คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : อย่ามาเกี้ยวสามีข้า บทที่๙
บทที่ ๙
ฮุ่ยเหมยได้ไหว้วานให้คุณชายจางจิ้งช่วยงานตนอีกแรงโดยการไปตามประมุขสำนักหรือจวินหงมาดูอาวุธที่เกินมาเพราะอีกฝ่ายบอกกับตนว่าจะตามฮูหยินไป ซึ่งน่าจะกลับห้องเพื่อเก็บข้าวของส่วนตัว แต่ไม่นานนักร่างของคุณชายจางจิ้งก็เดินกลับมาแต่กลับมาเพียงคนเดียวด้วยใบหน้าที่เหม่อลอยเหมือนวิญญาณหลุดออกจากไปแล้ว พอเขาเอ่ยถามว่าประมุขสำนักไปไหนจะตามมาทีหลังหรืออย่างไร คำตอบที่ได้จากอีกฝ่ายคือความเงียบแถมส่ายหน้าไปมาเบาๆ ให้กับเขา ก่อนที่จะย้ายร่างกายของตัวเองเดินไปนั่งห่างไกลออกไป ทำเอาฮุ่ยเหมยไม่รู้จะทำเช่นไรเลยตัดสินใจเดินไปตามเองเพราะจะให้เด็กสำนักไปตามก็จะพากันชักช้าเสียเวลาไปอีก และอีกอย่างนี่ก็ใกล้เวลามื้อเย็นแล้วด้วย สองขายาวของรองประมุขสำนักก้าวเท้าในระยะที่ยาวเพื่อเร่งฝีเท้าให้เร็ว จะวิ่งก็ดูไม่สำรวม เมื่อเดินมาถึงตรงหัวโค้งของทางเดินที่ใกล้จะถึงห้องส่วนตัวของประมุขสำนักกับฮูหยิน จังหวะนั้นเองเหมือนประตูแห่งความตายยังไม่เปิดรับเขาเพราะอีกแค่ก้าวเท้าเพียงก้าวเดียวเท่านั้นสิ่งที่ลอยผ่านหน้าเขาไปจนสัมผัสได้ถึงกระแสเล็กๆ ที่มากระทบที่ปลายจมูก ดวงตาเรียวสวยของฮุ่ยเหมยมองสิ่งที่ลอยผ่านหน้าเขาไปนั้นมันกระแทกกับเสาระเบียงทางเดินจนพังย่อยยับ
มันคือเก้าอี้ทำจากไม้ที่เขาเพิ่งจะสั่งมาให้กับทางสำนักไม่ใช่หรือ?
สภาพที่พังนั้นฮุ่ยเหมยไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าโดนเข้าที่ใบหน้าเต็มๆ จะเป็นเช่นไร แต่ความสนใจของเขาก็ถูกดึงออกมาจากเก้าอี้เมื่อมีใครบางคนมาจับตัวเขาเพื่อเป็นโล่กำบัง กลิ่นหอมที่ลอยออกมาจากร่างกายของคนที่อยู่ด้านหลังที่ได้พอกลิ่นก็รู้แล้วว่าใคร ประมุขสำนักเพ่ยนั้นเอง แต่เหนือสิ่งอื่นใดแล้วบุคคลที่ยื่นอยู่ตรงหน้าเขานี่สิยิ่งน่าสนใจยิ่งกว่า
ไม่ต้องเดาเลยว่าประมุขสำนักเพ่ยคนงามทำไมถึงได้เอาตัวเขามาโล่เช่นนี้
ชายร่างสูงพอๆ กันยืนเด่นด้วยท่าทางที่พร้อมกับเข้ามากระชากเสื้อแล้วประเคนหมัดใส่หน้า แววตาที่ลุกเป็นไฟบ่งบอกได้เลยว่ากำลังโกรธชายงามที่อยู่ด้านหลังของเขาแบบสุดชีวิต ยิ่งใบหน้าหล่อเหลาที่หน้าตึงนิ่งทำให้ความน่ากลัวทวีขึ้นไปอีก ต้าต่าน ฮูหยินของสำนักเพ่ยนั้นเอง ถ้าเช่นนั้นเก้าอี้ที่ผ่านหน้าเขาไปก็คง.... อ่า ประมุขสำนักวิ่งหนีฮูหยินมาสินะแล้วไปทำอะไรให้ฮูหยินโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเช่นนี้ได้
"ฮุ่ยเหมย หลบ-ไป! "
แม้เขาจะเคยเจอปีศาจน่ากลัวมามากแล้วแต่ฮูหยินนั้นยังน่ากลัวกว่าอาจจะเพราะเขาไม่สามารถลงมือหรือวางท่ากับอีกฝ่ายได้เพราะฮูหยินก็เป็นนายของตนเช่นกันแล้วยิ่งบอกให้หลบเขาก็แทบจะก้าวเท้าออกห่างจากคนข้างหลังแล้ว แต่คนด้านหลังก็หัวใจหลักของสำนักเพ่ยอีกเช่นกัน ท่านประมุขจวินหงท่านอย่ามาตายเพราะฝีมือภรรยาตนเด็ดขาดเชียว ฮุ่ยเหมยที่ไม่รู้จะทำเช่นไร เขาเลยต้องทำเป็นใจดีสู้เสือหวังว่าฮูหยินจะเมตตาและเข้าใจเหตุผลของเขา
"เรียนฮูหยิน ข้าน้อยมิอาจกล้าวางตนเหนือคำสั่ง แต่ข้าน้อยจะต้องพาท่านประมุขเพื่อไปตรวจสอบอาวุธที่เกินมาเพื่อจะได้ไม่เป็นการโกงต่อสำนักตง อีกอย่างนี้ก็ใกล้ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว ฮูหยินเตรียมตัวรอทานอาหารเถอะ"
ฮุ่ยเหมยพูดจบก็แอบกลืนน้ำลายลงคอมองฮูหยินที่ยืนมองด้วยใบหน้านิ่งจนเดาไม่ออกเลยว่าอยู่ในอารมณ์ไหนก่อนที่ดวงเรียวคมจะเลื่อนสายตาไปมองไปยังคนงามที่อยู่ด้านหลังของเขาจากแววตาเรียบนิ่งเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นแววตาที่เหมือนมีมือยื่นไปที่คอแล้วบีบเขย่าไม่หยุดอย่างไรอย่างนั้น
"เพราะเห็นแก่เจ้าหรอกนะฮุ่ยเหมย หึ"
สิ้นประโยคที่เหมือนยกภูเขาออกจากอก ร่างของฮูหยินก็หันหลังแล้วเดินจากไป ทำเอาฮุ่ยเหมยถึงกับถอดหายใจออกมาอย่างห้ามไม่ได้แม้จะดูเสียมารยาทก็ตาม จากนั้นเขาก็หันหลังกลับมามองประมุขสำนักที่ไม่รู้ไปทำอะไรให้ฮูหยินไม่พอใจขนาดนั้นได้ แต่แทนที่จะรู้สึกผิดกลับทำสีหน้าเปื้อนยิ้มใส่เขาเหมือนเรื่องเมื่อครู่ไม่ได้เกิดขึ้น แล้วไหนจะเก้าอี้ไม้ที่พังนั้นอีก ร่างงามของจวินหงเดินไปยังเก้าอี้ที่พังโดยเอาเท้าเขี่ยมันเล็กน้อย
"รายจ่ายของสำนักเพิ่มขึ้นมาหนึ่งรายการซะแล้วสิ"
"แล้วท่านประมุขไปทำเช่นไรทำให้เก้าอี้ไม้ที่มันสมควรจะอยู่กับพื้นถึงได้ลอยมาเหนือลมเช่นนี้ได้กันขอรับ"
ประมุขคนงามไม่ยอมตอบได้แต่ยกยิ้มด้วยใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยความสุข แต่เขาเดาได้ไม่ยากว่าไปกวนประสาทฮูหยินเป็นแน่ เฮ้อ
"เก้าอี้มีหวังคงพังบ่อยถ้าท่านประมุขกวนประสาทฮูหยินเป็นงานอดิเรกเช่นนี้ ให้ข้าน้อยสั่งเก้าอี้ที่ทำจากเหล็กกล้าดีไหมขอรับอย่างน้อยเวลาโยนหรือกระแทกเสามันจะได้ไม่พังง่าย"
"อย่า .... ไม่งั้นข้าตายแน่"
"ถ้าเช่นนี้ก็เบางานอดิเรกลงบ้างนะขอรับ เชิญไปดูอาวุธได้แล้วขอรับ"
จวินหงยกยิ้กพร้อมกับยักไหล่เล็กน้อยก่อนที่เดินนำหน้ารองประมุขสำนักเพื่อไปช่วยดูเรื่องอาวุธที่ว่าเกินมา สุดท้ายก็จบลงตรงที่เอาอาวุธที่เกินมาคืนสำนักตงไป จากนั้นก็ชวนประมุขสำนักตงหรือต๋าจินเป่ามาร่วมโต๊ะอาหารเย็นที่มีต้าต่านมาร่วมด้วย ส่วนจางจิ้งนั้นลืมตัวว่าตนอยู่ในฐานะอะไรโชคดีที่ฮุ่ยเหมยพาอีกฝ่ายไปทานอาหารอีกห้องหนึ่งก่อนที่จะเดินไปนั่งลงที่โต๊ะร่วมกับประมุขสำนัก จางจิ้งหน้านิ่วคิ้วขมวดมองอาหารบนโต๊ะที่ดูดีเหมือนกันแต่สถานที่ไม่ได้สวยเหมือนกับทางนั้นหันไปมองฮุ่ยเหมยที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเขาก่อนเอ่ยปากถาม
"อะไรกัน ข้าเป็นถึงบุตรชายคนโตของสำนักเป่ยทำไมให้ข้ามานั่งนี่"
แม้จะไม่พอใจแต่ก็จับตะเกียบคีบอาหารใส่ถ้วยข้าวของตัวเอง อีกอย่างห้องนอนของเขาก็แทบจะเหมือนกับพวกเด็กในสำนักด้วยแม้จะสบายกว่าก็ตาม
"คุณชายจางจิ้ง แม้ว่าท่านจะเป็นบุตรชายของสำนักเป่ยแต่ท่านมาอยู่สำนักเพ่ยในฐานะลูกศิษย์ของท่านประมุขจะร่วมโต๊ะกันได้อย่างไร"
"แล้วทำไมต้าต่านถึงร่วมโต๊ะได้ละ"
"คุณชายจางจิ้งท่านคงไม่ลืมว่าคุณชายต้าต่านบัดนี้คือฮูหยินของท่านประมุข ภายในสำนักฮูหยินเองก็มีอำนาจรองลงมาจากท่านประประมุขแล้วก็อยู่เหนือกว่าข้าแล้วก็ท่าน"
จางจิ้งได้ยินที่ฮุ่ยเหมยพูดก็วางตะเกียบลงภาพที่เขาเห็นในห้องนั้นมันยังติดตาเขา ถึงแม้จะรู้ว่าเขาเองก็เสียมารยาทที่เข้าไปแบบนั้นเพราะเห็นว่าประตูเปิดอยู่เพื่อให้ฝุ่นออกจากห้องแต่ใครจะคิดเล่าว่าต้าต่านจะหื่นกามขนาดที่ว่าพระอาทิตย์ยังไม่ตกดินก็คิดจะปล้ำคนงามเสียแล้ว เอาเถอะเป็นเขาก็คงหักห้ามใจได้ยาก จวินหงกลิ่นกายก็หอมไหนจะใบหน้าที่งดงามนั้นอีก ผิวก็ขาวเนียนละเอียด สัมผัสเพียงแค่มือยังรู้สึกได้ถึงความนุ่มของผิวเลย แล้วเขาจะมาคร่ำครวญอะไรในเมื่อทั้งสองคงเป็นของกันและกันตั้งแต่คืนเข้าหอแล้ว....
ไม่สิ!
ต้าต่านจะต้องขืนใจและรังแกคนงามในคืนเข้าหอเป็นแน่! เพราะตอนที่เขาเห็นต้าต่านกำลังกดร่างงามลงไปกับเตียงด้วยแรงที่มหาศาล เขาตกใจเลยรีบเดินออกมาทำไมเขาไม่ช่วยกัน
"ท่านรองประมุขข้าจะช่วยอาจารย์ให้รอดพ้นให้ได้เลยคอยดู"
ฮุ่ยเหมยที่เพิ่งจะกลืนข้าวลงคอได้ยินที่คุณชายจางจิ้งพูดกับตนด้วยนำเสียงจริงจังว่าจะช่วยประมุขสำนักให้รอดพ้น เขาเลยทำเป็นพยักหน้ารับไปถึงแม้จะไม่เข้าใจว่าจะช่วยให้รอดพ้นจากอะไรก็ตาม
อาหารมื้อเย็นไม่มีอะไรมากนัก ตอนแรกต้าต่านคิดว่าอาหารของสำนักเพ่ยเขาคงทานไม่ได้เพราะดูแล้วจะทานอาหารรสไม่จัดเหมือนที่เขาชอบแต่พอได้ทานมันก็ทำให้เขาแอบประหลาดใจเพราะรสชาติของอาหารไม่ได้รสจัดมากแต่ก็เข้มข้น แล้วอีกอย่างเขานึกว่าคนสำนักนี่จะทานแต่ผักกัน แต่เปล่าเลยพวกเนื้อก็ทำออกมาดีจนเขากินเพลินไม่ได้สนใจว่าสองประมุขพูดคุยอะไรกันบ้าง แล้วอีกอย่างเขาก็รีบทานแล้วจะได้ไปอาบน้ำก่อนคนงามจะเดินตามมาแล้วจะอ้าปากขออาบน้ำด้วยหรือทำอะไรไม่เข้าท่า
เขาไม่อาจจะไว้วางใจได้ว่าอีกฝ่ายจะกวนประสาทหรือเล่นสกปรกอะไรกับเขาอีก
พอเขานั่งให้อาหารในท้องย่อยพอสมควรก็ไปอาบน้ำสวมเสื้อพร้อมนอนแล้ว ด้านนอกแสงพระอาทิตย์ยังไม่หมดเพราะช่วงนี้คือช่วงฤดูร้อนเลยทำให้กว่าท้องฟ้าจะมืดก็ใช้เวลาอยู่สักพัก แม้ว่าเขาอยากจะทำเป็นหนีหน้าโดยการหลับก่อนแต่ถ้าเขาหลับก่อนอีกฝ่ายอาจจะทำอะไรเขาก็ได้เพราะฉะนั้นเขาเลยนั่งทำเป็นรอ แต่จนแล้วจนรอดอีกฝ่ายไม่เห็นกลับมาที่ห้องสักที ความง่วงนอนกำลังกัดกินจิตใจอันแน่วแน่ อาจจะเพราะเมื่อตอนเช้าที่เอาเก้าอี้ไล่ฟาดโจรภูเขาเลยดูสึกเพลียก็เป็นได้ ต้าต่านอ้าปากหาว มองดูตอนนี้น่าจะดึกมากแล้ว
"จวินหงมัวทำอะไรของเขาอยู่ ข้าง่วงจะตายแล้วเนี่ย"
จะหลับก่อนก็อันตราย ต้าต่านเลยตัดสินใจเดินออกจากห้องเพื่อไปดูว่าอีกฝ่ายทำอะไรทำไมไม่กลับห้องมานอนเสียที แม้ว่าเขาจะมาที่สำนักเพ่ยได้ไม่นานเขาก็จำได้ว่าห้องไหนเป็นห้องอะไรแล้วเดินไปตรงไหนบ้างจากความจำดีของเขา แล้วอีกอย่างสำนักเพ่ยเองก็ไม่ได้กว้างมากหรือสร้างซับซ้อนจนเกินไป ถ้าหากเขาจำไม่ผิดห้องทำงานของจวินหงน่าจะอยู่ไม่ไกลจากห้องส่วนตัวโดยการเดินผ่านห้องตำรากับห้องเก็บตำราไปอีก ว่าแล้วต้าต่านก็เดินไปที่ห้องทำงานทันทีโดยเขาคาดเดาไว้ว่าอีกฝ่ายต้องอยู่ที่ห้องนั้นแน่ ระหว่างทางเด็กสำนักที่มีทั้งหญิงและชาย แต่ผู้หญิงจะมีน้อยมาก ต่างมองเห็นเขาก็พากันตาโตแล้วก้มหน้าลงต่ำทันที เหล่าบ่าวไพร่ในสำนักเองก็เช่นกัน แม้ต้าต่านจะไม่เข้าใจแต่พอมาถึงห้องทำงานที่มีไฟสว่างอยู่ก็ตัดสินเปิดประตูเข้าไปด้านในทันก็พบว่าคนงามกำลังยืนอ่านอะไรบางอย่างอยู่ตรงโต๊ะทำงานของตนที่ทีม้วนกระดาษและสมุดอะไรไม่รู้เต็มไปหมด
"เมื่อไรเจ้าจะกลับห้องไปนอนสักที มาขยันอะไรตอนนี้"
จวินหงที่ทิ้งงานไปหลายวันกลับมาวันแรกงานก็ท่วมหัวเสียแล้ว ทั้งงานเรื่องของสำนัก ไหนจะจดหมายที่สำนักอื่นๆ ส่งมาหาเขา แล้วไหนจะต้องจัดตารางวันที่จะไปออกงานจากจดหมายเชิญ ร่วมถึงจดหมายจ้างงานต่างๆ อีก ถ้าหากเขาทำงานวันนี้ได้มาก วันต่อไปเขาจะได้เบางานลง อีกอย่างฮุ่ยเหมยเองก็มีงานที่เขามอบหมายให้ก็เยอะมากพออยู่แล้ว แม้จะหัวหมุนแค่ไหนพอได้ยินเสียงที่คุ้นหูเรียกก็ต้องหันไปมองและเมื่อได้เห็นร่างชายหน้าหล่อที่เป็นภรรยาของตนในชุดนอนที่บางจนน่าใจหายแม้กางเกงที่สวมจะหนากว่าเสื้อที่ใส่ก็เถอะ ทำเอาดวงตาคู่สวยเป็นประกายเบิกกว้างไม่ได้ อย่าบอกนะว่าภรรยาของเขาเดินมาทั้งชุดนอนแบบนี้
"นี่เจ้า...เดินมาห้องทำงานข้าทั้ง ๆ ชุดนอนนี่งั้นรึ"
ต้าต่านที่ถามอีกฝ่ายว่าเมื่อไรจะกลับไปนอนเขาจะได้ไม่ต้องมามัวระแวงกลับถูกอีกฝ่ายถามกลับด้วยคำถามที่เขาไม่เข้าใจเท่าไร ก็เขาจะนอนแล้วจะให้ใส่ชุดออกงานรึ
"อ้าว ก็ข้าจะนอนแล้วไง นี่ข้าอุตส่าห์รอนอนพร้อมเจ้าเลยเชียวนะ"
อันที่จริงเขาไม่กล้านอนก่อนต่างหาก ต้าต่านมองคนงามที่มองเขาด้วยสีหน้าที่ดูตกใจอะไรไม่รู้ พอเห็นใบหน้างดงามที่แม้จะเป็นแสงเทียนที่อยู่ภายในตะเกียงก็ยังไม่สามารถทำลายความงดงามได้เลย ต้าต่านเองก็แอบเสียดายที่เขารู้จักอีกฝ่ายช้าไปไม่งั้นเขาเองก็คงเกี้ยวมาเป็นภรรยาและคงไม่พูดอะไรแบบนั้นที่โรงเตี้ยมเป็นแน่เพราะอาจจะเอาเวลาตรงนั้นมาเกี้ยวอีกฝ่ายก็เป็นได้ เสียดายตรงที่เขาดันมาแพ้แถมยังเป็นภรรยานี่สิ พอจะพยายามพลิกตัวเองให้อยู่เหนือคนงามให้ได้ก็ดันเป็นคนเจ้าเล่ห์เล่นสกปรกอีก
อ่า เขาจะต้องหย่าให้ได้ไม่งั้นเขาจะพลาดหาคนรักหรือคู่แท้ที่สวรรค์ขีดเส้นให้กับเขาเป็นแน่
ต้าต่านที่กำลังตัดพ้อทุกอย่างในชีวิตอยู่นั้น ร่างงามของจวินหงก็ถอดเสื้อคลุมของตัวเองออกแล้วเดินเข้าไปหาภรรยาก่อนที่จะจัดการสะบัดเสื้อคลุมเพื่อคลุมร่างของอีกฝ่ายแต่ทว่าภรรยาคนหล่อนั้นกลับสะดุ้งแล้วสะบัดตัวเองออกห่างอย่างรวดเร็วก่อนที่เขาจะได้เอาเสื้อคลุมไปใกล้เสียอีก
"เจ้าคิดจะทำอะไรน่ะ"
นี่ตกลงไม่รู้ตัวเลยใช่หรือไม่ว่ากำลังทำอะไรอยู่
"สวมเสื้อคลุมให้เจ้า"
"สวมเสื้อคลุมให้ข้า? เฮอะ จะสวมให้ข้าทำไม อากาศก็ยิ่งร้อนๆ อยู่ ข้าไม่สวม เอาเสื้อเจ้าออกไปห่างๆ ข้า"
ต้าต่านตกใจที่อยู่ ๆ คนงามก็เอาเสื้อคลุมสีขาวของตนมาสวมให้กับเขาพอมองใบหน้างดงามตอนนี้ผ่านแสงเทียนในตะเกียงที่ทำให้ห้องสว่างที่ไม่ได้ทำลายความงามบนใบหน้าจวินหงลดลงเลยแต่สิ่งที่แปลกไปก็คืออีกฝ่ายทำหน้าไม่พอใจใส่เขา ครั้งแรกเลยละมั้งที่ต้าต่านเห็นคนงามทำหน้าอย่างอื่นเป็นด้วย ปกติเห็นแต่ยิ้ม ไม่ยิ้มน้อยก็ยิ้มเยอะ ตอนนี้ไม่มีแต่สักรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าเลย
"ข้ารู้ว่าเจ้าและข้าต่างก็ผู้ชายเหมือนกัน เจ้าเองก็ใช้ชีวิตเป็นจอมยุทธ์มาโดยตลอด เลยไม่ได้คิดถึงเรื่องหนึ่งเมื่อเจ้าเข้าสู่การเป็นภรรยาแล้ว แม้ว่าข้าจะไม่ชอบการกดขี่หรือการยกสามีคือผู้เป็นใหญ่ที่สุด แต่ข้าก็ชอบกฎบางกฎที่ผู้เป็นภรรยาต้องพึงกระทำตาม อย่างเช่นกฎที่ว่าห้ามแต่งกายโชว์เนื้อหนังมังสาหรือสวมเสื้อไม่มิดชิดให้ชายอื่นได้เห็นนอกจากสามี"
ต้าต่านได้ยินคนงามพูดถึงกฎของภรรยาที่ควรกระทำเขาจำได้ว่าท่านแม่ซูหนี่เคยพูดให้ฟังแต่เขาฟังมันแบบผ่านหูซ้ายทะลุหูขวาเพราะบางกฎฟังแล้วมันไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย แล้วยิ่งมาฟังจากคนงามที่ใช้น้ำเสียงกดต่ำบอกถึงกฎบ้านี่กับเขาอีกยิ่งทำให้เขารู้สึกมันบ้าบอสิ้นดี
"เฮอะ แล้วจะทำไม ข้าคือต้าต่านแล้วข้าก็คือผู้ชายร่างกายก็ผู้ชาย จะมีชายที่ไหนมาสนใจคิดมิดีมิร้ายกับข้าหรือถ้าเป็นเจ้าก็ว่าไปอย่าง ชิ"
เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมต้องทำตามกฎอะไรนั้นด้วยร่างกายของเขาแม้จะสมส่วนดูดีมีกล้ามหน้าท้องพอสมควร การที่จะมีผู้ชายมามองก็ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาแต่ถ้าให้ดีต้องเป็นหญิงสาวมองเขาว่ามันน่าจะเข้าท่ามากกว่า
"ใช่ ถ้าเป็นข้าก็ว่าไปอย่าง"
อยู่ ๆ จวินหงก็พูดซ้ำกับประโยคที่เขาไปพูดออกไปแม้จะไม่ได้ตรงเป๊ะก็ตาม คนงามของประมุขสำนักเพ่ยค่อยๆ ย่างกายเข้ามาหาจนต้าต่านรู้สึกได้ถึงแรงกดดันอะไรสักอย่างที่มาจากอีกฝ่าย ทำให้ชายหนุ่มจากตระกูลเถียนเผลอก้าวเท้าถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว ปากสวยที่ยังคงคงามแดงระเรื่อแม้จะดึกแล้วบัดนี้ได้ยิ้มออกมาอีกครั้งและพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลและช้าๆ เหมือนเท้าที่ค่อยๆ ก้าวเข้ามา
"ชายอื่นอาจจะไม่สนใจเจ้าหรือไม่ได้คิดจะมอง...." ต้าต่านมองดวงตาสวยที่ไล่ระดับสายตาจากหน้าของเขาไปจนถึงเวลาต้นขามันเป็นสายตาที่ทำให้เขารู้สึกหวงร่างกายตัวเองแปลกๆ จากนั้นจวินหงก็พูดขึ้นมาต่อจากประโยคเมื่อครู่ให้จบ " ...เรือนร่างของเจ้า ซึ่งนั้นมันก็คือชายอื่น แต่ชายที่เจ้าควรระวังที่สุดคือชายที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้"
กว่าต้าต่านจะรู้ตัวเองว่าตนเองเผลอก้าวเท้าถอยหลังก็ตอนที่หลังของตนมันติดกับชั้นวางม้วนกระดาษแล้ว มือสวยที่จับเสื้อคลุมยื่นมาให้กับเขา
"เจ้าจะสวมเสื้อคลุมข้าหรือจะให้ข้าฉีกสัญญาตัวเอง"
ดวงตาเรียวคมมองเสื้อคลุมที่อยู่ในมือก่อนที่จะเลื่อนสายตามองขึ้นไปยังใบหน้างดงามที่มองเขา ยิ่งแววตาคู่นั้นแล้วที่กำลังบ่งบอกว่าคำพูดเมื่อกี้ไม่ได้พูดเล่น
เอาจริงสินะ
แต่ถ้าเขาทำตามอีกฝ่าย นั้นก็หมายความว่าเขากลัวและยอมน่ะสิแล้วคนอย่างจวินหงคงจะใช้ข้ออ้างพวกนี้มาใช้กับเขาอีกแน่ ต้าต่านยกแขนมากอดอกเชิดหน้าใส่คนงามทันทีอย่างไม่หวั่นเกรงใดๆ
"แล้วทำไมข้าต้องยอมทำตามกฎบ้าๆ นั้นด้วย ข้าคือต้าต่านและต้าต่านในความหมายของข้านั้นก็คืออิสระ ข้าอยากทำอะไรข้าก็จะทำ ข้าจะสวมเสื้อผ้าแบบไหนข้าก็จะสวม ถ้าหากเจ้าคิดจะทำอะไรมิดีมิร้ายกับข้าก็เตรียมรับมือดีๆ ละ ข้าเองก็สู้ยิบตาเหมือนกัน"
สิ้นเสียงของเขาก็ได้ยินเสียงถอนหายใจของคนงามทันที รอยยิ้มบางๆ ที่ประดับบนใบหน้างามหายไป เป็นไงละ คิดจะสู้กับเขามันยังต้องใช้เวลาแม้ว่าต้าต่านผู้นี้จะไม่เก่งด้านสู้ทางวาจาแต่ถ้าให้กวนประสาทกลับเขาก็ทำได้ ตอนนี้เขารอดูว่าท่านประมุขคนงามจะทำอย่างไร เพราะเขาเองก็ดื้อพอสมควรด้วย เขาไม่ยอมทำตามกฎบ้าๆ นั้นแน่ ขอบคุณในความดื้อของเขาที่ติดตัวมาแบบนี้เลยจริงๆ
"ถ้าเช่นนั้นข้าคงไม่พูดอ้อมค้อม"
ต้าต่านเตรียมเอนหูฟังว่าอีกฝ่ายจะเล่นงานทางวาจาอะไรกับเขาต่อ ประโยคเถียงตอนนี้อยู่ในหัวเต็มไปหมดเลยทีเดียว
"ข้าหวง"
........บุตรชายคนโตแห่งสำนักตระกูลเถียนต้องตกแต่งเป็นภรรยาให้กับสำนักตระกูลเพ่ยจากปากพาจนที่กำลังเรียงประโยคเถียงในหัวว่าจะใช้ประโยคอะไรออกมาถ้าอีกฝ่ายเอ่ยกฎบ้าๆ ใส่หรือพูดอะไรทำนองขู่ เขาจะได้งัดออกมาใช้ได้เลย แต่ทว่าคำพูดของคนงามที่ออกมาจากปากสวยนั้นทำเอาประโยคเถียงถึงกลับกระจุยหายไปในทันทีเหมือนโดนปืนใหญ่ยิงก็ไม่ปาน แล้วที่กระจุยหายไปไม่ใช่แค่ประโยค มันรวมถึงสติของเขาด้วย กว่าจะรู้สึกก็ตอนที่ร่างงามเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับดึงเขาออกมาห่างจากชั้นวางม้วนกระดาษจัดการเอาเสื้อคลุมสีขาวมาคลุมร่างกายของเขาพร้อมกับกระชับเสื้อคลุมให้อยู่บนไหล่ว่ามันจะไม่เลื่อนหลุด
"ข้ายอมแพ้เจ้าแล้ว แต่ข้าขออย่าได้สวมเสื้อเช่นนี้ออกไปไหนมาไหนอีกได้หรือไม่...ข้าหวง"
ใบหน้างามที่ใกล้จนได้กลิ่นหอมที่ดึกขนาดนี้กลิ่นยังไม่จางกำลังทำหน้าขอร้องอ้อนวอนเขาไหนจะน้ำเสียงอ่อนลงต่างจากเมื่อครู่อย่างมาก ไหนจะสัมผัสอ่อนโยนตอนที่สวมเสื้อคลุมให้ ไหนจะแววตาที่มองมา แม้เขาจะอ่านชายงามตรงหน้าไม่ค่อยออกแต่แววตาคู่งามที่สบกับเขานั้นกำลังขอร้องและมันดูจริงออกมาจากใจ
อ่า ช่างใช้ของดีในตัวออกมาได้ถูกเวลาเสียจริง เล่นเอาทำอะไรไม่ถูกเลย
ต้าต่านรีบดึงสติตัวเองกลับมาแล้วผลักร่างงามเบาๆ ให้ออกไปห่างจากตัวของเขา ให้ตายเถอะความงามมันช่างอันตรายเสียจริงเล่นเอาหัวใจของเขาสั่นแปลกๆ จนเกือบหายใจไม่ออกเลยทีเดียว
"เอาเป็นว่าข้าเข้านอนก่อนไม่รอเจ้าแล้ว เชิญนอนกอดงานเจ้าไปเถอะ"
พูดจบร่างคุณชายจากตระกูลเถียนหรือฮูหยินเพ่ยก็สะบัดตัวเองออกไปจากห้องทำงานของประมุขสำนักทันที ทำเอาคนงามหรือเจ้าของห้องมองภรรยาที่เดินออกไป ปากสวยยกยิ้มออกมาอย่างพอใจกับผลลัพธ์ที่ได้ คนอย่างต้าต่านมีอีกวิธีที่เขาสามารถเอาชนะได้ไม่อยากก็คือ อย่าแข็งกลับ อ่อนได้อ่อน เพราะต้าต่านคือชายที่ไม่ต่างอะไรกับเหล็กกล้าถ้าเอาไฟเผาก็ยิ่งแกร่ง แล้วอีกอย่างเขาไม่อยากจะสู้หรือใช้กำลังกับอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
"เกี้ยวภรรยาตัวเองก็สนุกดี"
ต้าต่านที่เดินออกมาจากห้องทำงานจนมาถึงห้องนอนก็นั่งกระแทกก้นลงบนเตียงนอน ที่ดีมันนิ่มไม่งั้นคงเจ็บเป็นแน่เพราะในหัวของเขาระหว่างทางก็คิดถึงเรื่องที่ทำไมตัวเขาถึงได้เป็นเช่นนั้นได้ มือเรียวยกมือขึ้นมาจับเสื้อคลุมสีขาวที่คลุมอยู่บนไหล่ ช่างเป็นเนื้อผ้านุ่มลื่นที่เกิดจากการซักผ้าอย่างดีร่วมถึงการทอที่ประณีตบนเสื้อคลุมยังมีกลิ่นหอมของจวินหงที่ติดมาด้วยมันเป็นกลิ่นอ่อนๆ ไม่ได้กลิ่นหอมเหมือนชายหญิง ณ หอคณิกา ที่เขาเคยแอบเข้าไปเพื่อทำงานล่าปีศาจที่ปลอมแปลงเป็นมนุษย์ ขนาดแม่ของเขาว่ากายหอมแล้วยังสู้ไม่ได้เลย
หมอนั่นตัวหอมขนาดได้ยังไงกัน
ต้าต่านดึงผ้าคลุมออกมาจากไหล่ของตัวเองแล้วปามันไปยังปลายเตียงด้วยอารมณ์ที่สับสนและหงุดหงิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองตอนที่อยู่ห้องทำงานของจวินหง
"เจ้านั้นต้องท่องคาถาอะไรใส่ข้าตอนที่กำลังเรียงประโยคอยู่ในหัวเป็นแน่"
มันจะต้องเป็นวิชาลับอะไรสักอย่างของสำนักเพ่ยนี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมถึงมีคนมาสนใจและคิดจะเกี้ยวจวินหง ไม่ได้การ! เขาจะต้องระวังตัวให้มากกว่านี้เพราะอย่างไรซะเขาไม่มีทางที่จะ.....
'ข้าหวง'
"ย้าก! " ต้าต่านแหกปากตัวเองออกเสียงดังแต่ไม่ได้ดังมากจนคนด้านนอกได้ยินแล้วจะวิ่งเข้ามา ที่ต้องใช้เสียงช่วยเพราะหัวของเขากำลังคิดถึงคำพูดของอีกฝ่าย ไหนจะใบหน้างดงามนั้นอีก ไม่! ไม่มีทาง!!!! จวินหงจะต้องร่ายคาถาอะไรสักอย่างใส่เขาเป็นแน่ ไม่ได้การแล้วเขาต้องรีบเข้านอน คาถาบ้าๆ นั้นอาจจะยังอยู่ก็ได้
แล้วทำไมเขาเหมือนรู้สึกแพ้ทั้งๆ ที่จวินหงเป็นคนพูดออกมาเองมาว่ายอมแพ้เขา
ทำไมกัน!
ฝากไว้ก่อนเถอะจวินหง!
ความคิดเห็น