คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : อย่ามาเกี้ยวสามีข้า บทที่ ๑
บทที่ ๑
ถ้าหากเขาสามารถย้อนเวลากลับไปได้เขาจะตีปากตัวเอง ไม่สิ เขาจะไม่พูดประโยคนั้นออกมาเด็ดขาด หากให้เล่าเรื่องราวทั้งหมดแล้วคงต้องใช้ระยะเวลาหนึ่งเลยทีเดียว แล้วคงไม่มีใครอยากจะเล่ามันเพื่อตอกย้ำตัวเองกันนักหรอก เว้นเสียแต่ว่าจะมีคนมาถามว่าเกิดอะไรขึ้นเท่านั้น
หลังจากที่ต้าต่านโดนแม่ของตนให้ไปลองชุดแต่งงานก่อนที่จะสวมใส่วันจริง เลยหาโอกาสและจังหวะหนีออกมาจากสำนักเพราะอยู่ต่อต้องมีเรื่องอะไรสักอย่างแน่ๆ เพราะว่างานแต่งงานคราวนี้จัดที่สำนักของเขานั้นเอง พอแต่งงานเรียบร้อยแล้วคอยย้ายไปอีกสำนัก ตอนที่เห็นชุดแต่งงานสีแดงปักลวดลายสวยงามนั้นต่อให้ตีลังกามองยังไงก็มองออกว่านั้นคือชุดเจ้าสาว ยิ่งตอกย้ำความจริงหนักกว่าเดิม เขาอยากจะวิ่งหนีไปให้ไกล หนีงานแต่งไปเลย แต่ถึงกระนั้นต่อให้เขาอยากจะทำแค่ไหนก็ยังมีแม่ที่อยู่เหนือกว่าเขา
ไม่สิ
ยังมีคนที่เหนือกว่าเขา ชายชุดขาวปิดหน้าที่โผล่มาพร้อมกับท้าประลอง ชายผู้นั้นแวบแรกที่ได้เห็นรูปร่างดูบอบบางกว่าเขามาก ดูทรงแล้วคงชนะได้ไม่ยากเลยรับปากตกลงท้าประลองไป เขามีกระบี่หมอกฟ้าที่เป็นกระบี่ที่มีชื่อเสียงในยุทธจักรที่เกิดมาเคียงคู่กับเขาต่อให้เจออาวุธหนักที่พร้อมจะทำให้เขาจมดินก็เอาชนะได้ แต่ชายผู้นั้นใช้เพียงพัดสีขาวอันเดียว แล้วที่มันน่าเจ็บใจก็คือ เขาแพ้ได้อย่างไรกัน ไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์ตอนนั้นมันเป็นเช่นไรเขาตวัดกระบี่ไปมาและใช้บทเพลงที่คิดว่าทีเดียวก็ชนะไปซะจะได้ทำไปอย่างอื่นแต่ถูกพัดดูไม่มีราคาปัดดาบกระบี่หมอกฟ้าของเขาตกลงพื้นอย่างง่ายดาย
จะบอกว่าเขาเมาค้างก็คงไม่ใช่
นึกย้อนกลับไปถึงตอนนั้นทีไรต้าต่านก็ได้แต่ตั้งคำถามกับตัวเองว่าแพ้ได้อย่างไรกัน แล้วตอนนั้นสถานที่ประลองก็มีผู้คนยืนมองกันอยู่ด้วย ถ้าหากประลองตัวต่อตัวคงหาเหตุผลพอจะอ้างหรือหนีได้ แต่สายตากว่าร้อยคู่มองมาอีกนี่สิ แล้วสถานที่ว่านั้นที่ไหนหรือก็โรงเตี้ยมที่เขาป่าวประกาศนั่นแหละ หลังจากประกาศไปก็มีคนท้าที่นั่นเยอะมากและเพื่อให้มีพยานรับรู้ต้องให้มีคนมามุ่งอยู่จะได้ไม่เอาไปเป็นข้ออ้างลมๆ แล้งๆ แต่กี่คนๆ ก็พ่ายแพ้ไปหมด ยกเว้นชายชุดขาวผู้นั้น ต้าต่านที่คิดถึงเรื่องราวที่ประลองก็เดินมาหยุดที่ร้านขายของในตลาด
อาจจะเพราะความเคยชิน
ร้านขายของที่มีเพื่อนรักของเขาอยู่นั้นเองหรือก็เจ้าของร้านนั่นแหละ ยามนี้ก็ใกล้เย็นแล้ว ผู้คนก็เริ่มเบาบางลงไปมากก็นับว่าดี ต้าต่านยิ่งไม่อยากได้ยินเสียงนินทาเรื่องของเขาเท่าไรนัก ร่างชายหนุ่มบุตรชายคนโตตระกูลเถียนเดินเข้าไปในร้านอย่างง่ายดาย จน 'ห่วงลู่' ที่กำลังตรวจข้าวของในร้านว่าโดนพวกมือดีมาหยิบอะไรออกไปหรือไม่ แม้ว่าจะไม่มีก็ต้องตรวจเพื่อหาของเข้าร้านได้เห็นร่างของต้าต่านก็เบิกตากว้างทันที
"ข้าไม่ใช่ผี ตกใจข้าทำไม"
ต้าต่านมองเพื่อนของตนที่มองตาโตค้างนิ่งอยู่สักครู่ก่อนที่อีกฝ่ายจะวางพวกเครื่องเขียนลงบนโต๊ะทำงานของตัวเองแล้วเดินมาหาโดยไม่ลืมลากเก้าอี้ไม้ธรรมดาให้มานั่งคุยกันที่โต๊ะน้ำชาเล็กๆ ที่มีเพียงแจกันดอกไม้ที่เหี่ยวเฉารอเปลี่ยนใหม่เท่านั้น ห่วงลู่ก็พอจะเข้าใจอยู่ว่าทำไมถึงไม่มีพวกหัวขโมยมาหยิบข้าวของร้านเขาอาจจะเพราะเป็นเพื่อนกับต้าต่านก็ได้
"จะไม่ให้ข้าตกใจได้เช่นไร เจ้ากำลังจะเป็นเจ้าสาวออกมาเดินเช่นนี้แถมพระอาทิตย์ก็ใกล้ตกดินแล้วด้วย"
สิ้นเสียงของห่วงลู่มือของต้าต่านก็ตบลงบนโต๊ะน้ำชาดังมากพอที่ทำให้ฝุ่นเล็กๆ กระจายออกมาได้ ทั้งๆ ที่เขาเช็ดถูแทบจะตลอดเวลาเผื่อลูกค้ารอเขาไปหาของที่ต้องการให้ ดวงตาคมของคุณชายตระกูลเถียนจ้องมองตนเขม็ง ไหนจะใบหน้าหล่อคมที่ครองใจทั้งสาวน้อยสาวใหญ่หรือแม้แต่ผู้ชายด้วยกันยังอยากจะถวายตัวให้เป็นภรรยานั้น.........
อ่า คงไม่ชอบใจคำว่าเจ้าสาวสินะเพื่อนรัก
ห่วงลู่ถอดหายใจเล็กน้อยเพราะดูเหมือนที่สำนักแสนใหญ่โตกำลังจัดงานแต่งในอีกไม่กี่วันนี้แล้ว เล่นเอาคนในตลาดพากันพูดถึงกันเสียสนุกปาก กลายเป็นบทสนทนาที่ไม่ว่าจะที่ไหนก็ต้องยกเรื่องนี่มาพูดคุยกัน บางคนก็ถึงกับใจสลายแถมเหล่าคุณนายบ้านต่างๆ ที่แอบทำเป็นเนียนมาซื้อของที่ร้านของเขาแล้วชวนพูดคุย แต่ทำไมทุกคนถึงไม่ตั้งข้อสงสัยกันว่าทำไมต้าต่านถึงเป็นกลายเป็นภรรยาคนอื่นได้ทั้งๆ เจ้าตัวนั้นมีแต่คนอยากจะเป็นภรรยาให้มากกว่า ก็เล่นป่าวประกาศกลางโรงเตี้ยมขนาดนั้นนี่นา
"ข้ารู้ว่าเจ้ามาหาข้าเพราะไม่อยากอยู่ที่สำนัก แต่มันไม่เหมาะสมนะเพื่อนรัก"
ต้าต่านมองใบหน้าเพื่อนรักของเขาที่สนิทกันมาตั้งแต่ยังเล็กพอๆ กับเฉิน ใบหน้าคมคายที่มองเขาอย่างกังวล เขารู้ว่าการทำเช่นนี้มันไม่ดีเพราะกำลังแต่งงานในอีกไม่กี่วันแล้วยังมาหาชายอื่นในขณะที่พระอาทิตย์กำลังจะตกดินเช่นนี้จะถูกพูดว่ามานอนกอดชายอื่นก่อนแต่งงานไม่ต่างอะไรกับการมาพบชู้รักก่อนแต่งกับสามีที่ไม่ได้รักอะไรทำนองนั้น
"ใครๆ ก็รู้ว่าเจ้าเป็นเพื่อนรักของข้าทั้งนั้น"
"มันก็ยิ่งตกเป็นขี้ปากชาวบ้านไง อย่าได้ดูถูกจินตนาการของผู้คนเชียว"
ต้าต่านรู้ว่าทำไมห่วงลู่ถึงพูดเช่นนั้นเพราะเขาสนิทกับห่วงลู่มากกว่าใครที่เคยรู้จัก แล้วเขาก็ชอบมาหาอีกฝ่ายตลอดโดยเฉพาะเวลาไม่สบายใจหรือไม่มีอะไรทำก็จะมาหาเหมือนสถานที่แห่งนี้คือสถานที่พักใจอะไรทำนองนั้น เลยมีคนคิดว่าเขากำลังเกี้ยวเพื่อนตัวเองไว้สักวันจะแต่งเข้าไปเป็นฮูหยินของตน
"ข้าขอร้องละ ให้ข้าอยู่นี่สักพักเถอะ"
ห่วงลู่มองต้าต่านที่พูดจบแล้วเอาหน้าฟุบลงบนโต๊ะน้ำชาไปเสียแล้ว ห่วงลู่จะทำอะไรได้นอกจากปล่อยไปก่อน เขากับต้าต่านสนิทกันจนมีคนเอาไปพูดต่างๆ นานาว่าสักวันตัวเขานั่นแหละที่จะได้เป็นฮูหยินของอีกฝ่ายแน่นอน แค่ได้ฟังก็ทำเอาขนลุกเกรียวไปทั้งตัวเพราะรู้จักกันมานาน รู้ไส้รู้พุงกันหมดทุกเรื่อง ความรู้สึกที่มีให้กันคือเพื่อนรักจริงๆ ไม่มีความรู้สึกเชิงชู้รักทางใจอะไรกันแน่นอน เมื่อเพื่อนเป็นเช่นนี้เขาเลยหันไปทำงานของตนต่อเดี๋ยวจะมืดค่ำเสียก่อน ระหว่างที่เดินไปหยิบเครื่องเขียนที่จดรายงานก็มีลูกค้าเดินเข้ามาด้านในของร้านท่านหนึ่ง พอเห็นรูปร่างห่วงลู่ก็จำได้ทันที ชายที่สวมเสื้อสีขาวทั้งตัว สวมหมวกใบใหญ่และผ้าที่ปิดครึ่งหน้านั้นอีก
"คุณชายนั้นเอง ของที่ท่านสั่งได้แล้ว รอข้าสักครู่เถอะ"
ชายหนุ่มพยักหน้าให้สังเกตได้จากหมวกที่ขยับ ห่วงลู่ก็เดินเข้าไปด้านหลังของร้านเพราะของที่คุณชายสั่งนั้นก็คือกระดาษนั้นเอง ต้าต่านที่ฟุบหน้าอยู่บนโต๊ะอย่างสิ้นแรงสิ้นกายเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อยเพื่อให้ดวงตาของตนได้มองเห็นว่าเพื่อนของตนที่เดินเข้าไปด้านหลังของร้านเพื่อไปเอาของให้ลูกค้า แน่นอนว่าสัญชาตญาณของมนุษย์ย่อมมีอยากรู้อยากเห็นอยู่แล้ว ใบหน้าหล่อคมเลยหันไปมองลูกค้าที่มาช่วงเวลานี้แถมได้ยินว่าซื้อกระดาษเยอะอีกด้วย ต้องมีเงินมากพอดูเลยทีเดียวนับวันข้าวของขายดีเรื่อยๆ มันก็น่ายินดีกับเพื่อนอยู่หรอกแต่ก็หวั่นใจว่าถ้าวันหนึ่งเขาไม่อยู่จะโจรมาปล้นรึเปล่านี่สิ ระหว่างที่คิดเรื่องเพื่อนดวงตาคมก็ได้มองเห็นร่างที่ยืนรอของก็ถึงกับเบิกกว้างทันที
เพราะไม่มีทางที่ต้าต่านจะจำไม่ได้ ชายที่เขาพ่ายแพ้และกำลังจะเป็นสามีของเขา........
อยากตัดคำว่าสามีแล้วเอาไปทิ้งลงทะเลสาบเสียจริง!
"เจ้า! "
ต้าต่านลุกพรวดจากเก้าอี้อย่างรวดเร็วและตั้งท่าจะเดินเข้าไปหาชายชุดขาวเพราะความรีบเลยทำให้ขายาวๆ ก้าวไม่พ้นเก้าอี้ทำให้สะดุดภาพตรงหน้าของคุณชายตระกูลเถียนเปลี่ยนจากภาพของชายชุดขาวเป็นพื้นร้านของเพื่อนรักแทนและแน่นอนว่าร่างกายเจ็บได้แต่ใบหน้าหล่อต้องรอดสองมือแทนที่จะยันพื้นดันเอาไว้กลับยกมาปิดหน้าแทนเลยนอนล้มลงไปกับพื้น
เล่นทั้งจุกทั้งเจ็บเลยทีเดียว
ส่วนชายหนุ่มชุดขาวที่ยืนรอของหลังจากได้ยินคำว่า 'เจ้า' ด้วยน้ำเสียงเข้มและดังนั้นเขาหันไปมองบุคคลที่เรียกแทนจะได้เห็นภาพของคนที่เรียกว่ายืนอยู่หรือนั่งอยู่นั้น ภาพที่เห็นก็คือ ร่างของต้าต่านล้มลงไปกองกับพื้นด้วยท่าไม่น่ามองเท่าไรแต่มันก็ทำให้
"หึหึหึ"
เสียงหัวเราะของใครบางคนที่ดังขึ้นมานั้นทำให้ต้าต่านหมดซึ่งความเจ็บแล้วลุกขึ้นมาด้วยความเจ็บใจแทน แต่ยังยืนได้ไม่เต็มที่นักเพราะอาการจุกมันยังอยู่
"นี่เจ้ากล้าหัวเราะข้างั้นรึ!"
ความสูงที่เท่าๆ กันแต่รูปร่างของชายชุดขาวนั้นแลดูบอบบางกว่า ใบหน้าที่ซ่อนเร้นไว้ด้วยผ้าและหมวกใบใหญ่ มือที่โผล่พ้นขอบชายเสื้อมองดูก็แล้วว่าเป็นคนผิวพรรณดีขาวสะอาด เมื่อมองโดยรวมแล้วใครเห็นก็ต้องรู้สึกสบายตาแต่สำหรับคุณชายตระกูลเถียนผู้นี้แล้วนั้นมันช่างขุ่นเคืองสายตายิ่งนัก
"ข้าก็นึกว่าใคร ที่แท้ฮูหยินของข้านี่เอง"
คนที่ถูกเรียกว่าฮูหยินนั้นชะงักชั่วครู่หนึ่งเหมือนหัวของเขาโดนฝ่ามือล่องหนตบเข้าที่ด้านหลัง กว่าจะหายก็ใช้เวลาเสี้ยวหนึ่งเลยทีเดียว
"นี่เจ้า! ยังไม่แต่งงานอย่ามาเรียกข้าว่าฮูหยินเด็ดขาด"
"ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรไป ซ้อมเรียกไว้ก็ได้หรือจะให้ข้าเรียกเจ้าว่าภรรยาดี"
ต้าต่านไม่อยากจะเถียงคนตรงหน้า เขาอยากจะเข้าไปกระชากคอแล้วไปประลองฝีมือกันอีกสักรอบแต่ร่างของห่วงลู่นั้นเดินออกมาจากหลังร้านก่อน ถึงเขาจะเป็นคนใจร้อนแถมยังทำอะไรไม่ค่อยคิดหน้าคิดหลังก็เถอะ แต่สิ่งหนึ่งที่เขารู้ก็คือไม่ควรเสียมารยาทยิ่งเป็นเรื่องเงินๆ ทองๆ ของเพื่อนแล้วด้วย อย่างไรซะก็ต้องปล่อยให้เพื่อนค้าขายให้เสร็จก่อน
"แล้วเจอกันตอนงานแต่งของเรานะที่รัก"
ห่วงลู่ที่นับเงินอยู่ไม่ได้ใส่ใจคำลาของชายชุดขาวเพราะช่วงนี้ไม่ค่อยมีลูกค้าเท่าไรพอได้เงินก้อนโตมาทั้งทีก็ต้องมัวแต่ดีใจอยู่แล้วเว้นเสียแต่อีกคนที่พอเห็นเพื่อนค้าขายเสร็จแล้วกำลังจะท้าอีกฝ่ายประลอง ร่างชายชุดขาวก็สะบัดตัวเตรียมจะเดินออกจากร้านแล้วยังจะหันมาหาเขาพร้อมกับคำลาที่ชวนให้น่าโมโหมากขึ้นกว่าเดิม เรียกเขาทั้งฮูหยิน ภรรยา แล้วก่อนจากลาก็ยังเรียกที่รักอีก นี่มันคือการยั่วโมโหเขาชัดๆ พอขายาวกำลังจะก้าวเท้าเพื่อตามอีกฝ่ายให้ทันก็ดันไปสะดุดกับเก้าอี้ไม้ตัวเดิมอีกครั้ง.....
แม้ห่วงลู่จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะหันมาอีกทีเก้าอี้ไม้ที่เขาคอยขัดและเช็ดถูมันอยู่ตลอดได้ถูกเพื่อนรักจับทุ่มลงพื้นพังเรียบร้อยไปเสียแล้ว........... อนิจจังเก้าอี้ไม้ผู้น่าสงสาร
"กะ เก้าอี้ข้า"
ต้าต่านที่ล้มจนเสียจังหวะทำให้รู้ว่าตามไปตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้วเลยปล่อยไปก่อน ใช้ดวงตามองเพื่อนรักที่นั่งร้องไห้กับเก้าอี้ไม้ที่เขาจัดการให้สิ้นชีวิตไปแล้ว ร่างสูงย้ายตัวเองไปนั่งเก้าอี้อีกตัวเพื่อสงบอารมณ์ของตัวเองที่โดนอีกฝ่ายปั่นประสาทเขาสำเร็จ ในขณะนั้นเองห่วงลู่ก็ถามว่าทำไมเขาทำแบบนี้กับเก้าอี้ของตนก็เลยเล่าให้ฟังว่าชายชุดขาวผู้นั้นคือใคร
"ชายผู้นั้นคือคนที่เจ้ากำลังจะแต่งงานด้วยงั้นรึ! "
"ก็ใช่น่ะสิ ไม่คิดว่าจะมาเจอกันอีก"
ห่วงลู่ชะงักกับคำพูดของเพื่อนรักที่เอ่ยออกมาเช่นนั้น ถ้าหากเป็นชายอื่นที่ไม่ใช่ชายที่จะแต่งงานด้วยจะไม่ประหลาดใจเลย ไม่คิดว่าจะจะมาเจอกันอีก ทั้ง ๆ ที่จะแต่งงานด้วยกันแล้วเนี่ยนะ หวังว่าเพื่อนของเขาจะไม่คิดหนีงานแต่งหรอกใช่ไหม
"พูดเหมือนกับว่าจะไม่ได้เจอกันอีกงั้นแหละ ทั้ง ๆ ที่เจ้ากำลังจะแต่งงานกับชายผู้นั้น ว่าแต่เขาเป็นใครกันรึ"
"ห่วงลู่เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือเจ้าแกล้งข้ากันแน่ ข้ายิ่งไม่อยากจะเอ่ยชื่อชายผู้นั้น"
"ต้าต่าน ข้าทำแต่งาน วันๆ ก็ตรวจข้าวของเพราะข้าอยู่คนเดียว จะเอาเวลาไหนไปตามขนาดนั้น รู้แค่ว่าเจ้ากำลังจะแต่งงานเท่านั้นเอง"
ดวงตาคมมองเพื่อนรักที่กำลังนั่งต่อเก้าอี้ไม้ที่พื้นและอีกไม่นานก็จะปิดร้านแล้ว นี่เขาจะได้เวลากลับสำนักแล้วรึ จะนอนค้างที่นี่ห่วงลู่ไม่มีทางให้นอนค้างเหมือนครั้งก่อนๆ แน่
"เพ่ยจวินหง ประมุขสำนักเพ่ย"
ห่วงลู่ชะงักมือตัวเองที่กำลังต่อเก้าอี้เมื่อได้ยินชื่อที่ต้าต่านตอบเขา ‘เพ่ยจวินหง’ รึ เขาไม่ได้ยินชื่อนี้มาสักพักแล้วเหมือนกัน
"อ่อ ประมุขสำนักเพ่ยที่ก่อตั้งได้ไม่นานมานี่ สำนักเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ตรงตีนเขาเหอกวานใช่หรือไม่"
"ถูกต้อง ข้ากำลังอยากจะถามเจ้าเรื่องสำนักเพ่ยแต่ขนาดคนที่ข้าแต่งงานด้วยคือเจ้ายังไม่รู้จักเลย"
"อย่าได้เคืองข้าเลย ถึงเรื่องคนที่เจ้าแต่งงานข้าจะไม่รู้แต่เรื่องสำนักเพ่ยน่ะข้าพอจะรู้อยู่บ้าง ที่แท้ชายชุดขาวก็คือประมุขสำนักเพ่ยรึ มิน่าเล่าถึงได้ปิดบังใบหน้าของตนเช่นนั้น"
พอหูของต้าต่านได้ยินเช่นนั้นปกติแล้วเขาก็ไม่ได้มีนิสัยที่ชอบตัดสินคนจากใบหน้าเพราะสำหรับเขาแล้วความงามทุกคนล้วนมีมันในตัวเพียงแต่ความงามนั้นล้วนงามแตกต่างกันออกไป แต่พอเป็นเรื่องของชายชุดขาวหรือจวินหงก็อดไม่ได้ที่ใช้เรื่องที่ไม่ควรใช้มาเล่นงาน
"ทำไม? เจ้ากำลังจะบอกว่าจวินหงหน้าตาอัปลักษณ์งั้นรึ"
"ตรงกันข้ามเลยต่างหาก ลูกค้าของข้าบ้างก็เป็นขาจร บ้างก็ไม่ได้มีเงินมากพอที่จะเข้าไปยังพักหายร้อนในโรงเตี้ยมเลยมาขออาศัยน้ำดื่มในร้านข้า มีพูดถึงประมุขสำนักเพ่ยว่ามีใบหน้างดงามมากเลยทำให้สำนักเพ่ยเป็นที่รู้จักทั้งๆ ที่ก่อตั้งสำนักได้ไม่นาน"
"จะงดงามขนาดไหนกันเชียว"
"งดงามขนาดไหนงั้นรึ เห็นว่าเหล่าลูกชายจากสำนักอื่นๆ พากันเอาเพ้อฝันเลยทีเดียว บ้างก็เคยไปขอหมั้นหมายไว้แล้วด้วยแต่ทางนั้นกลับปฏิเสธ ปกติแล้วสำนักเล็กๆ แทนที่จะปรองดองกับสำนักใหญ่เอาไว้แท้ๆ อย่างบุตรชายคนโตสำนักซุยเป็นต้น เพราะไปขอแล้วก็โดนประมุขสำนักเพ่ยปฏิเสธกลับมา พอรู้ว่ากำลังจะเป็นสามีเจ้าแบบนี้แล้ว ทำเอาข้าทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน หวังว่าเจ้าจะไม่ปลุกปล้ำเขาหรอกนะ"
บุตรชายตนโตสำนักซุยรึ
ที่แท้เจ้านั้นก็เคยไปเกี่ยวข้องกับจวินหงด้วยรึนี่ พอนึกถึงใบหน้าของคุณชายตระกูลซุยแล้วก็ทำให้อารมณ์ดีขึ้นมาหน่อยเพราะเจ้านั้นไม่ว่าจะท้าประลองเขากี่ครั้งก็พ่ายแพ้กลับไปเสียทุกครั้งแถมมีครั้งหนึ่งที่เขาถีบตกน้ำด้วย แต่แล้วก็ต้องมาเสียอารมณ์กับภาพเพื่อนรักที่กำลังต่อเก้าอี้เพื่อยืดชีวิตอยู่
"เลิกต่อเก้าอี้เสียทีเถอะ ข้าจะออกเงินให้เจ้าซื้อใหม่เอง! "
โมโหชายชุดขาวหรือจวินหงที่เรียกเขาว่าฮูหยิน ภรรยา ทิ้งท้ายด้วยที่รักแล้วยังต้องมาขัดหูขัดตาเพื่อนรักของตนที่นั่งต่อเก้าอี้ไม้อีก ให้มันได้แบบนี้สิ!
สำนักเถียน
มือสวยของซูหนี่ลูบชุดแต่งงานของลูกชายว่ามีส่วนไหนที่ปักไม่ดี มีด้ายหลุดหรือไม่ เย็บประณีตแล้วหรือเปล่า แม้ว่าชุดนี้จะใส่เพียงครั้งเดียวก็เถอะแต่มันคือชุดใส่ในงานสำคัญที่จะเปลี่ยนชีวิตคนคนหนึ่งไปทั้งชีวิต ปกติแล้วคิดเรื่องแบบนี้ก็ต้องนึกดีใจน้ำตาซึมไม่ใช่หรือที่ลูกตนกำลังจะได้มีชีวิตคู่ แต่ทำไมนางถึงรู้สึกเครียดได้กันเล่า
"ซูหนี่" เสียงทุ้มต่ำที่นางได้ยินมานานตั้งแต่พบกับอีกฝ่ายจนแต่งงานมีลูกด้วยกัน อายุที่มากๆ พอกันแต่ใบหน้านั้นยังหล่อเหลาเหมือนเดิมและยังหล่อในสายตาของนางตลอดไป ประมุขสำนัก ‘เถียน หยางเฉินเหวย’
"ท่านพี่"
เสียงหวานที่แตกต่างจากตอนที่ดุลูกให้มาลองชุดนั้นมันช่างน่าฟัง เหล่าหญิงรับใช้ก็พากันหลบออกไปด้านนอกเพื่อจะได้ไม่เป็นการขัดขว้างนายทั้งสองที่จะคุยกัน หยางเฉินเหวยมองหน้าภรรยาที่เครียดจนเขาก็อดกังวลไม่ได้หรือภรรยาของเขาจะกังวลเรื่องลูกกำลังจะแต่งงานกันรึ
"ซูหนี่เจ้าไปพักผ่อนก่อนเถอะ ที่เหลือให้คนอื่นจัดการต่อก็ได้"
หยางเฉินเหวยเดินเข้าไปหาภรรยาแล้วพามานั่งเพื่อจะได้พักผ่อนดีกว่ายืนอยู่แบบนั้น
"ข้าไม่ได้เหนื่อยอะไรขนาดนั้นท่านพี่ ข้าแค่...จริงสิท่านพี่ได้ตรวจข้าวของที่ทางนั้นส่งมาให้แล้วหรือยัง"
หยางเฉินเหวยมองภรรยาของตนที่เหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแล้วเปลี่ยนเรื่องคุยเสียดื้อๆ แต่เอาเถอะเขาชินกับนิสัยเช่นนี้ของนางแล้ว พอพูดถึงข้าวของที่ทางนั้นส่งมาให้แล้วตอนแรกเขาไม่ได้หวังสูงอะไรมากนักยิ่งเป็นสำนักเล็กๆ ขอแค่เป็นคนดีก็พอเพราะเรื่องทรัพย์สินเงินทองทางเขาช่วยได้ทุกเมื่อ แต่พอได้เห็นข้าวของที่ส่งมาแล้วนั้นทำเอาถึงกับตั้งคำถามเลยทีเดียว
"พี่เห็นแล้ว ของที่ส่งมาเพื่อเป็นสินสอดทองหมั้นลูกเรามีมูลค่าเยอะกว่าที่คาดเอาไว้"
"ทั้งๆ ที่ลูกเราเป็นคนป่าวประกาศเช่นนั้น แต่ทางสำนักเพ่ยยังส่งข้าวของมาให้นับว่าท่านประมุขสำนักเพ่ยยังเป็นคนดีและจิตใจดีอยู่ไม่น้อย ถ้าเป็นคนอื่นหรือสำนักอื่นคงตอกหน้าสำนักเราเล่นไปแล้ว"
นี่เลยทำให้ซูหนี่พอใจอยู่บ้าง อย่างน้อยทางสำนักเพ่ยยังให้เกียรติสำนักเถียนโดยส่งข้าวของสินสอดทองหมั้นมาให้แถมยังจัดงานแต่งให้เป็นพิธี ไม่มีส่งจดหมายมาปั่นประสาทเล่นหรือคนของสำนักมาวุ่นวายเลย มีเพียงจดหมายที่บอกวันแต่งงานเท่านั้นลองเป็นสำนักอื่นสิ ไม่อยากจะคิดเลย คงเข้ากับสำนวนที่ว่าได้ทีขี่แพะไล่ก็ว่าได้
"แล้วเจ้ากังวลเรื่องอะไรกันเล่าซูหนี่"
"ท่านพี่ ท่านก็รู้ว่าต้าต่านลูกของเราได้นิสัยข้าไปขนาดไหน นี่แหละที่ข้ากังวล หวังว่าลูกเราจะไม่เผาสำนักเขาหรอกใช่ไหม"
หยางเฉินเหวยอยากจะปลอบใจภรรยาแต่พอนึกถึงตอนที่เขาได้อีกฝ่ายมาเป็นภรรยาใหม่ๆ กว่าจะยอมรับรักกับเขาก็เล่นเอาเขาเจ็บหนักไปหลายรอบเลยทีเดียว โดยเฉพาะตอนที่ซูหนี่ทำอาหารแล้วเกือบเผาสำนักในตอนนั้นที่ทำให้ครัวของสำนักถึงกับหายไปทั้งครัว นึกถึงทีไรก็ได้กลิ่นควันไฟลอยมาทุกที หยางเฉินเหวยเลยทำไมแค่ยิ้มเท่านั้นและลูบหลังปลอบใจภรรยา
ก็หวังว่าลูกของเขาจะไม่เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน ยิ่งสำนักเล็กๆ อยู่ด้วย
ความคิดเห็น