คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : อย่ามาเกี้ยวสามีข้า บทที่๒
บทที่ ๒
เมืองถังซาน ณ แคว้นเค่อ เป็นแคว้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและเป็นแคว้นที่มีสำนักชื่อเสียงมากที่สุดอีกด้วย ถ้าหากกล่าวถึงสำนักที่ยิ่งใหญ่แล้วทุกคนล้วนจะคิดถึงสำนักเถียนขึ้นมาอันดับแรก สำนักที่มีแต่คนเก่งๆ ปราบปีศาจและมารร้ายได้ในพริบตา ไหนจะงานราษฎร์งานหลวงที่สามารถแบ่งเบามาทำได้สำเร็จได้อย่างรวดเร็ว แต่ทว่ายังมีอีกหนึ่งสำนักที่มีผลงานดีไม่ต่างกันนั้นก็คือ
สำนักซุย
ถ้าพูดถึงเรื่องหน้าตาของลูกชายของตระกูลซุยแล้วละก็ เรียกได้ว่าไม่เป็นสองรองใครแม้ว่าจะไม่เคยชนะบุตรชายตระกูลเถียนเลยก็ตาม แต่สาวๆ หรือเหล่าหนุ่มน้อยก็ยังคิดว่าถ้าไม่ได้เป็นภรรยาของคนตระกูลเถียนก็มีอีกคนให้หว่านเสน่ห์ได้อยู่
บุตรชายคนโต ซุย เหลียนเฟิงอี๋
ร่างกายสมส่วนไหล่กว้างดูผ่าเผยที่กำลังนั่งอยู่ขอบหน้าต่างของห้องตน ใบหน้าหล่อเหลาไม่แพ้ต้าต่านที่สีหน้าตอนนี้แสดงถึงความหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด เหล่าผู้ติดตามยังไม่อยากจะเข้าใกล้เพราะกลัวจะทำอะไรไม่ถูกใจจะพาลโดนโกรธเอา ตอนนี้คงมีเพียงน้องชายของอีกฝ่ายเท่านั้นที่จะเดินเข้ามาพูดได้ ซึ่งคนตระกูลซุยมีพี่น้องทั้งหมดร่วมแล้วสามคนแต่ละคนหน้าตาหล่อเหลาทั้งนั้นและยังมีนิสัยที่คล้ายๆ กันอีกด้วยยามใครเข้ามาในสำนักใหม่ๆ ก็อาจจะสับสนอยู่บ้าง
บุตรชายคนรองมีนามว่า ซุย เหลียนเฟิงเหอ
บุตรชายคนเล็กมีนามว่า ซุย เหลียนเฟิงหู่
ด้วยอายุที่ห่างกันเพียงคนละหนึ่งปี ทั้งสามเลยสนิทกันมากเป็นทั้งเพื่อนและพี่น้อง วันนี้บุตรชายคนรองไม่อยู่เพราะออกไปข้างนอกเลยตกเป็นน้องสามหรือบุตรชายคนเล็กอย่างเหลียนเฟิงหู่ที่จะต้องเข้ามาพูดคุยแทน แม้ใบหน้าจะหล่อแต่สิ่งที่แตกต่างคือดวงตาและสีผม เหลียนเฟิ่งหู่จะมีสีผม สีตา เป็นสีน้ำตาลอ่อนเหมือนผู้เป็นแม่และดวงตาที่กลมโตเป็นประกายกว่าเลยทำให้ดูละมุมชวนมองจนไม่มีคำว่าน่าเบื่อเลย ในขณะบุตรชายคนโตที่กำลังทำหน้าหงุดหงิดนั้นหล่อคมดวงตาเรียวเหมือนดวงตาของเหยี่ยว ผมสีดำสนิทเหมือนผู้เป็นพ่อทำให้เวลามองชายผู้นั้นเหมือนมองหินผาที่แข็งแกร่งนั้นเอง ดวงตากลมมองพี่ชายที่กำลังนั่งพิงขอบหน้าต่างที่ไม่สมควรจะไปนั่งอะไรแบบนั้นแต่เขาก็พอจะเข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการให้แดดอ่อนๆ ยามเช้าสายลมเบาบางพัดผ่านร่างที่กายที่กำลังร้อนรุ่มอยู่
"พี่ใหญ่ ชุดสำหรับไปงานมาแล้วพี่ใหญ่ควรไปลองจะได้ดูว่าสวมใส่พอดีหรือไม่"
เสียงของน้องสามนั้นนุ่มนวลกว่าผู้ชายทุกคนในสำนักเวลาฟังเลยไม่ให้รู้สึกหงุดหงิดหรือรู้สึกน่ารำคาญเลยเพราะฉะนั้นเวลาจะส่งใครมาพูดคุยด้วยก็มักจะส่งน้องสามมาคุยกับเขาตลอดและมันก็ได้ผลแทบจะทุกครั้ง แม้ตัวเขากำลังหงุดหงิดจากการคิดถึงเรื่องเรื่องหนึ่งอยู่ก็เถอะ
"งั้นเจ้าก็ให้คนเอาชุดมาให้ข้าลองที่ห้องข้าเถอะ ข้าไม่อยากไปไหนมาไหนตอนนี้ จะทำให้คนในสำนักกลัวเอาได้"
เหลียนเฟิงหู่มองพี่ใหญ่ของตนที่บอกเช่นนั้นอย่างน้อยก็ยอมลองชุดที่สั่งตัดใหม่ละนะ แถมชุดที่ว่าคือชุดที่จะสวมไปเพื่อเข้าร่วมงานหนึ่ง งานที่พี่ใหญ่ของเขาเลี่ยงได้ก็อยากจะเลี่ยงมันแต่เพราะเป็นบุตรชายคนโตเลยเลี่ยงไม่ได้ไม่เช่นนั้นมันถือว่าเป็นอะไรที่เสียมารยาทอย่างมาก งานที่ว่านั้นก็คือ
งานแต่งงานของต้าต่านและชายที่พี่ใหญ่ของเขาหมายตาหมายใจเอาไว้นั้นเอง
เป็นเขาก็คงหงุดหงิดและเสียใจเหมือนกัน
เหลียนเฟิงหู่เลยให้คนที่ติดตามพี่ชายหรือบ่าวคอยรับใช้ให้ไปนำชุดที่ตัดใหม่มาให้ที่ห้องนี้ จะให้พี่ใหญ่ได้ลองแล้วเขาจะจัดการเรื่องรายละเอียดของชุดเอง เหลียนเฟิงอี๋มองน้องสามที่ยังยืนอยู่แบบนั้นก็พอจะรู้ว่ายืนรออะไรแต่เวลานี้เขาอยากจะอยู่คนเดียวมากกว่า
"น้องสามเจ้าออกไปก่อนเถอะเรื่องชุดจะเป็นยังไงก็ช่าง งานเช่นนั้นไม่จำเป็นต้องดูดีหรอกนะ"
"พี่ใหญ่ข้ารู้ว่าใจของพี่ในตอนนี้เสียใจมากแค่ไหนแต่อย่างไรก็ตามก็ควรแต่งกายให้เกียรติงาน"
"ให้เกียรติรึ หึ ข้าไม่ชอบเจ้าต้าต่านแล้วยัง...."
เหลียนเฟิงอี๋เงียบลงทันที เขาไม่อยากจะเอ่ยประโยคนั้นออกมา มันบีบหัวใจของเขามาก ตั้งแต่ยังเด็กที่ตัวเขาเป็นรองอีกฝ่ายมาตลอดตั้งแต่เจอหน้ากันแล้ว ผ่านมากี่ปีแล้วเขาก็ยังไม่สามารถชนะอีกฝ่ายได้เลยยิ่งเขาฝึกฝนมากเท่าไรอีกฝ่ายก็มักจะก้าวนำหน้าเขาไปอีกหนึ่งขั้นตลอด ทุกครั้งที่ประลองกันเขาก็พ่ายแพ้ทุกครั้งแต่เขาก็ยอมรับในความพ่ายแพ้แม้จะเจ็บใจก็ตาม แต่สิ่งเดียวที่เยียวยาจิตใจของเขาได้ก็คือชายที่มีนามว่า
เพ่ย จวินหง
ตอนที่ตนได้ยินชื่อสำนักที่เพิ่งก่อตั้งได้ไม่นานที่ตีนเขาเหอกวาน ท่านพ่อก็ส่งเขาให้ไปติดต่อเพื่อทำพันธมิตร สักวันหนึ่งสำนักของเขาอาจจะยิ่งใหญ่กว่าสำนักเถียนก็ได้ สำนักเพ่ยสำนักเล็กๆ ที่ไม่ได้โอ่อ่าอะไร เป็นสำนักที่ดูธรรมดาแต่สิ่งที่ทำสำนักเพ่ยไม่ธรรมดาขึ้นมาทันทีก็คือประมุขสำนักที่งดงามจนสะกดเขาให้ตกอยู่ในถวัง ผิวขาวเนียนดุจไข่มุก ผมสีดำเงางาม ริมฝีปากแดงสวย ขนตาที่ยาวจนอยากยกมือไปสัมผัสนั้น เพียงลมพัดเล็กๆ ที่หอบเอากลิ่นหอมของมวลดอกไม้จากร่างกายอีกฝ่ายมีแตะที่จมูก ทุกอย่างมันตราตรึงหัวใจไปเสียหมด
จากความต้องการที่เพียงแค่ทำพันธมิตรสำนักก็กลายเป็นว่าเขาต้องการจะสานสัมพันธ์ให้กลายเป็นทองแผ่นเดียวกัน
แต่ไม่ว่าเขาจะทำเช่นไรหัวใจอีกฝ่ายก็แข็งยิ่งกว่าหิน เขาแวะเวียนไปหาเท่าที่จะทำได้และเขามั่นใจว่าต้าต่านคงไม่มาสนใจสำนักเล็กๆ แบบนี้แน่นอน แล้วใครจะคิดเล่าว่า อยู่ ๆ จะได้ข่าวการแต่งงานของทั้งสองเพราะต้าต่านพ่ายแพ้ให้อีกฝ่ายตามป่าวประกาศเอาไว้ในโรงเตี้ยม
แล้วอย่างจวินหงหรือจะสู้ต้าต่านได้ หึ
ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าว่าคนอย่างต้าต่านอาจจะแกล้งแพ้เพื่อให้อีกฝ่ายชนะคงจะเห็นว่าใบหน้างดงามเลยทำเป็นแพ้แล้วยอมเป็นภรรยาซึ่งจริงๆ อาจจะมีอะไรแอบแฝงอยู่ก็เป็นได้และพอคิดว่าจวินหงจะถูกอีกฝ่ายรังแกก็เจ็บร้าวที่อกแล้ว เหลียนเฟิ่งหู่มองพี่ใหญ่ที่เงียบไปเสียดื้อๆ ก็ไม่อยากจะรบกวนเลยเดินออกมาโดยปล่อยให้อีกฝ่ายอยู่คนเดียวคงจะดีกว่า
.................
สำนักเถียน ณ ห้องของต้าต่าน
อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันงานแล้วสิ่งเดียวที่ต้าต่านทำได้ตอนนี้ก็คือนั่งเหม่อในห้องเท่านั้นเพราะสุดท้ายวันที่เขาไปหาห่วงลู่ที่ร้านถูกน้องชายจอมแสบไปรายงานให้ท่านแม่ฟังพอรู้ก็โดนเทศนาเสียยกใหญ่เพราะเขากำลังจะแต่งงานและกำลังจะเป็นเจ้าสาวเข้าตระกูลผู้อื่นเพื่อเป็นสะใภ้ ยังจะไปหาชายอื่นในยามใกล้วิกาลได้เช่นไร ทั้งๆ ที่ท่านแม่ก็รู้ว่าชายผู้คนนั้นที่เขาไปหาคือห่วงลู่เพื่อนรักของเขาแท้ๆ
'ก็เพราะคือห่วงลู่ไงเจ้าลูกบ้า ไม่รู้เลยรึว่าบ้านเขาพูดถึงเจ้ากับเพื่อนเจ้าไว้เช่นไร'
เขาอยากจะพูดไปเหลือเกินว่าก็ช่างเรื่องของชาวบ้านไปสิเพราะเขากับห่วงลู่บริสุทธิ์ใจต่อกันไม่มีความรู้สึกอะไรมากกว่าเพื่อน ต้าต่านเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงมีคนคิดเช่นนั้นคนหล่อสนิทกับใครนี่ช่างลำบากใจเสียจริง หลังจากที่ท่านแม่รู้ว่าเขาหนีออกจากสำนักก็ถูกจับตามองโดยให้เจียนเจี๋ยเจ้าน้องชายจอมแสบของเขาให้คอยเฝ้าระวังเขาอีก เจียนเจี๋ยสำหรับคนภายนอกหรือแม้คนในสำนักส่วนใหญ่ไม่รู้หรอกว่าน้องชายเขานั้นแสบแค่ไหน ภายนอกแลดูใจเย็นดูสงบราวกับเทวดาชั้นสูงแต่ความจริงแล้วคือมารร้ายที่มาในคราบของเทวดาต่างหาก แล้วตอนนี้เจ้าน้องชายตัวดีก็ไม่คิดจะไปไหนนั่งจิบชาสบายใจห้องของเขาอีกต่างหาก
ใบหน้างดงามที่ได้จากท่านแม่เต็มๆ สวมชุดสีดำแดงเหมือนกับเขาแต่มันต่างตรงที่ชุดของเขานั้นพร้อมออกไปต่อสู้มากกว่า
"ไม่คิดจะไปทำอย่างอื่นเลยรึไง"
ต้าต่านเหมือนรู้สึกตัวเป็นล่องลอย ทั้ง ๆ ที่เพิ่งจะผ่านไปเพียงแค่วันเดียว เจียนเจี๋ยหันมามองหน้าพี่ชายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ยาว ตอนแรกเขาก็ไม่คิดจะเฝ้าหรือมากักขังพี่ชายตัวเองเช่นนี้หรอกแต่ที่เขาทำเพราะได้ยินว่ามาอีกฝ่ายจะให้เขาแต่งงานแทนมันช่างโมโหยิ่งนัก ทั้ง ๆ ที่เป็นคนทำให้สำนักมีชื่อเสียงกลับไปสร้างเรื่องเช่นนั้นได้ ไม่เพียงแค่นั้นยังจะผิดคำพูดโยนให้ผู้อื่นรับแทนอีก
"ถ้าเจ้าไม่ก่อเรื่องเช่นนั้นคงไม่ถูกกักขังเช่นนี้หรอก เตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมกับการเป็นเจ้าสาวเถอะ ก่อนที่จะถึงวันแต่งงานคนทางสำนักเพ่ยจะเดินทางมาพักที่สำนักเราแล้ว"
ต้าต่านมองเจียนเจี๋ยที่เรียกเขาโดยไม่มีคำว่าพี่ชาย พี่ใหญ่เลย ก็นี่ไงถึงว่าอีกฝ่ายมันร้าย แล้วคนสำนักเพ่ยจะมาพักที่นี่ด้วยรึ อ่า ยิ่งคิดว่าใกล้วันแต่งงานก็ยิ่งรู้สึกวุ่นวายหัวใจทำไมถึงเกิดเรื่องเช่นนี้ได้กัน เพราะสุราในโรงเตี้ยมนั้นแท้ๆ
"ทำไมทุกคนถึงมองไม่เห็นบุญคุณข้าเลย"
"ทุกคนล้วนเห็นบุญคุณของเจ้าทั้งนั้น ถึงได้ต้องพยายามให้เจ้าดูเป็นคนไม่ผิดคำพูดตนเองไง ยังมาโวยวายหาพระแสงอะไรอีก"
นี่น้องหรือแม่คนที่สอง ต้าต่านหงุดหงิดที่โดนน้องชายดุแล้วตอนนี้เขาก็เบื่อกับการอยู่ห้องเลยเดินไปหาเจียนเจี๋ยโดยใช้ลูกอ้อนหวังว่าน้องชายจอมแสบจะเห็นใจตนบ้าง แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยปากพูดอะไรดวงตาที่เหมือนกับท่านแม่ของอีกฝ่ายก็หรี่ตามองตนที่มานั่งเก้าอี้ข้างๆ เจียนเจี๋ยมองใบหน้าหล่อที่กำลังทำหน้าอ้อนใส่เขาเหมือนกำลังจะพูดอะไรสักอย่างและแน่นอนพี่น้องสายเลือดเดียวกันก็ย่อมรู้นิสัยกันอยู่แล้ว เขาเลยรีบเอ่ยดักอีกฝ่าย
"ไม่"
"ข้ายังไม่ทันได้พูดอะไรเลย! "
"ก็ไม่อยู่ดี"
"เจียนเจี๋ย!!! "
ต้าต่านอยากกระโดดบีบคอน้องชายตนพร้อมกับเขย่าแล้วพูดว่า 'ปล่อยข้าออกไปเถอะน้องรักข้าแค่จะไปเดินเล่นสัญญาว่าจะไม่หนีเด็ดขาด' แต่อีกฝ่ายยื่นคำขาดมาเช่นนี้ก็เลยทำได้แค่นั่งหน้างออย่างเดียว เจียนเจี๋ยมองพี่ชายที่หน้างอราวกับเด็กน้อยที่ไม่เข้ากับหน้าตาหล่อเหลากระชากใจคนให้ตกหลุมรักเช่นนั้นก็หาสนใจไม่ อย่างน้อยรักษาชื่อเสียงของพี่เอาไว้ยังจะดีกว่า เพราะปากชาวบ้านมันน่ากลัว ระหว่างนั้นเฉินก็เดินเข้ามาพร้อมกับม้วนกระดาษและสมุดเล่มหนาอีกสองสามเล่มที่เจียนเจี๋ยให้อีกฝ่ายไปเอามาให้ มันคือรายละเอียดของงานแต่งนั้นเองเพราะสำนักเถียนเป็นสำนักใหญ่มีสำนักพันธมิตรหลายแห่งเพราะอย่างไรก็ตามสำนักเดียวไม่อาจจะแข็งแกร่งได้ ปีศาจไม่ได้มีอยู่แค่เมืองที่พวกเขาตั้งอยู่หรือเมืองถังซาน แค่เมืองของพวกเขาก็ปีศาจมากจนบางครั้งก็ตามไม่ทัน ไหนจะงานราษฎร์งานหลวงที่ตึงมือแล้วสำนักของเขาได้รับมาทำอีก ดีที่เมืองถังซานนั้นมีสองสำนักใหญ่อย่างสำนักของเขาและสำนักซุย
แม้ว่าสองสำนักจะไม่ได้มีอะไรปรปักต่อกัน
แต่สำนักซุยก็ยังไว้วางใจไม่ได้อยู่ดี บุตรชายคนโตของทางนั้นกับพี่ชายของเขายิ่งไม่ถูกชะตากันอยู่ด้วย
ในความทรงจำของเจียนเจี๋ยจำได้แค่ว่าพี่ชายของเขากับบุตรชายคนโตตระกูลซุยทะเลาะกับแม้กระทั่งนับลูกอ็อดในสระน้ำเลย ถึงขั้นตีกันจนตกน้ำตกท่าเลยทีเดียวและนั้นก็คงเป็นต้นเหตุที่ทั้งสองพยายามเอาชนะกันมาตลอด ซึ่งจริงๆ แล้วคนที่พยายามเอาชนะดูเหมือนจะเป็นอีกฝ่ายมากกว่าเพราะต้าต่านเก่งจนไม่มีใครชนะได้เลย แม้กระทั่งตัวเขาเองก็ด้วย แต่เพราะนิสัยของต้าต่านไม่ใช่คนวางอำนาจจนมองข้ามหรือไม่ให้เกียรติคนในครอบครัว
ไม่เช่นนั้นคงใช้ความเก่งมาข่มคนในสำนักให้กลัวก็ย่อมได้
"พวกนี้คืออะไรรึ เจียนเจี๋ย"
ต้าต่านหยิบม้วนกระดาษมาม้วนหนึ่งเป็นม้วนเล็กๆ เปิดดูโดยไม่รอให้น้องชายจอมแสบตอบ ที่แท้มันก็คือค่าใช้จ่ายงานแต่งงานนั้นเอง
"เจ้าทำบัญชีพวกนี้ด้วยรึ"
"ใช่ ช่วงนี้ท่านแม่ค่อนข้างวุ่นวายกับการจัดงาน ไหนจะวัตถุดิบประกอบอาหาร ไหนจะรายชื่อแขกเพื่อไม่ให้ตกหล่น ข้าเลยรับอาสาช่วยงานบัญชีแบ่งเบาท่านแม่บ้างแล้วไหนจะกิจการของพวกเราด้วย"
"หึ จะจัดงานอะไรใหญ่โต จะประจานลูกตัวเองรึไง"
มือสวยแทบจะยกมือไปตีปากพี่ชายของตน ดีที่ใบหน้าหล่อหลบทันไม่งั้นมือสวยนั้นคงประทับที่ปากเป็นแน่
"ดูพูดจาเข้า ท่านแม่ทำไปก็เพื่อเจ้า ต่อให้เจ้าไม่ได้แต่งงานกับประมุขสำนักเพ่ยท่านแม่ก็ต้องจัดงานให้ใหญ่โตเพื่อให้เหมาะสมแก่เจ้า จะให้งานแต่งเล็กๆ ไม่สมกับที่เจ้าเป็นบุตรชายคนโตได้เช่นไรแถมทางนั้นก็ส่งข้าวของมาเยอะแยะ"
"ข้าวของรึ? "
"สินสอดทองหมั้นเจ้าไง ส่งมาเยอะเสียจนข้ายังตกใจ"
"สำนักเล็กๆ เช่นนั้นน่ะหรือ? "
"ถูกต้อง มีพวกเพชรพลอยล้ำค่าทั้งนั้น บางอย่างหาไม่ได้ในแคว้นเราด้วยซ้ำ ข้าเห็นก็แอบประหลาดใจว่าสำนักเล็กๆ เช่นนั้นทำไมถึงมีของล้ำค่าขนาดนี้ได้"
เขาเองก็ไม่แปลกใจมากเพราะตอนที่มาซื้อกระดาษที่ร้านของห่วงลู่ก็เยอะมากอีกด้วยถ้าหากไม่ใช่พวกขุนนางในพระราชวังคงไม่ซื้อเยอะขนาดนั้น แม้แต่ครอบครัวที่มีฐานะมาซื้อกระดาษทีก็ไม่เยอะเท่าเลย
"เรื่องนั้นน่ะ ช่างมันเถอะ ว่าแต่เจ้าพอจะรู้เรื่องของสำนักเพ่ยบ้างรึเปล่า"
"ข้าเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องสำนักเพ่ยนักหรอก แต่เท่าที่ข้ารู้ก็คือสำนักซุยต้องการให้สำนักเพ่ยเข้าร่วมกับสำนักตนเพราะต้องการขยายอำนาจ แต่ดูเหมือนทางนั้นจะปฏิเสธ"
"อ่อ ที่แท้สำนักซุยก็เกี่ยวข้องแบบนี้เองหรอกรึ"
"ใช่แล้ว คนสำนักซุยไว้วางใจไม่ได้อยู่แล้ว พอเจ้าต้องแต่งงานท่านประมุขอีกข้าคาดเดาได้เลยว่าตอนนี้ทางนั้นกำลังไม่พอใจอย่างมากเป็นแน่"
มีสิทธิ์อะไรมาไม่พอใจเขากันเล่า เขาเองก็ใช่อยากจะแต่งงานด้วยซ้ำไป ไม่รู้เลยว่าชายผู้นั้นอย่างจวินหงคิดอะไรถึงมาท้าเขาหรือต้องการจะขยายอำนาจเหมือนกัน ต้าต่านไม่ได้ถามอะไรต่อเลยม้วนกระดาษคืนให้กับเจียนเจี๋ยแต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ลุกจากเก้าอี้มือสวยของน้องชายก็จับที่ข้อมือของเขาเสียก่อน
"มีอะไร"
"รู้หรือไม่ว่าการจะเป็นสะใภ้ที่ดี ภรรยาที่ดีควรทำหน้าที่อะไรบ้าง"
"ใครสน ข้าไม่ได้อยากเป็นเสียหน่อย"
"แต่เจ้าจะต้องแต่งงานเข้าไปเป็นภรรยาเพราะฉะนั้นในระยะเวลาอันสั้นข้าจะสอนเรื่องหน้าที่ภรรยาที่ดีให้ อย่างแรกที่ท่านต้องเรียนรู้ก็คือเรื่องบัญชี นั่ง-ลง-สิ-พี่-ชาย"
ต้าต่านมองใบหน้างดงามของเจียนเจี๋ยที่ยกยิ้มให้กับเขาราวกับเป็นมิตร ใครมองแล้วเหมือนรอยยิ้มของเทพธิดาแต่สำหรับเขาแล้วมันคือรอยยิ้มของปีศาจร้ายมากกว่ายิ่งคำพูดที่เน้นทีละคำเหมือนท่านแม่แล้วนั้น ใครก็ได้ช่วยเขาด้วย!!!
เมืองถังซานนั้นมีเอกลักษณ์หนึ่งที่เด่นมากๆ ก็คือภูเขาสูงเหอกวาน ตรงตีนเขาปกติแล้วไม่มีอะไรแต่ตอนนี้มีสำนักเล็กๆ มาตั้ง เป็นสำนักที่ดูธรรมดาไม่มีอะไรโด่ดเด่นมากนัก แต่ก็เป็นสิ่งที่ชาวบ้านรู้สึกอุ่นใจทุกครั้งที่ต้องเดินทางผ่านเส้นทางตรงตีนเขาอย่างน้อยคงไม่มีปีศาจมาดักทำร้ายหรือแม้กระทั่งโจรป่า โจรภูเขา ยิ่งได้ยินว่าประมุขสำนักแห่งนี้เอาชนะชายที่ทุกคนเล่าลือถึงว่าเก่งจนไม่มีใครเอาชนะได้อย่าง เถียนต้าต่าน ก็ยิ่งพากันมั่นใจมากกว่าเดิมไปอีกว่าพวกเขาจะปลอดภัยหากใช้เส้นทางนี้
สำนักที่ว่าก็คือสำนักเพ่ยนั้นเอง
ตัวของสำนักที่เน้นสีขาวเขียวแทบจะกลมกลืนไปกับธรรมชาตินั้นมีห้องห้องหนึ่งที่ไม่เหมือนห้องเท่าไรเพราะไม่มีกำแพงกั้นเลยแต่ที่เรียกเป็นห้องเพราะมีผ้าม่านบางๆ ที่ปิดเอาไว้ยามสายลมผ่านมาผ้าม่านก็โบยสะบัดราวกับเต้นรำทำให้ห้องนั้นรู้สึกได้ถึงความเย็นสบาย ร่างสวมชุดสีขาวร่างหนึ่งกำลังนั่งเขียนอะไรสักอย่างบนโต๊ะเตี้ย มือเรียวสวยที่ดูสมบูรณ์แบบจับพู่กันค่อยๆ จรดปลายพู่กันแล้วลากเป็นตัวอักษร ร่างชายหนุ่มอีกคนที่แต่งกายสีขาวเหมือนกันเป็นชายหนุ่มที่มองดูให้ความรู้สึกจิตใจสงบนิ่งเดินผ่านตามระเบียงทางเดินเพื่อไปห้องที่ผ้าม่านกำลังโบกสะบัดจากสายลมอ่อนๆ เบื้องหน้าของเขาคือชายที่เป็นใหญ่ในสำนักแห่งนี้ที่กำลังนั่งหันหลังเขียนอะไรบางอย่างอยู่หลังจากได้กระดาษมาใหม่แล้ว
"ท่านประมุข" มือที่จับพู่กันชะงักหยุดเขียนเมื่อได้ยินเสียงของใครบางคนที่เรียกตำแหน่งของตนแต่ไม่ได้หันหลังกลับไปมองเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายคือใครและปล่อยให้อีกฝ่ายพูดต่อ "ข้าวของถูกจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว อีกสองวันจะออกเดินไปยังสำนักเถียนไม่ทราบท่านประมุขต้องการอะไรอีกหรือไม่"
"ไม่มีแล้วละ เจ้าเตรียมรถม้าให้พร้อมเถอะ"
น้ำเสียงนุ่มนวลชวนเสนาะหูยามพูดปกติไม่ดัดเสียงแต่อย่างใดมันราวกับว่าอีกฝ่ายกำลังขับขานบทกวีมากกว่าพูด เมื่อได้ยินเช่นนั้นชายหนุ่มก็เดินออกไปเพื่อจัดเตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อยมือสวยก็จัดการเขียนอักษรอีกครั้งมันก็คือการหัดเขียนไม่มีอะไรพิเศษเพราะได้กระดาษมาใหม่เลยอยากลองว่ากระดาษดีหรือไม่ แต่ก็ต้องหยุดอีกครั้งเพราะเจ้าของมือสวยกำลังคิดนึกอะไรบางอย่างขึ้นมานั่นเอง
ใบหน้าหล่อคม ดวงตาเรียว ใบหน้าเกลี้ยงเกลา
เถียน ต้าต่าน
"หึ ท่าทางการแต่งงานครั้งนี้ของข้าคงไม่ได้สงบสุขเป็นแน่ แต่ก็น่าสนุกดี"
ไม่รู้ว่าริมฝีปากสวยเอ่ยพูดกับใครหรือพูดกับตัวเองกันแน่แต่ฟังดูน้ำเสียงแล้วเหมือนเจอสนุกๆ มากกว่า
ความคิดเห็น