คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Death 5 : ความจริงที่น่าสมเพช
ในที่สุดเวอซิฟาเรียก็ยอมกล่าวออกมา นั่นก็คงจะเป็นเพราะทนความเจ็บปวดของบาดแผลที่ข้าสร้างให้ไม่ไหว ซึ่งเรื่องทรมานเพื่อเรียกเอาความจริงออกมามันก็เป็นของถนัดของเหล่าปีศาจอย่างพวกข้าเช่นกัน เวอซิฟาเรียได้พูดเรื่องราวของตนเริ่มตั้งแต่ก่อนหน้าที่ข้าจะตื่นขึ้นหลายอาทิตย์ก่อน หลายอาทิตย์ก่อนบนสวรรค์เวอซิฟาเรียได้ถูกปลดลงจากตำแหน่ง 10 เทพเพราะการที่มีเทพองค์ใหม่ที่มีความสามารถมากกว่ามาทดแทน เทพตนนั้นทั้งหนุ่มกว่าและดูเหมือนว่าจะมีพลัง และ การวางแผนที่เฉียบขาด มากกว่าเวอซิฟาเรียอยู่หลายขุมเลยทีเดียว หลังจากที่เทพตนนั้นได้รับตำแหน่งเพียงไม่นานเขาก็ทราบถึงเรื่องราวในการตื่นขึ้นของข้า
“ เวอซิฟาเรีย เจ้าจงลงไปกำราบเจ้านั่นซะ ” เวอซิฟาเรียพูดให้ข้าฟัง
นี่นะหรือสิ่งที่เทพผู้มีอายุน้อยกว่าพูดกับเทพที่มีความอาวุโสกว่า ข้าก็เคยบอกแล้วสวรรค์นะมันมีความชั่วร้ายปะปนอยู่ไม่ต่างกับโลกมนุษย์ หรือ โลกที่พวกข้าอยู่นักหรอก เวอซิฟาเรียองก็สามารถที่จะรับรู้ได้ถึงเจตนารมณ์ที่แท้จริงของเทพองค์นี้ได้อย่างแน่นอน เสือสองตัวย่อมที่จะอยู่ถ้าเดียวกันไม่ได้ และนี่คือจังหวะเหมาะสมมากที่สุดที่จะกำจัดเวอซิฟาเรียทิ้ง เวอซิฟาเรียเดินทางลงมายังโลกมนุษย์ด้วยร่างสมัยที่เคยได้ต่อสู้กับข้าแต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมนั่นก็คือ อายุขัย ของเทพตนนี้นั่นเอง แน่อนการต่อสู้มันรู้ผลตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เนื่องจากข้าเป็นผู้ที่ตื่นจากการผนึกทำให้สภาพร่างกาย และ พลังของข้า ไม่ต่างกับสมัยก่อน เพราะพลังในการสะกดข้าไว้นั่นเอง
เวอซิฟาเรียมาสู้กับข้าทั้งๆที่รู้ว่าเขาจะต้องเป็นฝ่ายแพ้และหายไปจากสมุดรายชื่อของเทพอย่างแน่นอน แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงทำตามที่หัวหน้าซึ่งเคยเป็นตำแหน่งของเขามาก่อนได้สั่งเอาไว้ ข้าเองยังอดที่จะชื่นชมในการกระทำของเวอซิฟาเรียไม่ได้จิงๆ แต่เทพและปีศาจไม่อาจจะอยู่ร่วมกันได้
“ จบแล้วสินะ เวอซิฟาเรีย เรื่องที่เจ้าเล่าให้ข้าฟังมีเพียงเท่านี้ใช่ไหม ” ข้าพูดพร้อมกับปล่อยมือออกจากศีรษะของเวอซิฟาเรีย ทำให้หัวของเขากระแทกกับพื้นอีกครั้ง
“ ข้าชื่นชมในหัวใจของเจ้าดังนั้นข้าจะใช้ เวทแห่งความมืดอันสูงส่ง ลบชื่อของเจ้าละกัน ” ข้าพูดพร้อมกับพายมือออกด้านข้าง
“ ความมืดเอ๊ย จงคลอบคลุมพสุธา จงปลุกผู้ที่เคยสิ้นลมหายใจ ณ บริเวณนี้ขึ้นมา รับสหายคนใหม่ไปอยู่กับพวกเจ้าด้วย เถิด ”
หลังจากที่ข้าร่ายคาถาแห่งความตายของข้าเสร็จ ตัวแทนแห่งความมืดนั่นก็คือสีดำได้ทอดยาวจากตัวข้าคลุมเอาถนนไปเป็นแนวยาว จากนั้นบริเวณพื้นที่เวอซิฟาเรียนอนอยู่ก็ได้มีมือเหล่าซากศพจำนวนมากโผล่ขึ้นมาก่อนที่มือพวกนั้นจะกอดเอาร่างของเทพแห่งแสงไว้
“ ลาก่อน เวอซิฟาเรีย ” ข้าพูดพร้อมกับหันหลังให้กับร่างของเทพที่ครั้งหนึ่งเคยยิ่งใหญ่มาก่อน
จากพื้นที่แข็งแรงเนื่องจากทำมาจากปูน บัดนี้มันกลายสภาพเป็นเหมือนกับหนองน้ำซึ่งเหล่ามือที่กอดร่างของตัวแทนแห่งแสงกำลังค่อยๆกดร่างของเขาให้จมหายลงไป หลังจากที่ร่างของตัวแทนแห่งแสงจมหายลงไปในความมืดมิดนั้น ความมืดที่ทอดยาวก็ได้หายไปพร้อมๆพื้นถนนที่กลับมาแข็งเหมือนเดิม
“ ซาน เจ้าได้ยินสิ่งที่ เวอซิฟาเรีย พูดใช่ไหม ” ข้าพูดกับซานที่ถูกผนึกไว้ในจิตใจอีกด้านหนึ่ง
“ ได้ยินสิ ข้าเองก็ไม่เคยคิดไว้เลยว่าโลกแห่งสวรรค์ที่ใครๆก็อยากไป มันเป็นแบบนี้ ” ซานตอนข้ากลับมาด้วยน้ำเสียงที่มัวหมอง
“ สวรรค์นะ มันยังมีสิ่งไม่ดีอีกตั้งมากมาย ขอให้ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้ มันก็ไม่มีค่าอะไรต่างกันแล้วละ ” ข้าพูดก่อนที่จะสลับเอาเจ้าของร่างที่แท้จริงออกมา
หลังจากที่ผมได้กลับออกมาผมก็รีบเดินตรงกลับบ้านโดยไม่สนใจร่างของเวอซิฟาเรียที่อยู่ในถนนเลยแม้แต่น้อย เทพผู้ส่งเมื่อครั้งอดีตกาลบัดนี้ได้ถูกหลอมรวมไปกับพื้นดินที่แสนต่ำต้อยหาได้สูงส่งเช่นเดียวกับท้องฟ้าไม่ เทพที่ไม่เคยมีใครอาจเอื้อมไปถึง กลับต้องมาถูกผู้คนที่สัญจรเหยีบย่ำ ผมกลับถึงห้องของผมพร้อมกับอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วล้มตัวลงนอนบนเตียงไม้ของผมทันที ความเหนื่อยล้าถูกแสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัด ร่างกายของผมปวดเมื่อยไปหมด แขนทั้ง 2 ข้างของผมแทบจะยกไม่ขึ้นเลยทีเดียวละ เพนดาสีขาวสะอาดที่อยู่เหนือหัวของผมไม่ว่าจะมองกี่ครั้งมันก็ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายได้ทุกครั้ง ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร ดวงตาของผมค่อยๆปิดลงอย่างช้า ก่อนที่ผมจะหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน
“ ซาน .... ” เสียงอันแหบพร่าดังขึ้นในสมองของผมขณะที่ผมกำลังหลับอยู่
ผมค่อยๆลุกขึ้นมาด้วยสภาพที่งัวเงียมือข้างหนึ่งของผมถูกยกขึ้นมาเพื่อขยี้ดวงตาของผมก่อนที่ผมจะค่อยๆลืมตาเพื่อมองสภาพห้องที่ผมคุ้นเคย แต่แล้วสภาพห้องที่ผมเห็นมันก็ได้เปลี่ยนไปจากเดิม ผนังห้องของผมกลายเป็นสีแดงฉานดุจหยาดโลหิต พื้นห้องถูกปูด้วยความมืดสีดำสนิท ปลายเตียงของผมมีร่างของชายคนหนึ่งผมสีทองยาวจนถึงหลัง
บริเวณศรีษะมีเขาสีดำสนิทโค้งงอมาข้างหน้า บริเวณกลางหน้าผากมีอัญมณีสีแดงสดเป็นรูปวงรีวางตัวอยู่ในแนวตั้ง ดวงตาเป็นสีแดงแหลมเล็กและไม่มีแววตา ร่างของเขาใส่เกราะสีดำสนิททั้งตัว เกราะบริเวณไหล่ของเขามีลักษณะคล้ายกับจงอยปากนกบริเวณขอบมีลวดลายของเถาวัลย์สีทองประดับอยู่โดยรอบ เกราะบริเวณตัวถูกออกแบบเหมือนกับเกราะอัศวินทั่วไปเช่นเดียวกับเกราะบริเวณแขน บริเวณมือนั้นถูกหุ้มด้วยถุงมือเหล็กและบริเวณนิ้วก็ถูกทำให้แหลมคราวกับกรงเล็บของสัตว์ป่า บริเวณข้างหลังถูกคลุมด้วยผ้าคลุมสีแดงยาวลงมาจนถึงน่องซึ่งสภาพของมันแสดงให้เห็นว่าผ่านการใช้งานนับไม่ถ้วน บริเวณส่วนล่างนั้นใส่เป็นกางเกงขายาวสีดำ รองเท้าเป็นบูทเหล็กสีดำเช่นเดียวกับสีโดยรวมของเกราะ
“ แกเป็นใคร ” ผมพูดอย่างตกใจพร้อมกับรีบลุกขึ้นพร้อมตั้งท่าเตรียมที่จะต่อสู้
“ ข้าเอง เดธ ราชาแห่งความตายที่อยู่ในร่างของเจ้า ” ชายคนนั้นหันมาตอบกับผม
นี่คงเป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นร่างจริงๆของเดธ ร่างของเขามันช่างดูสง่างามสมกับที่เป็นแม่ทัพแห่งเหล่าปีศาจจริงๆ เดธค่อยมานั่งตรงปลายเตียงของผมพร้อมกับมองมาที่ผม ซึ่งเพียงแค่เขาจ้องมองผมมันก็แทบที่จะทำให้ผม
รู้สึกอึดอัดในแรงกดดันของเขา เดธค่อยอ้าปากปากพูดทำให้ผมสามารถเห็นเขี้ยวที่แหลมคมของเขา
“ คืนนี้เป็นคืนพระจันทร์สีเลือดซึ่งหาได้ไม่บ่อยนัก ” เดธพูดแล้วโบกมือไปทางด้านข้างทำให้ผ้าม่านในห้องของผมเปิด ภาพที่ผมเห็นนั่นก็คือท้องฟ้านั้นไร้แสงจากดวงดาวทำให้ทุกอย่างดูมือสนิทไปในทันที ดวงจันทร์มีสีแดงสดจนดูน่ากลัว
“ คืนพระจันทร์สีเลือด ข้าจะได้รับพลังมากกว่าปกติทำให้ตัวข้าสามารถที่จะออกมานอกร่างของเจ้าได้ ” เดธพูดกับผมทำให้ผมกหันกลับไปมองเขาอีกครั้ง
“ คืนนี้เหล่าปีศาจจะมีพลังที่สมบูรณ์แบบที่สุดในรอบชีวิต ” เดธพูดแล้วลุกขึ้นพร้อมกับเดินตรงไปยังหน้าต่าง
“ แล้วมันหมายความยังไงเหรอ เดธ ” ผมลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินตรงเข้าไปหาเดธทั้งๆที่ความกลัวยังแผ่อยู่ทั่วร่างของผม
“ ล่าไงละ ” เดธหันกลับมาพูดกับผมพร้อมกับยิ้มให้
“ ล่า ” ผมทวนคำพูดของเดธก่อนที่เดธจะจับมือผมแล้วหายตัวออกไปจากห้อง
ร่างของผมได้ปรากฏขึ้นอีกครั้งบริเวณดาดฟ้าของหอพักที่ผมเช่าอยู่ เดธมองอาคารเบื้องล่างอย่างพิจารณาเนื่องจากเขาไม่เคยเห็นพวกสิ่งก่อสร้างเหล่านี้มาก่อน เดธมองเมืองอยู่สักพักก่อนที่จะหันมาหาผมพร้อมกับอธิบายคำว่า ล่า ที่เขาได้กล่าวเอาไว้
“ การต่อสู้นับจากนี้มันจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อง เนื่องจากคู่ต่อสู้ของเจ้าไม่ใช่เพียงแค่มนุษย์ แต่ต่อจากนี้ไปจะเป็นเหล่าเทพที่คอยลงมากำจัดข้า ”
“ ดังนั้นข้าอยากที่ให้เจ้าได้ซึมซับพลังของข้าในวันนี้ทั้งหมด จงจดจำการล่ามนุษย์ของข้าเอาไว้ ” เดธพูดพร้อมกับเอามือมาจับที่หัวของผม
ร่างของผมค่อยเลือนลางและจางหายไปในที่สุดซึ่งผมมารู้ตัวอีกร่างของผมก็เข้ามาอยู่ในร่างของเดธเสียแล้ว รอบกายของผมเต็มไปด้วยความมืดแต่ในความมืดนั้นได้มีอัญมณีสีแดงอยู่ตรงกลางซึ่งดูเหมือนจะเป็นตัวแทนของภาพต่างที่ เดธ มองเห็น ซึ่งผมก็ตั้งใจมองสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นอย่างใจจดใจจ่อ
ตัวข้าออกวิ่งผ่านความมืดมืดของรัตติกาลที่มันราวกับว่าทำให้ข้าได้สดชื่นขึ้นอีกครั้ง ร่างของข้ากระโดดจากสิ่งที่มนุษย์สมัยนี้เรียกว่าตึกเพื่อไปยังตึกอีกอันหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลมากนัก เพียงแค่ปลายเท้าของข้าได้สัมผัสตึกฝั่งตรงข้ามข้าก็ใช้แรงอันมหาศาลดีดตัวของข้าต่อไปยังอีกตึกทันที
“ ซาน ข้าสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่าง เจ้าพร้อมรึยังละที่จะชมการต่อสู้ของข้า ” ข้าพูดกับซานที่อยู่ในจิตใจของข้า
ความคิดเห็น