวใหม่ของห่วงลู่ทันที แต่เหลียนเฟิงอี๋ก็หยุดไว้เพียงแค่นั้นเพราะเมื่อมองชายที่เขาเหม็นหน้าไม่มีอาวุธติดตัวมา

                    และเขาก็ไม่ใช่พวกนิสัยชอบฉวยโอกาสหรือสู้กับคนไม่มีอาวุธหรอกนะ

                    มือใหญ่จัดการเก็บกระบี่แล้วเตรียมจะเดินออกไปจากร้าน แต่ก่อนที่เขาจะกลับไปก็ไม่ลืมที่ทิ้งท้ายคำพูดที่เสมือนคำเตือนเอาไว้

                    "รักษาเอาไว้ให้ดีก็แล้วกัน ข้าจะแย่งจวินหงมาจากเจ้าให้ได้"

                    แล้วมีหรือที่ต้าต่านจะยืนเฉยๆ ให้อีกฝ่ายจากไปแต่โดยดี

                    "งั้นก็รีบมาแย่งละ เชิญออกไปจากร้านได้แล้วคุณลูกค้า"

                    พูดจบก็พร้อมกับรอยยิ้มเป็นมิตรหนึ่งรอยยิ้ม เหลียนเฟิงอี๋สูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อระงับอารมณ์โกรธของตัวเองแล้วรีบก้าวเท้าออกไปจากร้านเพราะขืนอยู่ต่อก็มีแต่เสียสุขภาพทางด้านจิตใจที่จะต้องคอยระงับไม่ให้วู่วามลงมือ ต้าต่านมองร่างที่ไม่ชอบหน้ากันเดินกลับไปแล้ว สักพักร่างของห่วงลู่ก็เดินมาจากหลังร้านเพราะได้ยินเสียงอะไรบางอย่างก็เลยรีบวิ่งจนสะดุดถุงแป้งสาลีด้วยความห่วงว่าเกิดอะไรขึ้นกับร้านของเขาและต้าต่านจะเป็นอะไรหรือไม่ เลยวิ่งออกมาทั้งสีหน้าที่แตะตื่นและเนื้อตัวที่เต็มด้วยแป้งสีขาว

                    "เกิดอะไรขึ้น........" ยังไม่ทันที่จะได้ตั้งคำถามกับต้าต่านที่ยืนอยู่ สายตาก็เหลือบไปเห็นซากเก้าอี้ตัวใหม่ที่เขาเพิ่งจะนั่งไปแค่สามครั้งเท่านั้นเอง

                    "เก้าอี้ข้า!!!! "

     

     

                    ยามห้าย (21.00 - 22.59) ผู้คนต่างเข้าบ้านและปิดไฟนอนกันแล้ว

    ต้าต่านอยู่ร้านของห่วงลู่จนยามห้ายโดยเจ้าตัวไม่มีท่าทีจะกลับสำนักจนถึงขั้นต้องไล่กันเลยทีเดียวเพราะถ้าหากกลับเช้าจะตกเป็นขี้ปากชาวบ้านว่าทั้งสองแอบมีอะไรกันอีก จินตนาการกับปากที่เล่าเกินความจริงยิ่งน่ากลัวอยู่ แม้คุณชายตระกูลเถียนจะไม่อยากกลับเท่าไรแต่ก็ยังเกรงใจเพื่อนเพราะอย่างไรก็ตามร้านขายของได้ดีต้องไม่มีข่าวลือแย่ๆ เขาเลยหยิบส้มมาผลหนึ่งเพราะตอนที่อีกฝ่ายเห็นเก้าอี้พังเขาต้องอธิบายว่าเขาไม่ได้ทำมัน แล้วก็เข้าไปช่วยด้านในร้านเพราะถุงแป้งล้มจากการสะดุดทำให้เขาไม่ได้กินผลส้มเลย พอมาถึงสำนักแล้วหัวใจของเขาก็เต้นระส่ำระสาย

                    ไม่เคยกลัวสำนักตัวเองเช่นนี้มาก่อนเลย

                    จริงๆ แล้วกลัวใครบางคนในสำนักมากกว่า แน่นอนว่าจะให้เดินเข้าไปตรงประตูคงไม่ได้ ว่าแล้วร่างสูงก็จัดการกระโดดข้ามกำแพงสำนักเข้าไปทันทีโดยไม่มีใครสังเกตเห็น พอลงถึงพื้นแล้วก็รีบหาที่บังร่างกายของตนหรือก็คือต้นไม้แถวนั้น ดวงตาเรียวคมก็สำรวจว่ามีผู้คนหรือไม่ ตรงที่เขาอยู่คือสวนด้านหลังสำนักไม่ค่อยมีคนมาเดินแถวนี้เท่าไร นานๆ จะมีเด็กสำนักมาตรวจความปลอดภัย พอเห็นว่าไม่มีผู้คนต้าต่านก็เดินออกมาจากที่กำบังตัวเองแล้วจัดการโยนผลส้มเล่นอย่างสบายใจก่อนที่จะแกะเปลือกเพื่อกิน เพียงเอาเข้าปากไปเพียงชิ้นเดียวความเปรี้ยวของส้มก็แล่นไปตามต่อมรับรสทันทีส่งผลทำให้คนกินมันถึงกับทำสีหน้าไม่ไหวกับความเปรี้ยวเลยทีเดียว

                    "ลองผลนี่ไหมหวานนะ"

                    "งั้นรึ"

                    ต้าต่านเอาผลส้มของตัวเองใส่สลับกับผลส้มของคนที่ยืนมาให้จากด้านข้าง กว่าจะรู้ตัวก็คือเกือบจะเอาผลส้มเข้าปากแล้ว พอคิดได้ใบหน้าหล่อก็รับสะบัดหันไปมองทันทีเมื่อเห็นว่าร่างของชายชุดขาวสวมหมวกใบใหญ่ไหนจะผ้าปิดปากนั้นอีก

                    "เจ้า!"

                    ประมุขสำนักเพ่ยจวินหงนั้นเอง ต้าต่านรีบถอยห่างออกมา เจอผียังจะดีซะกว่า เขาไม่ประหลาดใจที่อีกฝ่ายอยู่สำนักเขาแต่ที่ประหลาดใจก็คือมาตอนไหนกันแล้วอยู่ตรงนี้ได้อย่างไรทำไมเขาถึงไม่รู้สึกตัวเลย แถมชุดสีขาวเช่นนี้เขาต้องมองเห็นสิ ชายคนนี้วรยุทธ์สูงขนาดไหนกัน

                    "กลับมาแล้วรึ"

                    "เรื่องของข้า"

                    ต้าต่านไม่อยากจะยืนคุยกับอีกฝ่ายเลยเตรียมจะเดินกลับไปที่ห้องของตัวเองแต่ยังไม่ทันได้ก้าวเท้าร่างของคนที่เขากลัวมากกว่าใครก็เดินมาพร้อมกับชายอีกคนนั้นก็คือท่านพ่อนั้นเอง นี่ยังไม่นอนกันอีกรึ มันยามห้าย (21.00 - 22.59) แล้วนะ ใบหน้าผู้เป็นแม่หรือซูหนี่ฉายแววไม่พอใจออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนขนาดไฟไม่ได้สว่างมากแท้ๆ ส่วนหยางเฉินเหวยนั่นได้แค่ทำหน้าเป็นห่วงเพราะดูแล้วคงทำอะไรได้ไม่มาก ก็อย่างที่บอกว่าท่านประมุขสำนักเถียนเกรงใจภรรยาตนมากก็เท่านั้น

                    "ต้าต่าน ทำกิริยาเช่นนี้มันสมควรแล้วรึ"

                    น้ำเสียงหวานบัดนี้เปลี่ยนน้ำเสียงเข้มน่ากลัว ต้าต่านรู้ดีอยู่แล้วว่าอย่างไรเขาก็ต้องโดนดุแต่ทำไมต้องดุเขาต่อหน้าเจ้าคนที่ชื่อจวินหงด้วย ก่อนที่เขาจะเถียงอะไรกลับเสียงของชายชุดขาวที่ดูนุ่มนวลจนคนได้ยินอย่างต้าต้านถึงกับขมวดคิ้วทันที ชายชุดขาวทำไมน้ำเสียงถึงได้น่าฟังเช่นนี้กันก่อนหน้านี้ดัดเสียงงั้นรึ

                    "ท่านแม่อย่าได้ดุหรือด่าทอต้าต่านเลย ให้เขาได้ออกเที่ยวเล่นเถอะ เพราะอีกไม่นานอีกฝ่ายต้องไปอยู่ที่สำนักลูกแล้วและอาจจะมีงานที่ต้องทำในฐานะภรรยา"

                    พอต้าต่านได้ยินที่ชายชุดขาวหรือจวินหงพูดออกมานั้นก็ขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร อย่างที่ท่านแม่เคยเล่าให้ฟังว่าผู้ใดได้สามีดีมองภรรยาเป็นคู่ชีวิตผู้นั้นย่อมมีสุข จะทำอะไรก็ทำได้ แต่ถ้าได้สามีเห็นแก่ตัวมองภรรยาคือสมบัติมิใช่คู่ชีวิตก็เหมือนนกในกรงทองอย่างเหล่าผู้คนในพระราชวังต้องห้ามนั้นเอง จะออกไปไหนจะไปเยี่ยมญาติพี่น้องยังลำบาก ต้าต่านไม่สนใจว่าเขาจะโดนดุอะไรอีกเลยหันไปพูดใส่อีกฝ่ายทันทีอย่างไม่พอใจ

                    "ต่อให้ข้าจะต้องแต่งงานเป็นภรรยาเจ้า ข้าก็จะเที่ยวเล่นและทำในสิ่งที่ข้าต้องการจะทำ เจ้าไม่ใช่เจ้าของชีวิตข้า! "

                    ชายหนุ่มพูดจบก็แสดงกิริยาตามนิสัยของตัวเองเดินผ่านทุกคนไม่สนใจเสียงเรียกของผู้ใดทั้งนั้นแล้วจะมีใครกล้าหยุดทางเดินหรือขว้างกันเล่า ใบหน้าหล่อเหลาตอนนี้กำลังโกรธจนน่ากลัว ซูหนี่กังวลใจรีบหันมาเพื่อจะขอโทษการกระทำของลูกชายแต่จวินหงรีบเอ่ยพูดขึ้นมาก่อนเพราะเขาไม่ได้อยากได้คำขอโทษจากผู้เป็นแม่ของภรรยาตน

                    "ท่านแม่ไม่ต้องคิดมาก เพราะแบบนี้ลูกชอบดูมีชีวิตชีวาดี.... ถ้าไม่มีอะไรแล้วลูกขอตัวไปพักผ่อนก่อน ราตรีสวัสดิ์ท่านพ่อท่านแม่"

                    ทั้งสองมองร่างลูกเขยของตนที่ขอตัวไปพักผ่อนซูหนี่ไม่เคยหัววุ่นแบบนี้มาก่อนที่ได้แต่ยืนนิ่งด้วยใบหน้าที่เหม่อลอยเหมือนสมองโปร่งไม่ได้คิดอะไรแต่จริงๆ แล้วนางกำลังกังวลอะไรบางอย่าง

                    "ท่านพี่ข้ากังวลเหลือเกิน"

                    "เจ้ากังวลอะไรรึ"

                    "ข้ากังวลว่าลูกเราจะเผาสำนักเพ่ยเจ้าค่ะ ต้าต่านได้นิสัยข้าไปเต็มๆ เลย"

                    "แต่เจ้าก็นิสัยดีนะซูหนี่"

                    "นั้นตอนที่ข้าปลงใจรักท่านพี่แล้วต่างหาก แต่ลูกเรานั้น.... ข้าว่าเราเตรียมเงินทองสร้างสำนักใหม่ให้ลูกเขยเราเถอะ"

     






    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×