ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    God of Death

    ลำดับตอนที่ #4 : Death 4 : ปะทะกับแสงสว่าง

    • อัปเดตล่าสุด 27 พ.ค. 51


    ดูเหมือนว่าผมนั้นจะถูกปีศาจครอบงำเสียแล้ว ผมรู้สึกโกรธแค้นเหล่าเทพขึ้นมาในทันทีหลังจากที่ เดธ เล่าเรื่องให้ผมฟังจนจบ ในส่วนตัวของผมเองไม่เคยคิดเลยว่าฝ่ายเทพนั้นจะสามารถทำพฤติกรรมที่คล้ายกับปีศาจได้ถึงขนาดนี้ ผมตกลงยอมที่จะรับเอาพลังของ เดธ มาไว้เพื่อที่จำทำให้ เดธ สามารถที่จะมีพลังเพื่อก่อสงครามกับฝ่ายเทพได้อีกครั้ง ซึ่งมันทำให้หลายๆในชีวิตของผมเปลี่ยนไปผมเลิกคบเพื่อนแทบจะทุกคนเนื่องจากผมไม่อยากให้พวกเขามายุ่งเกี่ยวกับผมจนโดดดูดพลังชีวิตจนตาย ผมเริ่มทำตัวเป็นอันธพาลเพื่อที่จะได้สามารถทำร้ายร่างกายเขาจนถึงแก่ชีวิตเพื่อที่จะนำดวงวิญญาณมาสังเวยให้แก่ เดธ ผมมีเรื่องไม้เว้นแต่ละวันและสามารถฆ่าคนได้มากมายโดยพละกำลังที่เหนือกว่ามนุษย์ทั่วไป ตอนนี้ผมก็ไม่ต่างอะไรกับปีศาจ ไม่สิ ดูเหมือนว่าผมเริ่มจะกลายเป็นคนเดียวกับ เดธ ไปเสียแล้วด้วยซ้ำ

     

    คู่ต่อสู้ต่อหน้าของผมไม่ว่าจะร่างกายใหญ่โตแค่ไหน ไม่ว่าจะมีฝีมือมากแค่ไหน แต่เมื่อมาอยู่ต่อหน้าผมแล้วผมเขาเหล่านั้นก็ไม่ต่างจากมดปลวกที่รอเวลาให้ผมขยี้จนแหลกละเอียดเท่านั้น ตลอดระยะเวลาหนึ่งอาทิตย์ผมใช้ชีวิตโดยการฆ่าคนจากนั้นจึงใช้เปลวไฟของ เดธ เผาจนไม่เหลือแม้แต่กระดูกทำให้ไม่มีสิ่งใดสามารถสักทอดผมได้ แต่ดูเหมือนว่าชีวิตของผมจะไม่ได้ราบรื่นเสมอ

     

    เย็นวันอังคารในขณะที่ผมกำลังเดินกลับบ้านโดยใช้เส้นทางที่ผมเคยโดนฆ่ามาแล้วครั้งหนึ่ง ผมเดินไปเรื่อยๆโดยไม่สนใจใยดีว่าจะมีใครอยู่แถวนั้นรึเปล่า ผมเดินผิวปากไปตลอดทางท่ามกลางชุดนักเรียนที่เต็มไปด้วยเลือดของชายผู้โชคร้าย แต่ทันใดนั้นเองก็เกิดลมแรงขึ้นจนเศษดินที่อยู่บนพื้นปลิวขึ้นผมจึงต้องยกแขนทั้งสองข้างขึ้นมากันเศษของพวกนั้นจะลอยเข้าตา

     

    ซาน ดูเหมือนว่าจะมีแขกมาหาเรานะ เสียงของ เดธ ดังก้องขึ้นในหัวสมองของผม

     

    ใครละ จะให้ฆ่าทิ้งซะเลยดีไหม ผมพูดโดยที่ยังใช้ท่อนแขนสองข้างของตัวเองปิดตาเอาไว้

     

    ถ้าคิดว่าฆ่าข้าง่ายๆ ก็ลองทำดูสิ เสียงๆหนึ่งดังขึ้นเบื้องหน้าของผมก่อนที่ผมจะลดแขนลงแล้วมองไปยังต้นเสียงที่กำลังพูดอยู่กับผม

     

    เบื้องหน้าของผมคือชายผิวขาวที่หน้าตาหล่อเหลา ผมสีทองยาวสลวยจนถึงหลัง ดวงตาของมีสีฟ้างดงามราวกับน้ำทะเลในมหาสมุทร ชุดที่เขาใส่เป็นชุดคล้ายกับบาทหลวงของพวกยุโรปแต่แตกต่างกันตรงที่ชุดของเขาเป็นสีขาวนวลทั้งหมด ไม้เว้นแม้แต่รองเท้ากับกางเกงของเขา กระดุมสีทองบนเสื้อนั้นสะท้อนกับแสงอาทิตย์ยามเย็นที่กำลังจะลาลับของฟ้าได้เป็นอย่างดี

     

    แกเป็นใครกันวะ ผมถามทันทีที่ผมเห็นร่างของเขาอยู่ตรงหน้า

     

    เจ้าก็ลองถามผู้ที่อยู่ในร่างของเจ้าสิ ข้าว่าผู้นั้นรู้จักข้าเป็นอย่างดีเลยละ ชายคนนั้นตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล

     

     

    แน่นอนข้ารู้จักเจ้าอย่างดีเลยละ เวอซิฟาเรีย เสียงของ เดธ ที่แฝงไปด้วยความแค้นดังขึ้นในสมองของผมในทันทีที่ชายผู้นั้นให้ เดธ เป็นคนตอบคำถาม

     

    เดธ คนนี้คือใครบอกข้าหน่อย ผมพูดออกมาเพื่อที่จะถาม เดธ กลับ

     

    อะไรกัน นี่เจ้าไม่ได้เล่าถึงเรื่องเทพทั้ง 10 ที่ได้ผนึกเจ้าลงในศิลาดำงั้นรึ เดธ ชายคนนั้นพูดในทันที

     

    เจ้าหนูงั้นข้าจะเล่าให้ฟังก่อนที่เจ้าและเดธจะต้องถูกกำจัดลงในอีกครั้ง ชายคนั้นพูดพร้อมกับแบมือมาข้างหน้าก่อนที่ดาบสีทองเปล่งประกายจะปรากฏตามออกมา

     

    เนื่องจากเทพแห่งความตายนั้นมีพลังที่แข็งแกร่งมากจึงทำให้พวกเหล่าทูตสวรรค์นั้นทำได้แค่ร่วมมือกันผนึกโดยที่พวกเขาจำเป็นต้องใช้เทพแห่งสงครามทั้ง 10 เพื่อที่จะผนึกพลังทั้งหมดของเทพแห่งความตายลง ซึ่ง เวอซิฟาเรียเป็นเทพองค์หนึ่งที่อยู่ในการผนึกนั้นด้วย เวอซิฟาเรียเป็นเทพที่มีดาบสีทองเป็นอาวุธ ซึ่งเพียงแค่การเหวี่ยงดาบเพียงไม่กี่ครั้งเขาก็สามารถที่จะตัดคอเหล่าปีศาจนั้นลงได้อย่างสบายๆ เวอซิฟาเรียได้ชื่อว่าเป็นเทพที่มีความฉลาดและ มีการวางแผนที่ล้ำลึก ซึ่งแผนรบต่างๆของเหล่าเทพนั้นก็ได้ เวอซิฟาเรีย นี่แหละที่เป็นคนคิด

     

    ซานเข้าไปหลบข้างในซะ พลังของเจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเทพคนนี้ เดธพูดกับผม

     

    แต่.... ผมพยามที่จะพูดแต่แล้วสติของผมก็หายไป

     

    เจ้ามาที่นี่เพียงเพราะจะมาตามล่าข้าแค่นี้นะเหรอ ข้า ราชาแห่งความตาย ถามเทพที่อยู่ตรงหน้า

     

    ใช่ ข้ามาดูให้แน่ใจว่าเจ้าถูกแก้ผนึกออกมาแล้วจริงๆ เวอซิฟาเรียตอบข้าด้วยเสียงที่เรียบเฉย

     

    บรรยากาศโดยรอบเงียบสงัดลงพร้อมๆกับลมแรงที่พัดเข้ามาทำให้ได้ยินเพียงเสียงอื้ออึงของสายลมเท่านั้น นี่อาจจะเรียกได้ว่าพายุตามที่ซานเคยบอกไว้ น้ำจากฝากฟ้าค่อยๆหยดลงมาทีละนิดจนในที่สุดมันก็ทำเอาสิ่งที่เรียกว่าถนนเปียกชุ่มไปหมด แต่มันก็หาได้ลดแรงอาฆาตของข้ากับ เวอซิฟาเรีย ได้ เทพแห่งแสงได้กระชับดาบมั่นเพื่อเป็นสัญาณว่าอีกไม่นานการต่อสู้คงเริ่มขึ้น เพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้นตัวแทนแห่งแสงสว่างได้พุ่งตรงเข้าหาข้าพร้อมกับตวัดคมดาบสีทองใส่ต้นคอของข้าทันที

     

    บุกก่อนเลยนะ เจ้าเทพจอมปลอม ข้าก้มตัวหลบดาบของตัวแทนแห่งแสงก่อนที่จะส่งประโยคนั้นสวนกลับไป

     

    ดวงตาของซานกลายเป็นสีแดงพร้อมๆกับผมและเล็บที่ยาวออกมาเนื่องจากบัดนี้ข้าได้ปลดปล่อยพลังออกมา กรงเล็บสีแดงถูกตวัดขึ้นจากด้านล่างแต่ทว่าเทพตนนั้นก็สามารถที่จะถอยหลังหลบไปได้อย่างฉิวเฉียด ข้ารีบพุ่งตัวตามเข้าหา เวอซิฟาเรีย  พร้อมๆกับเหวี่ยงหมัดออกไปทางด้านข้างทำให้หลังมือของข้าพุ่งกระแทกเข้ากับใบหน้าที่แสนสะอาดของ เวอซิฟาเรีย อย่างรุนแรงจนทำให้ร่างของเทพแห่งการวางแผนลอยกระเด็นลากไปกับพื้น

     

    ฝีมือไม่เอาไหนเหมือนเดิมนะ เวอซิฟาเรีย ข้าพูดพร้อมกับเดินตรงเข้าตัวแทนแห่งแสงที่กำลังพยามพยุงร่างขึ้นมา

    ขอบคุณที่อุตส่าห์ขุดเรื่องเก่าๆขึ้นมานะ เวอซิฟาเรียพูดพร้อมกับหายตัวไปจากตรงนั้น

     

    เวอซิฟาเรีย ปรากฏขึ้นอีกที่บริเวณด้านหลังของผมพร้อมกับตวัดดาบสีทองใส่ในทันทีแต่มันกลับพลาดเป้าไปเนื่องจากผมนั้นสามารถที่จะกระโดดหลบคมดาบของเทพแห่งแสงไปยืนด้านหลังได้ก่อน หมัดอันแสนหนักหน่วงพุ่งเข้ากระแทกหน้าของ เวอซิฟเรีย ในทันทีหลังจากที่เทพตนนั้นได้หันมาซึ่งมันส่งให้ร่างของ เวอซิฟาเรียล้มลงกองไปกับพื้นในทันที

     

    มีอาวุธดีแต่ใช้ไม่เป็นมันก็ไร้ประโยชน์นะ เวอซิฟาเรีย ข้าพูดพร้อมกับใช้มือที่มีเล็บอันแสนแหลมคมของข้าจิกไปที่ผมสีทองอันแสนสวยงามขึ้นมา

     

    อย่าดูถูกข้าไปหน่อยเลย  เวอซิฟาเรียพูดพร้อมกับใช้มือของปัดแขนของข้าที่จิกผมอยู่ออก

     

    ดาบสีทองพุ่งมาในแนวตรงก่อนที่จะเฉือนเอาเนื้อบริเวณไหล่ของข้าออกเป็นทางยาว แต่ก็ยังดีที่มันไม่ได้เป็นแบบที่เทพแห่งแสงตนนั้นคิดเอาไว้ เนื่องจากข้าสามารถที่จะเบี่ยงตัวหลบได้ทันข้ารีบถอยออกห่าง เวอซิฟาเรีย

    เพื่อป้องกันการโจมตีต่อไป และก็เป็นอย่างที่ข้าคิดไว้ เวอซิฟาเรีย เป็นฝ่ายที่จะบุกก่อน ข้าเองไม่เคยคิดที่จะประมาทเจ้านี่เลยแม้แต่น้อย เนื่องจากมันเคยใช้แผนของมันนำทัพเทพที่มีจำนวนเพียงน้อยนิดถล่มฐานที่มั่นของพวกข้าได้ และข้าเองก็ไม่มั่นใจนักว่าการที่มันมาครั้งมันจะทำหน้าที่เพียงแค่ดูว่าข้าถูกปลดผนึกแล้วจริงๆเท่านั้น

     

    ดาร์ค เฟรม วอล์ ข้าพูดพร้อมกับสะบัดมือไปทางด้านข้าง

     

    เปลวไฟสีดำลุกขึ้นขวางร่างของเทพแห่งแสงที่กำลังพุ่งเข้ามาทำให้การโจมตีหยุดลงซึ่งนั่นเองก็เป็นจังหวะดีของของ แรงขาอันมหาศาลของข้าได้กระโดดข้าเปลวไฟแห่งรัตติกาลก่อนที่จะจบลงด้วยเท้าที่เหวี่ยงอัดเข้าที่ใบหน้าของเทพแห่งแสงอย่างแรงจนทำให้ร่างของ เวอซิฟาเรีย ล้มลง ข้าไม่เคยคิดเลยว่าเทพอย่าง เวอซิฟาเรีย จะอ่อนแอได้ถึงเพียงนี้

     

    เกมมันจบแล้วเวอซิฟาเรีย เจ้าไม่มีทางชนะข้าหรอก ข้าพูดหลังจากที่เท้าของข้าได้สัมผัสถึงพื้นข้างๆ เวอซิฟาเรีย

     

    อะไรกัน ถ้าข้ายอมแพ้แค่นี้ข้าก็โดนแย่งตำแหน่งไปนะสิ เทพแห่งแสงพูดพร้อมกับพยุงร่างที่บอบช้ำของตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง

     

    แต่มันก็ต้องล้มลงอีกเมื่อข้าได้ปล่อยหมัดของข้าอัดเข้าไปที่กลางลำตัวของเทพตนนั้น ดูเหมือนว่าเทพองค์นี้จะไร้ความสามารถไปเสียแล้ว ข้าไม่อาจทราบเหตุผลได้ว่าฝีมือของข้าก้าวหน้าขึ้นกว่าแต่ก่อนหรือว่าฝีมือของตัวแทนแห่งแสงลดลงกันแน่

     

    ข้าควรจะเอายังไงกับชีวิตของเจ้าดีละ ข้าถามพร้อมกับทอดสายตาของคู่ปรับของข้าอย่างสมเพศ

     

    ฆ่าข้าซะ ยังไงพวกนั้นก็ส่งข้ามาเพื่อให้เจ้าทำแบบนี้อยู่แล้ว เวอซิฟาเรีย พูดทำให้ข้ารู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่เหมือนจะเปลี่ยนแปลงไปในตัวของเทพองค์นี้

     

    คนที่ยิ่งในศักดิ์ศรีอย่างเจ้านี่ น่าแปลกนะที่จะยอมตายง่ายๆ

     

    ข้าไม่มีเหตุผลที่จำเป็นจะต้องบอกเจ้า

     

    บอกข้ามาเถอะน่า ยังไงซะเจ้าก็ไม่รอดจากเงื้อมือของข้าอยู่ดี ข้าพูดพร้อมกับลดตัวลงแล้วใช้มือของข้าจับศีรษะของ เวอซิฟาเรีย

     

    กรงเล็บสีแดงอันแหลมเสียบทะลุนัตย์ตาสีฟ้าจนเลือดสาดกระจายออกมา เลือดสีแดงไหลอาบใบหน้าของ

    เวอซิฟาเรีย พร้อมกับเสียงร้องโอดครวญ มันช่างเป็นเสียงดนตรีที่ไพเราะซะจริงๆ  ข้าจับหัวของตัวแทนแห่งแสงยกขึ้นพร้อมกับอัดกระแทกลงกับพื้นอย่างแรงเพื่อความพอใจของตัวข้าเอง

     

    พูดออกมาได้รึยังว่าทำไมเทพอย่างเจ้า ถึงที่จะยอมตายง่ายๆแบบนี้ ข้าถามในขณะที่ใบหน้าของเวอซิฟาเรียจมอยู่ในพื้นปูนที่ยุบตัวลงเนื่องจากแรงกระแทก

     

    ได้ๆ ข้ายอมบอกแล้ว เวอซิฟาเรียพูดพร้อมกับดันศรีษะของตัวเองขึ้น

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×