เทวดา...ตกสวรรค์
ผู้เข้าชมรวม
114
ผู้เข้าชมเดือนนี้
3
ผู้เข้าชมรวม
เทวดา ตกสวรรค์
นับตั้งแต่ผมมาทำงานเป็นอาจารย์มาตั้งแต่เมื่อปี 2525 ด้วยส่วนตัวมีประสบการณ์ชีวิต มาแล้วอย่างโชกโชน กอรปกับอุปนิสัยที่เป็นคนเรียบง่าย ติดดิน ผมจึงมักจะ ไปคลุกคลี ตีโมง กับคนงานและชาวบ้าน ทุกคน ณ วันนี้.. คนงานเก่าๆ ที่เคยร่วมงานกันมากว่า 70 เปอร์เซ็นต์ ได้เสียชีวิตลง คนที่เสียชีวิตส่วนมากได้เสียชีวิต เพราะการดื่มสุรา (เถื่อน) ทั้งสิ้น และอีกส่วนหนึ่งก็ได้เสียชีวิต ด้วยวัยชรา
หลังเลิกงานแล้ว... ในอดีต เมื่อสามสิบกว่าปีก่อน ผมกับ ดร. สุวัฒน์ จะชวนกันมาที่บ้านคนงาน ที่บ้านพักใกล้ศาลเจ้าพ่อ ที่บ้านพักของนายชูชัย หรือไม่ บางทีบางครั้ง ผมจะซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซด์ ยี่ห้อซูซูกิ 80 สีแดงของเขา ออกมาภายนอกสถาบันฯ มุ่งหน้ามาที่บ้านยางนา และที่บ้านพี่เนา คนงานประจำคอกวัว คงพูดได้ว่า ผมกับ ดร. สุวัฒน์ คือ คู่หู ในอดีต...ที่ต้องออกไปสัมผัสกับ ชนบท และกับคนงาน บ่อยที่สุด ดร.สุวัฒน์ จบวนศาสตร์จาก บางเขน เขามา ช่วยราชการ ที่ ลำปาง ด้วยเหตุที่มีปัญหาขัดแย้งกับเพื่อนร่วมงาน ที่ จ. กาฬสินธุ์ บุคลิกของเขา มีส่วนใกล้เคียงกับผมมาก คือ ชอบร้องรำทำเพลง และดื่มเหล้า
...................................................................................
ดังนั้น เวลาที่ ดร. สุวัฒน์ จะไปไหนมาไหน เขาก็มักจะแวะมารับผมที่บ้านพัก เสมอ ดร. สุวัฒน์ อาวุโสกว่าผม สี่ถึงห้าปี ผม เรียกเขาว่า พี่วัฒน์ อย่างสนิทปาก ในจำนวนเพื่อนร่วมงาน ด้วยกันที่มีอยู่ เกือบ 70 คน ณ เวลานั้น ........ดูเหมือนผมจะสนิทกับเขามากกว่าใครๆ เพราะผมกับเขามีสไตล์แบบลูกทุ่งๆ ที่ไม่ต้องมีพิธีรีตอง บ่อยครั้งพี่วัฒน์ ชวนผมมาบ้านพี่เนา คนงานประจำคอกวัว พี่เนามีพี่ชาย ชื่อเกิด สองพี่น้องคู่นี้ ทำงานประจำฟาร์มวัวนมของสถาบันฯ เป็นที่รู้กันดีว่า นิสัยของคนชนบท เพื่อนบ้านจะมีความสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้น มีไมตรีที่ดีต่อกัน มีการติดต่อกันเป็นกันเอง เอื้อเฟื้อและจริงใจต่อกัน ดังนั้น...เหล้า... จึงเป็น ตัวเชื่อมความสัมพันธ์ ทำให้คนในสังคมที่อยู่บ้านใกล้ชิดหรือห่าง ใช้เวลาช่วงเย็นๆ-ค่ำๆ มาร่วมชุมนุมสังสรรค์กัน
ช่วงบ่ายๆ (วันหนึ่ง) ที่ผมเจอกับ ดร. สุวัฒน์ ที่อาคารด้านหน้าของที่ทำงาน ในขณะที่เขามาติดต่องานห้องธุรการ
“อ. ขลุ่ย เย็นนี้..ผมจะพา ไปเที่ยวบ้านพี่เนากัน หน่อยนะ”
“ตามใจพี่ครับ ว่าแต่..บ้านพี่เนาไกลมั้ย”
“ไม่ไกลหรอก เดี๋ยวพี่พาไปเอง นั่งรถเครื่องแค่เพียง 5 นาที ก็ถึงแล้ว พอดีเย็นนี้ แกจะหลู้หมูกิน ”
“ดีเลย ผมไม่ได้กินมานาน แล้ว ครับพี่”
หลังเลิกงาน ดร.สุวัฒน์ ได้ขับรถอีแก่ มารับผมที่บ้าน ขณะที่ ผมนั่งดูทีวี ฆ่าเวลา เสียงมอเตอร์ไซด์แบบผู้หญิงคันบอบบาง บีบแตร ล่วงหน้า เพื่อบอกให้ผมรู้ตัวก่อน
“ ปี๊นๆๆ” พร้อมเสียงตะโกน ซึ่งเป็นโทนเสียงแหลมๆ
“ ขลุ่ย พร้อมหรือยัง” ดร.สุวัฒน์ ทักทายประโยคแรก
“ พร้อมนานแล้วครับ พี่” ผมตอบ
“ ขึ้นรถเลย” เขาบอก
ผมตวัดขาขวา ข้ามเบาะแล้วนั่งคร่อม ขยับตัวให้เข้าที่ แล้วบอกผู้ขับให้เคลื่อนตัวได้
“พร้อมแล้วครับพี่ ออกตัวได้”
เสียงรถจักรยานยนต์ ค่อยเขยื้อนออกตัวช้าๆ ผ่านป้อมยาม ที่เจ้าหน้าที่ รปภ. มีความคุ้นเคยกัน
“จะไปตางใด คับ อาจ๋าน” เขา (อู้) พูดกำเมืองทักทาย
“ผม จะปา (พา) อาจ๋านขลุ่ย ไปแอ่ว บ้านอ้ายเนา ตี้บ้านยางนา”
เมื่อดร. สุวัฒน์ ให้คำตอบกับเจ้าหน้าที่ รปภ. แล้ว ก็เดินทางเลียบคลองชลประทาน แล้ว เลี้ยวเข้าตรอกเล็กๆ ด้านซ้ายมือ....ไม่นานนัก ก็ถึงปลายทางบ้าน ที่เรากำลังจะไปพบ ภายนอกบ้านที่ผมเห็น มีแสงไฟที่จุดจากโคมน้ำมันก๊าด วับๆ แวมๆ ด้วยแรงลมที่พัด บ้านหลังนี้ เป็นกระท่อม มุงหญ้าคา ข้างๆ บ้านมีคอกหมู ที่ทำง่ายๆ เพียงใช้ไม้ไผ่ตีกั้น ทำเป็นคอก ภายในคอกมีหมูพื้นเมืองสีดำหลังแอ่น ท้องย้อยเกือบติดพื้น สามตัว กำลังยืนกินเศษอาหารที่ผสมรำอย่างเอร็ดอร่อย ทางฝ่ายแม่บ้านของพี่เนากำลังยงโย่ ยงหยก กับการเอาหน่อไม้ที่แกะเปลือก ใส่ปี๊บ เพื่อต้มรอส่งกับพ่อค้าในหมู่บ้าน
หากมองไปแล้วครอบครัวนี้ เป็นครอบครัวที่น่าเห็นใจมาก เพราะมีเพียงพี่เนา เพียงคนเดียว ที่ต้องหาเลี้ยงชีพ เลี้ยงสมาชิกในบ้านที่มีถึง 5 คน แม่บ้านเพียงทำหน้าที่ดูแลเลี้ยงลูก ช่วยเหลืองานในบ้าน เลี้ยงหมู และแกะเปลือกหน่อไม้บ้างในบางโอกาส ทุกวันหยุด พี่เนา จะไปหาหน่อไม้ในป่า แล้วนำมาให้แม่บ้านแกะเปลือก แล้วต้มส่งให้พ่อค้าที่มารับซื้อถึงบ้าน ลูกๆ ของเขาในขณะนั้นกำลังเรียนชั้นประถม อยู่ในวัยกำลังกินกำลังนอน ผม กับ ดร. สุวัฒน์ นั่งกินเหล้า ที่บ้านพี่เนาโดยดื่มสุราเถื่อน(สรถ.) ที่หาซื้อได้ง่ายๆ เรากินกันไปคุยกันไป... ทางฝ่าย พี่เนา ดูออกจะเกรงใจเราทั้งสองคน เพราะ นับแต่แกทำงานมา ไม่เคยมีอาจารย์คนไหน มาเยี่ยมเยียนแกถึงที่บ้านอย่างนี้ หนำซ้ำ อาจารย์ ทั้งสองคน ยังลดตัวลงมานั่งกินเหล้าเถื่อนอีกต่างหาก
“ลำแต้ๆ ครับ ปี้เนา” ดร. สุวัฒน์ หยอดคำชมให้เจ้าของบ้าน ผู้ทำหน้าที่ ทำกับแกล้มให้พวกเรากิน
“ขอบคุณครับ..” พี่เนา พูด พร้อมยิ้มๆ อย่างภูมิใจ
“ผม มักขนาดเลย (ชอบมาก) วันนี่ปา จ๋าน ขลุ่ย มาลอง จิม” ดร. สุวัฒน์ พูด และจากนั้นเขาได้ หันมาพูดภาษากลางกับผม
“เป็นไงน้อง อร่อยมั้ย” ดร. สุวัฒน์ พูด
“จ๊าดลำ เลย ปี้” ผมดัดจริต อู้กำเมือง เพื่อให้กลมกลืนกับท้องถิ่น พร้อมยกนิ้วโป้ง มาชูให้กำลังใจ คนทำกับแกล้ม เรานั่งคุยกันอย่าง ออกรสออกชาติ จนสี่ทุ่มเศษๆ จึงขอตัวกลับเข้าบ้านพัก และนับจากวันนั้น ผมเริ่มสนิทกับพี่เนาตามลำดับ ///
…..………………………
20 ปีต่อมา (เหมือนในหนังไทย ) ลูกๆ ของพี่เนาได้เรียนสูงขึ้น คนของครอบครัวนี้ ในอดีต อยู่ในสภาพปากกัดตีนถีบ มาโดยตลอด เงินเดือน กลายเป็นเงินเดือด พอสิ้นเดือนก็เหมือนสิ้นใจ สหกรณ์ออมทรัพย์ครูต้องหักหนี้สิน เงินกู้ฉุกเฉินของ พี่เนาหลายพันบาท พี่เนา คงเหลือเงินไว้ใช้เพียงไม่กี่ร้อยบาท จนต่อมา เขาต้องมีอาชีพเสริม คือ ขายสุราเถื่อน ที่ได้กำไรดี หากไม่ถูกสรรพสามิต มารบกวน หรือทำการจับกุม
ลูกชายคนโตของพี่เนา ชื่อ ธงชัย เรียนจบวิชาชีพ ด้านสุขภาพพลานามัย จนได้เป็นอาจารย์สอน ที่สถานศึกษาแห่งหนึ่ง คนรองลงมา ชื่อ พิภพ เรียนที่วิชาชีพด้านเกษตร จนจบชั้น ปวส. และเข้าเรียนต่อ ป. ตรี แต่เรียนไม่ไหวจึงถูกรีไทร์ ช่วงที่เขาเรียนที่นี่ (สถาบันที่ผมสอน) ผมทำงานในแผนกแนะแนว ได้เคยเห็นสภาพของครอบครัวเขามาโดยตลอด จึงบอกกรรมการที่สัมภาษณ์ ได้กรุณาและพิจารณาช่วยเหลือพิภพ เขาจึงได้รับทุนเพื่อการศึกษาตลอดเวลาที่ศึกษาที่นี่ เมื่อถูกรีไทร์ พิภพ ได้มาขอคำแนะนำกับผม
“อาจารย์ครับ ผม คิดว่า ผมจะไปเรียนต่อปริญญาตรี ที่สถาบันอีกแห่ง จะดีมั้ย”
“ดีสิ.. เรียน ที่ไหนก็ไม่สำคัญ จะจบสถาบันไหน มันก็ได้ปริญญาเหมือนกัน การจะได้ทำงานหรือไม่ มันขึ้นอยู่กับความสามารถ เฉพาะบุคคลเท่านั้น” ผมบอกเขา
“ครับ” พิภพตอบสั้นๆ
จากวันนั้น ..เขาได้นำเอา คำแนะนำจากผมไปใช้ และได้เข้าศึกษาต่อที่สถาบันแห่งหนึ่ง จนสำเร็จการศึกษา ระดับปริญญาตรี ด้วยที่เขาเป็นคนรักการกีฬา มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี หน้าตาดี พูดจาดี บุคลิกภาพดี เขาจึงมีโอกาสได้รู้จักกับ นักการเมืองท้องถิ่น และได้สั่งสมบารมี มาตามลำดับ จุดแรกที่เขามอง เพื่อปูพื้นฐาน จะก้าวสู่งานการเมือง คือ การได้เข้ามาทำงาน เป็น อสม. เพราะมันเป็นงานที่จะทำให้คนในหมู่บ้าน และคนในตำบล ได้รู้จักเขามากขึ้น เขาได้ทุ่มเท สร้างผลงานมาตามลำดับ จนในที่สุด ก็ได้รับความไว้วางใจจากหัวหน้าสถานีอนามัยในตำบล จนได้รับการคัด เลือกเป็นประธาน อสม. บ่อยๆ ครั้ง เขาจะไปร่วมกิจกรรมพบปะสังสรรค์ กับกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ทั้งๆ ที่เขา ไม่ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เลย จนสร้างความคุ้นเคย อีกทั้งเขายังฝากเนื้อฝากตัว และบอกกับคนเหล่านั้นว่า จะขออาสา มาลงการเมืองท้องถิ่น เพื่อพัฒนาท้องถิ่นให้เจริญมากยิ่งขึ้น สมัยแรกเขาลองลงสมัคร เป็นสมาชิก อบต.ไม่ยากเกินกว่า ความสามารถ ที่เขาจะได้นั่งเก้าอี้นี้ ด้วยที่สมาชิก อบต. ส่วนใหญ่ มักเรียนจบเพียงระดับชั้นประถม-มัธยมศึกษา จึงทำให้ พิภพ โดดเด่นกว่าใครๆ สมัยแรก เขาจึงได้รับความไว้วางใจให้เป็น รองนายก ฯ อบต. พิภพ เริ่มวางรากฐานให้ตนมีบารมี อำนาจมากขึ้น เขายอมที่จะลงทุน สละเงินเดือนตน ให้เป็นทุนการศึกษา ซื้อเสื้อผ้าให้กับเยาวชน คนชรา งานบุญ งานกุศล ช่วงปีใหม่เขากล้าที่จะ ลงทุนทำปฏิทินแจกประชาชน พร้อมพิมพ์รูป ผลงานของตน หากเขารู้ข่าวชาวบ้านจัดกิจกรรมใดๆ เขาต้องไปร่วมเสมอ เช่น งานบวช ขึ้นบ้านใหม่ งานวันเกิด งานแต่งงาน งานศพ
.................................................................
งานกีฬา อบต. งาน อสม. ผมมักพบปะกับ พิภพ ตลอดเวลา เนื่องจากขณะนั้นผมเป็นที่ปรึกษาหน่วยงานระดับจังหวัด, อำเภอ ผมมองดูเขาห่างๆ ด้วยความห่วงใย เพราะการจะลงเล่นการเมือง มันต้องใช้เงินอย่างมหาศาล ระยะหลังๆ เขากับนายกฯซึ่งเป็นคนที่ดึงเขาขึ้นมาเป็น รองนายกฯ เริ่มจะห่างกันมากขึ้น เพราะพิภพ เริ่มวัดรอยเท้า คนที่ให้โอกาสเขามีตำแหน่ง อำนาจ
คะแนนเสียงของพิภพ ดีวันดีคืน เขาเริ่มมองข้างหน้าแล้วว่า จะต้องลงสมัครตำแหน่ง นายก อบต. ก่อนหน้าที่เขาจะลงสมัคร ได้เคยมาขอคำแนะนำผม ผมได้บอกไปว่า การลงสมัคร ตำแหน่งนี้ มันต้องมีบารมีมากและต้องใช้เงิน
“ ผมวางแผนไว้หมดแล้ว ผมได้วางเครือข่าย หัวคะแนน เตรียมกระสุน พร้อม” พิภพบอก
จากนั้นพิภพ จึงได้ไปศึกษาต่อเพิ่มเติมในระดับปริญญาโท ..นับเป็นสิ่งที่จะทำความฝันของเขาให้สำเร็จลงได้ พูดถึงภาพลักษณ์เขาแล้ว ตลอดเวลาที่ผมพบ เขายังคงนอบน้อมถ่อมตน ให้เกียรติผมเสมอ แม้บางครั้งเขาอาจจะเผลอๆ ไปบ้าง เมื่อเรียนจบปริญญาโทแล้ว บารมีของพิภพ เริ่มเปล่งประกายเจิดจ้า จนคนทั้งตำบล เริ่มยอมรับว่า หากมีการเลือกตั้งครั้งหน้า ตำบลนี้จะต้องมีผู้นำคนหนุ่ม ที่มีการศึกษา พวกเขาจะช่วยกันเชียร์ และสนับสนุนพิภพ ให้ได้เป็นนายกฯ
วันหนึ่งขณะที่ผมนั่งกินกาแฟ ที่ตลาด ซึ่งมีร้านเสริมสวยตั้งอยู่ด้วย ผมเห็นช่างเสริมสวย กำลังแต่งผม แต่งหน้า ให้กับสุภาพสตรี คนหนึ่ง ในวัยใกล้สามสิบ เธออยู่ในชุดไทยสีขาวปักเลื่อม ระยิบระยับ ผมไม่ได้ใส่ใจอะไร ..เพราะทุกๆ วันก็มีลูกค้ามารับบริการอยู่แล้ว ขณะคุยกับชาวบ้านผมเห็นพิภพ แต่งชุดสูท อย่างสุภาพเรียบร้อย เขาได้เดินเข้ามาทัก
“สวัสดีครับ ท่านอาจารย์ ผมจะมารับแฟน ที่ร้านนี้ ครับ.. พอดี วันนี้ ผมจะเข้าพิธีมงคลสมรสที่โรงแรมในเวียง” พิภพพูด
ผมทำสีหน้างงๆ ช่างเสริมสวย แต่งหน้าทำผม เสร็จพอดี พิภพ บอกแฟนเขาว่า
“นี่คุณ อาจารย์ของผม ครับ” พิภพ บอกกับคู่สมรส
สตรีผู้นั้นยกมือไหว้ผม ผมรับไหว้ จากนั้นทั้งสองคน ก็ไปในเมือง เพื่อร่วมพิธีมงคลสมรส ผมไม่ได้ใส่ใจอะไร และผมก็ไม่รู้เลยว่า หญิงสาว คนนั้น คือ แพทย์หญิง ภายหลังงานมงคลสมรสแล้ว อีกไม่นาน เรือนหอของคู่สมรส ก็ได้ปลูกสร้างขึ้นมา และสำเร็จลุล่วง ชาวบ้านชาวช่องในหมู่บ้าน ต่างชื่นชมว่า พิภพ ช่างมีบุญ เหลือเกิน จากเด็กแทบจะไร้อนาคต พ่อก็ขี้เมาหยำเป สามารถที่จะกลายร่างเป็นเทวดา ชั่วเวลาข้ามวันข้ามคืน หลังจากเรือนหอสร้างเสร็จ ภริยาของพิภพ ซึ่งเป็นคุณหมอ ก็ได้เปิดคลินิก ในหมู่บ้าน ทั้งคู่มีความรักที่หวานชื่นจนน่าอิจฉา คนหนึ่งเป็นนักการเมืองขวัญใจคนจน อีกคนเป็นหมอที่ดูแลรักษาคนไข้ เหมือนนางฟ้าผู้ใจบุญ อะไรช่างมาประเหมาะพอดีเช่นนี้
ชาวบ้านทั้งตำบล มองว่า ทั้งคู่มีความเหมะสม ราวกับกิ่งทองใบหยก แต่.. สำหรับผมเองมองไปแล้วว่าไม่ใช่ กิ่งทองใบหยก แต่มันเป็น กิ่งทอง กับใบตำแย มากกว่า ผมเคย คะแคะระคาย กับลูกศิษย์คนนี้มานานแล้วว่าเขา เป็นคนเจ้าชู้ เคยรักชอบพอกับ ผู้หญิงในพื้นที่ หลายคน มาก่อนแล้ว เพราะหากพูดถึงความกว้างขวาง ระหว่างผมกับเขา คงห่างชั้นกันมาก ผมทำงานมวลชนมาช้านาน ผมเคยพูดกับผู้อาวุโสในหมู่บ้านว่า ผมรู้สึกเสียดาย และเห็นใจ คุณหมอเป็นอย่างมาก เพราะ เธอ อาจจะมองว่าความรักคือความยิ่งใหญ่ คือความสุนทรีย์ คือความนิรันดร์ นั่น มันคือความฝันของหมอคนเดียว... แต่อีกฝ่าย เขากำลังทำความฝันของหมอให้สลายลง โดยที่หมอไม่รู้ตัว
“ความรักทำให้คนตาบอด ก็อาจจะเป็นจริง” ผมดูว่าคุณหมอหลงรักกับพิภพ จนโงหัวไม่ขึ้น หนึ่งปี ที่แต่งงานทั้งคู่ยังรักและดูดดื่ม จนเกิดโซ่ทอง คล้องใจ ทั้งสองฟูมฟัก ทะนุถนอมกันและกัน ช่วงการเลือกตั้ง การเมืองท้องถิ่น ได้เริ่มขึ้น คุณหมอ ต้องออกไปช่วยหาเสียงให้สามี คลินิก ที่เคยเปิดหารายได้เสริมก็ต้องปิด คุณหมอ ต้องหาเงินทุนมาช่วยจ่ายเป็นค่าหาเสียง เพื่อจ่ายให้กับเครือข่าย หลายล้านบาท เมื่อวันเลือกตั้งผ่านไป จากผลการนับคะแนน พิภพ ก็ได้รับความไว้วางใจได้คะแนนเป็นลำดับ 1 ชนะคู่แข่งขัน ที่เคยเป็น นายก อบต. มาก่อน แบบขาดลอย กว่าจะมีการประกาศผลอย่างเป็นทางการ ก็ต้องรอเกือบสามเดือน ในที่สุด พิภพ ก็ได้เป็น นายกฯ สร้างความพอใจกับเขาและภริยา เงินที่ใช้ในงานการเมืองครั้งนี้ คงไม่ต่ำกว่าล้านบาท คุณหมอ ต้องไปกู้หนี้ยืมสินจากธนาคาร
ความสุขของสามี ก็คงเป็นความสุขของตนด้วย ผมภาวนา ผมเอาใจช่วยครอบครัวนี้อย่างจริงใจ ผมมักพูดกับ ผู้อาวุโส ในหมู่บ้านเสมอๆ ว่า ขอให้ครอบครัวของเขา อยู่จนรักนิรันดร์ หลายคนวิเคราะห์ว่าน่าจะอยู่ไม่ยืด แต่ผมว่าต้องยืดยาวนาน หลายครั้งที่ผมไปคลินิก คุณหมอ เธอได้ให้การรักษาผมเป็นอย่างดี อีกทั้งสามี ก็ได้พูดกับคุณหมอว่า
“แม่ นี่คืออาจารย์ของพ่อ ที่ท่านเคยช่วยพ่อ มาตลอด” พิภพ บอกคุณหมอ
ผมดีใจ และภูมิใจ ที่พิภพ ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ลืมตัว ...เวลาผ่านเลยมาจนปีที่ 3 ที่เขาดำรงตำแหน่ง นายกฯอบต. ปัญหาครอบครัวของเขา เริ่มระหองระแหง มีเสียงลือหนาหูว่า พิภพ ใช้กำลังทำร้ายคุณหมอ มีเสียงลือจากข้างบ้านพิภพว่า คุณหมอ ร้องไห้และบอกกับพิภพ จะขอหย่า เพราะพิภพไปมีภริยาคนใหม่ ที่เป็นลูกของผู้นำท้องถิ่น คนหนึ่ง.. ข่าวนี้ เริ่มเป็นจริง เมื่อคลินิกคุณหมอ ต้องปิดตัว.. และพิภพ ต้องออกจากบ้านที่เป็นเรือนหอ รถคันหรู ที่หมอเคยซื้อให้สามี เพื่อยกระดับ ความภูมิฐาน ถูกหมอยึดคืน และขายทอดตลาด เรื่องเริ่มแดงขึ้นๆ คุณหมอได้ทำหนังสือขอย้ายตัวเองไปที่จังหวัดหนึ่ง ผมมาทราบว่า ก่อนแต่งงาน ทางพ่อและแม่ ของคุณหมอ เคยห้ามปรามแล้ว ว่า ดูจากท่าทีของชายคนนี้แล้ว ไม่น่าไว้วางใจเลย แต่หมอก็ไม่ยอมเชื่อ.. วันนี้คุณหมอกับลูกได้อยู่ด้วยกัน โดยการฟ้องร้องตามกฎหมาย โดย พรบ. ครอบครัว เพราะหากให้อยู่กับบิดา แล้วเกรงว่าเด็กจะมีปัญหากับคุณภาพชีวิต นี่คือเรื่องราว ที่ผมได้คาดการณ์ และวิเคราะห์ไว้แล้ว ว่า ต้องเกิดปัญหา จากชายหนุ่ม ที่โดดเด่น ภูมิฐาน ดังเทวดา เวลาไปไหน มีคนกราบไหว้ มา วันนี้เทวดาตกสวรรค์ แทบจะไม่มีใครเมียงมอง เงาหัวก็แทบจะไม่มี ... นี่แหละ ชีวิต ที่เทวดา ลิขิตตนเอง
(๒๔/๓/๒๕๖๐)
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ผลงานอื่นๆ ของ ขลุ่ย บ้านข่อย ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ขลุ่ย บ้านข่อย
ความคิดเห็น